PANTIP.COM : H9495866 ถ้าธุรกิจอสังหาเจอฟองสบู่แตกนี่ จะเกิดอะไรขึ้นคะ? (ไม่ผิดห้องค่ะ) [ชีวิตในต่างแดน]

ความคิดเห็นที่ 1

ไม่ได้เห็นข่าวนะคะ สงสัยจะเป็นข่าวที่เมลเบอร์น บ้านแถวนั้นราคาขึ้นตลอดเลยนะ รู้สึกเมลเบอร์นราคาบ้านจะขึ้นมามากกว่ารัฐอื่นด้วย
ตอนนี้ราคาบ้านก็ยังขึ้นอยู่ค่ะ และคาดการณ์ว่าปีนี้ราคาบ้านจะขึ้นอยู่ที่ 10-22% เลยทีเดียว
ถามว่าถ้าเกิดเหตุฟองสบู่แตก ราคาบ้านจะเป็นอย่างไร มันก็ต้องตกสินะคิดว่า คือมันไม่มีราคา คนที่เดือนร้อน ก็คือคนที่มีบ้านและแบงค์และสถาบ้นการเงินต่างๆที่ปล่อยเงินกู้ เพราะ The end of the day บ้านก็คือ Security

มองจากคนที่มีบ้าน แล้วราคาตก ความเสียหายก็คือ เราจะไปรีไฟแนนซ์ใหม่ก็ไม่ได้ จะขายก็ขาดทุน ก็ต้องผ่อนไปเรื่อยๆ แล้วดอกเบี้ยก็ขึ้นเอาขึ้นเอา(หวังว่าอังคารแรกของเดือนหน้า Reserve Bank จะไม่ขึ้นดอกเบี้ยอีกนะ) ถ้าผ่อนไม่ไหว ปล่อยให้แบงค์ยึด แล้วเค้า Reposession ไปขายขาดทุนขึ้นมา เค้าก็จะมาไล่บี้เอากับเจ้าของบ้าน ถ้ามันมี Equity หน่อยคงจะเท่าทุน ใครที่พอจะสู้ไหว ก็คงต้องผ่อนไปเรื่อยๆ รอจนกว่าเศรษฐกิจมันจะดีขึ้น แล้วค่อนว่ากันใหม่ (เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นที่อเมริกานีค่ะ คิดว่าถ้าเราไม่มี Resession และเศรษฐกิจออสยังแข็งอยู่ เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดนะ)

มองจากมุมของแบงค์และสถาบันการเงินต่างๆนะคะ ถ้าราคาบ้านตก ในเคสที่แบงค์ให้ลูกค้ากู้มากเกินไป(high LVR) แบงค์ก็คงจะมีปัญหาแหละ เพราะถ้าเอาไปขายมันก็ขาดทุน มิหนำซ้ำยังมี Lender Mortgage Insurance เข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็มีปัญหาติดต่อกันไปเป็นทอดๆแหละค่ะ

ต่อไปนี้คือความเห็นส่วนตัวนะคะ คือคิดว่า ตลาดบ้านที่ออสเตรเลียยังไปได้ดีค่ะ Demand กับ Supply มันไม่สมดุลย์กัน คือ ความต้องการมันมีมากกว่า แต่ผลิดได้น้อยกว่า บ้านที่ออสเตรเลียไม่พอกับความต้องการของคนซื้อนะคะ แม้แต่คนเช่าเอง บางที่ยังต้องแย่งกันเหมือนแย่งทองเพื่อที่จะหาบ้านเช่า รัฐบาลเค้าจำกัดการปลูกบ้านค่ะ (แต่ตอนนี้เพิ่มการก่อสร้างมากขึ้น) เรื่อง Land Release เค้าก็ไม่ค่อยมี เก็บไว้เป็นป่าสงวนหรือ เป็นอะไรซะหมด จะไปสร้างบ้านก็ไม่ได้ ตอนนี้รัฐบาลก็มีการยืดหยุ่นในตรงจุดนี้ด้วย

พูดในส่วนของการกู้ยืมเงินบ้างนะคะ หลังวันที่ 1 July 2010 เป็นต้นไป การกู้ยืมเงินจะยุ่งยากมากยิ่งขึ้นค่ะ ไม่เพียงแต่แบงค์จะปล่อยยาก แต่รวมถึงลูกค้าที่จะมีสิทธิได้เงินกู้ด้วย รัฐบาลได้ออกกฎการกู้ยืมเงินมาใหม่ ซื่งกฎนี้จะทำให้ทั้ง Banks , Nonbanks หรือ แม้กระทั่ง Brokers ที่ทำเรื่องนี้อยู่ มีอุปสรรคเพิ่มมากขึ้น คนที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเอง ก็จะทำการกู้ได้มากยิ่งขึ้น(พูดง่ายๆค่ะ ถ้าเงินไม่เยอะ งานไม่มั่นคง และทำมานาน ก็จะกู้ยากมากถึงมากที่สุด มันไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว) แบงค์ก็จะสกรีนคนมากขึ้น พูดง่ายๆคือ อะไรเกี่ยวกับ Lending Policy มันเปลี่ยนไปเยอะ จากที่มันได้เปลี่ยนไปพอสมควรจากเหตุการณ์ GFC (Global Financial Crisis)
ไม่รู้ว่าการที่รัฐบาลออกกฎนี้เพิ่มมาอีกนี่ มันจะช่วยทำให้ตลาดบ้านรอดจากฟองสบู่แตกหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ

พูดก็พูด สงสัยเราต้องไปทำมาหากินอย่างอื่นกันแล้ว บางทีก็อดกลัวไม่ได้ว่าฟองสบู่มันจะแตกจริงๆ ใจหนึ่งก็อยากจะขายบ้านทิ้งให้หมดๆ จะได้ไม่มีหนี้สิน แต่คิดอีกทีขายก็ยังไม่ได้กำไรมาก คงจะรอไปสักปีสองปี ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คงจะขายไปซะ ซื้อมาก็หลายปีแล้วผ่อนแบงค์หลังอาน คนเช่าก็เปลี่ยนมาเรื่อยๆ ดอกเบี้ยก็ขึ้นเอาขึ้นเอา ทำไปทำมาแล้วมันเหนื่อยค่ะ เหนื่อยกายเหนื่อยใจ แต่ก็คิดว่าการซื้อบ้านจะเป็นหนทางเดียว ที่คิดว่ามันจะทำให้เรามีเงินบ้าง แต่ทำไปทำมามันหมดแรงหน่ะ
ถึงอย่างไรดิฉันก็เชื่อว่า มันไม่น่าจะมีฟองสบู่แตกภายในสองสามปีนี้นะคะ ไม่แน่อาจจะอีกห้าปีสิบปี มันคงจะมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

.........................

เข้ามาเพิ่มอีกนิด ถ้าเกิดเหตุการ์ฟองสบู่แตก นี่ไม่เฉพาะเรื่องอสังหาริมทรัพย์นะคะ ที่ได้ผลกระทบ มันก็จะกระทบกันไปเป็นทอด พูดไปมันก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อเมริกาดีๆนี่เอง ที่อเมริกามีปัญหาเศรษฐกิจอยู่ทุกวันนี้ก็เริ่มจากเรื่องบ้านนี่แหละ เรื่อง Subprime Market งัย อันนี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้อเมริกามีปัญหา แล้วมันก็เกียวกันมาเป็นทอด ก็เดือนร้อนกันไปทุกหัวระแหง
แก้ไขเมื่อ 21 ก.ค. 53 18:11:35

จากคุณ : PoomPim..TMB

เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 53 18:04:19