PANTIP.COM : H9664262 โท กฏหมาย ที่อังกฤษหรือusดีครับ ค่าเรียน และอื่นๆ [ศึกษาต่อต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 4

อันนี้เล่าจากประสบการณ์จริงเลย เพราะเราไปเรียนหนังสือในประเทศอังกฤษตั้งแต่ระดับมัธยมต้น แต่เรียนวิชาอื่นไม่ใช่กฎหมายนะ แล้วเราตกค้างอยู่ในประเทศอังกฤษเป็นเวลา 20 ปี พอกลับไปเมืองไทยภาษาอังกฤษเราฟัง พูด อ่าน เขียนได้ดีเป็นธรรมชาติ

แต่พอไปทำงานเป็นนักแปลในบริษัทแปลเอกสารเราเจอเอกสารกฎหมายภาษาอังกฤษยากๆที่ต้องแปล และตกใจในความซับซ้อนของมันมากๆ ในระยะ 2-3 ปีแรก เราตีความมันผิดแล้วแปลมันผิดบานเบอะเลย...พอเข้าปีที่ 5 เราเริ่มตีความมันถูกหมด เพราะสะสมจำ technical terms ได้มากมาย แต่เราก็ยังแปลมันเป็นไทยไม่ได้สวยงามอยู่ดี (แปลออกมาแล้วภาษาไทยสับสนอ่านเข้าใจยากมากๆ) เพราะโครงสร้างภาษาอังกฤษมันกลับหัวกลับหางกับภาษาไทย และภาษาอังกฤษมันเจ๋งจริงๆ เขียนได้สั้นๆกระชับกินความลึกมากๆ ส่วนที่ยากของภาษาอังกฤษที่ใช้ในวิชากฎหมายก็คือ มันจะมี interrupting phrases แทรกอยู่ทุกแห่ง มันเป็น clauses ที่เป็น modifiers ซึ่งโครงสร้างในภาษาอังกฤษมัน "ยืดหยุ่นกว่าภาษาไทยมากๆ" เพราะมันเสีียบทางซ้าย ทางขวา หรือทะลุตรงกลางๆของคำศัพท์หรือ clause ที่มันขยายความได้อย่างพลิกแพลงยึดหยุ่นมากๆ ในขณะที่ modifiers พวกนี้ในภาษาไทย จะวางได้แค่ไปทางขวาของคำศัพท์หรือของ clause ที่มันขยาย ได้เท่านั้น ดังนั้นในกระบวนการแปล นักแปลจะเกิดอาการ "สะดุดตอ" อย่างแรง เราต้องใช้เวลาศึกษาอีก ค่อนข้างหลายปีกว่าเราจะแก้ปัญหา "สะดุดตอ" ได้ แล้วแปลมันออกมาเป็นภาษาไทยได้อย่างสวยงาม นั่นก็คือเราต้องเรียนวิธี

"ชำแหละโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษใหม่หมด โดยการหัดรื้อประโยคภาษาอังกฤษที่ซับซ้อนแต่กระชับ ออกมาเป็นประโยคสั้นๆแบบปัญญาอ่อน ให้ได้ในหลายๆรูปแบบ โดยให้ประโยคย่อยๆ เหล่านั้น สื่อความหมายเหมือนประโยคเดิมที่ซับซ้อนแต่กระชับทุกประการ มันจะได้แปลเป็นไทยได้ง่าย แต่ภาษาไทยจะออกมายืดเยื้อ ไม่กระชับเหมือนภาษาอังกฤษ ถ้าต้องการจะเก็บใจความให้ครบถ้วน"

ทำให้ตอนนี้เราเขียนภาษาอังกฤษเป็นภาษากฎหมายได้ดีมากๆ แต่กว่าเราจะเรียนการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากฎหมายได้เชี่ยวชาญระดับนั้นอายุเราก็ปาเข้าไปเกิน 50 แล้วหละ...!!!...แต่ตอนนี้อายุมากกว่านั้นอีกตั้งหลายเท่าแต่ร่างกายและหัวใจยังเป็นเด็กวัยรุ่นอยู่อิๆๆ...

ที่ต้องใช้เวลาเรียนภาษาอังกฤษระดับสูงๆแบบมืออาชีพนานขนาดนั้นมันก็เพราะว่าเรามีแต่พรแสวง แต่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษาเอาเสียเลย ก็เลยต้องออกแรงเยอะหน่อย ถึงแม้ว่าเราจะเรียนภาษาอังกฤษในประเทศอังกฤษมาตั้งแต่ระดับมัธยมต้นก็ตามแต่ก็ยังลำบากกับภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากฎหมาย ถ้าคนที่อ่อนอังกฤษมาตั้งแต่ประถม มัธยม แล้วเลือกเรียนปริญญาตรีกฎหมายในเมืองไทยจนจบ (เพื่อหนีวิชาภาษาอังกฤษ) แล้วหวังจะฟิตภาษาอังกฤษ (แค่ 2-3ปี) เพื่อเรียนปริญญาโท และปริญญาเอกวิชากฎหมายในต่างแดนเป็นภาษาอังกฤษ เ้ราคาดว่าคงต้องออกแรงหนักมาถึงขั้นแทบกระอักเลือด และถ้าไม่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษาที่เรียนรู้ภาษาได้รวดเร็วจริงๆ จบปริญญาโทมา ภาษาอังกฤษก็ยังห่างไกลท่านหม่อมเสนีย์ ปราโมช อีกตั้งหลายช่วงตัว...แบบมองไม่เห็นฝุ่นเลยหละ...เพราะท่านหม่อมแกเขียนภาษาอังกฤษได้ระดับเทียบเท่าฝรั่งเจ้าของภาษาที่มีการศึกษาสูงๆและเป็นนักกฎหมายมืออาชีพจริงๆ...

แต่ถ้าใครจบปริญญาโทกฏหมายมาแล้วเขียนภาษาอังกฤษกระท่อนกระแทน (แบบอาจารย์มหาล้ัยคนที่เรากล่าวถึงนะ) มันจะำทำให้ทำงานด้านกฎหมายได้แค่ในเมืองไทยเท่านั้น (ในอาชีพอย่างที่ระบุมาแล้ว) แต่จะโกอินเตอร์คงต้องรอจนอายุมากๆ อาจเกิน 50 ได้ง่ายๆ (โดยต้องเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักๆทุกๆวัน) ถึงจะไหว

เพราะคนที่ไม่เคยสัมผัสกับการต้องพยายามใช้งานภาษาอังกฤษระดับสูงๆแบบมืออาชีพจริงๆ จะไม่รู้ว่า มันไม่ได้เรียนได้ง่ายๆ เหมือนเรียนไปสอบ TOEFL อย่างที่คิด...!!!
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 53 15:14:17
แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 53 13:27:22

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 8 ก.ย. 53 13:23:41

ความคิดเห็นที่ 9

จขกทคะ เราว่าคุณ Fortuneteller มาแชร์ประสบการณ์เฉยๆ คงไม่ได้ว่าอะไรคุณนาา อย่าคิดมากเลยเนอะ

กรณีที่คุณ Fortuneteller ก็ถูก แต่คงหมายถึงคงแบบการเรียนไปเพื่อเป็นทนายที่ต่างประเทศ อย่างนี้ค่อนข้างโหดหิน จริงๆค่ะ ขนาดฝรั่งยังยากเลยนะคะ แต่ที่คุณ จขกทถาม น่าจะหมายถึงการเรียนโทเพื่อเพิ่มคุณวุติและกลับมาเป็นทนายในไทยใช่ไหมคะ

แชร์ๆประสบการณ์กันนะคะ

ตอนนี้เรากำลังเรียนเอกด้านกฎหมายค่ะ มาเรียนตั้งแต่ จบ ม ปลายต่อ A level (เตรียมมหาลัย) แล้วก็เรียนทั้งตรีโท ที่นี่เลย แต่แอบมีพื้นมานิดนึงคือเคยไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตอนอายุ 15 16 ปีนึง

อยากบอกว่าถึงภาษาเราน่าจะถูกจัดว่าดีในระดับนึง ทุกวันนี้เวลาเราเขียนงานยังต้องตรวจภาษาเลยค่ะ เขียนแล้วก็ต้องอ่านซ้ำ บางทีต้องอ่านแบบหลังมาหน้า หรือถ้าสำคัญๆก็ต้องให้เจ้าของภาษาดูให้ เวลาส่งให้ supervisor ก็ยังมีแก้ๆภาษาบ้าง เราไม่เคยคิดว่าภาษาเราดีแล้วจะปล่อยให้งานเขียนเราส่งไปโดยไม่อ่านซ้ำเลยนะ คะ (ถึงจะเป็นแค่ email หรืออะไรก็ตาม) แต่เราเองก็เห็นเด็กฝรั่งต้องแก้งานเหมือนกัน ของบางคนก็ได้แก้ภาษาแดงเถือกกว่าเราอีก เราเองบางทีว่างๆ (ช่วงเริ่มเรียนเอกใหม่ๆ) ก็ช่วยเพื่อนต่างชาติตรวจงานกันไปตรวจงานกันมาบ้างค่ะ

Point ก็คือ ไม่มีใคร Perfect ค่ะ

เราก็ต้องพยายามตามศักยภาพของเราเนอะ เรื่องภาษากับการเรียนโท ก็อย่าไปท้อค่ะ ถ้าผ่าน TOEFL IELTS ที่เค้าต้องการมาแล้ว ก็น่าจะเรียนโทได้อยู่ แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ดังนั้นก็ต้องขยันมากกว่าเจ้าของภาษาเค้าหน่อย เค้าอาจจะอ่านรอบสองรองเข้าใจแล้ว แต่เราอาจจะต้องอ่านหลายๆรอบ

วิธีที่เราทำมาตลอดตอนเราเรียนตรีและโทคือ เวลาเราอ่านไป เราจะ note พิมพ์ไปด้วย พออ่านไป section นึงก็สรุปความเข้าใจเอาค่ะ ถ้าไม่แน่ใจว่าเราสรุปถูกไหมก็ลองเช็คกับอาจารย์ดู (แต่เวลาเรียนที่นี่ต้องกล้าถามอาจารย์นะคะ อย่าปล่อยความสงสัยเอาไว้ อย่าเขินอาย เวลาให้เราถามน่ะ นาทีทอง เราพยายามข่มความเป็นเด็กไทยหงิมๆเอาไว้ แล้วคิดอยู่เสมอว่าถามได้ตอบได้เข้าใจ คุ้มมม)

ถึงวิธีอ่านไป note ไป นี้จะใช้เวลานานกว่าเด็กฝรั่งอ่านประมาณเท่าตัว แต่พอถึงเวลาสอบจะสบายค่ะ เพราะเรามีโน้ตต่างๆไว้แล้ว ฮ่าๆ แถมที่อังกฤษให้เอาโน้ตเข้าห้องสอบได้ (จริงๆนะคะ มีปัญญาขนได้ก็ขนไป เพราะเค้าว่าความเข้าใจในการตีความต่างหากที่สำคัญ เราเคยเห็นคนเอาเอกสารเข้าไปสองกระเป๋าเดินทางมาแล้ว แต่ไม่เห็นได้เปิดใช้เลย ส่วนเรามี article + book notes ไว้แล้วเอาเข้าไปแฟ้มเดียวเล็กๆบางๆ สบายค่ะ พร้อมใช้งาน)

การสอบที่นี่เป็น essay ค่ะ เขียนอย่างเดียวค่ะ ก็ต้องฝึกทักษะการเขียนไว้เนอะ ของอย่างนี้เราก็ฝึกได้ค่ะ จริงอยู่เราก็คงไม่เก่งเท่าเจ้าของภาษา แต่ถ้าเราขยันทำ-ข้อสอบเก่าๆ ลองทำดู ถ้าไม่ค่อยมีเวลาก็เดือนละ essay ต่อวิชา ก็ได้ (ที่นี่ วิชาไม่เยอะค่ะ 4 วิชา 5 อย่างมาก) แล้วลองแก้อ่านดูให้พอใจ มันก็จะช่วยพัฒนาให้เราเขียนสื่อสารรู้เรื่องขึ้นได้ค่ะ ส่วน coursework ถ้าเขียนแล้วก็ลองตรวจแก้ภาษาดู วิธีตรวจแก้ภาษา เราเคยเขียนไว้ใน blog (เมื่อนานแสนนานมาแล้ว) แล้วถ้าเป็นไปได้ ให้เจ้าของภาษาดูอีกทีว่าอ่านรู้เรื่องนะ (เจ้าของภาษาไม่ต้องเรียนกฎหมายก็ได้ค่ะ ยิ่งดี เพราะถ้าเค้าอ่านรู้เรื่อง อาจารย์ก็ต้องอ่านรู้เรื่องเเน่นอน)

ส่วนเรื่องภาษาเวลาสอบ ปกติมันก็มีที่เค้าจะหักคะเเนนได้ แต่มันก็จะมี max ไว้ค่ะ ส่วนใหญ่ก็ 15-20 % แล้วแต่มหาลัย แต่ถ้าภาษาไม่ดีเลย เขียนไม่รู้เรื่องเลยนี่ คนตรวจก็ไม่รู้จะตรวจอะไรยังไง จะให้คะแนนตรงไหนน่ะค่ะ อย่างน้อยก็ต้องตอบโจทย์ได้ สื่อสารได้

โทที่อังกฤษส่วนใหญ่จะหลักสูตร 1 ปีค่ะ ถ้าจะเรียนเพื่อเอาไปสอบผู้พิพากษาสนามจิ๋ว (เล็กหรือจิ๋วนะคะ ที่แบบเอาเรียนนอกสองปี) ต้องเรียน 2 course คะ หรือไม่ก็โทเอก (แต่ถ้าจบเอกแล้วเป็นอาจารย์เหอะ อย่าไปเป็นผู้พิพากษาเลย overqualified เปล่าๆ)

ค่าเทอมโทเราไม่แน่ใจ รู้แต่เอกแฮะ เราว่าประมาณ 12000-13000 ปอนด์นะคะ ลองเช็คเอาอีกทีเราไม่ชัวร์ บวกค่ากินอยู่ต่างหาก (แล้วแต่เมือง อย่างน้อยให้อยู่อย่างไม่ขัดสนใน London ก็ ประมาณ เดือนละ พันปอนด์ ต่างจังหวัด 850+)

ทุนที่มหาลัยให้ส่วนใหญ่มันจะเป็นของป เอกอ่ะค่ะ หรือบางทีก็โทบวกเอก เพราะคอส ปโทนี่เป็นคอร์สสั้นๆ ปีเดียว มหาลัยเอาไว้หาตังค์อยู่แล้ว ยังไงลองดูทางเมืองไทยไว้ไหมคะ พวกกฤษฎีกาก็มีทุนนะคะ หรือจะเป็นของกพ แต่ส่วนใหญ่ที่เราเห็นมาก็ทุนส่วนตัวกันค่ะ

แต่เราว่าถ้ามีโอกาสมาได้ก็มาเหอะค่ะ เราว่าป โทต่างประเทศมันพัฒนาระบบความคิด ถึงจะมาปีเดียวก็เหอะ มันจะทำให้มุมมองทางงานด้านกฎหมายกว้างขึ้น รู้จักคิดวิเคราะห์ในตรรกะใหม่ๆ (ไม่ได้ตามตัวอักษรอย่างเดียว แต่ที่นี่เค้จะเน้นเรื่องการตีความตามเจตนารมย์ของกฎหมายมากๆด้วย ในกรณีที่เลี่ยงบาลีไม่ได้ จะได้รู้ช่องโหว่ของกฎหมายและพยายามคิดวิธีปรับปรุงด้วยค่ะ) และอีกอย่างคือจะฝึกให้เราขวนขวายหาความรู้มากขึ้น ซึ่งสิ่งนี้เหล่านี้เราว่าจำเป็นสำหรับการพัฒนาอาชีพ ไม่ว่าคุณจะจบไปทำอาีพไหนในสาขากฎหมาย(หรือแม้แต่จะทำอาชีพอื่นนอกสาขาก็ ตาม)

ขอให้โชคดีค่ะ
แก้ไขเมื่อ 15 ก.ย. 53 15:32:53

จากคุณ : MissDenning (MissDenning)

เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 53 15:28:14