|
ผมจะบอกวิธีแก้ปัญหาให้ครับ (นอกเรื่องนิดหน่อย)
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ขยันมาก ๆ ดูหนังสือหนัก แต่ก็ไม่เก่งภาษาอังกฤษเสียที เพราะว่าเขาแก้ปัญหาไม่ตรงจุดครับ การเรียนภาษาอังกฤษ ใช้วิธีเดินลุยอย่างเดียวไม่ได้ ผมยกตัวอย่างว่า คุณฝึกเขียน Essays 100 บทความ แต่ไม่มีคนตรวจเลยสักบทความ คุณจะไม่มีทางพัฒนาทักษะการเขียนของคุณได้เลย เพราะคุณไม่ได้เรียนรู้จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นครับ
ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่คุณต้องให้เวลากับมัน ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและถูกวิธี อย่างระบบการศึกษาไทย เน้นให้เด็กเรียนแต่ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (English Grammar) ผมเลยไม่แปลกใจที่ นักเรียนไทยส่วนใหญ่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ
ทำไมต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง? ทักษะทางภาษา เป็นทักษะที่ต้องมีการใช้ มีการฝึกฝนอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความเคยชินหรือความคล่องในการใช้ และเพื่อให้ความรู้ภาษาอังกฤษซึมซับเข้าสู่ความจำระยะยาว ถ้าคุณเรียนภาษาอังกฤษสามเดือน แล้วหยุดไป พอกลับมาเรียนอีกครั้ง คุณก็ต้องเริ่มใหม่หมดเลย คุณอาจจะเหลือความรู้บางส่วนที่ติดมา แต่ส่วนที่สำคัญมันไม่ได้เข้าสู่ความจำระยะยาวของคุณ นี่คือสาเหตุหนึ่งที่ว่าทำไมเด็กไทยส่วนใหญ่ถึงไม่เก่งภาษาอังกฤษ
ทำไมต้องถูกวิธี? ในบรรดาทักษะฟัง พูด อ่าน เขียนทั้งสี่ทักษะนี้ ผมขอถามว่า เด็กฝรั่งเกิดมาเขาเรียนทักษะอะไรอย่างแรก? เขาเรียนทักษะการฟังเป็นทักษะแรก ตามมาด้วยการพูด พอพูดเสร็จก็อ่าน อ่านได้คล่องก็เขียนเป็น แต่ในโรงเรียนไทย นักเรียนกลับต้องเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเป็นอย่างแรก และเรียนเยอะที่สุด ด้วยเหตุนี้ ทำให้เด็กไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบและไม่เก่งภาษาอังกฤษ
ทำไมต้องใช้เครื่องมือในการเรียนที่มีประสิทธิภาพ? เพราะเครื่องมือเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น สื่อการเรียนตามอินเตอร์เน็ต หนังสือ ฯลฯ ล้วนเป็นผู้ช่วยมือขวาของคุณ มันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้น ใส่ใจเลือกเครื่องมือหน่อยครับ ผมยกตัวอย่าง นาย A กับ นาย B ไปเลือกซื้อหนังสือ English Grammar นาย A เลือกเล่มไหนก็ได้ที่ราคาถูก ๆ ไว้ก่อน แต่นาย B เลือกของ Raymond Murphy ซึ่งเป็น Grammarian ระดับโลก แพงแต่คุ้มกว่า คุณภาพดีกว่า
การพัฒนาทักษะการอ่าน ควรเริ่มจากการเรียน Sentence Structure ควบคู่ไปกับการฝึกอ่านนิตยสาร/หนังสือ/นิยาย/บทความ ภาษาอังกฤษที่เราชอบ โดยอ่านเป็นประจำครับ
การพัฒนาทักษะการฟัง ควรเริ่มจาก การฝึกฟังผ่าน Podcasts ใน iTunes ซึ่งมีให้เลือกฟังเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น VOA, BBC, CNBC, CNN, หรือ NPR และมีความเร็วหลายระดับครับ
การพัฒนาทักษะการพูด เป็นทักษะที่พัฒนายากที่สุด เพราะหาเจ้าของภาษามาฝึกพูดตลอดเวลายาก ถ้าอยากเห็นผลจริง ๆ แนะนำให้ไปเรียนภาษาที่ต่างประเทศครับ
การพัฒนาทักษะการเขียน ตามหลักแล้วจะเก่ง Writing ได้ ควรจะเก่ง Reading มาก่อนครับ ผมแนะนำให้หานิตยสารภาษาอังกฤษหรือหนังสือภาษาอังกฤษอะไรก็ ได้มาอ่านให้เป็นกิจวัตรครับ อ่านแล้วหัดสังเกตวิธีใช้คำศัพท์ วิธีเรียงประโยค ส่วนประกอบต่าง ๆ ครับ
ในขณะเดียวกันต้องศึกษา Word Building และ Sentence Structure ควบคู่ไปด้วยครับ
แน่นอนว่า English Grammar เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ใน Writing ตำราเหล่านี้ เป็นหนังสือระดับตำนานครับ (ลองไปดู Comments และ Ratings ใน Amazon.com ดูครับ) เขียนโดย Grammarian ซึ่งเป็นอาจารย์ด้านภาษาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
- Practical English Usage - 3rd Edition by Michael Swan [Oxford]
- English Grammar in Use - 3rd Edition with answers and CD-ROM by Raymond Murphy [Cambridge] มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยแต่ไม่มี CD ครับ
- Understanding and Using English Grammar (with Answer Key and Audio CDs) - 4th Edition ของ Betty Schrampfer Azar มีฉบับแปลเป็นภาษาไทยแต่ไม่มี CD ครับ
หนังสือภาษาไทย
- Advanced English Grammar for High Learner ของ สำราญ คำยิ่ง
- รู้ทันสันดาน Tense ของ คุณเฑียร ธรรมดา
ที่ขาดไม่ได้อีกอย่างหนึ่งในการเขียนภาษา อังกฤษคือพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ - Longman Dictionary of Contemporary English - Oxford Advanced Learner's Dictionary - Cambridge Advanced Learner's Dictionary - Macmillan English Dictionary for Advanced Learner - Collins COBUILD Advanced Learner's English Dictionary - Merriam-Webster's Collegiate Dictionary ไม่แนะนำ Merriam-Webster's Advanced Learner's English Dictionary เพราะผมคิดว่าศัพท์ค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเล่มอื่นครับ
เลือก เอาสักเล่ม แต่ผมแนะนำของ Longman ครับ พจนานุกรมภาษาอังกฤษเหล่านี้จะมี ตัวอย่างการใช้ประโยค มีสำนวน มีวลี มีสุภาษิต มี Phrasal Verbs มีการใช้ Prepositions ฯลฯ ให้ดูครับ ทำให้เราทราบว่า ควรเขียนอย่างไร
พอ เก่งขึ้นมาอีกระดับแล้ว ก็ต้องอ่านสองเล่มนี้ครับ (ระดับตำนานอีกเช่นเคย)
- The Elements of Style ของ William Strunk Jr. and E.B. White
- On Writing Well, 30th Anniversary Edition: The Classic Guide to Writing Nonfiction
ถ้าคิดว่าพร้อมตอนไหน หาหนังสือ Academic Writing (แนะนำของ Longman) สักเล่มมาดูก็ได้ครับ ดู Style ดูพวกตัวเชื่อมต่าง ๆ แล้วเริ่มเขียนได้เลยครับ ที่สำคัญที่สุด ต้องมีคนตรวจที่เชื่อถือได้ตรวจทุกครั้งครับ เราต้องเรียนรู้จุดที่ผิดพลาด แก้ไข และ อย่าผิดอีก
ถ้าไม่มีคนตรวจให้ เขียนไปเหมือนล่องลอย เพราะเราไม่รู้ว่าเราไปถูกหรือผิดทางครับ
อีกอย่างหนึ่งคือ คลังศัพท์ ความจริงมันแล้วแต่ Field ที่คุณต้องใช้งานเขียนด้วยนะครับ แต่ถ้าอยากเน้น ผมแนะนำกลุ่มศัพท์ Academic Words หรือ TOEFL Words เพราะว่าศัพท์กลุ่มนี้จะเจอในชีวิตบ่อยมากครับ
ถ้าย้อนกลับไปศึกษา ตั้งแต่รากศัพท์ Prefix Suffix จะดีมากเลยครับ
ขอให้ประสบความสำเร็จ ในการเรียนภาษาอังกฤษครับ
จำไว้อย่างหนึ่งว่า มันไม่ได้เห็นผลในวันสองวัน เดือนหรือสองเดือน มันขึ้นอยู่กับความทุ่มเท ความพยายาม ความรู้เดิม เครื่องมือในการเรียน ฯลฯ
บางคนใช้เวลา 2-3 ปีถึงจะเขียนเก่งเลยครับ ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่ต้องค่อย ๆ สร้างและสะสมไปเรื่อย ๆ ครับ
ไม่รู้ว่าสายไปหรือเปล่า แต่หวังว่าคงมีประโยชน์ครับ
ถ้าสุดหนทางแล้วจริง ๆ ผมแนะนำที่ศศินทร์ แล้วค่อยเลือก Exchange ไปเรียนที่ Kellogg เทอมหนึ่งก็ได้ครับ
แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 13:02:43
แก้ไขเมื่อ 06 ธ.ค. 53 12:58:40
จากคุณ |
:
Rifle D.
|
เขียนเมื่อ |
:
6 ธ.ค. 53 12:55:12
|
|
|
|
|