ความคิดเห็นที่ 1 ดิฉันพยายามคิดหาเหตุผล  ว่าทำไม ๆ ๆ ๆ คนเราถึงได้เป็นไปได้ขนาดนี้  หรือเป็นเพราะดิฉันเองที่คบหาและมาแต่งงานกับฝรั่งก่อน  ทำให้เธอ เกิดความอยากขึ้นมามั่ง แต่ดิฉันก็ไม่เคยจะไปโอ้อวด  ให้ใครเกิดความอยากขึ้นมาเลยนะคะ พยายามบอกตลอดว่าแฟนฝรั่งไม่รวย  พยายามแสดงตัวปรกติ  ไม่เคยทำตัวฟุ้มเฟ้อ  ไม่มีขนเงินทองสามีฝรั่งไปให้พ่อแม่พี่น้อง มีแต่เธอมาว่า ดิฉันเห็นแก่ตัว  ไม่คิดทำอะไรเพื่อพ่อแม่พี่น้อง ตั้งแต่ดิฉันคบแฟนฝรั่ง ที่เป็นคนมัธยัตถ์ ไม่รวย(แต่ก็ไม่ถึงกับจนกรอบ)  เธอก็ว่าให้ดิฉันหาใหม่  เอาทำไม พึ่งพาไม่ได้ ไม่จุนเจือพี่น้อง  อ้าว...  เธอเลยพยายามพิสูจน์ให้ดิฉันดูหรือไง  ว่าเธอทำได้ สรุปว่า ใครผิดคะนี่ เธอทำดีกว่าดิฉันหรือ  กตัญญูต่อพ่อแม่พี่น้อง หาสามีฝรั่งรวยๆ มาเลี้ยงดูได้  แถมได้ดีแล้วไม่ทิ้งลูกอีกด้วย จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 13:13:05

ความคิดเห็นที่ 2 แม่เด็กอยู่ประเทศไหนคะ ไม่เซ็นยกกรรมสิทธ์ลูกให้ไปนะคะ แต่อนุญาตใหู้ไปอยู่กับแม่ได้... และยังมีพ่อคนไทยเป็นพ่อของเด็กตามกฏหมาย... ให้ลูกไปเรียนในประเทศของแม่เขา โดยมีแม่เขาดูแล แม่เด็กไม่จำเป้นต้องถึงกับให้พ่อเด็กเซ็นยกลูก... แม่เด็กะจะเอาไปเลี้ยงแบบไม่ต้องการให้ลูกติดต่อกับพ่อเขาอีกต่อไป ถ้าเซ็นยกให้ไปเลย เท่ากับหมดสิทธิ์เรียกร้องความเป็นพ่อทางกฏหมาย คาดเดาว่าแม่เด็กต้องการให้ผัวฝรั่งของเขารับลูกเป็นบุตรบุญธรรม เพื่อจะได้นำไปลดหย่อนภาษี และได้รับเงินช่วยเหลือในกรณีเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ (สำหรับประเทศในยุโรปตะวันตก) เด็กวัย ๑๐ ขวบ เป็นวัยที่กำลังเข้าสู่วัยแรกรุ่น... อนาคตที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับเด็กจะมีความสุขลึกๆแท้จริงหรือไม่ หรือเป็น "แค่" ความสุขทางวัตถุ(นั้นมีแน่นอน) ถ้าจะทำสัญญา ควรเป็นสัญญาที่พ่อเด็กไม่เสียเปรียบ สัญญาร่างโดยมีทนายรับรอง หรือให้ที่อำเภอรับรอง(ดิฉันไม่ทราบว่าที่ไหนรับรอง) โดยร่างทำนองที่พ่อเด็กอนุญาตให้ลูกไปเรียนต่อในประเทศนั้น โดยมีแม่ชื่อ.... ดูแล และพ่อเด็กยังเป็นพ่อของเด็กถูกต้องตามกฏหมาย แม่เด็กต้องยินยอมพาเด็กกลับมาเยี่ยมบ้านในไทยช่วงปิดเทอม ฯลฯ... (แล้วแต่จะตกลงกันยังไงให้ไม่เสียเปรียบ) ต่างเก็บสัญญาคนละฉบับ ในอนาคตเมื่อเด็กบรรลุนิติภาวะ... ขึ้นอยู่กับเด็กจะตัดสินใจเอง โชคดีค่ะ จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 13:15:43

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณมากค่ะ  คุณ JidNince  ที่กรุณาตอบให้อย่างเร็ว  ดิฉันจะรีบโทร. ไปบอกกับทางบ้าน  ให้บอกน้องชายเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ขอบพระคุณจริงๆ   จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 13:23:44

ความคิดเห็นที่ 4 เห็นพี่สาวดิฉันบอกว่า  ท่าทางหลานจะยังไม่รู้ว่า  แม่แต่งงานใหม่  มาปะเหลาะลูกเอาความฟุ่มเฟือยมาล่อ   ถ้ารู้จะยอมหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ   เพราะหลานก็รักพ่อเขามาก  แต่ก็อย่างว่า  แม่กับลูกย่อมมีความรู้สึกใกล้ชิดกว่า สงสารน้องค่ะ จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 13:28:52

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่งวางสายกับน้องชายเมื่อกี้  สงสารมากเขาเพิ่งรู้ว่าถูกหลอกมาตั้งนาน พ่อแม่พี่น้องทางเมียเขารู้ก็กันแต่ต้น ตั้งนานแล้ว  ว่าหล่อนไปแต่งงานกับฝรั่ง  ขอให้น้องชายเซ็นต์ใบหย่าให้อ้างว่าเพื่อสะดวกขอวีซ่า   นี่ดิฉันรีบเอาคำแนะนำ คุณ JidNince ไปบอก  น้องชายยังถามว่า  ทำได้ด้วยเหรอ  เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ  นี่ลูกก็ไม่รู้ว่า พ่อกับแม่เลิกกัน  รู้แต่ว่าแม่จะพาไปอยู่เมืองนอกเพื่อเรียนหนังสือเท่านั้น   นี่ถ้าพาเด็กไปแล้ว เด็กไปรู้ทีหลังว่า แม่มีผัวใหม่และจะไม่ได้กลับมาอยู่กับพ่ออีก  เด็กจะช็อคจะเสียใจแค่ไหน  เพราะเขาก็รักพ่อเขามาก  เพราะพ่อเขา(น้องชายดิฉัน) ดูแลลูกด้วยความรักมาตลอด อ้อ  ลืมบอก  ได้ยินว่าไปอยู่เบลเยี่ยมค่ะ จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 14:37:55

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้ายังไม่แน่ใจว่าลูกจะอยู่ได้มั๊ย ก็ลองให้ลูกไปเที่ยวดูก่อนก็ได้นี่คะ ช่วงปิดเทอม พอเด็กกลับมา เราก็พอจะรู้ได้ว่า เด็กจะไปอยู่ยังงัย จะมีความสุขดีมั๊ย หรือจะเข้ากับพ่อเลี้ยงได้มั๊ย แก้ไขเมื่อ 22 ต.ค. 53 17:44:03 จากคุณ : อ้วนวลี เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 15:21:23

ความคิดเห็นที่ 7 น่าจะเฉลียวใจตั้งแต่เขาอ้างเหตุผลว่าขอหย่าเพื่อที่จะได้ขอวีซ่าได้ง่ายนะคะ  เพราะจริงๆ แล้วผู้หญิงที่มีสถานภาพสมรสอวีซ่าผ่านง่ายกว่าสาวโสด หรือหย่า ไหนๆ ก็มาถึงตรงนี้แล้ว ดิฉันมีความเห็นว่าถ้าเด็กมีพ่อดูแลใกล้ชิด ก็อย่าเพิ่งให้ไปเลย รอให้เขาลงหลักปักฐานให้เป็นที่เรียบร้อยเสียก่อนน่าจะดีกว่า เช่น รอให้ได้เป็นซิติเซ่น มีงานการทำเป็นหลักเป็นฐาน  เพราะถ้ารีบร้อนเอาลูกไป สถานะวีซ่าของตัวเองก็ยังต้องพึ่งสามี  หากไปกันไม่รอด ก็จะล้มทั้งแม่ทั้งลูก  ถ้าเป็นซิติเซ่น มีงานทำ ฯลฯ สามีหย่าก็ยังพึ่งตัวเองได้ ไม่ลำบาก อีกอย่างหนึ่งก็คือ ปัญหาเรื่องพ่อเลี้ยง  เรื่องแบบนี้ไม่มีใครเอามาเล่าในที่แจ้ง แต่ความจริงแล้วกล้ายืนยันว่ามีจำนวนไม่น้อย บางคนมีลูกสาววัยรุ่น สามีใหม่ทำตัวเป็นพระยาเทครัวเอาทั้งแม่ทั้งลูก แถมขู่ว่าถ้าขัดขืนจะส่งกลับ !!  บางรายลูกยังเล็ก โดนพ่อเลี้ยงข่มขืน ตัวเองจะเอาเรื่องก็ติดขัดเรื่องภาษา  ไหนจะเรื่องเงินทองเพราะไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ฯลฯ  คือสรุปง่ายๆ ว่าอย่ารีบร้อนไปทำเรื่องยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมของทางโน้น ส่วนมากที่เขาอยากจะรับเป็นบุตรบุญธรรมก็เพราะเหตุผลสองข้อคือ หนึ่ง  ได้สิทธิลดหย่อนเรื่องภาษี... ปีละเป็นพันนะคะ  สอง.. ขอเงินสงเคราะห์จากรัฐบาลได้จนกว่าเด็กจะบรรรลุนิติภาวะ ถ้าตอนที่ไปหย่า ไม่ได้ทำข้อตกลงเรื่องสิทธิการปกครองบุตรละก็ แนะนำว่าให้พ่อเด็กยื่นเรื่องต่อศาลขอเป็นผู้ปกครองบุตรโดยชอบธรรมแต่เพียงผู้เดียว  ฉวยโอกาสเสียตอนนี้ จะได้อ้างได้ว่าแม่เด็กมีพฤติกรรมที่จงใจจะละทิ้งไป สมัยนี้เทคโนโลยีการสื่อสารทันสมัย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้คุยกับแม่เขาหรอกค่ะ  เอาความพร้อมเป็นที่ตั้งดีที่สุด โชคดีค่ะ จากคุณ : Lawanwadee เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 15:30:07

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นใจน้องชายคุณครับ เคยได้ยินแต่ว่าผัวไทยไม่ดี เมียเลยแยกตัวไปมีผัวฝรั่ง แต่นี่ ผัวไทยแสนดี เมียยังหนีไปหาฝรั่ง .... .. ก็น่าจะปล่อยเมียไป แต่อย่าให้เสียลูกนะครับ จากคุณ : smartupid เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 15:33:10

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณทุกคำแนะนำค่ะ  จะเก็บไปเรียบเรียงคุยกับน้องชาย  เป็นห่วงเขาเหลือเกิน  กำลังเสียใจมาก   คุยกันไปก็ร้องไห้ไปกับน้อง ตอนนี้ได้แต่พยายามปลอบให้เขาทำใจอยู่  นี่ลางานอยู่กับลูกที่บ้าน  เมียเขาโน่นแน่ะ ยื่นคำขาดจะเอาลูกไปแล้วก็ไปเสริมสวยทำศัลยกรรม     เวรจริงๆ  จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 16:01:06

ความคิดเห็นที่ 10 อ่านบล๊อค คุณเศษไม้ใบหญ้า  อยู่บ่อยๆก็เลยพอจะรู้เรื่องอะไรบ้างเป็นอะไรบ้าง พี่ไม่รู้เรื่องกฏหมายเพียงแต่อยากเข้ามาให้กำลังใจ และขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยดีนะคะ จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 16:20:37

ความคิดเห็นที่ 11 การที่แม่จะมาพาลูกไปอยู่เรียนหนังสืออย่างที่ใครๆทำกันมันไม่ได้ง่ายอย่างปากว่าไปซะทุกคนหรอกนะคะ การจะพาลูกออกนอกประเทศไทยได้มันต้องมีเอกสารหลายอย่างที่ต้องแสดงแก่สถานทูตที่จะออกวีซ่าให้เด็กด้วย ไม่มีสถานทูตไหนออกวีซ่าให้เด็กโดยที่ไม่มีพ่อหรือแม่ของเด็กยินยอมได้หรอกค่ะ หากน้องชายคุณเซ็นต์ใบหย่าไปแล้วก็ให้น้องชายคุณดูใบหย่าด้านหลังด้วยว่า .. เขาลงบันทึกไว้ว่าอย่างไร ใครมีสิทธเป็นผู้ปกครองลูก หากน้องชายคุณมีสิทธเป็นผู้ปกครองลูกตามกฏหมายน้องสะใภ้คุณไม่มีทางจะมาเอาลูกไปอยู่ด้วยได้ง่ายๆหรอกค่ะ น้องสะใภ้คุณต้องไปฟ้องร้องต่อศาลเพื่อขอเปลี่ยนอำนาจการปกครองบุตรก่อนโน่นถึงจะมีสิทธิมาเอาลูกไปเรียนหรือไปอยู่ถาวรได้ ... เรื่องนี้ไม่ง่ายหรอกค่ะ หรือ หากแม้แต่เขาทั้งสองเป๊นผู้มีสิทธปกครองลูกร่วมกันก็ตาม ฝ่ายหญิงก็ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอสิทธิเป็นผู้ปกครองลูกแต่เพียงผู้เดียวก่อน เมื่อศาลอนุญาตเขาถึงจะสามารถเอาคำสั่งศาลไปดำเนินเรื่องขอวีซ่าให้ลูกได้ และการจะขอเปลี่ยนอำนาจการปกครองศาลก็จะดูด้วยว่าใครเป็นผู้ดูแลลูกมาตลอดเวลาหลังจากหย่ากัน หากเป็นพ่อดูแลมาตลอดไม่ได้มีอะไรเสียหายเลย แม่เด็กก็อาจจะไม่ได้อำนาจปกครองบุตรก็ได้ เพราะถือว่าคุณสมบัติไม่เหมาะสม มีหลักฐานก็เอามาสู้กันได้เลย นอกเสียจากว่าใบหย่าระบุว่าแม่มีสิทธปกครองลูกแต่เพียงผู้เดียว นั่นล่ะถึงจะน่าห่วงน้องชายคุณ เพราะแบบนี้แม่มีสิทธตามกฏหมาย สามารถพาลูกไปไหนมาไหนหรือทำอะไรทางกฏหมายโดยที่พ่อไม่ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเลย แบบนี้ค่อยน่ากลัว อย่าพึ่งวิตกจนเกินไป เรื่องทางกฏหมายบางอย่างมันไม่ได้ทำอะไรได้ง่ายๆอย่างที่คิด ไปถามน้องชายใหม่ว่าใบหย่าเขาลงบันทึกไว้ว่าอย่างไร? จากคุณ : กุศโลบายจากความจริง เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 16:22:43

ความคิดเห็นที่ 12 มาให้กำลังใจจขกท และน้องชาย ให้ผ่านพ้นอุปสรรค เห็นทางสว่างแก้ไขปัญหาได้นะคะ จากคุณ : jeejeeberry เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 18:30:12

ความคิดเห็นที่ 13 จะปลอบใจว่าศีลมันไม่เสมอกันแล้ว ก็ต้องปล่อยมือเค้าไปตามทาง เรื่องลูก อย่าเซ็นยกลูกให้คนอื่น อนุญาตให้แม่พาไปเที่ยวไปเรียนได้ถ้ามีปัญญาจ่าย ไว้ลูกโตๆแล้วให้ลูกตัดสินใจเอง ขอให้โชคดีค่ะ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 19:03:12

ความคิดเห็นที่ 14 ดิฉันอ่านๆดูแล้ว อยู่กับพ่อน่าจะดีกว่านะคะ ดิฉันไม่เห็นความสำคัญในการไปอยู่ต่างประเทศมากเท่าการอยู่กับผู้ปกครองที่รักและดูแลเด็กได้อย่างใกล้ชิดค่ะ ถ้าโตแล้ว เด็กอยากไปเรียน ค่อยไปเมื่อไรก็ได้ รีบๆไปแบบไม่รู้เลยว่าจะไปเจออะไรบ้าง เอาความสุขความปลอดภัยของเด็กไปเสี่ยงนะคะ อีกอย่าง เด็กอายุ 10 ปีแล้ว ควรจะพูดกับเด็กตรงๆนะคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัว ควรให้เด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจบ้าง ไปตัดสินใจแทนเด็กหมดมันไม่แฟร์กับเด็กนะคะ จากคุณ : แม่ลูกแฝด เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 21:39:52

ความคิดเห็นที่ 15 เธอคนนี้ โชคดีมากที่เจอสามีใจเย็น จึงยังเชิดหน้าได้อย่างลอยนวล ถ้าเจอโหดๆแบบพี่ชายเรา คงไม่มีสิทธฺ์มาเสนอหน้าใดๆทั้งสิ้น กล้ามากเลย...สวมเขานอกใจ ยังจะเอาลูกไปอีก... อย่าไปยอม อย่าไปยกให้นะคะ ไม่อนุญาตให้เอาไปไหนทั้งนั้น...ไม่ไว้ใจค่ะ น้องชายต้องเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ตัดขาดกับเธอไปเลย โดนสวมเขาขนาดนี้แล้ว ยังจะให้ผู้หญิงอย่างนี้มาไล้บี้เรื่องลูกอีก...บ้าแล้ว! หย่ากันแล้วซะด้วย งั้นก็ไม่ต้องอาลัย อาวรณ์แล้วค่ะ ลาขาดไปเลย หาใหม่ค่ะ คนดีๆมาเยอะ เฮ้อออออออออออออ! ขอให้โชคดีนะคะ จากคุณ : วฬายุ เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 53 23:50:36

ความคิดเห็นที่ 16 บอกความจริงกับเด็กตอนนี้ เพราะ 10 ขวบนี้คือรู้เรื่องแล้ว ดีกว่าปล่อยให้คารังคาซังสุดท้ายคนที่เจ็บหนักก็คือลูกเอง จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 03:05:47

ความคิดเห็นที่ 17 บอกความจริงกับลูกก่อน แล้วทางที่ดีที่สุดให้ลูกเลือกว่าจะอยู่กับพ่อ หรือแม่แล้วก็พ่อใหม่ เราว่าน้องเขาเข้าใจแล้วเพราะแม่ก็หายตัวไปตั้ง 2 ปี  ตอนนี้รอปิดเทอมแล้วทำวีซ่า เยี่ยมไปก่อนเพื่อดูว่าอยู่กับแม่แล้วก็พ่อใหม่ได้มั้ย แล้วเด็กจะรู้เอง ไปเรียนตอนขี้นมัธยมก็ยังไม่สาย จากคุณ : มนชิจัง เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 04:17:49

ความคิดเห็นที่ 18 ตอบคุณ Lawanwadee จาก คห.7 นะคะ ว่าเรื่องวีซ่าแต่ก่อนนี้  เขาหลอกกันแบบนี้จริงๆ  ตัวดิฉันเองก่อนหน้าจะมาคลุกคลีหาความรู้ในห้องไกลบ้าน  เคยลำบากจนคิดอยากจะไปหางานทำเมืองนอกเหมือนกัน  มีคนชวนไปทำงานร้านอาหาร  ก็ตัดสินใจว่าจะไป  แต่ตอนนั้นยังไม่ได้หย่ากับสามีเก่า(ซึ่งเลิกกันหลายปีแล้ว) เขาก็บอกให้ดิฉันไปทำเรื่องหย่าซะให้เรียบร้อยจะได้ทำวีซ่าสะดวกขึ้นว่างั้น ซึ่งตรงนี้น้องสะใภ้ก็เคยรับรู้ด้วย   เลยเก็บเอาข้อมูลตรงนี้มาหลอกน้องชายดิฉันได้อีกต่อ แต่หลังจากดิฉันทำเรื่องหย่าสามีได้  ก็ไม่ได้ทำเรื่องวีซ่าอะไรเพราะเริ่มรู้สึกไม่ดีกับคนที่ชักชวนไปทำ(รู้จักทางเน็ต)  เพราะดิฉันเริ่มเข้ามาหาข้อมูลเกี่ยวกับการไปทำงานร้านอาหารแล้ว  รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้เลยล้มเลิกความคิดไป แต่เรื่องวีซ่าต่างๆ ดิฉันเพิ่งจะมาทราบดีช่วงที่คบกับสามีปัจจุบัน จึงทำให้รู้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าน้องชายถูกเมียหลอก  ทั้งเรื่องทำงานร้านอาหารและงานนวดมันไม่ใช่จะได้ไปทำอย่างถูกต้องง่ายๆ รวมทั้งวีซ่าประเภทนี้ก็ไม่มี แล้วคุณสมบัติอย่างเมียน้องชายนี่หรือจะได้วีซ่าทำงานถูกต้อง  อยากบอกน้องชายแต่ก็รู้ว่า เขาไม่ฟังเรา ไม่ให้โอกาสเราพูดเลย  ถ้าท่านใดได้เข้าไปอ่านที่ดิฉันเขียนเอาไว้ในบล็อค จะเข้าใจขึ้นค่ะ ดิฉันเขียนไว้หลังจากไปรับรู้ข่าวเธอล่าสุดจากการกลับไปเมืองไทย  และด้วยความรู้สึกที่เป็นห่วงน้องยิ่งขึ้นตลอดเวลา  ซึ่งในที่สุดก็มีวันนี้จริงๆ เรื่องให้เขาบอกความจริงกับลูก  ดิฉันได้แนะนำน้องชายไปแล้วค่ะ  ไม่รู้ว่าเขาจะเข้มแข็งพอที่จะทนเห็นลูกร้องไห้เสียใจหรือเปล่า  แต่ดิฉันก็ได้ย้ำไปแล้วว่า  ยิ่งรักลูกมากเพียงใดก็ยิ่งสมควรที่จะบอกลูกด้วย  เพราะลูก 10 ขวบแล้ว เขารู้แล้วว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่   และคนที่รักและดูแลเขามาอย่างดีคือพ่อ  และพ่อเป็นคนไม่ดี ทอดทิ้งไม่รักเขาทำให้เขาไม่รักไม่ผูกพันกับพ่อก็ไปอีกอย่าง  แต่นี่ไม่ใช่ ดิฉันโทร.ไปคุยกับน้อง  ก็ยังได้ยินน้องชายขอร้องลูกอย่างสุดแสนไพเราะว่า  "หนูไปเล่นตรงโน้นก่อนนะลูก พ่อขอคุยกับป้าก่อน"  เรื่องคือไม่อยากให้ลูกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  กลัวลูกเสียใจ   ดิฉันได้ยินแล้วน้ำตาไหล  ดูเถอะผู้หญิงคนนี้ทำไมใจอำมหิตจะพรากเอาลูกไปจากพ่อแท้ๆ ที่แสนดีอย่างนี้ได้ (ดิฉันไม่ได้ยกยอน้องชายตัวเองค่ะ)  แต่ดูนางแม่มันสิ  ทิ้งลูกไปเป็นปี กลับมาโน่นไปทำศัลยกรรมตกแต่งความงาม มัดใจผัวฝรั่ง (ขอหยาบนิดเถอะค่ะ ดิฉ้นเจ็บแทนน้อง) เรื่องของเรื่อง  ดิฉันกลัวน้องชายจะไม่เข้มแข็งพอ  จากอดีตที่ผ่านมาก็รู้ว่าน้องชายอ่อนแอและยอมให้ผู้หญิงคนนี้บังคับบัญชามาตลอด   เคยแอบคิดว่าหล่อนไปทำเสน่ห์เล่ห์กลหรือยังไงนะ  น้องชายถึงเป็นไปได้ขนาดนี้  แต่ก็ไม่เคยเชื่ออะไรแบบนี้มาก่อน  นี่น้องชายบอกว่า เขาพยายามพูดให้เมียเปลี่ยนใจเห็นแก่ลูก  โธ่เอ๋ย น้องชายดิฉัน  ยังจะไปวิงวอนให้ผู้หญิงแบบนี้กลับมาอีกแน่ะ   นี่เห็นว่าให้เซ็นยกลูกให้(แต่น้องชายบอกว่ายังไม่ได้เซ็นอะไรให้)   แล้วก็ขอให้จะให้ญาติหล่อนมาดูแลลูกที่บ้านน้องชายอย่างเดิมก่อนจนกว่าเอกสารจะเสร็จเรียบร้อยได้ยิว่ามีนาปีหน้า  โอ..วางแผนการณ์เรียบร้อยเลยค่ะ กลัวน้องชายไม่เข้มแข็งพอ  แค่จะถูกประนามว่าหวงลูกเอาไว้ เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่อนาคตที่ดีกว่าของลูก  แค่นี้เขาก็รับไม่ได้แล้ว   ต้องเข้าใจนิดนึงนะคะว่า คนไทยส่วนใหญ่ที่ไม่เคยสัมผัสเมืองนอก  ยังคงมีความรู้สึกว่าเมืองนอกมันเป็นเมืองสวรรค์อยู่   ตั้งแต่ดิฉันแต่งงานมาอยู่เมืองฝรั่ง  ดิฉันก็พยายามจะใส่ความคิด ให้ความรู้เกี่ยวกับสภาพความเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่างที่เมืองนอกให้พี่น้องในครอบครัวฟังอยู่  แต่น้องสะใภ้ก็ดันมาทำซะอีกอย่าง  ขนเงินทองกลับไปอวดร่ำอวดรวย  ทีนี้ก็ยิ่งเชื่อกันไปใหญ่ว่าฝรั่งมันรวยและใจดีใจป้ำกันแทบทุกคน เมืองนอกมันศิวิไลซ์นักหนา   กลายเป็นว่าดิฉันเนี่ย. โง่เสียเอง วาสนาไม่ดีไปได้ฝรั่งไม่รวย  (น้องชายเขาเห็นจริงๆ ค่ะว่าเมียเขามีเงินมามากมายจริง แต่เอาไปให้พ่อแม่ซื้อที่ดินให้น้องชายหล่อนใช้ ทีละเป็นหมื่น) ขอบคุณทุก ๆ ท่านที่เข้ามาให้คำแนะนำ และให้กำลังแรงใจนะคะ(กิ๊ฟหมดแจก ให้ทุกท่านตรงนี้ก่อนนะคะ)  ตอนนี้ที่บ้านก็พยายามติดต่อพูดคุยกับน้องชายทางโทร.ตลอด  ได้แต่หวังว่าเขาจะตัดใจและเข้มแข็งขึ้น  แต่ต้องรอให้เมียเขาบินกลับไปก่อน (ได้ยินว่า 2 พย.) หล่อนถึงจะอนุญาตให้พี่น้องสามีไปน้องชายเราที่บ้านได้  ดูเอาเถอะค่ะ  มันเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวเหรอ   น้องชายบอกว่าเธอขอไม่พบเจอหน้าพี่น้องสามี เกลียดพี่น้องสามีทุกคน  เพราะรู้ว่าเคยรังเกียจเธอ  แน่ะ  ตัวเองเลวจนไม่กล้าจะสู้หน้าได้ตะหาก  กลับมาโยนความผิดให้พ่อแม่พี่น้องสามีสะงั้น จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 06:20:58

ความคิดเห็นที่ 19 อ่านแล้วก็สงสารเห็นใจคนที่ต้องตกทุกข์กับเรื่องอย่างนี้ แต่ที่ไม่เข้าใจคือน้องตะไภ้คุณเขาไปแต่งกับอิตาฝรั่งที่เบลเยี่ยมนั่นได้ไงโดยไม่กลัวว่าทางสามีจะเอาเรื่องว่ายังคากับคนนี้อยู่แล้วก็ไปแต่งกับคนอื่น สมรสซ้อนนี่มันผิด กม นี่หว่า ถ้าน้องคุณเขาไม่เซ็นหย่าให้...ท่ามันคงจะเป็นเรื่องเป็นราวกันไปอีก อันนี้ก็แล้วแต่ทางน้องคุณละนะว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องชีวิตคู่ของตัวต่อไป ที่เป็นห่วงคือเด็ก เพราะคิดว่าเป็นที่รักของทั้งสองคน แม่เขาก็ต้องรักลูก ถึงอยากให้ลูกได้ไปอยู่ในที่ที่เขาคิดว่าดีๆ ด้วย ต้องให้เครดิตเขาบ้าง จากคุณ : PatPDX เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 08:06:48

ความคิดเห็นที่ 20 คิดกับน้องชายจนฝันร้ายร้องไห้จะแทบขาดใจเลย(ในฝัน) ตอบคุณ PatPDX  นะคะ   เข้าใจว่าคงอ่านไม่ทั้งหมด (ดิฉันระบายเยอะไปหน่อย) น้องชายดิฉัน  เขาถูกเมียเขาหลอกให้จดทะเบียนหย่าให้ตั้งแต่ตอนแรก  ที่เมียเขาพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางที่จะไปเมืองนอกให้ได้แล้วล่ะค่ะ ดิฉันไม่ขอเล่าซ้ำถึงเหตุผล  เพราะบางคนก็ไม่เข้าใจจริงๆ  ว่าหย่าให้เมียไปได้ยังไง (สามีดิฉันยังว่าบ้อบอคอแตก อายเขาซะอีกว่าน้องชายดิฉันทำไมโง่ได้ขนาดนี้) แต่ก็อยากให้เข้าใจด้วยนะคะว่า เขานอนคุยกันทุกวัน ด้วยเหตุนี้แหละ   เขาจึงไม่ได้มีการทำบันทึกแบ่งทรัพย์สิน หรือสิทธิ์การปกครองครองลูก  เพราะคิดว่าหย่ากันแต่ในนามเท่านั้น  เพื่อให้หล่อนได้ไปเมืองนอกสมใจปรารถนา โดยอ้างว่าจะไปทำงานหาเงินมาช่วยสามีใช้หนี้   และตลอดเวลาที่ผ่านมา 2 ปี เธอก็ยังโกหกน้องชายดิฉันมาตลอด  ว่าทำงานหนักอย่างโน้นอย่างนี้   ดิฉันเจอกับน้องชายทีไร  ก็ได้ยินแต่เขาพูดว่า สงสารเมียทนไปทำงานหนัก เธอโทร.มาร้องห่มร้องไห้ คิดถึงลูกคิดถึงสามี  แต่ก็พยายามอดทนทำงาน  ได้ฟังน้องชายสรรเสริญเมียให้ฟังอย่างนี้ ดิฉันก็อ้าปากพูดอะไรไม่ได้แล้ว (เพราะเคยมีเรื่องมีราวกันมาก่อน จนน้องชายก็ฝังใจว่าดิฉันเกลียดเมียเขา) ถึงตอนนี้เวลาผ่านมา 2 ปี การจดทะเบียนแต่งงานใหม่กับฝรั่ง  คงประสบความสำเร็จ จึงกลับมาถีบหัวส่งน้องชายดิฉันจริงๆ  (ดิฉันเชื่อค่ะ ว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้ผู้ชายรักหลงได้จริงๆ ดูแต่น้องชายดิฉัน)   ทีนี้จึงอยากได้ลูก     เข้าใจค่ะ   ว่าหัวอกแม่ทุกคนก็รักลูก  เพียงแต่เหตุผล การกระทำ การแสดงความรัก  มันไม่ได้เหมือนกันทุกคน ผู้หญิงคนนี้  รักลูกแบบไหนล่ะ ถึงได้ทิ้งลูกทั้งสามีแอบหนีไปมีผัวใหม่  ถ้าน้องชายดิฉันมันเลวเหมือนผู้ชายหลาย ๆ คน  ดิฉันจะไม่ว่าอะไรเลย  นี่ลูกกับพ่อเขาก็รักผูกพันธ์กันดี   มันคิดว่าผัวฝรั่งจะรักลูกมันได้มากกว่า พ่อแท้ๆ หรือ  ถ้าเด็กยังเล็กจนจำพ่อมันไม่ได้มาก่อน ก็ยังอีกเรื่อง   มันรักลูกหรือมันทำร้ายลูกกันแน่  เพียงแค่จะโชว์ชาวบ้านว่าไม่ได้เลวร้าย มีผัวใหม่ร่ำรวยก็ไม่ลืมลูก ยังนับเป็นแม่ที่ประเสริฐอยู่เท่าเองค่ะ ในความคิดดิฉัน เข้าใจค่ะ ว่าทุกคนย่อมมีสิทธิ์ที่จะไขว่คว้าในสิ่งที่ตัวเองต้องการ  ถ้าหล่อนคนนี้จะขอแยกทางกับน้องชายดิฉันตรง ๆ เสียตั้งแต่แรก ดิฉันจะไม่ว่าอะไรเลย  แต่นี่มันเอาความรักความไว้ใจของน้องชายดิฉัน  ทำร้ายน้องชายดิฉัน  คงกะว่าไปทดลองอยู่กับฝรั่งหากไม่เวิร์คก็กลับมาหาน้องชายดิฉันได้   แล้วนี่เผอิญว่าไปได้สวย ได้ผัวฝรั่งร่ำรวยหลงใหลได้ดังใจปราถนา ดิฉันไม่ได้ไปอิจฉาอะไรหล่อนเลยนะคะ  บอกจริงๆ ผู้ชาย(ฝรั่ง)โง่ๆ ที่หลงใหลตัญหา ดิฉันไม่เคยคิดอยากได้มาทำพันธุ์หรอก   เพราะดิฉันไม่ใช่ผู้หญิงประเภทยอมบำเรอเซ็กส์ให้ผู้ชายเพื่อเงิน ดิฉันคิดว่า  หลายๆ ท่านคงทราบกันบ้างว่า  วิธีการหาสามีฝรั่งโดยให้พรรคพวก หรือญาติพี่น้องที่แต่งงานกับฝรั่งอยู่แล้ว  ติดต่อจัดการให้มันมีอยู่จริง  กรณีของเมียน้องชายดิฉันก็คือเรื่องจริงอีกหนึ่งตัวอย่าง  ทั้งที่ดิฉันก็ยังสงสัยอยู่ไม่วายจนถึงทุกวันนี้  ว่าเขาทำกันได้อย่างไร  บินไปหาผู้ชายที่ไม่เคยได้รู้จักพูดคุยเห็นหน้ากันมาก่อน ก็สามารถไปแต่งงานอยู่กินกับเขาได้ แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 53 13:24:47 จากคุณ : เศษไม้ฯ (เศษไม้ใบหญ้า) เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 13:15:13

ความคิดเห็นที่ 21 การไม่บันทึกหลังหย่าผลคือทั้งคู่มีสิทธิในการปกครองลูกเท่าๆกัน ทีนี้หากแม่เขาอยากได้ลูกไปอยู่ด้วยจริงๆ เขาก็ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาล ให้ผู้พิพากษาตัดสินว่าใครเหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองลูก ในกรณีนี้หากพ่อไม่เห็นด้วยและต้องการดูแลลูกแต่เพียงผู้เดียว ก็จงทำใจปล่อยเมียไปซะและเอาลูกไว้ โดยไม่ต้องไปยินยอมเซ็นต์เอกสารอะไรทั้งนั้น เพราะเอกสารที่จะเซ็นต์ยินยอมให้ลูกไปต่างประเทศกับแม่นั้นต้องไปทำที่อำเภอ ให้ไปเที่ยวได้แต่ไปอยู่ถาวรไม่ได้เพราะลูกอยู่ในความปกครองของพ่ออยู่ครึ่งหนึ่งด้วย ดังนั้นลูกจะไม่มีทางได้ไปอยู่กับแม่โดยวีซ่าถาวรเพื่อเรียนหนังสือตามที่แม่หวังได้ง่ายๆ นอกจากแม่จะเป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียว ... เห็นๆอยู่แล้วว่ามันไม่ง่ายเลย หากแม่เด็กอยากจะเอาลูกไปจริงๆเขาเองต้องไปตั้งทนายมาฟ้องฝ่ายพ่อ เพื่อเรียกสิทธิ์ของความเป็นแม่และผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวจากศาลเยวชนและครอบครัว การจะหวังให้พ่อเด็กมาเซ็นต์ยินยอมยกลูกให้มันไม่ได้ง่ายๆแค่หยิบปากกากับกระดาษมาเซ็นต์ มันต้องใช้เงินใช้เวลาใช้เอกสารสนับสนุนหลายอย่าง เพื่อให้การเปลี่ยนอำนาจปกครองเป็นไปอย่างถูกกฏหมาย หากน้องชายคุณต้องการเป็นผู้ดูแลลูกแม้จะถูกเมียหลอกให้หย่าไปแล้ว ก็ไม่ต้องไปทำอะไทั้งนั้น แค่ทำใจให้เข้มแข็ง ยืนยันจะเลี้ยงลูกต่อไป ใครก็มาเอาอำนาจความเป็นพ่อที่ดีมีความรับผิดชอบไปจากเขาไม่ได้ ตอนนี้ก็บอกความจริงกับลูกไป และถามความสมัครใจของเด็กเองว่าเขาอยากอยู่กับใคร หากเด็กอยากอยู่กับพ่อต่อไปโดยไม่มีแม่ก็ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าพ่อแม่จะไม่อยู่ด้วยกันอีกต่อไปแล้ว หากเด็กอยากไปอยู่กับแม่ที่ต่างประเทศก็ต้องอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เช่น พ่อใหม่ ภาษาใหม่ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นทุกวันในโลก เสียใจเสียความรู้สึกไปก็เสียเวลาไปเปล่าๆ ขอให้นึกถึงจิตใจของเด็กเป็นหลัก เพราะเขาไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย ตรงไหนที่เด็กอยู่แล้วเขามีความสุข เขาอยากอยู่กับใคร ให้เด็กได้เป็นคนเลือกบ้าง ... ผู้ใหญ่จะไปทำเรื่องเลวร้ายที่ไหนอย่างไรก็จงอย่าทำร้ายเด็ก บางทีเรื่องผัวๆเมียๆแบบนี้ เราคนนอกรู้อะไรก็ไม่เท่าพวกเขา ช่วยได้ก็แค่แนะนำ แต่ใครจะทำอย่างไรมันก็แล้วแต่เขา คนเกิดมาเป็นผัวเมีย พ่อแม่ลูก ก็ทำกรรมมาร่วมกันนั่นแล จากคุณ : กุศโลบายจากความจริง เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 53 20:56:02

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณ สำหรับคำแนะนำอีกครั้งค่ะ คุณ กุศโลบายจากความจริง ดิฉันได้แนะนำน้องชายไปทั้งหมดแล้ว  ก็แล้วแต่เขาจะตัดสินใจ จากคุณ : เศษไม้ฯ (เศษไม้ใบหญ้า) เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 14:52:01

ความคิดเห็นที่ 23 ยิ่งน้องสะใภ้ในอดดีตของคุณเป็นอย่างที่ว่ามา เราว่ายิ่งไม่น่ายกหลานให้ไปนะคะ เพราะดูแล้วว่า ไม่ได้มีความเป็นแม่ที่ดี เป็นตัวอย่างที่แย่ด้วยซ้ำ หากเค้าเป็นอย่างที่คุณว่า เค้าเป็นแม่ที่แย่มากแล้วหลานคุณผู้หญิงหรือผู้ชายคะ หากเป็นผู้หญิงเราห่วงว่าโตขึ้นจะเป็นอย่างไร ดีไม่ดีอาจส่งเสริมให้ลูกฟุ้งเฟ้อ เห็นแก่เงิน เราไม่รู้ว่าปัญหาของน้องชายคุณกับน้องสะใภ้คุณลึกๆคืออะไร หากผู้หญิงคนนี้ทะเยอทะยาน ฟุ้งเฟ้อ อยากรวย เลยหาสามีฝรั่งมาบำรุงบำเรอตัวเอง อย่ายกให้ไปค่ะ อาจดูเหมือนใจร้ายแต่ดูจากรูปการณ์แล้วน้องสะใภ้คุณน่ากลัวจริงๆ เมื่อไปอยู่ที่นั่นก็ใช่ว่าทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบลองได้หลอกน้องชายคุณขนาดนี้ ไม่แน่ฝรั่งคนนี้ก็คงโดนหลอกอยู่ ก็เป็นได้ พอหมดตัวก็ไปหลอกคนอื่นต่อไงคะ แล้วแน่ใจหรือว่าฝรั่งคนนี้จะรักลูกตัวเองเหมือนพ่อแท้ๆ หอบเงินมาใช้ที่ไทยเยอะก็จริงแต่ความเป้นอยู่ที่นั่่นเป็นยังไง พออายุเกิน 18 ปี เด็กจะอยู่ยังไง จะเกาะพ่อเลี้ยงฝรั่งไปถึงกี่ปี หรือว่าแม่เตนียมก๊อกสองหาสามีฝรั่งให้ลูกต่อ หรือยังไง อันนี้เราขอคิดในแง่ร้ายไว้ก่อนนะคะ จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 18:39:32

ความคิดเห็นที่ 24 ปล. ต่ออีกนิดวิธีการหาสามีแบบที่คุณว่ามีจริงๆค่ะ ประเภทเอารูปให้กันดู แล้วผู้หญิงก็บินมาให้ผุ้ชายดูตัวแต่งานกัน บางทีผู้ชายก็บินมาแต่งงานด้วยเลย ประเภทปากต่อปากมีเพื่อนไปสัมภาษณ์คนที่อยู่ในหมู่บ้านในภาคอีสานที่มีสามีฝรั่งกันทั้งหมู่บ้านน่ะค่ะ เค้าบอกว่าเริ่มจากมีผู้หญิงในหมู่บ้านแต่งงานกับฝรั่งจากนั้นก็มาเยี่ยมบ้าน ผู้หญิงในหมุ่บ้านก็แก่เอารูปมาให้ผู้หญิงคนนี้ ฝากไปให้เพื่อนฝูงของฝ่ายสามีดู ถูกใจจากรูปถ่านยก็บินมาแต่งงานกันเลยค่ะ อย่างเจอกันทางเน็ตนี่ยังได้แชท พูดคุย ศึกษากันบ้าง แต่บางทีคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี่ภาษาไม่ได้เลยนะคะ อาศัยภาษามือ และมาเรียนรู้ภาษากันทีหลังจากสามี และส่วนใหญ่ที่เห็นที่ได้สามีจากวิธีการนี้จะเป็นคนแก่วัยเกษียณที่ต้องการคนดูแล รัก็คงรักน่่ะคะ มีทั้งบินมาอยู่ไทยและให้สาวไทยไปอยู่ด้วย โชคดีก็ดีไป แต่โชคร้ายก็จะเจอปัญหาเรื่องการปรับตัว วัฒนรรม ความเป็นอยู่ ไลฟ์สไตล์ บางคนไปแล้วเจอกดขี่ข่มเหง ทางเพศก็มีแต่ไม่กลับเพราะอายชาวบ้าน ก็ต้องทนอยู่ต่อไป แบบหวานอมขมกลืน บางคนก็ไปมีชู้กับผู้ชายอื่นที่หนุ่มกว่า บางคนก็ถลุงจนฝ่ายชายเงินหมดก็เลิก เสาะแสวงหาผู้ชายคนออื่นต่อไป นี่แหละค่ะชีวิตจริง จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 21:00:51

ความคิดเห็นที่ 25 หลานเป็นผู้ชายค่ะ คุณ loveTRAVEL1977   ถ้าเป็นผู้หญิงดิฉันจะค้านหัวชนฝาทีเดียวไม่ให้ปล่อยไปแน่  คิดดูก็แล้วกัน  ผู้ชายฝรั่งทุ่มเงินให้เธอมาทำศัลยกรรมเสริมหน้าอก  มันรักแบบไหนล่ะ (ผู้หญิงกลับมาเสริมหน้าอกจริงๆ ค่ะ) รักหลงกันในรูปลักษณ์ภายนอกแบบนี้ จะไปได้สักกี่ปี  แต่ก็ช่างเขาดีกว่านะ นี่เห็นน้องชายบอกจะยอมให้ลูกไป  เพราะเห็นว่าเป็นลูกผู้ชายจะต้องเข้มแข็ง ว่างั้น  บางทีอยู่กับแม่ก็น่าจะดีกว่า  เพราะแม่เขาไม่ได้ทำงาน  มีเวลาควบคุมดูแลลูกมากกว่า  น้องชายดิฉันต้องทำงานทุกวัน เช้ายันค่ำ  ลูกชายก็เอาแต่เล่นเกมส์ทั้งวัน การเรียนไม่เอาไหน  น้องชายบังคับลูกไม่ได้เลย  ปล่อยให้ลูกกินและก็เล่นแต่เกมส์ จนอ้วนฉุแล้ว  แม่เขากลับมาเห็น  ก็ยิ่งต่อว่า  ว่าเลี้ยงลูกให้ดีไม่ได้    น้องชายเขาก็ยอมรับตัวเองตรงนี้ แต่ก็จะอนุญาตให้ไป  ตามที่คุณๆ  แนะนำมานั่นล่ะค่ะ  หากสามารถทำได้จริงๆ  ก็ยังไม่รู้ว่า  ฝ่ายนั้นจะยอมหรือเปล่า  ถ้าไม่ยอมก็จะคาราคาซังกันไปอีก ทางครอบครัวเราก็คิดกันว่า หลานเราแต่มันก็ลูกเขา  แต่น้องเรา มันคือน้องเรา เค้าจะเอาลูกเค้าไปได้ดี จริงหรือไม่จริงก็ตามแต่ ยังไงเขาก็รักลูกเขา  แต่ก็ช่างเขาเหอะ  ดิฉันได้ยินว่าน้องชาย  เข้มแข็งขึ้น ทำใจได้บ้างแล้ว  ก็ดีใจแล้วค่ะ จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 22:20:26

ความคิดเห็นที่ 26 ค่ะงั้นปล่อยให้ลูกไปอยู่กับทางแม่ดีกว่า ผิด ถูกยังไงให้เค้ารับผลของการกระทำของเค้าเองค่ะ ดูจากรูปการไว้อดีตน้องสะใภ้ของ จขกท.ไม่ธรรมดาจริงๆ อย่างที่คุณบอกค่ะ รักกันที่เปลือกนอก อาจเป็นประเภทตื่นทองก็ได้นะคะ คนไม่เคยมีหรือมีจนเคยตัวเลยเหลิงและคิดว่านี่คือที่สุดของชีวิตเค้าแล้วกับการได้แต่งงานกับฝรั่ง เป็นกำลังใจให้น้องชายคนต่อไป และหวังว่าหลานชายคุณจะไปได้ดีกับพ่อเลี้ยง (ไม่แน่ใจว่าอายุพ่อเลี้ยงเท่าไรรุ่นปู่เลยมั้ย)และไม่มีปัญหาบ้านแตกในอนาคต เพราะคนที่เจ็บที่สุดคือเด็ก และไม่รู้ว่าแม่ของเด็กจะสอนเด็กว่าไงบ้าง เฮ้อ ปล่อยเค้าไปตามเวรกรรมค่ะ จากคุณ : loveTRAVEL1977 เขียนเมื่อ : 24 ต.ค. 53 23:06:40

ความคิดเห็นที่ 27 ตอนนี้  น้องชายทำใจได้เยอะแล้วค่ะ  ดิฉันเองก็ดีใจ  และไม่อยากคิดอาฆมาตพยาบาทใคร (เป็นคนแบบนี้แหละ) คิดไปคิดมา  ก็เห็นใจเธอนะ  ชีวิตก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่คิดว่าดีกว่า ทำไมจะต้องมาทนอยู่กับคนจนๆ ที่มองไม่เห็นความสุขสบาย  เห็นเขาตกลงกันด้วยดี  ก็รู้สึกดีไปกับเขาแล้ว  เลิกรากันก็ควรจะมิตรกันได้ อย่างน้อยลูกก็ไม่รู้สึกลำบากใจ  ไปมาหาสู่ได้ทั้งทางพ่อ และทางแม่ ดิฉันไม่รู้สึกโกรธแค้นอะไรเขาแล้วล่ะค่ะ    ให้เขาได้ดีและเลี้ยงลูกให้ได้ดีเถอะ บางที  ดิฉันก็นึกสงสัยว่า ฉันกับเธอ ใครกันแน่ที่เป็นแม่ที่ดีกว่ากัน  จากคุณ : เศษไม้ใบหญ้า เขียนเมื่อ : 27 ต.ค. 53 17:02:54