|
ที่คุณไอถาม คงหมายถึง เครื่องตีไข่ขนาดใหญ่ (Stand Mixer ) นะคะ
ตอนที่ตัวเองตัดสินใจซื้อนั้น....อันดับแรกก็คือ ความแข็งแรง ทนทาน สามารถใช้งานต่อเนื่องกันได้เป็นระยะเวลานานกว่าเครื่องตีไข่ชนิดมือถือ ( Hand Mixer) เหมาะสำหรับการผสมส่วนผสมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเค้ก ขนมปัง คุ๊กกี้ ฯลฯ ได้ทีละมาก ๆ สำหรับผู้ที่ใช้งานบ่อย ๆ
เครื่องตีไข่ชนิดนี้ เป็นเครื่องตีที่มีน้ำหนักมากพอควร ราว ๆ 8-12 กก. เพื่อทำให้ตัวเครื่องสามารถยืดติดอยู่กับโต๊ะหรือฐานที่ตั้ง โดยไม่เคลื่อนที่ไปไหนขณะเวลาที่เราใช้งาน และเนื่องจากเครื่องมีน้ำหนักมาก เมื่อนำไปตั้งไว้แล้ว จึงไม่นิยมขนย้ายไปไหน และไม่สามารถถอดเป็นชิ้น ๆ เก็บได้ เหมือนเครื่องตีไข่มือถือ หรือ เครื่องตีไข่มือถือชนิดมีฐาน ดังนั้น.....ต้องคำนึงถึงเนื้อที่ส่วนนึงในครัว กันไว้ให้เจ้าเนี่ยแบบถาวร
วิธีการเลือกซื้อ
1). ความจุ และ ลักษณะของตัวเครื่อง ....ว่าจุได้พอกับที่เราต้องการไหม? ซึ่งโดยส่วนใหญ่ เครื่องตีไข่แบบนี้ที่เคยเล็ง ๆ มานั้น ขั้นต้นมักจะมีความจุประมาณ 5 กก. แล้วก็ดูลักษณะของอ่างด้วยว่า เมื่อใส่ส่วนผสมลงไปแล้ว เวลาเปิดเครื่องตี หัวตีสามารถกวาดได้ถึงก้นอ่าง หรือเกือบ ๆ ไหม
2). กำลังของเครื่อง (วัตต์).... ในเมื่อเราไม่ใช่ช่างเทคนิคตัวจริงเสียงจริง ก็เลือกเอาตรงนี้เป็นหลักไว้ก่อนอย่างเดียวก่อน (วัตต์สูง ๆ ) ก็ได้ค่ะ เพราะอันที่จริง เครื่องที่มีกำลังวัตต์สูง ก็ใช่ว่าจะเป็นเครื่องที่มีกำลังในการทำงานสูงเสมอไปเช่นกัน เนื่องจากส่วนประกอบปลีกย่อย เช่น รูปทรง การออกแบบต่าง ๆ มันก็มีผลของต่อกำลังการทำงานของเครื่องเช่นกัน
แต่จากที่เคยอ่านเจอในเวบไหนก็จำไม่ได้แล้ว เค้าแนะนำไว้ว่า... ให้ดูจากปริมาณถ้วยของแป้ง (สูงสุด) หรือน้ำหนักรวม (สูงสุด) ที่เครื่องจะรับได้ ยิ่งรับได้มากเท่าไหร่ ก็แสดงว่าเครื่องมีกำลังในการทำงานดีมากขึ้นค่ะ
3). เสียง ... เป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ถ้าทำได้ ตอนเลือกซื้อ ให้พนักงานเค้าทดลองเปิด ใช้งานให้ดู เราก็ทดลองฟังเสียงดูสัก 1-2 นาที ว่ามันจะดังในระดับที่เรารับได้ไหม หรืออาจจะฟังให้นานขึ้นเป็น 2-3 นาที เพราะเครื่องบางเครื่อง เปิดใช้งานตอนแรก ๆ เสียงไม่ค่อยดัง แต่พอใช้งานไปสักแป๊บ เสียงจะเริ่มดังขึ้นค่ะ
4). ระดับความเร็ว (สปีด)ของหัวตี ... อย่างน้อยควรให้มีความเร็ว 5 ระดับ เครื่องที่ใช้อยู่นั้น มีถึง 12 ระดับ ซึ่งสะดวกในการใช้งานมาก
5). ชนิดของหัวตี ... ส่วนใหญ่ มักจะมีหัวตีมาให้ 3 แบบ คือ ใบไม้ สำหรับตีแป้งเค้ก , ตะกร้อ สำหรับตีไข่ , ครีม และ ตะขอ สำหรับนวดแป้งขนมปัง แต่ในบางยี่ห้อ อาจจะให้มาไม่ครบ หรือเป็นหัวชนิดอื่น (ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน) ทำให้เราต้องเสียตังค์ซื้อเพิ่มในอันที่เราจำเป็น ก็ควรดูในส่วนนี้หน่อยก็ดีค่ะ
6). การบริการหลังการขายและการรับประกัน ... ค่อนข้างสำคัญทีเดียว ลองดูว่าเครื่องยี่ห้อที่เราสนใจนั้น เค้ารับประกันให้กี่ปี (ส่วนใหญ่รับประกัน 1 ปี / บางยี่ห้อก็รับประกัน 3 ปี) แล้วเวลามีปัญหาสามารถติดต่อเคลม ส่งซ่อมได้ที่ไหน ใช้เวลานานไหม ซึ่งคงต้องลองหาอ่าน Feedback ตามเวปไซส์ต่าง ๆ ที่คนที่เค้าซื้อไปใช้แล้ว เกิดปัญหา ได้รับการบริการที่ดีไหม
* เครื่องตีไข่แบบตั้งโต๊ะยี่ห้อดัง ๆ และเป็นที่นิยมกันทั่วไป ก็คงไม่พ้น Kitchen Aid (จนใช้ชื่อ มาใช้เรียกเจ้าเครื่องประเภทนี้ค่ะ ) เป็นเครื่องในฝันของคนทำเบเกอรี่แทบทุกคน เนื่องจาก....เครื่องยี่ห้อนี้ (เครื่องตีไข่สัญชาติอเมริกา) ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องที่ทนทานต่องานหนัก ใช้งานติดต่อกันได้เป็นระยะเวลานาน ขณะทำงานก็เสียงเงียบ และมีกำลังเครื่องที่ดี อีกทั้งยังมีหัวตีที่หลากหลาย ให้เลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสม แล้วก็ยังมีสีให้เลือกอีกมากมายด้วย แต่สนนราคา...ก็ทำให้เป็นโรคซีด ทรัพย์จางไปได้ทันตาเช่นกัน
อีกยี่ห้อที่นิยมรองลงมา ก็คือ.... ยี่ห้อ Kenwood สำหรับยี่ห้อนี้ ตัวเครื่องและอุปกรณ์แทบทั้งหมด ทำด้วยโลหะ ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว ดูดีกว่า Kitchen Aid พอสมควร สนนราคาก็ไม่ทิ้งห่าง แตกต่างจาก Kitchen Aid เท่าไหร่ค่ะ
ตอนที่ซื้อนั้น...มีงบไม่ถึงทั้ง 2 ยี่ห้อดัง ๆ ข้างต้น เลยตัดใจซื้อยี่ห้อ Electrolux มาใช้แทน จากที่ใช้มาได้เกือบ 3 ปีแล้ว ยังไม่เคยมีปัญหา (เสียต้องส่งซ่อม) จะติมันจิ๊ดหนึ่ง ก็ตรงเสียง ค่อนข้างดังพอควร แต่โดยรวม ๆ แล้ว ก็ถือว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายไปค่ะ
หวังว่า....คงพอเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจไม่มากก็น้อยนะคะ
รูปของเครื่อง รุ่นที่ใช้อยู่
จากคุณ |
:
เต่าญี่ปุ่น
|
เขียนเมื่อ |
:
28 ธ.ค. 53 08:29:20
|
|
|
|
|