|
ตอบตามประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ ที่เคยส่งใบสมัครเรียนต่อมาทั่วราชอาณาจักรโลก ว๊าย จะเว่อร์ไปไหมเนี่ย คริ คริ
ทุกที่เน้นอันดับแรกคือเรื่องคะแนนภาษาอังกฤษค่ะ อันนี้เป็นด่านแรก ไม่ว่าจะเรียนสาขาอะไร คณะอะไร ภาษาอังกฤษต้องผ่านเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ก่อนค่ะ ยกเว้นจะต่อรองได้ (แต่ต้องมีคะแนนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์เขามากนัก)
ก็คงทราบกันดีว่าใน USA เน้นการใช้คะแนนจาก TOEFL ส่วน UK, Australia, New Zealand ก็ต้อง IELTS คะแนนที่ได้ตามเกณฑ์หรือได้มากกว่าเกณฑ์จะมีส่วนสำคัญต่อการพิจารณาใบสมัครในอันดับแรกค่ะ ถ้าไม่ได้มันจะลำบากค่ะ ถามว่าถ้าได้คะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์มีสิทธิลุ้นไหม ก็มีค่ะ แต่ขึ้นกับว่าคุณจะเลือกมหาวิทยาลัยไหน เพราะถ้ามหาวิทยาลัยดังๆ เขาก็จะไม่ค่อยหยวนๆ ให้หรอก แต่ถ้ากลางๆ เขาก็อาจมี option ประเภทให้เรียนภาษาอังกฤษก่อนได้ จะเรียนมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นกับคะแนนภาษาอังกฤษที่เราได้ ถ้าเราได้ใกล้เกณฑ์เขาก็อาจเรียนเพิ่ม 5-10 สัปดาห์ แต่ถ้าห่างมากก็อาจ 15 สัปดาห์ อย่างไรก็ดีถ้าจะไปเรียนในสาขาเอกภาษาอังกฤษ คงต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษสูงตามเกณฑ์หรือมากกว่าเกณฑ์เขาเลยล่ะค่ะ เขาคงไม่น่าให้คนที่คะแนนต่ำกว่าเกณฑื
ใน USA คะแนน TOETL (ปัจจุบันเป็นการสอบ IBT กันแล้ว ในประเทศไทยยังเหลือสอบ PBT ปีละ 2-3 ครั้ง นานๆ เปิดสอบ แต่ที่นั่งจะเต็มเร็วมากค่ะ) มาตรฐานของเขาก็อยู่ที่ประมาณ 550 (คิดเทียบแบบ PBT นะคะ) แต่ในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ มัก 580-600 แล้วยังขึ้นกับสาขาวิชาด้วยค่ะ ถ้าสาขาทางกฎหมาย ภาษาศาสตร์ และพวกที่ต้องใช้ภาษาเยอะๆ ก็จะต้องการคะแนนสูงระดับ 590-600 หรือมากกว่าค่ะ
ส่วน IELTS มาตรฐานก็อยู่ที่ 6.5 ล่ะค่ะ แต่ทางสายภาษาศาสตร์ กฎหมาย และที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษามากๆ ก็ต้อง 7 up ค่ะ และในมหาวิทยาลัยดังๆ บางแห่ง เช่น Oxford, Cambridge ก็จะเริ่มต้นที่ 7 ทั้งนั้นค่ะ
ส่วนที่ Japan รับทั้ง IELTS และ TOEFL ค่ะ ตามมาตรฐานของประเทศอื่นๆ แต่บางมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นเขาก็ไม่เอาคะแนนสอบภาษาอังกฤษค่ะ แต่เอาภาษาญี่ปุ่นแทน แต่ถ้ามหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ดังๆ เช่น University of Tokyo (UT หรือ Todai) จะเอาภาษาอังกฤษเป็นหลักเลยค่ะ คะแนนก็ต้องสูงตามเกณฑ์หรือสูงๆ ไปเลยค่ะ อ่อ ต้องใช้ผลสอบ GRE เช่นเดียวกับ USA ด้วยค่ะสำหรับ UT
ทีนี้ ถ้า จขกท. จะสมัครเรียนที่ USA ก็จะต้องมีคะแนน GRE ด้วยนะคะ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะ ก็ต้องได้ตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยเขากำหนดไว้ ซึ่งแตกต่างกันไปตามสาขาวิชาหรือมหาวิทยาลัยนั้นๆ กำหนด (ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมากๆ จะกำหนดไว้สูง)
เมื่อคะแนนภาษาอังกฤษเราเริ่ด ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นค่ะ
ส่วน GPA มีผลต่อการสมัครมากน้อยแค่ไหน ก็มีสำหรับมหาวิทยาลัยใหญ่ๆดังๆ ค่ะ เช่น Harvard จะกำหนดไว้เลยว่าคุณต้องได้ปริญญาตรีเกียรตินิยม อะไรแบบนั้น แต่ก็อย่าเพิ่งไปคิดมากค่ะ มีมหาวิทยาลัยทั่วโลกและทั่วจักรวาลค่ะ ที่พร้อมจะรับเราแม้ GPA จะไม่ได้สูงมากก็ตาม เพราะทุกแห่งสอนให้ทุกคนมีความรู้ได้ค่ะ ความรู้อยู่ในสมองเราค่ะ อย่าได้แคร์ค่ะว่าคนจะมองว่าเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไม่ดังมาก เอาสมองของเรามาใช้ประโยชน์ในทางที่ดีและความคิดสร้างสรรค์จะดีกว่าค่ะ เกรดบอกอะไรเราได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ตอนเรายังเด็กๆ เราอาจขึ้เล่นไปนิด ลืมตั้งใจเรียนไปหน่อย แต่ก็ต้องมีสักแห่งให้โอกาสเราค่ะ อันนี้พูดเผื่อคนอื่นด้วยค่ะ อย่าได้ท้อ อย่าได้ยอมแพ้
ถามว่าส่วนอื่นๆ ก็มีผลประกอบ เช่น ประสบการณ์การทำงาน ในบางสาขา อาจพิจารณาประสบการณ์ประกอบด้วย แต่บางสาขาก็ไม่จำเป็นนะคะ ที่แย้มพูดแบบนี้ได้เพราะแย้มมีเพื่อนหลากหลายสาขาที่ไปเรียนต่างประเทศ จึงรู้ค่ะว่าจำเป็นต้องใช้มากน้อยแค่ไหน บางคนไม่มีประสบการณ์ทำงานก็สมัครเข้าได้คะ ถ้า GPA สูง และคะแนนภาษาอังกฤษสูง และบางสาขาเขาไม่ได้กำหนดไว้ค่ะ อย่างไรก็ดีทุกอย่างก็ย่อมมีประโยชน์ทั้งนั้นคะ แย้มเชื่อว่าประสบการณ์ที่มี ก็จะช่วยให้เขาพิจารณาคุณในแง่บวกระดับหนึ่งค่ะ ใส่ไว้ใน CV เลยเจ้าค่ะ
ดังนั้น คุณก็ต้องเตรียม CV (ควรใส่ว่ามีอาจารย์ชาวไทย/ต่างชาติคนไหนที่เป็น personal ให้คุณได้ในส่วนสุดท้ายนะคะ) ให้ดีๆ นะคะ
ส่วน Recommendation letter ไม่ค่อยมีผลกระทบมากมายค่ะ ถ้าอาจารย์คุณไม่ได้ recommend คุณแย่ไปเลย ส่วนใหญ่อาจารย์ท่านก็คงไม่คิดทำร้ายลูกศิษย์ตนหรอกค่ะ จะมีก็คงน้อยมากๆ นั่นคือความซวยไป แต่เราคงเลือกอาจารย์ที่ท่านคงเอ็นดูเราให้เขียนให้อยู่แล้วใช่ไหมละคะ ดังนั้น ส่วนนี้ ไม่ต้องห่วงค่ะ บางที่ก็ไม่ค่อยดูอะไรมากหรอก เป็นเหมือนส่วนเสริมมากกว่าค่ะ
ส่วน Personal Statement หรือ Statement of Purpose ก็สำคัญในระดับกลางๆ ค่ะ แต่ถ้าใครสามารถเขียนให้โดดเด่นพิเศษแตกต่างจากชาวบ้านชาวช่อง (แต่ไม่แปลกจนเกินมนุษย์) เขาก็อาจชอบค่ะ
ทั้งหมดทั้งมวล แย้มคิดว่า แต่ละส่วนมันช่วยเสริมกันนะคะ แต่ด่านแรกที่จะไฟเขียวมากๆ คือ คะแนนสอบภาษาอังกฤษ (+ GRE ถ้าจะสมัครใน USA และ UT ของ Japan) การเตรียมตัวที่ดี ทั้ง CV และ Personal statement ไม่ให้มีข้อบกพร่องจะทำให้เขาประทับใจเราเพิ่มขึ้นค่ะ
หาข้อมูลมหาวิทยาลัยที่อยากเรียน ถ้าเรามีคะแนนดีก็ลองส่งไปที่ดังๆ ด้วยค่ะ แล้วก็กระจายไปที่กลางๆ ด้วยค่ะ แต่ถ้าคะแนนเราไม่สูงมาก แต่ก็อยู่ในระดับมาตรฐานก็ส่งไปที่กลางๆ ดู ลองเสี่ยงส่งไปที่ดังๆ สักที่สองที่ ก็ไม่เลวร้ายหรอกค่ะ ทำใจเผื่อเอา คนเรามันก็ต้องมีลองผิดลองถูกแหล่ะค่ะ ส่งใบสมัครไปหลายที่ไม่น่าเกลียดหรอกค่ะ เรามีสิทธิเลือกนะคะ ไม่ใช่ให้แต่เขาเลือกเรา คริ คริ บางทีไม่ได้เรียนในที่ดังมากมายก็เก่งได้ค่ะ คนเรามันฝึกให้เก่งได้ตอนเรียนและเรียนให้ตัวเองเก่งขึ้นมาได้ (เรียนรู้ด้วยตัวเอง) เพราะคนเรามันพัฒนากันได้ค่ะ เพื่อนแย้มคนหนึ่งตอนเรียน ม.ปลาย เรียนแย่มากๆ แต่พอเรียน ป.ตรี ได้เกียรตินิยมเฉยเลย หรือรุ่นพี่บางคนมานั่งเรียนรีเกรดในวิชาเดียวกับเรา เรียนไม่ค่อยเก่งมาก แต่เขาจะถนัดในบางวิชา ตอนนี้กำลังเรียนต่อโท เริ่ดๆ เก๋ๆ แถมได้ข่าวว่าฝรั่งชอบมากๆ ด้วย แบบว่ามีการจองตัวไปทำงานด้วย ไม่อยากให้กลับเลยล่ะ แรงส์ มาก อิจฉาซะไม่มี นี่แหล่ะค่ะ เขาเรียกว่าคนเราพัฒนากันได้ แถมประสบการณ์และความถนัดก็ต่างกันไงคะ เริ่ด ค่ะ จบค่ะ
ว๊าย อย่าถามนะคะว่าแย้มเรียนอะไร แบบว่าเขินค่ะ ให้รู้แต่เพียงว่า แย้มทั้งสาว ทั้งสวย น่ารัก ขาว วัยเดียวกับนิชคุณค่ะ แย้มชอบเชิดใส่หนุ่มๆ ค่ะ เพราะแย้มอยากเป็นโสดเล่นๆ ซะงั้น คริ คริ ไม่ใช่ค่ะ กลัวคนเจ้าชู้ค่ะ เคยเจอคนเจ้าชู้มาหลอกค่ะ ตบหน้าหงายทั้งชายและหญิงมาแล้วค่ะ ดีที่เรารักนวลสงวนตัว ตอนนี้ตั้งใจเรียนดีกว่าค่ะ เชิดใส่ทุกกรณี ค่ะ
จากคุณ |
:
คุณหญิงแย้ม ณ นางทาส (คุณหญิงแย้ม ณ นางทาส)
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ต.ค. 53 14:07:18
|
|
|
|
|