|
ความคิดเห็นที่ 9 |
|
การพิชิตข้อสอบ IELTS นั้นไม่ยากเลยค่ะ ขอแค่ ตั้งใจ และ มีเวลาให้มัน เท่านั้นเอง ส่วนหลักการก็ง่ายๆ คือ รู้เขา และ รู้เรา ค่ะ
เริ่มจากรู้เราก่อนนะคะ ก่อนอื่นต้องรู้ตัวเองก่อนว่า เราอยู่ในระดับไหน จะรู้ได้ก็ต้องลองสอบดูก่อนทีนึงจะดีที่สุด หรือถ้ายังไม่อยากสอบ จะลองทำข้อสอบดูเองที่บ้านแล้วเอาคะแนนมารวมกันก็ได้แต่จะมีข้อเสียคือ ใครจะให้คะแนน writing กะ speaking เราล่ะ ^ ^"
พอเรารู้แล้วว่าเราอยู่ระดับไหน ก็มาดูว่าเราอยากได้คะแนนเท่าไหร่ โดยทั่วไปคะแนนจะขึ้น 1 overall band ต้องใช้เวลา 1-2 เดือน (แบบทุ่มเท) ก็เป็นหน้าที่เราต้องมาจักสรรเวลาให้มันให้ได้นะคะ
จากนั้นก็รู้เขา...คือ เจ้าข้อสอบ IELTS นี่เอง....การจะรู้มันก็ง่ายมาก แค่ทำข้อสอบเยอะๆ เท่านั้นเองค่ะ ก็จะรู้มันอย่างหมดเปลือกเลยทีเดียว มาเริ่มกันเลยนะคะ
Listening : ถ้าลองทำข้อสอบสัก 5 -6 อัน แล้วจะจับแนวได้เลย ว่าเค้าจะถาม และชอบหลอกตรงไหน...ขอแนะนำการทำข้อสอบเลยละกัน
แต่ละ section เค้ามีเวลาให้เราอ่านโจทย์ ก็ให้วง key word ไว้เลย และเดาว่า ในช่องว่างที่ให้เติมเป็นอะไร (ต้องคิดเชิงรุกค่ะ อย่าตั้งรับอย่างเดียว) เช่น name, place, no., date, Adj., N. etc.
ต่อมา ก่อนเริ่มข้อแรก เค้าจะมีตัวอย่างให้เราก่อน 1 ข้อ ตรงจุดนี้ บางคนจะไม่ฟัง แล้วไปเร่งอ่านโจทย์ section 2 ซะแล้ว...อันนี้ไม่แนะนำค่ะ ตรงตัวอย่างนี่แหละ ควรต้องฟัง เพื่อให้หู และ สมอง ปรับตัวให้ทำงานให้สัมพันธ์กันกับน้ำเสียง และ speed ของข้อสอบ บางทีอาจจะเร็วกว่าที่เราซ้อมมานิดนึง ก็ต้องอาศัยช่วงนี้บอกตัวเองว่าต้องเพิ่มความเพ่งลงไปมากขึ้นอีก
จากนั้นก็เริ่มทำข้อสอบแบบเพ่งไปกับเทปที่กะลังพูดอยู่ ให้จินตนาการว่าห้องทั้งห้องแคบลง มีแค่เรากะคนที่พูดกรอกหูเราอยู่...เติมคำตอบไปทีละข้อ ละข้อ...ข้อไหน พลาดแบบว่า "เอ๊ะ อะไรนะ" ให้ใส่ไอ่ที่ฟังได้ลงไปก่อน อย่าไปวนเวียนคิดย้อนเรียกความทรงจำว่าประโยคตะกี้มีคำว่าอะไรบ้างน๊าาา...อย่าเด็ดขาด..the show must go on ค่ะ เตรียมฟังข้อถัดไปเลย ไม่งั้นมันจะรวนให้เสียกระบวนไม่เป็นท่า ตัดใจจากมันไปก่อน อย่าเหลียวหลังตอนนี้เด็ดขาด จนกระทั่งเราเติมข้อสุดท้ายของ section นั้นเสร็จ จะมีเวลาสั้นๆให้ตรวจคำตอบที่เขียนไป...ตอนนี้ค่อยกลับมาดูไอ่ข้อที่ไม่แน่ใจว่ามันน่าจะสะกดยังไง หรือถ้าไม่ได้เขียนอะไรไว้เลยก็เดาค่ะ แต่ต้องเดาแบบคนฉลาดนะคะ เดาตามท้องเรื่อง (ตอบถูกได้คะแนนฟลุ๊คแทบทุกทีเลยค่ะ ^ ^)
ที่นี้ section 4มักจะให้เราอ่านโจทย์ 10 ข้อรวดเดียว และมักเป็น choice ด้วย คือ เราต้องอ่านทุก choice อีก ไม่มีทางอ่านทันแน่ ก็ต้องอาศัยเคล็ดลับเล็กน้อย...คือ ตอนทำ section 3 พอเราเติมข้อสุดท้ายของ section 3 เสร็จ เทปจะยังพูดไปเรื่อยๆเพื่อจะปิดเรื่อง ก็ไม่ต้องไปฟังมันแล้ว เพราะเราได้คำตอบครบแล้วนี่ฟังอีกทำไม อ่านโจทย์ section 4 รอเลยค่ะ อาจจะได้ 3-4 ข้อด้วยซ้ำ อ่านไปมือก็วงๆๆ ขีดๆๆ key words ไปเลย เอาแบบชนิดที่ว่า ถ้าเทปพูด หูเราฟัง สายตาเหลือบไปมองแค่ key word ก็เป็นตัวแทนของทั้งประโยคได้ (พอเข้าใจใช่ไหมคะ)
พอจบ 4 sections แล้ว เค้าจะมีเวลาให้เราเอาคำตอบมาเขียนในกระดาษคำตอบใช่ไหมคะ ตอนนี้ก็เขียนด้วยตัวบรรจง ไม่ต้องรีบ เขียนให้อ่านได้ง่าย จะได้ไม่เสียคะแนน แล้วตัวสะกดก็ต้องเป๊ะๆ ด้วย ตัว "s" เนี่ยสำคัญ พหูพจน์ เอกพจน์ ถ้าพลาดก็ 0 เลยนะคะ ระวังดีๆ
Tips : section แรก มักจะเป็นการสมัครอะไรสักอย่าง ส่วนมากจะให้เติม..ชื่อ, นามสกุล, ที่อยู่..บ้านเลขที่ ชื่อถนน รหัสไปรษณีย์ , เบอร์โทร, วันหมดเขต, ตัวเลข (จำนวนคน, อายุ) เป็นต้น
ตรงส่วนที่เป็น choice มักหลอกโดยพูด คำที่มีใน choice ที่ไม่ใช่คำตอบออกมา...จึงควร อ่านโจทย์ให้เข้าใจ จำ choice ให้ได้ ตัดข้อที่ไม่ใช่ออก พอมันลวงปุ๊บจะรู้เลย อย่าไปเลือกคำตอบเพียงเพราะเทปมันพูดคำใน choice นั้นออกมานะคะ ต้องดูความหมายให้ถูกต้องด้วย
กรณีเป็น map labelling ให้วงจุด land mark ไว้เลย และสำคัญมากที่จะฟัง starting point จับจุดเริ่มต้นให้ได้ แล้ว follow ไปตามท้องเรื่องจะไม่หลุด
ควรฝึก listening มากๆ ฟังภาษาอังกฤษทุกวัน จะให้ดีต้องฟังข่าว เพราะผู้ประกาศข่าวจะพูดถูก grammar และมีจังหวะที่ถูกต้องกว่าดูหนังดูละคร
แหม...แค่ listening ก็ ยาวมากเลย ถ้าพอจะเป็นประโยชน์บ้างก็ขอ feedback ด้วยนะคะ จะได้มาต่อ part ต่อๆไปค่ะ
จากคุณ |
:
vicky
|
เขียนเมื่อ |
:
12 ก.ค. 53 16:49:30
A:123.243.76.130 X: TicketID:233730
|
|
|
|
|