ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณที่ จขกท เอาข่าวนี้มาให้อ่านกัน แต่สงสัยว่า ทำไม จขกท จึงรู้ว่า คลีนิคทำแท้งเถื่อนที่มีอยู่มากมายในเมืองไทย แล้วก็ถามว่า ได้เตรียมความพร้อมในการช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้วหรือ ?? ที่เราเคยไปคลินิคธรรมดาในไทยและเมกา เราก็ไม่เคยเห็น แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาไม่มีการเตรียมพร้อมกัน เราไม่เศร้าแทนตัวหมอ เพราะแก..ยังโกหกเพื่อปกปิดข้อผิดพลาดของตน... แกมา... สหรัฐประมาณปี 2513 และได้รับใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ในปี 2517 ก็ไม่รู้ว่า แกจบแพทย์ที่ไทย หรือ ที่เมกา ปีนี้ ๒๔๕๓ แกก็เป็นหมอในเมกามาอย่างต่ำ ๓๖ ปี อายุ ก็คง ไม่ต่ำกว่า ๖๐ แล้วนะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 05:57:46

ความคิดเห็นที่ 2 ที่เมืองไทยคลีนิกทำเเท้งไม่มีการโฆษณา คงจะรู้จากปากต่อปาก ขืนทำเปิดเผย คุกซิคะ เพราะผิดกฏหมาย เคยอ่านจากข่าวบ่อยๆว่าคลีนิคทำเเท้งเถื่อนถูกเจาหน้าที่จับกุมเจ้าของกิจการ เเต่ที่อเมกาเห็นรับบริการทำเเท้งในสมุดหน้าเหลืองเเบบในภาพ เศร้าแทนคุณหมอและครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกัน จากคุณ : Quel เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 06:22:00

ความคิดเห็นที่ 3 ตอบคุณธนิตา ที่ว่าคลีนิคทำแท้งเถื่อนที่มีอยู่ในเมืองไทยนั้น ดิฉันไม่มีข้อมูลทางสถิติที่จะตอบคุณได้ ดิฉันเองก็ไม่เคยเข้าไปในสถานที่อย่างนั้น แต่เห็นได้จากสภาพทางสังคมและจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ คำถามที่ตั้งขึ้นมานั้นก็แค่ถามคำถามว่าได้มีการเตรียมพร้อมในการช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วยหรือไม่ เพราะไม่อยากเห็นชีวิตคนสูญสิ้นไปอย่างนี้ ถ้ามีการเตรียมพร้อมอย่างน้อยยังช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ ที่ว่าเราเศร้าแทนคุณหมอเพราะหมอเองเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ยิ่งโดยเฉพาะหมอที่มีประสบการณ์การทำงานสูง "สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" ขอออกตัวก่อนนะคะว่าตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ raise awareness เท่านั้น ไม่ได้เจาะจงที่จะกล่าวหาใครหรือบุคคลใด เพราะฉะนั้นอย่าเสียเวลามา drama เลย แค่อยากจะเป็นกระบอกเสียงๆหนึ่งของสังคมเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 53 06:37:28 จากคุณ : SF Girl เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 06:30:54

ความคิดเห็นที่ 5   ทุกวิชาชีพ อาจพลาดกันได้ ไม่ว่าไทยหรือชาติไหน จะเก็บไว้เป็นบทเรียนครับ จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 08:29:00

ความคิดเห็นที่ 6 ปัจจุบันหมออายุ๖๗ปี ได้ใบประกอบโรคศิลป์เมือปี๑๙๗๔ มาเมกาตอนอายุแค่๑๗ปีต้องจบหมอจากที่นี่ จากคุณ : joe (aircraftdesigner) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 08:37:09

ความคิดเห็นที่ 7 ดิฉันสนับสนุนการทำแท้งเสรี ส่วนเรื่องนี้ คงเลิ่นเล่อด้วย จากคุณ : mrs.night owl เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 09:04:23

ความคิดเห็นที่ 8 คห 6 แพทย์ท่านนี้จบแพทย์ศาสตร์ที่ไทยครับ ขอไม่เอ่ยนามมหาวิทยาลัย จากคุณ : Scientist เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 09:06:11

ความคิดเห็นที่ 9 ใบประกอบโรคศิลป์MA รีซาย ไปแล้ว จากคุณ : joe (aircraftdesigner) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 09:11:15

ความคิดเห็นที่ 10 สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามเหตุที่ได้สร้างไว้ จากคุณ : mona4200 เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 10:19:16

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณคะที่นำมาให้อ่าน การทำแท้งเป็นเรื่อง Dilemma  อยากให้มองเป็นอุทาหรณ์ว่า ไม่ว่าการให้ทำแท้งเสรีจะเหมาะ หรือไม่เหมาะด้านจริยธรรมหรือสังคม แต่ด้านการแพทย์ถือว่า "เพิ่มความเสี่่ยง" ต่อให้อยู่ใน safe hand หรือทำในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือครบ ก็ไม่มีอะไร 100% คิดดูว่า ขนาดคลอดตามธรรมชาติก็มีความเสี่ยงอยู่แล้ว การเร่งคลอด ด้วยเครื่องมือ ยา ย่อมเพิ่มความเสี่ยงขึ้น ดีที่สุดก็ป้องกัน คนเราพลาดได้ก็จริง บางประเทศหาที่ทำแห้งง่ายๆ ก็จริง แต่ระลึกถึงความปลอดภัยของตัวเองด้วยคะ ขอร่วมแสดงความเห็นที่ จขกท.ตั้งไว้ 2 ข้อคือ 1. ถ้าเกิดขึ้นในไทย ( คงเกิดขึ้นในไทยได้อย่างเดียวแล้วละคะ หลังสิ้นสุดสงครามเวียดนาม ปี 1978 เป็นต้นมา หมอต่างประเทศต้องสอบ USMLE และสารพัดจนยากสสส์ จะได้ทำหัตถการใดๆ ในอเมริกา ) ก็คงพิจารณาเกณฑ์เดียวกัน กรณีตัดสินลงโทษด้วยการระงับใบประกอบฯ จากการทำหัตถการในคลินิกจนผู้ป่วยเสียชีวิต ก็มีมาแล้วคะ   เรื่องราวระหว่าง หมอ กับคนไข้ ที่เป็นจากความประมาทจริงๆ ก็มีจำนวนหนึ่ง แต่เกิดจากการสื่อสารก็มากคะ ต้องย้ำอีกทีว่า "การแพทย์ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่สามารถรับประกันได้เหมือนขายแอร์" 2. ไม่ทราบว่าคลินิกทำแท้งเถื่อนจะมีหรือไม่ แต่ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ ไม่แน่ใจว่าหากฟ้องร้องจะมีผลอย่างไร  เหมือนกรณีซื้อของเถื่อนแล้วจะ claim ได้หรือเปล่าไม่แน่ใจคะ หาคนมาตอบอีกที จากคุณ : gpatama (gpatama) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 11:05:38

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ จขกท พอเราแย้งเข้ามา ก็หาว่าเรา Drama เราไม่รู้ว่า Drama ของคุณหมายความว่าอย่างไร แต่ถ้าหมายความว่า เขียนเป็นบทลคร ที่ไม่ใช่ความจริง เราก็ว่า คุณเองนั่นแหละ Drama เพราะในเมื่อคุณเองก็ยอมรับแล้วว่า ไม่มีข้อมูลทางสถิติที่จะตอบ แล้วมาอ้างว่า ..แต่เห็นได้จากสภาพทางสังคม และจากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์....แสดงว่า มันก็เป็นความคิดเห็นของคุณเองเท่านั้น ที่อาจจะผิดได้ คุณจึงไปว่ามีมากมาย แล้วก็เอาเรื่องมากมายนี้มาเป็นตัวตั้งถามต่อว่า ได้เตรียมความพร้อมในการช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้ว หรือไม่ ซึ่งพวกเราบุคคลภายนอก ก็ไม่รู้ว่า เขามีกันหรือเปล่า หรือเขามีกฎเกณท์กันอย่างไร จริงไหมล่ะ พอแย้งเข้ามา คุณก็อ้างว่า ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อ raise awareness เท่านั้น เราก็ไม่รู้ว่า คุณ raise awareness เรื่องอะไรกัน เรื่องคนเจ็บป่วยไข้ตาย อย่างไม่น่าตาย เราว่าต่อให้ในโรงพยาบาลที่มีพร้อมทุกอย่าง มันก็เกิดขี้นได้ แต่รายนี้หมอเขาไม่มีการเตรียมตามกฏดังข่าว แถมยังไป ..ยังโกหกเพื่อปกปิดข้อผิดพลาดของตน... เราก็ว่า สมควรแล้วนะ ที่จะถูกศาลลงโทษแบบนั้นนะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 11:26:03

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณทุกท่านที่ตอบ เราเองก็เห็นด้วยกับคุณ gpatama ว่าสถานการณ์อย่างนี้ควรอยู่ใน safe hand หรือในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือครบถ้วนเพราะโดยปกติความเสี่ยงในการคลอดหรือตกเลือดก็สูงอยู่แล้ว ส่วนคุณธนิตา ขอไม่ตอบต่อนะค่ะ เพราะไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ใด จากคุณ : SF Girl เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 11:48:23

ความคิดเห็นที่ 14 ลองเอาชื่อ ระพินทร์ โอสถานนท์ ไปถามอากู๋ มีข่าวเรื่องนี้ในเมืองไทย ขึ้นหลายแห่ง แต่ที่เห็นแตกต่างกับฉบับอื่น คือ คมชัดลึก บอกว่า ...โดยนพ.ระพินทร์สารภาพว่า ทำให้นางสมิธเสียชีวิต ศาลจึงตัดสินจำคุกเป็นเวลา 30 เดือน แต่ นพ.ระพินทร์ถูกกักขังระหว่างรอการพิจารณาคดีแล้ว 24 เดือน จึงเหลือโทษจำคุกเพียง 6 เดือน.. เลยไม่รู้ว่า แกถูกติดคุกทั้งหมดจริงๆเทาไร เพราะข่าวต่างจากสื่ออื่น แถม คมชัดลึก ตั้งหัวเรื่องว่า... ศาลสหรัฐตัดสินจำคุกหมอไทยตระกูลดัง6เดือน... http://www.komchadluek.net/detail/20100915/73364/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%876%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99.html จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 12:33:56

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้ามองด้านความปลอดภัย เราว่าก็ต้องทำให้มันถูกกฏหมายน่าจะปลอดภัยกว่าแอบ ๆ ทำ ส่วนคดีของคุณหมอ ค่อนข้างแน่ใจว่า ถ้าเวลาผ่านไปซักพัก คนที่สนใจจะหาเอกสารอ่านได้ เพราะทางบอร์ดแพทย์ในรัฐต่าง ๆ มักจะมีข้อมูลเรื่องนี้เปิดเผย เพราะถือเป็น public record เพียงแต่ต้องให้เวลาทางเว็บเขาอัพเดทหน่อย แล้วมันก็ค่อนข้างยุติธรรมกับผู้บริโภค/คนไข้ด้วย ที่จะสามารถพิจารณาประวัติของหมอที่ตัวเอง(จะ) ไปหา หมอคนไหนจีบคนไข้ แต๊ะอั๋ง ฯลฯ ส่วนด้านจริยธรรม ถือเป็นการฆ่าคนหรือไม่ ฯลฯ ไม่ออกความเห็นดีกว่า จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 13:42:56

ความคิดเห็นที่ 16   เสียใจด้วย คิดว่าเมืองไทยยังน่าจะต้อนรับ จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 14:00:31 A:71.114.75.107 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 17 โอ้ เรื่องใหญ่โตจริงๆ เห้ออออ จากคุณ : radiergummi เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 15:36:22

ความคิดเห็นที่ 18 คุณ จขกท คุณจะขอไม่ตอบต่อ ก็เป็นสิทธิของคุณ เราก็สงวนสิทธิของเรา ถ้าจะว่าเรา ก็เตรียมข้อมูลไว้สนับสนุนก่อน ไม่ใช่ว่า แค่อ่านข่าวแบบนี้ ก็มาสรุปเอาเองอย่างโน้นอย่างนี้ เรื่องจะเป็นประโยชน์อย่างไรหรือไม่ ก็แล้วแต่จะมองกันนะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 16:05:55

ความคิดเห็นที่ 19 อ้อ แล้วที่ จขกท มาบอกอีกใน คคห ๑๓ ว่า..เราเองก็เห็นด้วยกับคุณ gpatama ว่าสถานการณ์อย่างนี้ควรอยู่ใน safe hand.... เพราะคุณ gpatama เขาเขียนใน คคห ๑๑ ว่า ...ต่อให้อยู่ใน safe hand หรือทำในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือครบ ก็ไม่มีอะไร 100 % ... จขกท เห็นหรือเปล่า ที่เขาเขียนว่า...ต่อให้อยู่ใน...ก็ไม่มีอะไร 100 %... ดังนั้นมันก็อาจเกิดขึ้นได้ แล้ว จขกท ไปทึกทักว่าหมอเขาไม่เก่งไม่ปลอดภัย จึงได้มาบอกว่าควรอยู่ใน safe hand ได้อย่างไร เราสงสัยว่า คุณ gpatama คงอยู่ในวงการแพทย์ จึงท่าทางเขียนรู้เรื่องเกี่ยวกับหมอได้ อย่างมีเหตุผลดี หรืออาจจะเป็นหมอทั่วไปก็ได้ เพราะมีคำว่า gp อยู่ในชื่อนะ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 16:37:38

ความคิดเห็นที่ 20 อาชีพที่ทำเกี่ยวกับชีวิตคน เป็นอาชีพที่เสี่ยงมาก เพราะบางคนอาจมีโรคที่ยังไม่แสดงอาการออกมา   ทำให้การวินิจฉัยโรคลำบาก     บางคนไม่เคยแพ้ยาอะไรเลย แต่สามารถที่จะแพ้ในเข็มแรกหรือเม็ดแรกที่ร่างกายได้รับยาหรือสารเคมีในขณะนั้น ถึงแม้มีเครื่องมือช่วยชีวิตอยู่ข้างๆมียาแก้แพ้ที่แก้อาการแพ้ได้เร็ว     แต่ถ้าคนไข้แพ้แบบ Anaphylaxis shock คือการแพ้แบบเฉียบพลันและรายแรงที่สุด      คงเคยได้ยินข่าวแบบ คนไข้ตายคาเข็มและยังไม่ทันดึงเข็มออกเลย  แค่จะคว้ายาแก้แพ้และยา adrenaline มาฉีดยังไม่ทันเลย นี้คือเรื่องจริงที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน เราจึงไม่ชอบการฉีดยาเพราะยาจะออกฤทธิ์ได้เร็วมาก เช่น ยากินออกฤทธิ์ช้ากว่ายาฉีด      ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อออกฤทธิ์ช้ากว่ายาฉีดเข้าเส้นเลือดดำ    ยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำออกฤทธิ์ช้ากว่ายาฉีดเข้าหัวใจโดยตรง     ดังนั้นเราชอบกินยา เวลาแพ้จะได้อาจจะมีเวลาแก้ไขทัน    อย่างที่เพื่อนบางคนพูด  ถึงมีประสบการณ์มารายๆปี อาจทำให้มีความชำนาญ แต่ถ้าคนไข้มีระบบหลอดเลือดในร่างกายผิดปกติหรือมีโรคที่ตัวเองไม่รู้ เช่น เกล็ดเลือดผิดปกติ เวลาตกเลือด แล้วเลือดไม่ยอมหยุด แค่ 1-60 นาที ร่างกายต้อง shock แน่ๆ และต่อมาไตวายเฉียบพลัน เพราะขาดเลือดหรือ oxygen       สิ่งที่จะช่วยได้ก็คือ มีเวรมีกรรมหรือเปล่า     ก็เสียใจกับคุณหมอที่ทำงานมานานและสอบได้ใบประกอบโรคศิลป์ของ usa นับว่าท่านเก่งจริงๆค่ะ เพราะยากมากๆๆ ก่อนที่จะได้ใบนี้มา  และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวคนไข้ด้วยค่ะ    เรามีเพื่อนที่ทำงานอยู่ icu ที่เมืองไทยเป็นพยาบาลที่เก่งในรุ่น แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีก้อนเนื้อออกที่สมองเพราะไม่เคยป่วยเป็นอะไรที่มีอาการด้านที่เกี่ยวข้องกับโรค    วันหนึ่งขึ้นเวรเช้ากับเพื่อนๆ   เจ้าก้อนเนื้องอกเกิดแสดงอาการ  ทำให้เพื่อนมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกเฉียบพลันและไปแตกเส้นสำคัญมากๆ     อยู่ใน icuแท้ๆ  เพื่อนๆยังช่วยไม่ทัน มีทั้งคนและอุปกรณ์เพียบพร้อม     นี้แหละคือสิ่งที่คาดไม่ถึง มันเกิดขึ้นได้เสมอ แล้วแต่ดวงจริงๆ จากคุณ : โค้งหักศอก เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 16:40:21

ความคิดเห็นที่ 21 สงสัยคุณ joe (aircraftdesigner)คคห ๖ คงคำนวณผิด จึงคิดว่า หมอ แกมาเมกา เมื่ออายุ ๑๗ ปี เพราะจากข่าวของ จขกท แกมาเมื่อ สหรัฐประมาณปี 2513 ก็คือ ๔๐ ปีมาแล้ว ( ๒๕๕๓ ลบ 2513 ) ดังนั้นถ้าตอนนี้แกอายุ ๖๗ แกก็น่าจะมาเมกา เมื่ออายุ ๒๗ ไม่ใช่อายุ ๑๗ นะ แต่ถึงอย่างไร ก็ขอบคุณ ที่เอาชื่อ ภาษาอังกฤษ มาให้ดู ก็เลยเอาไปค้นกับอากู๊ ก็พบว่า แกจบจากเมืองไทย เขาบอกชื่อ ม ด้วย แต่เราว่า ชือ ม ไม่สำคัญ ที่สงสัยว่าแกจบที่ไหน เพราะดูจากข่าวท่าทางแกเก่ง จึงมีตำแหน่งดีกับฮาวารด พอค้นแล้ว ก็พบว่าแกคงเก่งจริงๆ เพราะเป็นหมอสูตินารี ได้เป็นถึง หัวหน้าคลินิควางแผนครอบครัว พอเมื่อปี ๒๐๐๑โดนพยาบาลไปฟ้องสหภาพว่า แกข่มขู่ พอเขาจะมาตรวจ รพ แกต้องการให้ทุกอย่างพร้อมเพียง ก็จึงไปข่มขู่พยาบาล สหภาพก็ว่า รพ ทำเรื่องช้า รพ ก็บอกว่าวันเดียวก็ทำเร่ืองแล้ว หมอแกก็ยอมสละตำแหน่งรอให้เรื่องเสร็จสิ้น สามีพยาบาลคนหนึ่งก็บอกว่า รพ ช่วยหมอ จะให้หมอกลับได้ตำแหน่งอีก แล้ว รพ หาทางกำจัดพยาบาล จะเอาพยาบาลที่รักษาคนไข้ได้เข้ามาแทน http://www.scribd.com/doc/17243227/Rapin-Osathanondh-Allegedly-Threatens-Death-To-Abortion-Nurses จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 17:24:01

ความคิดเห็นที่ 22 ต่อจาก คคห ๒๑ จากที่อ่านดู เราก็คิดว่า หมอคงอยู่ในประเภทผู้เชียวชาญ safe hand แต่ที่สงสัยต่ออีกก็คือ ที่เกิดเหตุในเรื่องนี้ เป็นของ รพ หรือเปล่า และหมอเขายังมีตำแหน่งรับผิดชอบอีกหรือไม่ เพราะมีอะไรไม่พร้อม ตามข้อกล่าวหา แถมไปปกปิด เลยโดนหนักนะ เอารูปข่าวเก่า ใน คคห ๒๑ มาให้อ่านกัน จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 17:47:06

ความคิดเห็นที่ 23 ที่อื่นไม่รู้ แต่ที่แน่ๆในดอนเมืองมีแล้วหนึ่งคลีนิค ที่รู้ไม่ได้จะไปทำแท้งหรอกคืออยากมีลูกแล้วประจำเดือนไม่มาก็เลยเข้าไป ตรวจแต่พยาบาลเข้าใจผิดคิดว่าจะมาทำแท้งคุยกับเราเป็นเรื่องเป็นราว สุดท้ายต้องบอกว่าที่มาตรวจนื่เพราะอยากมีลูกค่ะ แต่จริงๆแถวดอนเมืองคลีนิคพวกนี้ก็โดนจับไปหลายรอบแล้วออกข่าวบ่อยๆ แต่เสร็จแล้วเดี๋ยวก็มาเปิดใหม่โดยเปลี่ยนชื่อคลีนิคแต่ด้านหน้าก็จะเขียนประ มาณว่าตรวจโรคทั่วไป ตรวจภายใน ตรวจการตั้งครรภ์ประมาณนี้ จากคุณ : ดาวสีส้ม เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 17:58:16

ความคิดเห็นที่ 24   ผมแอบชอบคนที่ตอบตรงไปตรงมาหลายหนแล้ว แถมยังทำการบ้านดีและดูเหมือนว่าจะเป็นหมอเสียด้วย จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 19:06:31 A:71.114.75.107 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 25 ศาลสหรัฐตัดสินจำคุกหมอไทยตระกูลดัง 6 เดือน กทม.(คมชัดลึก) : ศาลสหรัฐ จำคุก ‘ระพินทร์’ ฐานทำแท้งแล้วคนไข้เสียชีวิต พร้อมเงินชดใช้เหยื่อ 62 ล้านบาท แถมสั่งถอดใบประกอบโรคศิลปะ-ห้ามยุ่งเกี่ยวการสอนเกี่ยวกับเรื่องการแพทย์อีกต่อไป เมื่อวันที่ 15 กันยายน สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ศาลสหรัฐมีคำพิพากษาจำคุก นพ.ระพินทร์ โอสถานนท์ สูติแพทย์ชาวไทย และนักวิจัยประจำวิทยาลัยการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อายุ 67 ปี เป็นเวลา 6 เดือน ในข้อหาทำแท้งให้แก่คนไข้เสียชีวิต เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2550 ทั้งนี้ เกี่ยวกับคดีดังกล่าวศาลสูงบาร์นสเตเบิล ในรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เริ่มการพิจารณาคดีการเสียชีวิตของนางลอร่า โฮป สมิธ อายุ 22 ปี เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา โดย นพ.ระพินทร์ สารภาพว่า ทำให้นางสมิธเสียชีวิต ศาลจึงตัดสินจำคุกเป็นเวลา 30 เดือน แต่ นพ.ระพินทร์ ถูกกักขังระหว่างรอการพิจารณาคดีแล้ว 24 เดือน จึงเหลือโทษจำคุกเพียง 6 เดือน ทำให้มีโอกาสได้รับพิจารณาทัณฑ์บนหลังจากถูกจำคุกไปแล้ว 3 เดือน ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจาก นพ.ระพินทร์ รับโทษจำคุกครบกำหนด 3 เดือน จะต้องถูกติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว เพื่อกักบริเวณให้อยู่แต่ภายในบ้านเป็นเวลา 9 เดือน นอกจากนี้ยังถูกถอดใบประกอบโรคศิลปะ รวมถึงห้ามสอนเกี่ยวกับเรื่องการแพทย์อีกต่อไป ส่วนที่มาของการเกิดคดีดังกล่าวนั้น รายงานระบุว่า ขณะเกิดเหตุนางสมิธตั้งท้องได้ 13 สัปดาห์ ต่อมาได้เข้าพบ นพ.ระพินทร์ เพื่อขอทำแท้งที่สำนักงานที่เมืองเคปคอด ก่อนจะเสียชีวิตในวันต่อมาคือวันที่ 13 กันยายน 2550 โดยอัยการตั้งข้อหาฆ่าคนตายโดยประมาท พร้อมกล่าวหา นพ.ระพินทร์ ไม่ได้ดูแลผู้ป่วยอย่างดีขณะที่ผู้ป่วยสลบ และยังเรียกรถพยาบาลฉุกเฉินมาช่วยล่าช้าเมื่อหัวใจของนางสมิธหยุดเต้นไป อีกทั้งยังพยายามปกปิดความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันหลังเกิดเรื่องราว นพ.ระพินทร์ ได้ตัดสินใจขอยกเลิกใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะของตนเองในวันเดียวกับที่คณะกรรมการพิจารณาการออกใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะแห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ตั้งข้อกล่าวหารุนแรงหลายข้อหาเกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรม โดยคณะกรรมการระบุว่า นพ.ระพินทร์ ไม่ได้ตรวจสอบหัวใจของนางสมิธ และยังไม่มีอุปกรณ์ให้ออกซิเจนหรือเครื่องวัดความดันโลหิตอยู่ในห้องขณะทำแท้งให้นางสมิธ และกล่าวหาว่าไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการปฐมพยาบาลเบื้องต้นและไม่เรียกรถพยาบาลในเวลาที่ควร ด้าน นายพอล ไคเรล ทนายความของ นพ.ระพินทร์ เปิดเผยว่า ลูกความรู้สึกเสียใจอย่างยิ่งต่อการเสียชีวิตของนางสมิธ โดยก่อนหน้านี้ลูกความเดินทางไปสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1960 และทำแท้งอย่างปลอดภัยให้แก่หญิงสาวหลายพันคน ก่อนที่จะทำให้นางสมิธเสียชีวิต ขณะที่ นายเดวิด อันกีรา ทนายความของครอบครัวนางสมิธ กล่าวว่า ศาลมีคำสั่งให้ นพ.ระพินทร์ชดใช้ในทางแพ่งให้แก่ผู้เสียหายเป็นมูลค่า 2 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 62 ล้านบาท http://www.thaitownusa.com/New-1009000162-1.aspx จากคุณ : Quel เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 20:05:31

ความคิดเห็นที่ 26 ตัวอย่างแต่ละอันของคุณโค้งหักศอกน่ากลัวจริงๆ ต่อไปนี้คงต้องระวังในการฉีดยา ส่วนตัวเราว่าอาจจะมีเวรกรรมเข้ามาเกี่ยวด้วย เพื่อนของพ่อเราแข็งแรงมากไปผ่าตัดนิ่วจากโรงพยาบาล ก็เสียชีวิตออกมา น่ากลัวจริงๆ จากคุณ : SF Girl เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 21:35:27

ความคิดเห็นที่ 27 -ขอบคุณคุณ SF Girl ที่นำข่าวมาแบ่งปันให้อ่านค่ะ อ่านแล้วนึกถึงทางบ้านเราเช่นเดียวกันค่ะ มาให้กำลังใจและอยากบอกว่าจากการอ่านข้อความของคุณดูเหมือนว่าคุณเป็นคนสุขุมและควบคุมอารมณ์ได้ดีมากๆคนหนึ่งค่ะ จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 21:57:09

ความคิดเห็นที่ 28 อ่าน มาแล้ว จาก สวนลุมค่ะ ขอบคุณ จขกท ที่เอามาลงที่นี่ค่ะ อ่านแล้ว อนาจใจ และสงสาร ทุกฝ่ายนะ ไม่อยากได้ยินข่าวแบบนี้ ออกมามากมายเลย เพราะมันสะท้อนอะไรไม่ดีหลายๆอย่า เฮ้อ...คำเดียว จากคุณ : ทุ่งข้าวเขียวขจี (MajestyLove) เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 22:19:39

ความคิดเห็นที่ 29 1.ถ้าเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นที่เมืองไทย ผลจะเป็นอย่างไร??? คิดว่าไม่เกิดอะไรขึ้นค่ะ ถ้า ๒๑ กะ ๒๒ เป็นความจริง ก็เค้าเกิดในตระกูลดัง  นี่โชคดีที่เกิดในอเมริกานะเนี่ย ตระกูลไม่มีความหมาย  เลยกำจัดหมอเลว ๆ และประมาทเลินเล่อได้ - นอกจากนี้คลีนิคทำแท้งเถื่อนที่มีอยู่มากมายในเมืองไทยนั้น ได้เตรียมความพร้อมในการช่วยชีวิตผู้ป่วยแล้วหรือไม่ ?? อันนี้ไม่รุ้ แต่ดูในหนัง เห็นเป็นแบบง่าย ๆ  คิดว่าคงไม่มีหรอก จากคุณ : this is jenni เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 22:36:07

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณคุณ jinjung ที่ให้กำลังใจค่ะ เราเห็นหลายกระทู้กลายเป็นมาม่าไป ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น อีกอย่างเราควรจะ discuss กันเรื่องเนื้อข่าวกับคำถาม แต่ก็เคารพในออกความเห็นของคนอื่น ผู้ถามมีสิทธ์ถามแต่ผู้ตอบก็มีสิทธ์ไม่ตอบถ้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์กับคนอื่น ถ้าตอบไปคงไม่จบ จะเสียเวลาเราและคนอื่นเปล่าๆ ก็ขอให้เป็นวิจารณญานของแต่ละบุคคลจะดีกว่า ส่วนคุณ this is jenni เราเห็นด้วยอย่างมากเลยว่าเงินซื้อได้ (เกือบ)ทุกอย่างในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นคดีดังๆ หรือเคสของโรงพยาบาล เรื่องที่เกี่ยวกับคนที่มีชื่อเสียงหรือตระกูลดัง เรื่องก็เงียบหายไป เพราะเขาเหล่านั้นมีคอนเนคชั่นมากมาย อยากเห็นชีวิตคนเท่าเทียมกัน แต่ก็คงเป็นแค่ฝันกลางวัน นี่คืออีกอย่างหนึ่งที่เราชอบอเมริกาเพราะว่าเขาไม่แคร์ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็น CEO ของบริษัทดังแค่ไหน ถ้าทำผิดก็ว่ากันตามเนื้อผ้า จากคุณ : SF Girl เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 53 23:20:40

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบคุณ คุณ SF Girl ที่เอาข่าวมาเล่าให้ฟัง แต่อ่านแล้วก็เศร้านะคะ สงสารคนไข้ แล้วก็สงสารหมอด้วย เพราะคิดว่าเรื่องอย่างนี้เป็นใครๆก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น สุดท้ายก็คงต้องมาลงที่เวรกรรมของแต่ละคนไป จากคุณ : PatPDX เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 53 08:09:47

ความคิดเห็นที่ 32 I think he would be ready to retire...by this age.Including he would be having the insurance  to pay the fine for the patient. I basically think it should be the accident plus the doctor has so much experience, he would forgot about the some safety rule that he has to be ready for the emergency case. Sorry for everybody. I agree with legalized abortion. แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 53 16:36:14 จากคุณ : เกือกซ่าสีชมพู เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 53 16:17:14

ความคิดเห็นที่ 33 เอามาฝากจากห้องแป้ง--- 5 วิธีง่ายๆ เลี่ยงดราม่าหน้ากระทู้ ----       +++ 5 วิธีง่ายๆ เลี่ยงดราม่าหน้ากระทู้ +++ จากบทความของ The Espresso ~*   จากคุณ      : สะหวีวี่วี~*   1. อย่าให้เรื่องเล็กน้อยมาคอยกวนใจ ไม่คุ้มที่จะหัวเสียหากมีคนมาทำให้โกรธ หรือโพสข้อความยุแหย่ ระลึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ ไปอีกหลายชั่วโมง 2. เห็นต่างได้ แต่ต้องรับฟัง และมองในมุมอื่นบ้าง กระทู้ที่มีจุดเริ่มต้นที่ดี หรือแม้แต่กระทู้ปรึกษาปัญหาชีวิต ระบายความในใจ ถูกเปลี่ยนให้เป็นกระทู้ตีกัน และจบลงด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี มิตรภาพที่เคยมีบนโลกไซเบอร์เหือดหาย 3. อย่าให้อารมณ์ชั่ววูบมานำเหตุผล โลกไซเบอร์ที่อาจจะไม่มีใครรู้จักตัวตนจริงของคุณ บางคนคิดว่าจะทำอะไรก็ได้ สามารถเขียนข้อความกันโดยไม่ต้องเกรงใจใคร บางคนคิดว่าโลกจริง กับโลกไซเบอร์ นั้นแยกออกจากกัน และไม่ส่งผลเสียในความเป็นจริง แต่ความจริงแล้วมีหลายเคสส่งผลเสียจริง บานปลายจนกลายเป็นเรื่อง 4. ปล่อยผ่าน เพราะการโต้เถียงไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งจบลงได้ การโต้เถียงไม่ได้ให้ประโยชน์กับใครเลย ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย 5. หัดช่วยให้คนอื่นมีความสุขบ้าง อาสาช่วยกิจกรรมการกุศล บริจาค มีตติ้ง รวมกลุ่มไปท่องเที่ยวหาความสุข หาประเด็นสนุกๆ มาคุยกันหน้ากระทู้ หากระทู้ขำๆ อ่าน หรือเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่งเล่นห้องอื่น จะช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น จากคุณ : Quel เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 53 19:10:10