ความคิดเห็นที่ 1 ฺBaggage หลายคนข้องใจเรื่องกระเป๋ามากถึงมากที่สุด กระเป๋าจะถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Checked Baggage กับ Carry-on baggage Carry - on :: โดยส่วนใหญ่จะมีขนาด  22" x 14" x 9" หรือรวมกัน 45" แล้วแต่สายการบิน และนอกจากนี้ยังสามารถหิ้วสัมภาระส่วนตัว (กระเป๋าถือผู้หญิง โน้ตบุ๊ค) ขึ้นเครื่องได้อีก 1 ชิ้น แต่ที่จริงแล้ว ก็พอเกินได้บ้าง เช่น หิ้วโน้ตบุ๊คใบนึง กระเป๋ากล้องใบนึง ของเหลวห้ามนำขึ้นเป็นดีที่สุด ถ้าจะนำขึ้นเครื่อง ขวดที่บรรจุต้องไม่เกิน 100ml. ไม่ว่าของเหลวนั้นจะเหลือน้อยแค่ไหนก็ตาม หากขวดเขียนว่า 250 ml. ก็ไม่ได้ จะโดนโยนทิ้งทันที... รวมถึงของมีคมต่างๆ มีด คัตเตอรื กรรไกรตัดเล็บ ส้อม อย่าเอาขึ้นเครื่อง http://thetravelinsider.info/travelaccessories/airlinecarryonluggageallowances.htm Checked :: ในการเดินทางแบบไฟลท์ Transpacific หรือบินข้ามแปซิฟิค (จริงๆ จากไทยบินข้ามแอตแลนติกก็กฎเดียวกันนั่นแหละ) จะสามารถมีกระเป๋าโหลดใต้ท้องเครื่องได้ 2 ใบ ใบละ 23 kg. อย่าเกิน! International Flight จะไม่เสียค่าโหลดกระเป๋า แต่หากเป็น Domestic Flight ในอเมริกาจะเสียค่ากระเป๋า ยกเว้นสายการบิน Southwest (ฟรี 2 ใบ) และ JetBlue (ฟรี 1 ใบ) แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าไหน Inter ไหน Domestic?? ...เขาจะดูการซื้อตั๋วตั้งแต่ต้นทาง ยันปลายทางค่ะ ถ้าน้องๆ ซื้อตั๋วแบบกรุงเทพฯ - ชิคาโก้ ต่อให้แวะ Transit 5 ครั้งในอเมริกา ไฟลท์นั้นก็ยังถือเป็น International Flight = ไม่เสียเงินค่าโหลดกระเป๋า แต่หากไปซื้อ bkk - lax แล้วมาซื้อ lax - mco ต่างหาก ไฟลท์ lax - mco จะต้องเสียค่ากระเป๋า เพราะถือเป็น Domestic Flight ราคากระเป๋าในการโหลดประมาณเท่าไหร่? ขึ้นอยู่กับสายการบินค่ะ ส่วนใหญ่ใบแรกโดยประมาณ $25 ใบที่สองจะประมาณ $35 แต่ในบางสายการบิน เช่น Continental (CO) หากจองล่วงหน้าในเน็ตว่าเรามีกระเป๋ามา checked ด้วย ราคาก็จะเหลือ $23 เหรียญค่ะ เช็คราคาได้จากลิ้งค์นี้... http://www.airfarewatchdog.com/blog/3801089/airline-baggage-fees-chart-updated/ หรือจะเช็คจากเว็บสายการบินก็ได้ค่ะ แล้วมันอยู่ตรงไหนของเว็บสายการบินล่ะ รายละเอียดพวกนี้? ก็อยู่ในเมนูพวก In flight / Check-in อะไรทำนองนี้ ทำไมต้อง 23 กิโล หรือ 7 กิโลสำหรับ carry-on?? เคยพูดไว้ในกระทู้นึงค่ะ ว่ามันเกี่ยวกับสวัสดิภาพของพนักงานเขา ในการยกกระเป๋าขึ้นเครื่อง 23 คือน้ำหนักที่พนง.คนนึงจะสามารถยกได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และ 7 กิโล คือน้ำหนักที่เราสามารถยกขึ้นไว้บนชั้นเก็บของบนศีรษะได้ รวมถึงหากพนักงานบริการบนเครื่องของเขามายกให้ ก็จะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพค่ะ ** ในการเดินทาง เมื่อรู้สายการบินที่จะขึ้น ขอให้ไปเช็คกฎระเบียบของสายการบินนั้นๆ นิดนึงก่อนจะเดินทางนะคะ ** แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 54 01:22:32 จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 23:00:50

ความคิดเห็นที่ 2 Locked or not?? หลายคนคงเคยได้ยินว่าไปอเมริกา ห้ามล็อคกระเป๋า จริงค่ะ!!! ถ้าล็อค และบังเอิญโดนสุ่มตรวจ จะโดนระเบิดล็อค ตัดกุญแจ หรือทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดกระเป๋ษคุณให้ได้ แต่เมื่อเขาตรวจเสร็จ เขาจะมีใบหลักฐานวางไว้ในกระเป๋าให้นะคะ ว่ากระเป๋าคุณได้ถูกตรวจโดย บลา บลา บลา... แล้วถ้ากลัวกระเป๋าหายทำยังไง? 1. ล็อคไป แต่เตรียมไปเผื่อ หากโดนระเบิดล้อก ก็มีอันใหม่ใช้ ถือคติที่ว่า อยากพังพังไป (แต่บางทีมันจะพังเยอะไปหน่อยนะ ให้ระวัง) 2. ใช้ล็อคที่ TSA (ตม.เมกา) รับรองค่ะ เพราะล็อคพวกนี้จะมีช่องให้ใช้กุญแจ universal หรือกุญแจผีนั่นแหละไขได้ ซึ่งตม.อเมริกา (คิดว่าคงทุกแห่งแล้วแหละ) มีกุญแจไว้ไขล็อคนี้ รวมถึงถ้ามีล้อครหัส ตม.เมกาก็จะไม่รู้รหัสเรานะคะ ล็อคของบริษัทที่เข้าร่วม คือ ยี่ห้อ Diamond เป็นรูปเหลี่ยมๆ สีแดง กับอีกยี่ห้อรู้สึกจะเป็นคบไฟอะไรทำนองนี้ จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 23:08:15

ความคิดเห็นที่ 3 Transportation ขอบอกไว้เลยว่าจริงๆ การเดินทางในอเมริกา จะว่ายากก็ยาก จะง่ายก็ง่าย คือในบางเมืองระบบการเดินทางภายในเมืองก็ไม่ได้ดีนัก คนมักจะใช้รถส่วนตัวมากกว่า แต่ในบางเมืองก็มี metro bus ที่รอบคลุมมาก แต่สิ่งที่ง่ายสำหรับอเมริกาคือ เครื่องบิน เพราะโดยเปอร์เซ็นส่วนใหญ่แล้ว เมืองใหญ่ๆ หลักๆ มีสนามบินหมดค่ะ การบินนี่ถือเป็นเรื่องปกติของคนอเมริกันเลยที่เดียว เพราะเร็ว สะดวก ไม่แพงมาก ถ้าพวกรถไฟ จะนาน เสียเวลา แถมแพง ถึงแพงมากที่สุด ส่วนพวกบัส ถูกก็จริง แต่เสียเวลา และคนที่ใช้บัส บางทีก้เป็นคนระดับล่างหน่อย (เหมือนกับคนที่ใช้รถเมล์ในอเมริกา จะเป็นคนระดับล่างมาก ถึงล่างที่สุด ทำให้รถเมล์ไม่ค่อยน่าขึ้นเท่าไหร่) Airplane นึกถึงเพลงของ B.o.B. ขึ้นมาเลยทีเดียว... คำแนะนำสำหรับคนขึ้นเครื่องบิน เช็คราคาที่เว็บ http://www.kayak.com ค่ะ เว็บนี้จะเปรียบเทียบจากหลายๆ เว็บและหลายๆ สายการบิน รับรองได้ว่า 95% เป็นราคาที่ถูกสุดแน่ๆ ส่วนที่อีก 5% คือ บางครั้งอาจจะมีเอเจนซี่อื่นๆ ที่ถูกกว่าซึ่ง kayak ไม่ได้ลิ้งค์มาเปรียบเทียบให้ ทำไมราคาตั๋วถึงไม่เท่ากัน?? มันขึ้นอยู่กับคลาสของตั๋วค่ะ ไม่เกี่ยวกับเก้าอี้ที่สบายกว่า ที่นั่งที่ดีกว่า อะไรทั้งสิ้น แต่เกี่ยวกับช่วงเวลาที่จอง เงื่อนไขที่ตั๋วนั้นมี บางครั้งนั่งข้างกันตั๋วราคาต่างกันหลายพันก็มี และการ transit หรือ stopover ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายภาษีสนามบินที่ต่างกันไป ดังนั้นตั๋วที่ Transit หรือ ไม่ Transit ก็จะราคาต่างกันไป แล้วอย่างตั๋วคลาสระดับถูกๆ ก็อาจจะมีไม่กี่ที่นั่ง พอหมดก็กลายเป็นขายคลาสถัดไป ราคาตั๋วก็สูงขึ้นมา จึงไม่แปลกว่ายิ่งจองช้า ราคายิ่งแพง ** ยิ่งจองล่วงหน้านาน เงื่อนไขน้อย (fixed วันที่แน่อน) ยิ่งถูก ** คลาสที่ต่างกันนั้นก็มีผลต่อการสะสมไมล์ด้วยนะคะ ว่าคุณสามารถสะสมไมล์ได้ต่างกันหรือไม่ บางคลาสสะสมได้เพียง 50% ของไมล์ที่ได้รับ ซึ่งขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการสะสมไมล์ของสายการบินนั้นๆ คำแนะนำ - เรื่องราคาของตั๋วอย่าคุยกัน จะยิ่งช้ำใจ หากคิดจะบินไปเที่ยวรัฐใกล้เคียง หรือบินภายในประเทศ ลองเสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกับสายการบิน local ในอเมริกาดูก่อนนะคะ เพราะอาจจะได้ตั๋วราคาถูกกว่าสายการบินใหญ่ๆ ที่เรารู้จัก ในอเมริกานั้นมีสายการบินเยอะมาก มาก มากถึงมากที่สุดค่ะ ถ้าพูดถึงสายการบินที่ประทับใจที่สุด... ชอบ Jetblue ค่ะ นอกจากกระเป๋าฟรีใบแรก พนักงานบริิการดีระดับหนึ่ง ของกินเยอะ พวก United (UA) / CO / American Airlines (AA) ที่แพงกว่า นี่ชิดซ้ายไปเลย จะขึ้นเครื่องในประเทศทำยังไง? ไม่ยาก... - จองตั๋วแล้วดูว่าเราต้องไปขึ้นเครื่องที่ไหน terminal อะไร สนามบินเมกาที่หลาย terminal มาก ให้เช็คให้ดี เดี๋ยวจะหาเคาเตอร์ไม่เจอ เสียเวลาเปล่าๆ เช็คได้จากเว็บ Airport ต่างๆ - ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องให้เช็คอินเอง ก็ทำตามที่เครื่องบอก ไม่ยากค่ะ - ถ้ามีกระเป๋าที่จะโหลด มักจะมีเคาเตอร์ให้ Drop luggage อยู่ - ได้บอร์ดดิ้งพาสแล้ว ก็ไปที่เกทได้เลย (ป.ล. Southwest ไม่ฟิกซ์ที่นั่ง ถ้าใน check-in ก่อน จะได้อยู่แถวขึ้นเครื่องก่อน ไล่ไปเรื่อยๆ ขึ้นเครื่องก่อนก็ได้เลือกที่นั่งก่อน :) ) จองตัวกับที่ไหนดี?? อันนี้พูดรวมๆ ถึงทั้งบินจากไทย และบินในเมกานะคะ... คือถ้าเราจองตั๋วกับเอเจนซี่ไทย แต่เป็นไฟลท์ภายในประเทศเมกา ตั๋วจะแพงมาก การจองตั๋วให้ได้ถูก คือต้องจองกับเอเจนซี่ หรือเว็บของประเทศที่เราจะบิน อย่างถ้าเราบิน ญี่ปุ่น - ฝรั่งเศส จองกับเอเจนท์ไทย ราคาตั๋วจะแพงลิบลิ่วค่ะ ให้ไปหาเว็บนอก หรือเวบของญี่ปุ่น หรือฝรั่งเศส หรือเว็บทางการของสายการบินจอง ถ้าจะจองไฟลท์ในเมกาก็แนะนำพวก Priceline / Orbitz / Expedia หรือเร็วๆ ก็ Kayak เปรียบเทียบทุกเว็บ รวมถึงเว็บหลายการบินหลักๆ ให้เลย ** เทคนิคในการหาตั๋วถูก เลือกแบบ flexible date ดูค่ะ ถ้าแพลนเราปรับเปลี่ยนวันได้นิดหน่อย เราจะได้เห็นราคาวันอื่นๆ ด้วย ที่บางทีอาจจะถุกกว่าเยอะ เพียงแค่เปลี่ยนวันเดินทางวันเดียว ** ...JetBlue Route.... แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 54 00:30:23 จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 23:32:22

ความคิดเห็นที่ 4 Earn Mile or not?? ไมล์เป็นเรื่องที่หลายคนสนใจ แต่หลายคนก็ยัง งง และ งง ทุกสายการบิน มักจะมีให้สมัครบัตรสะสมไมล์ของสายการบินนั้นๆ แสดงความเป็น loyalty อ่ะค่ะ แต่เราไม่จำเป็นต้องสมัครทุกสายการบินที่เราบิน เพราะสายการบินมีการรวมกลุ่มพันธมิตรกัน หลักๆ จะมี... - Star Alliance = การบินไทย / UA / Asiana (OZ) / CO / ANA / Air China - One World = Cathay (CX) / Qantas / AA - Skymile = Delta / Korean Air / China Airlines (CI) / Air France และมีกลุ่มเล็กอีกนิดหน่อย ส่วนใหญ่บัตรสะสมไมล์ของสายการบินนั้นๆ มักจะสามารถสะสมในกลุ่มเครือเดียวกันได้ด้วย และ Partner นอกเครืออีกนิดหน่อย เช่น UA บินในเครือ Star สามารถสะสมกะ UA ได้ และยังมี Qatar Emirate ก็สะสมได้ด้วย ไมล์ที่สะสมก็เอาไปและตั๋วบินฟรี (แต่ต้องเสียภาษีสนามบินเอง) หรือของรางวัลอื่นๆ ได้ *** แต่พึงระลึกไว้ว่า สายการบินแต่ละสายมีเงื่อนไขต่างกัน เช่น ไมล์หมดอายุภายใน 3 ปี ไมล์ไม่หมดอายุถ้ามีการเคลื่อนไหวทุก 18 เดือน หรืออื่นๆ ซึ่งเงื่อนไขเหล่านี้ ขอศึกษาให้ดีนะคะ จะเลือกสมัครสายการบินไหนดี?? ควรเลือกสายการบินที่เราใช้บริการบ่อยที่สุด เพราะเราใช้บัตรของเขา เราบินกับเขา เราก็จะได้สิทธิพิเศษ แต่ถ้าเรามีบัตร UA แต่บิน OZ เราก็จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ เช่น ให้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม ขึ้นเครื่องก่อน ฯลฯ (จริงๆ มันมีเงื่อนไขอะไรอีกเยอะมาก สนใจต้องเข้าไปอ่าน หรืออยากรู้อะไรสอบถามมาได้ค่ะ) จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 23:44:44

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณค่ะ ขอเก็บข้อมูลนะค่ะ จากคุณ : nuornbong เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 54 23:52:42

ความคิดเห็นที่ 6 Train หลายคนคงรู้จัก Amtrak รถไฟที่วิ่งทั่วอเมริกา เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจมากๆ เพราะ Amtrak บางสายเราจะได้เห็นวิวสวยๆ นั่งสบายกว่าเครื่องบิน เพราะุลุกเดินไปมาได้ มี Wifi ให้ใช้ ...มาอเมริกาทั้งที ก็คิดว่าควรจะลองให้หมด นั่งไปเลยค่ะ รถไฟ รถเมล์ เครื่องบิน ข้อเสียคือราคามันค่อนข้างไม่แน่นอน เช่น วันนี้เช็คราคาแพง พอวันพรุ่งนี้เช็คราคาอาจจะถูกลง แต่โดยรวมแล้วมันค่อนข้างจะราคาเท่าเครื่องบิน แต่ใช้เวลาเดินทางเยอะกว่า คนจึงหันไปนั่งเครื่องกันซะมากกว่า แต่ Amtrak สามารถ Checked Luggage ได้โดยไม่เสียเงิน หรือบางขบวนอาจจะสามารถเอา Luggage ขึ้นไปได้เลย http://www.amtrak.com Amtrak Route http://tickets.amtrak.com/secure/content/routeatlas/index.html *** บัตร ISIC สามารถลดราคา Amtrak ได้นะคะ ถ้าจำไม่ผิด *** นอกจาก Amtrak แล้ว ในบางครั้งระหว่างรัฐใกล้ๆ กันจะมีรถไฟล์ของรัฐวิ่งให้บริการด้วย เช่น รัฐ California มี Caltrain วิ่งไปมาภายในรัฐ / New Jersey มี NJ Transit วิ่งภายใน และระหว่างรัฐใกล้ๆ NY - PA - MD จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 00:00:11

ความคิดเห็นที่ 7 Bus มีหลากหลายบริษัทมาก ถึงมากที่สุด แต่ที่นิยม คนรู้จักเยอะ และมีเส้นทางเยอะคือ Greyhound ค่ากระเป๋าไม่ต้องเสีย (รู้สึกจะได้ 2 ใบ) ราคาตั๋วก็ไม่แพงมาก แต่บางเลท และใช้เวลาเดินทางนานมาก รวมถึงหลายคนอาจจะกลัวพี่มืด ซึ่งมักจะโดยสารบริษัทนี้ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ค่ะ ขอเพียงพาเพื่อนไปด้วยเวลาเดินทางเท่านั้นแหละ (***ไม่ใช่อันตรายแค่ตรงพี่มืดบน Greyhound แต่ทุกที่ในอเมริกา อันตราย ถ้าเป้นไปได้ หลีกเลี่ยงสถานที่เสียงอันตราย อย่าทำตัวเองให้ตกในภาวะเสี่ยงเด็ดขาดนะคะ) นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายบริษัทราคาไม่แพง กูเกิ้ล ช่วยหาให้ได้ค่ะ หรือจะเลือกพวกทัวร์จีน ราคาไม่แพงอย่าง gotobus สามารถดูได้ว่าเราจะไปขึ้นรถที่ไหนได้ จากจุด pick up และเลือกจุด drop off ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจุดเดียวกัน ดังนั้นเราสามารถนั่งจาก Ny ไป Boston ได้ ไม่ลำบากเลยค่ะ วิธีการหาที่ดีที่สุด?? ...เข้าเว็บไซต์หลักของเมือง หรือรัฐที่เราต้องการจะไปค่ะ ในเว็บจะมีการบอกว่าเราสามารถเดินทางมายังเมืองเขาได้อย่างไร ซึ่งจะบอกหมดทุกทาง ทั้งเครื่องลงสนามบินไหน รถไฟมาตรงไหน บัสสายอะไรนั่งมาจากไหนได้บ้าง จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 00:11:14

ความคิดเห็นที่ 8 Transportation in city ถ้าเที่ยวในเมืองล่ะ มีคมนาคมที่ไหน หาได้ยังไง?? ระบบคมนาคมในเมืองที่อยู่นั้นหาไม่ยาก น้องกูเกิ้ลช่วยหาได้จากการเสิร์จว่า ___ชื่อเมือง___ transportation_____ เท่านี้ก็เจอข้อมูลเพียบค่ะ... หรือจะเปิด Google Maps แล้วซูมเข้าไปในเมืองที่เราอยู่ ลองดูแถวถนนสายหลักนะคะ ถ้าเห็นสัญลักษณ์ป้ายรถเมล์ ลองคลิกดู จะพบว่า จะมีข้อความ เลขสาย เวลาที่มาถึง รวมถึงเว็บไซต์ของรถเมล์ในเมืองนั้นขึ้นมา เราก็ตามลิ้งค์เข้าไปดู อาจจะเจอระบบรถเมล์ของเมืองนั้น และระหว่างเมืองก็ได้ *** ในการเลือกเดินทางระหว่างรัฐ หรือระหว่างเมือง ขอให้เปรียบเทียบราคากับทุกวิธี ดูเวลาที่ใช้ และข้อดี ข้อเสียอื่นๆ ว่ามันคุ้มกันไหม ก่อนจะจอง หรือซื้อตั๋ว ทุกๆ อย่าง *** คำแนะนำ - เรื่องถ้าเดินทางไปท่องเที่ยว ต่างเมือง ต่างรัฐ ลองดูเวลาในการเดินทางค่ะ บางครั้งการเลือกเดินทางโดยรถไฟช่วงกลางคืน ถึงเช้า ก็อาจจะช่วยให้เราประหยัดค่าโรงแรมได้ เช่น Washington Dc > Boston นั่ง Amtrak ตอนเย็นๆ ก็ไม่เลว ตอนเช้าเที่ยว DC ได้ ตอนเย็นขึ้นรถไฟไปถึง Boston เช้าเที่ยวต่อได้ (แต่อาจจะเพลีย หรือเหนื่อยนิดนึง) หรือจะเลือกขึ้นเครื่องไฟลท์ดึกสุด (Red Eye) เพื่อถึงเช้า แล้วก็เที่ยวต่อตอนเช้าได้เลย หรือหากถึงประมาณตี 4 แต่ 7 โมงเช้าถึงจะไปต่อรถได้ ก็อาจจะนั่งรอเล่นๆ ที่สนามบิน ประหยัดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้โข จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 00:23:23

ความคิดเห็นที่ 9 เป็นประโยชน์อย่างมาก ขอบพระคุณจริง ๆ สำหรับข้อมูลที่อุตส่าห์หามาให้ค่ะ จากคุณ : haha hasuki เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 00:53:11

ความคิดเห็นที่ 10 Visa หลายคนงง และไม่เข้าใจ จะให้อธิบายแบบดีดี ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ... เอาเป็นว่าไม่เข้าใจถามอีกทีละกันนะคะ เชื่อว่าปีนี้คนที่ไป Wat น่าจะ Transit ที่ London / Seoul / Tokyo กันซะส่วนใหญ่ สำหรับเกาหลีเนี่ย ไม่ต้องวีซ่าในการเข้าประเทศ ...มาถึง 2 เมืองหลักที่มัก Stopover ต้องเข้าใจก่อนว่า เครื่องเรามา Transit เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่องเท่านั้น ถ้าเราต้องการหยุดพัก เราจึงเรียกว่าการ Stopover ดังนั้น Visa ที่ใช้ จึงควรเป็น Visa Transit Japan - Visa Transit มีอายุ 90 วัน ใครไปเมกาเกิน ให้ทำแบบ Double Transit Visa คือสามารถเข้าประเทศได้ ทั้งตอน Transit ขาไป และขากลับเลย (แต่ถ้าเราเกิดออกไปเที่ยวในเมืองขาไป แ้วมีเวลาเปลี่ยนเครื่องไม่กี่ชม. ก็คงไม่ัทน) วีซ่าแบบนี้มีอายุ 120 วัน ถ้าเกิดยังไม่พออีก ให้ไปขอที่อเมริกา แต่ก็ให้เตรียมเอกสารและหลักฐานไปให้พร้อม เข้าไปดูเอกสารที่ต้องใช้ในเว็บสถานฑูตญี่ปปุ่นในอเมริกา เสิร์จไปเลยค่ะ japan embassy  in us หรือ ถ้าStopover ไม่เกิน 3 วัน ก็สามารถขอ Visa on Arrival ได้ (มีอายุ 3 วัน) ขอผ่านด่านที่หน้าด่านเลย (ให้บอกแอร์ฯ ตอนถึง nrt เขาจะเิดินเรื่องให้) แต่มันมีความเสี่ยงอยู่คือ ถ้าขอตรงนั้น อาจจะได้หรือไม่ได้ก็ได้ ขึ้นอยู่กับตม. ถ้าขอไปก่อน ชัวรืว่าเข้าได้แน่ๆ London - ก็มีลักษณะวีซ่าคล้ายญี่ปุ่นเลยค่ะ จริงๆ ไม่ต้องทำเเบบ Transit ก็ได้ ทำแบบ Visa ปกติไปเลย แนะนำให้เข้าเว็บสถานฑูต หรือสอบถาม vfs ตัวแทนสถานฑูตที่ทำเรื่องวีซ่า จะได้คำตอบที่ดีที่สุดค่ะ Canada - เชื่อว่าหลายคนไปทำงานใกล้ชายแดนแคนาดา ก็คงคิดอยากไเที่ยว ในการขอวีซ่าแคนาดา ขอที่ไทยไปเลยค่ะ ไม่ยาก แต่วีซ่า J-1 ต้องเป็นแบบ Multiple นะคะ ถ้าไม่ใช่ แล้วออกนอกประเทศเมกาปุ๊บ วีซ่าจะหมดอายุทันทีค่ะ ขอให้ส่งจดไปขอหลักฐานการทำงาน จากเอเจนซี่ที่เมกาก่อนข้ามฝั่งไปแคนาดานะคะ บอกเขาว่าเราจะออกนอกประเทสไปแคนาดา เขาจะได้จัดการเขียนใบรับรอง ยืนยันได้ถูกเรื่อง เพราะอาจจะมีปัญหากับตม.เมกาที่ชายแดนขากลับเข้ามาได้ค่ะ แค่เครื่องลงจอด ต้องใช้วีซ่าไหม? อ่านเจอกระทู้เก่า พบว่ายังมีคนเข้าใจผิดเรื่องวีซ่า Transit อยู่ ว่าเครื่องลง nrt ต้องทำ visa transit (เดินทางผ่าน) การใช้วีซ่าจะใช้ก็ต่อเมื่ื่อเราออกจากสนามบิน เข้าไปในประเทศเขาเท่านั้นนะคะ ถ้าไม่ได้เข้าในประเทศ ไม่ผ่านตม. ก็ไม่ต้องทำวีซ่า แต่อย่างอเมริกา เราไปถึงประเทศเขา สมมติลงที่ lax ที่แรก ต้องต่อเครื่องไป jfk เครื่องที่ต่อจะต้องไปอาคารในประเทศ ฉะนั้นเราต้องผ่านตม.ที่ lax เลย (อเมริกาผ่านตม.ที่สนามบินแรกที่ลงค่ะ) จากนั้นเอากระเป๋า แล้วไป drop off ที่เคาเตอร์ เพื่อส่งไปไฟลท์ถัดไปค่ะ (ให้เช็คอีกทีว่ากระเป๋าของเรา จุดหมายปลายทางที่ไหน จากตอนเช็คอินที่กรุงเทพฯ) เอกสารที่ยื่นวีซ่า เขาคืนไหม? เขาไม่คืนนะคะ ฉะนั้นถ้าเราจะขอวีซ่าแคนาดา และญี่ปุ่น ที่อเมริกา เตรียมเอกสารไปให้ครบค่ะ เวลาที่ใช้ในการขอ นานไหม? จะให้ชัวร์ ตรวจสอบกับทาง vfs เลยค่ะ แต่โดยปกติ ไม่น่าจะเกิน 7 วันค่ะ วีซ่าจะยังไม่รู้ผลนะคะ จนกว่าวันไปรับ (ไม่เหมือนเมกา เขาจะบอกเลย) แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 54 01:56:17 จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 01:54:32

ความคิดเห็นที่ 11 Travel ไปทำงานแล้ว ก็ต้องไปเที่ยวถึงจะครบ จบกระบวน... การเตรียมแพลนเที่ยวก็สำคัญค่ะ หรือบางคนชอบแบบไปเผชิญเอาข้างหน้า ซึ่งมันก็ดี ได้อารมณ์ไปอีกแบบ แต่อย่างน้อย! ก็ควรจะหาข้อมูลไปบ้าง เพื่อความปลอดภัย เช่น รู้ว่าย่านไหนปลอดภัย metro ไม่ควรขึ้นตอนกลางคืน เป็นต้น ไม่ได้แนะนำให้ fix การท่องเที่ยว ซึ่งถ้าจะ fix ก็ต้องเสียเวลามากในการทำตารางเที่ยว แต่แนะนำให้ 'หาข้อมูล' หนังสือ อ่ะค่ะ... ขอให้อ่านเยอะๆ อ่านเข้าไป มันได้ความรู้ ได้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เที่ยวใน USA - UK - Japan - Korea ไม่ยาก ไม่ลำบาก เพียงใช้ Google maps ให้เป็น อ่านภาษาอังกฤษให้ออก หลักการคร่าวๆ ก็เหมือนกัน จะขอแนะนำขั้นตอนคร่าวๆ ดังนี้นะคะ 1. อยากไปเที่ยวที่ไหน เปิด Google Maps แล้ว mark จุดเอาไว้ (เซฟเข้า 'แผนที่ของฉัน') แล้วถ้าอยากเข้าห้าง หา shop brand ที่ชอบ หา outlet google ช่วยได้อีกแล้ว แค่พิมพ์   outlet in__เมือง รัฐ___ หรือพิมพ์ชื่อแบรนด์ ชื่อร้านค้า ชื่อธนาคาร คำว่า Mall เข้าไปใน google maps แล้วมันจะหาขุดที่ใกล้ที่สุดกับบริเวณที่เปิดค้างไว้อยู่ให้ แล้วจะหาที่ท่องเที่ยวจากไหน?? หาจากรีวิวในกระทู้ต่างๆ เยอะแยะค่ะ หรือจะเป็นเว็บ Official site ของเมืองหรือรัฐนั้นๆ ดูว่ามันมีกี่ที่ อ่านรายละเอียดว่าเราชอบที่ไหนบ้าง แล้วก็ mark เอาไว้ 2. ศึกษาการเดินทาง เราต้องดูว่าในเมืองนั้น เราจะไปด้วยอะไรได้บ้าง เครื่องบิน รถไฟ รถบัสก็ว่ากันไป เช่นเดิม ถ้าบินในประเทศ เช็คราคาเครื่องบินจาก Kayak ได้ราคาถูกแน่ๆ จากนั้นดูการเดินทางภายในเมือง metro มีไหม (ส่วนใหญ่เมืองฝั่ง east เมืองหลักจะมีหมด) ก็แค่ซูมเข้าไปใน google maps ดูว่ามันมีสัญลักษณ์ metro หรือ Bus หรืออะไรไหม จากนั้นก็เข้าไปเว็บ official หา system map มาดู 3. ศึกษาที่พัก เว็บที่เหมาะแก่การหาที่พักได้ดีที่สุดคือ Tripadvisor เข้าไปพิมพ์ชื่อเมือง แล้วจะมีลิสต์โรงแรมออกมา เลือกเงื่อนไขที่เราพอรับได้ เพราะถ้าไม่เลือก ตัวเลือกจะมีเยอะมาก ในการเลือกโรงแรม สิ่งที่แนะนำคือ "หาที่ใกล้ metro หรือ busstop" บางครั้งย่านดาวทาวน์ก็ไม่อาจจะเหมาะที่จะพัก (น่ากลัว) เช่น Los Angeles บางครั้งย่านพลุกพล่านอาจจะปลอดภัยกว่า เช่น แถว Time Square NYC คำแนะนำ NYC - หลีกเลี่ยงที่พักย่าน Lower West  หรือ East คือเหนือ Columbia University ขึ้นไป) พักแถว Brooklyn Queens ก็โอเค และราคาที่พักจะถูกลงกว่าในเกาะ Manhattan แต่ก็พึงระวังว่า.. หากกลับที่พักดึกโดยใช้ Metro ก็ต้องระวังตัวกันนิดนึงนะคะ ย่านกลาง Manhattan จึงเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเดินดึกๆ ก็ขึ้นพักเลย ไม่ต้องใช้ Metro LA - ไปพักแถว Hollywood หรือ Thai town อะไรพวกนี้จะดีกว่า Orlando, FL - ถ้าเป้าหมายเพื่อไปสวนสนุกอย่างเดียว แนะนำให้พักแถวสวนสนุกเลย เพราะจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางจากเมือง ไปสวนสนุก และราคาที่พักก็ถูกกว่าในเมืองด้วย แล้วจองที่พักทางไหนดี?? Expedia / Booking / Hotels / Agoda ช่วยได้ค่ะ เว็บพวกนี้เวลาจองอาจจะมีแถมโบนัสคืนเงินอะไรด้วย รวมถึงมีโรงแรมที่ลงในลิสต์เว็บเหล่านี้เยอะค่ะ (อย่าง Kayak มันมีโรงแรมน้อย) แต่ที่เด็ดสุด !!! Priceline เว็บนี้เราสามารถบิดราคาได้เองด้วย ...วิธีการคือ เขาจะให้เลือกว่าจะพักย่านไหน โรงแรมกี่ดาว แล้วให้ลงราคาที่เราต้องการ จากนั้นใส่เลขบัตรเครดิต ถ้า bid ได้ ก็จะมีเมล์ส่งมา และหักเงินจากบัครเครดิตเลย และบอกว่าเราได้โรงแรมไหน ถ้าไม่ได้ ก็จะส่งมาว่าไม่ได้ สามารถเข้าไปเพิ่มมูลค่าที่บิดได้ ข้อสำคัญ เราจะไม่รู้โรงแรมก่อน และมันจะหักบัตรเลย ดังนั้นเวลาเลือก เลือกย่านที่ดี หรือไปเปิด trip advisor ควบดู ดูย่านที่เดินทางสะดวก ถ้าย่านนั้นมีโรงแรมเยอะหน่อย ก็แสดงว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวเยอะ แล้วเลือกโรงแรมเป็น 4-5 ดาวไปเลย bid ด้วยเงินต่ำๆ ก่อน ค่อยเพิ่มขึ้น ...นอกเหนือจากโรงแรม คิดว่าหลายคงอยากประหยัดโดยการไปนอนพวก Motel Inn Hostel หรือวัด ขอบอกเลยว่าพวกนี้ก็ไม่ได้แย่นะคะ Motel หรือ Inn จัดว่าเป็นที่พักที่คนขับรถทางไกลจะแวะมาพัก มันจึงมักจะไกลจากตัวเมืองหน่อย แต่เดี๋ยวนี้ในเมืองก็มีมาเปิด เช่น Days Inn / Howard Johnson / Motel6 หรือ Motel ท้องถิ่น ราคาจะถูก แต่ข้าวของเครื่องก็น้อยหน่อย ไม่มีบริการหรูเหมือนโรงแรม Hostel ก็ดีค่ะ แต่หากท่องเที่ยวหลังกลับจากทำงาน คิดว่าบางทีห้องจะเล็ก กระเป๋าใบใหญ่ๆ อาจจะทำให้ห้องคับแคบได้ เวลาจะเลือก ลองดูข้อมูลดีดีนะคะ Hostel ราคาประหยัดมาก ส่วนใหญ่มี breakfast เล็กๆ น้อยๆ ให้ มีคอมให้ใช้ มีไมโครเวฟให้ ถ้าหากไปพัก Hostel อาจจะได้ราคานักเรียน (ศึกษาเงื่อนไขที่ได้ราคานี้จากพวก Youth card ต่างๆ) แต่ก็ต้องระวังเรื่องความปลอดภัยนะคะ หากใช้ shared dorm ห้องน้ำรวม ให้ดูแลของดีดี 4. ในช่วงท่องเที่ยว Google Maps ช่วยได้มากๆๆๆๆๆ ถึงมากที่สุดค่ะ เพียงพิมพ์ว่าจะไปไหน จากไหน แล้วเลือกเป็นแบบ public transportation มันจะคำนวณเส้นทาง บอกสายรถ บอกเวลาให้เรียบร้อย ที่นี้ถ้าจะไปเที่ยวก็จดไว้ด้วยค่ะ ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ไม่ได้เสียเวลาในการหามากเลย แต่จะช่วยให้ปลอดภัย และเที่ยวได้สบายใจขึ้น ... รวมถึงใช้ map ดูจุดที่เรามาร์กไว้ค่ะ เลือกเที่ยวในที่ใกล้ๆ กัน ไว้ด้วยกัน จะได้ไม่เสียเวลา รวมถึงหากเราพริ๊นท์ map ออกมา ก็ทำเป็น check list ได้ไปในตัวว่าเราไปที่ที่เราอยากไปรึยัง แผนที่ต้องพก ตามที่ศูนย์ท่องเที่ยวจะมีแผนที่ค่ะ พกไว้สักฉบับนะคะ หรืออยากรู้อะไร ตามหาศูนย์บริการฯ มักมีสัญลักาณ์ i แล้วถามเขาได้เลยค่ะ City pass ลองศึกษาดูว่าเมืองไหนมีพาสบ้าง แล้วพาสนั้นคุ้มค่าไหม อย่าง New York มีพาสหลากหลายแบบมาก ซึ่งถ้าจะเข้า Museum Zoo ขึ้น Deck ไปชมวิวตึกสูง หรืออีกหลายๆ ที่ มันจะคุ้มค่าอย่างที่สุด อย่าซื้อพาส ถ้าไม่คิดว่าจะไปที่ที่อยู่ในพาส เพราะไปแล้วเสีียดายเวลา เที่ยวไม่สนุกก็ได้ Day pass ของระบบคมนาคมต่างๆ แต่ละเมืองก็มักมี pass ของตัวเอง ศึกษาให้ดีว่าใช้แล้วคุ้มค่ากว่าหรือไม่ อย่างพวก NYC เนี่ย คุ้มชัวร์ แต่ชอบแบบไหนก็เลือกเอา จะอยู่กี่วัน รายละเอียดมีในเว็บ official ของเจ้านั้นๆ ค่ะ Open or Closed Museum มักปิดวันจันทร์ ฉะนั้นดูดีดีนะคะ ว่าแต่ละสถานที่เปิดปิดวันไหนบ้าง หรือบางที่มีเข้าฟรีตอนเย็นวันศุกร์ ถ้าไปช่วงนั้น ก้อาจจะช่วยประหยัดเงินได้ ...และไหนๆ ไปต่างประเทศทั้งที่ ลองไปทำอย่างที่ local เขาทำ กินอย่างที่ local เขากินดูค่ะ บางที่มี flea market ก็ลองไปดุอาจจะเจออะไรเด็ดๆ หรือพวกตลาดนัดขายงานอาร์ต ลองเช็ค events ในเมืองต่างๆ ในวันที่เราจะไปดูค่ะ อาจจะช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ นะคะ *** อย่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย เที่ยวอย่างระมัดระวัง แต่เที่ยวให้สนุกนะคะ *** ป.ล. อ่านเยอะๆ ค่ะ การอ่านช่วยเสริมความรู้ การอ่านไม่มีพิษภัยนะคะ และหากจะถามอะไร อยากสนับสนุนให้น้องรู้จักขวนขวายหาด้วยตัวเอง ก่อนที่จะรอคำตอบจากผู้อื่นๆ อย่างเดียว การถามว่าอันนี้ดีไหม อันนั้นเป็นยังไง ไปไหนดี หรือแม้แต่ถามเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ นั่นหมายถึง... น้องๆ ที่กำลังจะต้องไปใช้ชีวิตด้วยเอง พึ่งพาตัวเอง ณ เวลานี้ ยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้ ไม่ฝึกพึ่งพาตัวเอง แล้วจะไปอยู่รอดได้อย่างไร ระบบเสิร์จมีมากมาย google ช่วยได้เยอะมาก แค่เพียงพิมพ์ไม่กี่แก๊ก ก็ได้คำตอบอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่เข้าใจอะไรในสิ่งที่น้องค้นหา แล้วเอามาถาม มันแสดงถึงการว่าน้องได้หา ได้ขวนขวายมาแล้ว แล้วเอามาให้คนอื่นๆ ช่วยกันดู ช่วยกันตอบจะดีกว่ามาถามแบบไม่มีความรู้อะไรเลยนะคะ ป.ล. (อีกครั้ง อยากทราบข้อมูลเรื่องไหนเพิ่มเติมลองถามมาได้ค่ะ หรือไม่เข้าใจที่พูดตรงไหน เพราะพิมพ์ไปก็งงตัวเองไป  ก็ถามมาได้ค่ะยินดีตอบมากๆ ถ้าตอบได้อ่ะนะคะ ) จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 10:42:02

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบคุณมากนะคะ เป็นกระทู้ที่ดีมากเลยค่ะ กระจ่างชัดหลายเรื่องเลย จากคุณ : ตะเกียงแห่งความฝัน เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 12:30:19

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณมากกกคับ :) จากคุณ : arwagard90 เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 16:28:04

ความคิดเห็นที่ 14 Best Kratoo ค่ะ จากคุณ : ToGeTher_e เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 54 22:15:44

ความคิดเห็นที่ 15 ว้าวเจ๋งครับๆ เดี๋ยวกลับมาอ่านให้ละเอียด เรื่อง Bus ขอแนะนำ Boltbus กับ Megabus ด้วยนะครับ อาจจะไม่มี Route เยอะเท่า Greyhound แต่ทำให้รู้สึกว่า Bus น่านั่งมากๆครับ เป็นทางเลือกนอกจากรถจีน จากคุณ : *omega* เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 54 00:50:12

ความคิดเห็นที่ 16 มีประโยชน์มากมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ ^^ จากคุณ : sweetkiwii1 เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 54 13:54:04

ความคิดเห็นที่ 17 ที่ล็อกตามความคิดเห็นที่สอง มีขายที่ไทย(กทม.)ไหมคะ จากคุณ : Vermicelli เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 02:46:57

ความคิดเห็นที่ 18 i think Diamond lock is sold in almost department store in bkk na ka like the mall paragon central จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 14:03:09

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณค่ะ เเล้วจะลองไปหาซื้อดู ^^ บัตร ISIC คือะไรหรอคะ เเล้วทำที่ไหนคะ มีขั้นตอนการทำอย่างไรบ้างคะ จากคุณ : Vermicelli เขียนเมื่อ : 23 ก.พ. 54 14:23:14

ความคิดเห็นที่ 20 #19 ลองอ่านรายละเอียดดูนะคะ มีบอกข้อมูลไว้ทุกอย่าง อย่างละเอียดค่ะ http://www.isic.org/ จากคุณ : Wisther เขียนเมื่อ : 25 ก.พ. 54 02:07:28