ความคิดเห็นที่ 1 อยู่เมืองไทยไม่มีปัญหาเรื่องเงินก็ดีแล้วครับ อยู่ญี่ปุ่นใช่ว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องงาน มีลูกด้วยยิ่งลำบาก ถ้าภาษาอังกฤษคล่องมาก น่าจะหางานที่ดีในญี่ปุ่นได้ แต่ถ้าไม่ ผมว่าคุณสมบัติเราเป็นรองคนญี่ปุ่นเยอะ จะทำให้มีปัญหาในการหางาน แล้วก็คง ไม่พ้นงานลงแรงอย่างที่คุณว่า  เรื่องเงินทองนี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้ครอบครัว แตกได้ จากคุณ : อ.ปมโปโกะ เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 12:45:47

ความคิดเห็นที่ 2 อยู่ไทย ชีวิตเป็นแบบไหน เราออกแบบเองได้ค่ะ แต่มาญี่ปุ่นแล้ว สิ่งแวดล้อมและสังคมจะบีบให้เราต้องดำเินินชีวิตแบบนั้นๆแบบนี้ๆ  ทั้งภาษีสังคมเยอะ ใส่ซองทีหลายตังค์ และค่าครองชีพที่กระดิกตัวไปไหนแทบไม่ได้เลย   ยิ่งลูกโต เรียนพิเศษก็เงินทั้งนั้นค่ะ  ที่ไทยกิจกรรมเสริมเด็กๆจะมีทางเลือกได้เยอะกว่านะ โดยเฉพาะที่กรุงเทพ ที่นี่งานเครียดค่ะ ลูกค้ารังแกทุกวัน...สามีบ่นเกือบทุกวันค่ะ  แต่ก็ทำไงได้ สวัสดิการและเงินทองยังต้องหาเดือนชนเดือนเหมือนกันค่ะ ภรรยาอยากมาไหมคะ  เราเคยเห็นแต่ภรรยาญี่ปุ่นชอบเมืองไทยมากค่ะ เพราะสะดวกสบายกว่าและอยู่ในสังคมโดยการยอมรับและชื่นชมโดยคนไทยส่วนใหญ่มากกว่าค่ะ เพราะถือว่าเป็นต่างชาติด้วย จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 14:39:25

ความคิดเห็นที่ 3 คิดหนักมากครับตอนนี้ ไม่รู้ว่าคิดแบบนี้จะเป็นยังไงบ้างครับอีกไม่นานรอที่บ้านแบ่งสมบัติกับเงินเก็บน่าจะประมาณ 94,600,000 เยนประมาณ คิดจากเรท 37  แล้วกลับมาอยู่ญี่ปุ่น หาเช้ากินคํ่า งานใช่แรง กับภรรยาอยากมีลูกอีกคน คิดว่าโอกาสรอดมีไหมครับ. ครั้งนี้ที่กลับไทยมาก็เพราะเงินกับความสบายเรื่องงานแต่พอกลับมาไทยถึงได้รู้รักชีวิตญี่ปุ่นมากกว่า แต่กลัวเรื่องรายได้ในที่ญิ่ปุ่น แต่ทุกวันนี้ถึงอยู่ไทยผมก็ต้องจ่ายค่าประกันท้ังของผม ภรรยา และลูก เพื่อรักษาวีซ่าถาวรไว้ และประกอบกลับ 1ปีภรรยาและลูกกลับญ่ีปุ่น 2ครั้ง ตกครั้งละประมาณ 150,000บาทรวม 300,000 บาทต่อ 1ปีที่ต้องจ่าย เสียดายเหมือนกัน สับสนกับชีวิตมากตอนนี้ อยากรวยไม่มีปัญหาเรื่องเงินจริงๆ จากคุณ : Osaka boy (OSAKA_BOY) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 16:46:02

ความคิดเห็นที่ 4 โอ้..เก้าพันล้านเยน เกือบๆจะโอ้คคุเนี่ย สบายหายห่วงเลยนะคะ ไม่ว่าจะอยู่ไทยหรืออยู่ญี่ปุ่น เว้นแต่จขกทและครอบครัวจะเล่นการพนันหรือใช้แบบฟุ่มเฟือยมากๆ กินอยู่ปกติเที่ยวบ้างเอนเตอร์เทนบ้าง มีลูกอีกคนก็ยังไหวอ่ะค่ะ แต่เอ๊ะ อ่านวรรคสุดท้ายแล้วไม่แน่ใจว่าจขกทพิมพ์ศูนย์เกินไปตัวรึเปล่านะคะ บอกอยากรวย แต่เงินเก็บและส่วนแบ่งสมบัติมันเยอะจนเรียกว่ารวยข้ามวันได้เลยนะเนี่ย ... จากคุณ : Hatsu เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 17:15:14

ความคิดเห็นที่ 5 เอ่อ เห็นเงินเก็บแล้วเนี่ย....ไม่กล้าออกความคิดเห็นใดๆค่ะ นอกจากว่า อยู่ไหนก็ได้ที่มีความสุข ก็อยู่ได้ค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 17:23:43

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นตัวเลขแล้วอยากจะยืมมาแบ่งเบาภาระจริงๆ ค่อยๆคิดครับ เครียดตรงไหนแก้ตรงนั้น เครียดเรื่องงาน แก้ที่งาน เครียดเรื่องที่อยู่ แก้ที่ที่อยู่ "เราเลือกทางเดินของเราเองได้ แต่อย่าเลือกทางตัน" จากคุณ : Hiroki เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 17:46:41

ความคิดเห็นที่ 7 จขกท เป็นอะไรนี่ มีเงินขนาดนี้แล้วยังคิดหนัก ล้อเล่นหรือเปล่า อยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญว่า อยู่ไหนเราจะมีความสุขกว่ากัน ป้าว่าอยู่เมืองไทย มีเงินขนาดนี้ก็น่าจะเหลือที่จะสุขแล้วมัง มาอยู่ญี่ปุ่น มีเงินมาลงทุนเปิดร้านสโตร์ไทย ในแหล่งที่คนไทยอยู่เยอะ หรือคนเอเซีย เป็นเหมือนน้ำซึมบ่อทราย เก็บกินไปจนแก่ อาจจะไม่รวยเร็วทันตาเห็น แต่ถ้ามีลูกค้าสม่ำเสมอ ขายของไม่แพงมาก ค้าขายมีอัธยาศัยดี ก็คงอยู่อย่างพอสบายๆในญี่ปุ่น คิดถึงเมืองไทยค่อยกลับไปเที่ยว เรื่องแบบนี้ คนนอกคงช่วยอะไรได้ไม่มาก นอกจากเจ้าตัวจะคิดทบทวนกลับไปกลับมาหลายๆหนว่า ที่ไหนจะดีกว่ากัน จากคุณ : พนอจัน เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 19:10:17

ความคิดเห็นที่ 8 94,600,000 เยน ภรรยาบอกว่าไม่เยอะ ถ้าเลี้ยงลูกจนจบ มหาลัย ต้องใช้ประมาณ 20,000,000 เยน อั้นนี้ผมไม่รู้ว่าภรรยาคํานวนผิดหรือป่าวแต่ฟังแล้วใจหาย ไม่รู้ว่าตอนนี้คนญี่ปุ่นยังตกงานเยอะเหมือนเดิมหรือป่าวปีที่แล้วกลางปีกลับไปยังเห็นคนไปหางานล้นออกมาข้างนอกอยู่เลย แต่ที่แน่ๆ. ถ้ากลับไปคงทํางานไม่พ้นใช้แรงงาน ไม่ทราบแต่ละครอบมีค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนค่าอะไรบ้างหรือครับขอแบบเป็นตัวเลขประมาณก็ได้ครับจะได้ประกอบกับการตัดสินใจเป็นอย่างมากครับ ยังมีเวลาอีก2 ปีนิดหน่อยถึงจะตัดสินใจแต่คราวนี้ต้องวางแผนให้รัดกุมจริงๆ ไม่อยากย้ายไปย้ายมาบ่อยๆ อีกแล้ว จากคุณ : Osaka (OSAKA_BOY) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 20:16:56

ความคิดเห็นที่ 9 อีกอย่างถึงจะมีเงินแต่ความสุขไม่ได้มาจากเงินอย่างเดียวนะป้าพนอจัน ทุกวันนี้มีเรืองให้เครียดทุกวันแม้ยามไปเที่ยวแทนที่จะสนุกได้ 100% แต่ก็ทําไม่ได้นะครับแต่ชอบคําของคุณ hiroki เรื่องแก้ปัญหา ตอนนี้อยากรวยและสบายใจได้ 100% เต็มครับ จากคุณ : Osaka (OSAKA_BOY) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 20:43:04

ความคิดเห็นที่ 10 เงินจำนวนที่่ว่าคือเงินสดใข่ไหมคะ ภรรยาคนญี่ปุ่นใช่ไหมคะที่บอกมาว่าไม่เยอะ (กรี๊ดดดดดด ใครก็ได้ช่วยตบกะโหลกที มึน..) เลี้ยงลูกจนจบน่ะ มันไม่ได้จ่ายพรวดเดียวสองพันล้านเยนนะคะคุณ เขาคำนวนเบ็ดเสร็จจนเรียนจบ จ่ายจริงก็จ่ายทีละเดือนจนกว่าจะโตโน่นเลยค่ะ เอาค่าเล่าเรียนง่ายๆ ตอนอนุบาลก็เดือนละหมื่นเยน ถึง ห้าหกหมื่นเยน แล้วแต่จะเลือกโรงเรียนไหน ประถมก็มีตั้งแต่เจ็ดพันเยน ไปจนถึงเดือนเป็นแสนเยน แล้วแต่รัฐหรือเอกชนอีก มีบวกเพิ่มถ้าจะให้เรียนพิเศษ ส่งเสริมกิจกรรมอะไรก็ว่าไป มัธยมก็แล้วแต่ หนักๆก็คงค่าโรงเรียนกวดวิชา บ้านนึงจ่ายเป็นแสนเยนก็มี(นั่นบ้านคนมีเงินเลยนะคะ) บ้านคนปกติเขาไม่ถึงแสนกันหรอก มหาวิทยาลัยก็แล้วแต่เลือกทีไ่หน สอบได้รัฐหรือเอกชน เอกชนปกติก็ตกปีละสามล้านเยน ย้ำว่าไม่ได้จ่ายพรวดเดียวนะคะ หลายคนพอถึงมหาลัยก็ส่งตัวเองเรียน กู้เงินรัฐบาลเรียนแล้วค่อยใช้คืนตอนทำงาน นี่เล่าคร่าวๆให้ฟัง จะได้ไม่ต้องเครียดเกินไป ส่วนคุณก็ทำงานหาเงินตามปกติ จะใช้แรงงานจะใช้สมองมันก็เป็นงานที่เพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัว ในเมื่อจะเริ่มด้วยเก้าพันล้านเยนนี่มันก็ต้องทำงานให้เงินงอกเงยเพิ่ม ไม่มีหรอกค่ะเงินหายไปเรื่อยๆ นอกจากว่าจะบริหารเงินไม่เป็นเอาเสียเลย หรือไม่ก็ไปให้ใครหยิบยืม หรือเอาไปลงทุนอะไรแล้วเจ๊งแถมมีหนี้ ว่าแต่นอกจากเงินก้อนบะเร่อนี่ มีที่อยู่อาศัยที่ญี่ปุ่นหรือยัง หรือว่าได้ก้อนนี้มาแล้วต้องไปหาซื้อบ้านกันเอาเอง ถ้างั้นเงินก็อาจจะหายไปเกือบครึ่งหรือเกินครึ่งเลยก็ได้ แล้วแต่จะไปหาซื้อแถวไหนยังไงอีก ค่าใช้จ่ายต่อเดือนของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ถ้าถามหาถัวเฉลี่ยคนฐานะปานกลางเกือบดีที่นี่ ก็คือพวกที่มีรายได้อยู่ระหว่าง หกล้านเยนถึงเจ็ดล้านเยนต่อปี ส่วนใหญ่เขาก็อยู่กันดีมีความสุขดีเดียวนะคะ เราว่าเงินมันไม่ใข่ปัญหาหรอก คนที่เขาเริ่มต้นด้วยทุนต่ำกว่าคุณมีเยอะกว่านี้มากๆ คุณเริ่มจากต้นทุนสูงกว่าใครหลายคน ถ้าจะหนีปัญหาเพราะเครียดจากงานที่ทำอยู่แล้วมาญี่ปุ่น มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด แนะให้แก้ปัญหาเรื่องงานที่ทำอยู่ตอนนี้ก่อน ถ้ามันไม่ไหวก็ค่อยย้ายมา แต่ระวังจะกลายเป็นหนีเสือปะจรเข้ เรื่องความเครียดเนี่ย ยกให้พี่ยุ่นเขาประเทศเดียวในโลก เครียดได้ทุกเวลาอย่างน่าสะพรึงกลัว ไม่ได้ขู่นะ พูดเรื่องจริง จากคุณ : Hatsu เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 20:45:40

ความคิดเห็นที่ 11 ภรรยาคนญี่ปุ่นครับเรื่องเครียดสมัยทํางานที่ญี่ปุ่นอะเครียดแต่พอกลับบ้านก็หายแล้วครับแต่ตอนนี้ทําธุรกิจของที่บ้านอยู่มันเครียดหนักทุกเวลาภรรยาก็ช่วยไม่ได้ พี่และน้องก็ช่วยไม่ได้เพราะด้วยหน้าที่บางอย่างครับ ช่วงนี้ก็เริ่มมองหาธุรกิจหรืออาจจะลดงานบางตัว จากคุณ : Osaka (OSAKA_BOY) เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 22:26:45

ความคิดเห็นที่ 12 ตามที่อ่าน จขกท มีเงินเก็บ ประมาณ 35 ล้านบาท (คำนวณจากตัวเลขที่ จขกท ว่ามา) เงินขนาดนี้ คุณเป็น เศรษฐีที่ไทยแล้วครับ ถ้าไม่อยากเครียด อยากเหนื่อยทำงาน หาทางออม การลงทุน ที่ความเสียงน้อยสุด เอาซักว่า แค่ ดอกเบี้ย 5% ต่อปี ก็มีดอกเบี้ย ประมาณ 1.5 แสนต่อเดือน สำหรับผม ผมมีความสุขแล้วนะ ยังหาเหตุผลของความทุกข์(เรื่องเงิน)ไม่เจอ ยังหาเหตุผลของการทิ้งชีวิตเศรษฐีที่ไทย มาเป็นคนใช้แรงงาน (ตามที่ จขกท ว่า) ที่ญี่ปุ่นเพื่ออะไร เครียดกับชีวิต กับงานตอ่นนี้ มันมีทางออกมากมาย ไม่เห็นจำเป็นต้องมาญี่ปุ่นเลย เท่าที่ฟัง ภรรยาคุณเป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ยังไม่คิดมาญีป่นเลย แสดงว่า เค้าก็แฮปปี้กับชีวิตที่ไทยระดับนึง หาทางแก้เครียดที่ไทยเถอะครับ ปัญหาทุกปัญหามันมีทางออก และทางออกมันไม่ได้มีแค่ทางออกเดียว จากคุณ : narentorn_y เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 23:36:48

ความคิดเห็นที่ 13 ขอโทษครับ ที่มาตอบซ้ำซาก เพิ่งมาเจอ สำนวน ของจขกท ที่ว่า สับสนกับชีวิตมากตอนนี้ อยากรวยไม่มีปัญหาเรื่องเงินจริงๆ คุณมีเงิน 35 ล้านบาท แล้วยังบ่นว่า อยากรวย คือ คุณหนะรวยแล้วครับ ถ้าคุณยังรู้สึกเศร้ามีความทุกข์ อยากรวยกว่านี้ แสดงว่า ปัญหามันอยู่ที่ทัศนคติ ความพอ ของคุณเองแล้ว ทำชีวิตให้ พอ เถอะครับ แล้วคุณจะมีความสุข ถ้าคุณไม่รู้จักพอ ต่อให้มีเงินอีก สิบเท่า ร้อยเท่า คุณก็ไม่มีความสุขหรอกนะผมว่า จากคุณ : narentorn_y เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 23:47:02

ความคิดเห็นที่ 14 ผมก็ไม่แน่ใจว่าแฟนผมอยากกลับไปญี่ปุ่นหรือป่าวแต่ ทุกคําตอบที่แนะนํามาทําให้ผมเริ่มมีกําลังใจอย่างมากครับ แต่ถ้าผมไมย้ายกลับไปแฟนจะเอาชื่อในทะเบียนบ้านออกถ้าทําแบบนั้น วีซ่าถาวรผมก็หายพอดี ในใจจริงอยากกลับอยู่ญี่ปุ่นตอนแก่จะได้ไม่ต้องทํางาน แต่งานที่ทํามันเครียดมากเหลือเกินจริงๆ แต่จะลองหาทางออกและจะหากําลังใจให้มากกว่านี้. สับสนจริงๆ. จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 23:51:46

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ OSAKA_BOY ป้าพอจะเข้าใจคุณ ว่ามีเงินขนาดนี้ยังเครียด ไม่มีความสุข สับสน และอื่นๆ ป้าก็เคยได้ยินมาว่า เศรษฐีที่เมืองไทยบางคน มีเงินสดในธนาคาร หนึ่งพันล้านบาท มีบ้านหลังละ สามร้อยล้านบาท ในหมู่บ้านเศรษฐี มีรถเบนซ์ รถอื่นๆยี่ห้อดีๆอีกสามคัน แต่หาความสุขไม่ได้ นั่นเป็นเพราะอะไร เขาก็บอกไม่ได้ เจ้าของเงินนั้นเป็นผู้หญิง มีลูกสองคน และลูกสองคนนั้น ไม่ปรกติ นั่นเป็นสาเหตุให้เขาไม่มีความสุขกับทรัพย์สินเงินทองรอบกายทั้งหมด ป้าอยากให้จขกท ลองหันไปมองอีกครั้งว่า ความสุขของคุณ อยู่ที่ไหนกันแน่ คนเราไม่จำเป็นต้องมีความสุขตลอดเวลา ขอเพียงมีความทุกข์ให้น้อยๆหน่อยก็พอ ป้าเคยดูรายการ วี.ไอ.พี. สัมภาษณ์ เจ๊จง เจ้าของร้านขายหมูทอดชื่อดัง ดูแล้วก็ประทับใจรายการนี้มาก เจ็จงบอกว่า เมื่อก่อนตอนมีหนี้สิน นอนเอามือก่ายหน้าผาก เพราะคิดไม่ตกว่า พรุ่งนี้จะหาเงินที่ไหนไปจ่ายหนี้ ไม่เคยนอนหลับเลย หลับครั้งใด ก็เห็นหน้าเจ้าหนี้ที่คอยมาทวงเงิน ด่าเช้าด่าเย็น แต่ตอนนี้ เจ๊จงประสบความสำเร็จ หมูทอดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนสามารถใช้หนี้ที่เป็นอยู่หลายๆแสนจนหมด และสามารถสร้างตัวจากการขายอาหาร ขายหมูทอด จนร่ำรวย มีบ้านสามหลัง รถเบนซ์นั่งไปเที่ยว มีรถตู้ให้สามีขับสมใจ มีรถให้ลูกสองคนขับ ลูกเรียนสำเร็จมหาวิทยาลัยเอกชน เรียกว่ารวยเป็นเศรษฐีคนหนึ่งเลย แต่เจ๊จง เขาสัมภาษณ์ว่า ทรัพย์สินที่มี ไม่ได้ทำให้มีความสุขเท่า การได้นอนหลับสนิททุกคืน ไม่ต้องขวัญผวา นอนเอามือก่ายหน้าผากว่า พรุ่งนี้จะหาเงินที่ไหนไปให้เจ้าหนี้ ขอให้จขกท ทำใจของตัวเองจะดีที่สุด หาเหตุแห่งทุกข์ ความสับสนให้เจอ ยังมีคนที่ดิ้นรนหาเงินเพื่อมีอาหารใส่ปากใส่ท้องเพียงมื้อเดียว ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ จะเอาเงินที่ไหนซื้อข้าว อย่าว่าแต่มีเงินในธนาคารเลย ลองมองหาตัวเองให้เจอก่อนว่าต้องการอะไรในชีวิต จากคุณ : พนอจัน เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 07:26:09

ความคิดเห็นที่ 16 เหตุคล้ายกับผมที่ว่าภรรยาต้องกลับไปเยี่ยมญี่ปุ่นทุกปี และทุกครั้งที่ไปผมก็จะรู้สึกเสียดายเงินจนเครียดเพราะค่าเงินไทยเรามันต่ำต้อยมาก ไปทีก็แสน-สองแสนขึ้นไป และที่สำคัญคุณภรรยาก็พยายามที่จะผลักดันผมให้ไปอยู่ญี่ปุ่นซึ่งผมก็ไม่ชอบอีก จะไปทำงานอะไรละนี่ ภาษาญี่ปุ่นก็พูดไม่ได้ซักคำ (ใช้ภาษาอังกฤษกับภรรยา) ก็ต้องไปเรียนภาษาขั้นต่ำ 1 ปีแล้วค่อยหางาน ส่วนเค้าก็บอกว่าเค้าจะไปทำงานแล้วให้ผมเรียนอย่างเดียว ผมก็ได้แต่คิดว่าจะไหวเหรอลูกตั้ง 2 คนแต่เค้าก็ยอมและบอกว่าเพื่ออนาคตที่ดีกว่า และยังอยากให้ผมเรียนปริญญาเอกที่ญี่ปุ่นอีกใบ เพื่อที่ในอนาคตกลับมาไทยจะได้มั่นคง ตอนนี้เค้าก็เลยวางแผนว่าต้นปีหน้าจะย้ายไปญี่ปุ่น (ไปอยู่บ้านพ่อแม่เค้า) ซึ่งผมก็เลยตามใจเค้าละกันเพราะถือว่าเค้าตามใจผมอยู่ที่ไทยมา 4 ปีแล้ว ตอนนี้ก็เลยเครียด แต่ผมไม่มีเงินเก็บมากมายยยยยยยยยยย อย่างคุณ OSAKA_BOY นะถ้ามีอย่างนั้นคงไม่เครียดหรอก จากคุณ : Leto เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 10:30:42

ความคิดเห็นที่ 17 อ่านกระทู้นี้แล้ว หาเหตุไม่เจอเลยว่าทำไมคุณ Osaka_Boy ถึงยอมสละโอกาส กับเงินขนาดนั้นในไทย แล้วมาทำงานแรงงานในญี่ปุ่น และการเป็นแรงงานในญี่ปุ่นนี่ไม่น่าพิศมัย ต่างกับบรรยากาศที่ไทยด้วย เอาแค่ร้านอาหารไทย ที่เจ้าของร้านเป็นคนญี่ปุ่นในญี่ปุ่น เราไปทำอะรุไบต์แค่ 2 เดือนนี่เรียกว่าใช้จนคุ้มสุดๆ ตั้งแต่เข้างานจนออกงาน กลายเป็นซินเดอเรลล่าไปในบัดดล ยอมรับว่าปรับตัวไม่ได้มากมาย เลยลาออกไม่ทำไบท์อีกเลย พอเรียนจบ ทำงานสักพัก คุ้นเคยสังคมบ้านเขาแล้ว ทำให้รู้สึกว่าผู้คนเขาจริงจังกับงาน ลูกค้า และใส่ในในรายละเอียดมากมาย เจ้าของกระทู้บอกว่ากลับมาแล้วต้องมาทำแรงงานชัวร์ ก็แปลกใจว่าเงินระดับนั้นตั้งบริษัทระดับกลางของตัวเอง พนักงานสัก 10 คนได้สบายๆ เป็นชาโจเสือนอนกินได้เลย เอาแบบบริษัท marketing consult ให้คนญี่ปุ่นที่จะไปลงทุนในไทย หรือ เว็บดีไซน์ก็ได้ ตั้งในไทย คุณพี่ก็ทำวีซ่าทำงานกลับไทย จะไปกลับเมื่อไรก็ได้ ส่งงานให้พนักงานไทยทำ แล้วรับงานจากญี่ปุ่นไปๆกลับๆ เหมือนเจ้าของกระทู้อยู่โอซาก้า (จากชื่อ) อยู่เมืองเดียวกันเลย :-> แก้ไขเมื่อ 28 ก.พ. 54 13:00:39 จากคุณ : silkroad เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 12:59:08

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องแบบนี้ มีหลายมิติ เกินกว่าจะคุยๆกันจริงจังๆในกระทู้ เงินก็เป็นอะไรที่ ไม่ถึงกับสำคัญที่สุด แต่ก็ต้องคำนวณ จัดการให้รอบคอบ หลังมัย .... ไปแล้วนะคะ จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 13:14:50

ความคิดเห็นที่ 19 เงินเยอะนะ แต่เงินก็ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด ค่อยๆคิด ชีวิตใครชีวิตมัน หาเหตุผลของตัวเอง ตอบตัวเอง คิดถึงลูก ภรรยา ครอบครัว อีกอย่าง หากอยากรู้ว่าภรรยาคิดอย่างไร ทำไมไม่ถามไปเลยคะ จะได้ช่วยกันตัดสินใจ จากคุณ : คุณนายปลาดิบ เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 13:33:20

ความคิดเห็นที่ 20 สมัยก่อนผมก็ทํางานในญี่ปุ่่นทํางานบริษัทspa. เงินเดือน 200,000 เยน กับทําธุรกิจส่วนตัวนิดหน่อย แต่ธุรกิจต้องเลิกไปเพราะค่าเงินแพงมาได้ 3ปีกว่าๆ ไม่ยอมลงเลยไม่พอใช้จ่ายในอนาคตเรื่องเงิน เลยย้ายกลับมาไทย ได้เกือบ 2ปี     ภรรยาไม่ต้องการให้ทําธุรกิจเลยครับถ้าจะกลับไปอยู่ญี่ปุ่นอีกครั้ง     ตอนนี้คนญี่ปุ่นยังตกงานกันอยู่ใช่หรือป่าวครับ       ธุรกิจอะไรน่าลงทุนหรือครับตอนนี้ในญี่ปุ่นครับ          สมัยอยู่ญี่ปุ่นช่วงนั้นก็อยู่บ้านภรรยาจนมีลูกครับ Leto วางแผนจะเรียนภาษาเหมือนกันตอนนั้นแต่ไม่ได้เรียนครับเพราะภรรยาตั้งท้องช่วงนั้นมีเงินเก็บได้ประมาณ 1ล้านบาท เลยต้องรีบทํางานเริ่มจากงานใช้แรงงาน แล้วถึงมาทํางานบริษัทspa. เงินเดือนค่อยพอไปได้ หลังจากนั้นถึงทําธุรกิจครับ แล้วก็ย้ายกลับไทยมาเพราะอยากได้ความมั่นคงในเรื่องของเงิน. พอกลับมา ก็ได้ความมั่นคงแต่เจอปัญหากับธุรกิจที่บ้านซึงผมไม่ชอบ เลยตัดสินใจย้ายกลับไปญี่ปุ่นดีกว่า ตอนนี้ ภรรยาเร่ิมคล้อยตามที่จะย้ายกลับไปแล้ว แต่คงต้องทําเป็นหนังสือสัญญากับภรรยาว่าจะอดทน ทุกครั้งต้องหนังสือสัญญาถ้ามีการตกลงกัน เหอะๆ. คงไม่เชื่อสัญญาจากปากผมมั้ง จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 14:16:26

ความคิดเห็นที่ 21 ดิฉันดูตัวเลขไม่ผิดนะคะ 9460万円 นี่เป็นเศรษฐีในญี่ปุ่นได้เเล้ว ซื้อบ้านเงินสดสัก3000万円ยังเหลืออีกตั้ง6460万円 สมมติคุณทำงานเดือนละ100万円　ใช้50万円เหลือเก็บ50万円　คุณต้องใช้เวลาเก็บตั้ง10ปีถึงจะได้เงิน6000万円 ถ้าคุณมาอยู่ญี่ปุ่น ทำงานได้เดือนละ10万円คุณก็อยู่อย่างเศรษฐีได้ค่ะ เพราะเงินเก็บคุณเหลือเฟือ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 15:32:56

ความคิดเห็นที่ 22 ตอบไปแล้วนะครับคุณ nijja จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 16:05:02

ความคิดเห็นที่ 23 เกรงว่าจขกท. มาญี่ปุ่นแล้วจะเครียดกว่าเก่าค่ะ เพราะมาอยู่บ้านพ่อแม่สามีด้วย เหอๆๆ   ไตร่ตรองให้ดีค่ะ ถ้ารู้ว่าวิถีชีวิตตัวเองเป็ฯแบบไหน ก็เลือกแบบนั้นค่ะ ภาษาไม่ได้ ใจไม่ใคร่จะอยากมา มาเพราะคำแนะนำของคนอื่น.....ตอบได้เลยว่ามาแล้วจะเหมือนเด็กคนนึง ที่ต้องให้คนอื่นสอนตลอดเวลา   .....ขับรถเองไม่ได้ อ่านป้ายไม่ออก ดูทีวีไม่เข้าใจนอกจากมานั่งดูในเน็ท ......  กินอาหารแซ่บๆก็ต้องกินคนเดียวเพราะคนอื่นร่วมด้วยไม่ได้  .....เพื่อนคุยไม่มี  เพื่อนที่ดีที่สุดคือคู่ชีวิต .....อ่านจดหมายจากโรงเรียนลูกไม่ได้  เพราะคันจิทั้งนั้น......  สอนการบ้านลูกไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจภาษา ....ดำเนินธุรกรรมต่างๆต้องให้แฟนทำให้...เรื่องเงินบำนาญ ภาษี ผ่านเลยค่ะเพราะไม่เข้าใจระบบมันเลย อย่ากังวลเงินเก็บค่ะ ไม่งั้นลูกชาวบ้าน ชาวสวน พนักงานบริษัท เขาก็ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้เหมือนกัน ถ้าว่าเงินเก็บแบบคุณมันไม่พอน่ะ...... เงินเก็บมีไว้ใช้ยามบั้นปลายและยามฉุกเฉิน   ส่วนทุกวันก็ต้องทำงานแล้วเอาที่หาได้ใช้จ่ายตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง   ถ้าฐานะปานกลางก็ต้องส่งเรียนให้พอดี อย่าให้เว่อร์เกินไป จขกท....ลดงานบางอย่าง ปลีกตัวไปทำงานที่ไม่ยุ่งมาก แล้วเงินที่มีก็เอาไปฝากหรือซื้ออสังหา ที่จะสามารถเพิ่มมูลค่าในอนาคตได้  มันก็อยู่สบายค่ะ คู่สมรสญี่ปุ่นที่อยู่ญี่ปุ่นนี่ ส่วนใหญ่เขาก็กลับไทยทุกปีค่ะ  ปีละ 1 ครั้ง แต่ถ้าลูกเรียนยุ่งมาก โตแล้วก็ลดลงค่ะเหลือสองปีครั้ง   บางคนกลับบ่อยต้องทำใจค่ะ เพราะภรรยาก็คิดถึงพ่อแม่เขาเหมือนกัน   คุณมาอยู่นี่ก็ต้องอบากกลับไทยเช่นกัน ไปเยี่ยมครอบครัวและเพื่อนฝูง   เมื่อก่อนดิชั้นอยู่ไทยก็เบื่อมากอยากมาญี่ปุ่น .... แต่ มานี่แล้วก็เบื่อ อยากกลับไทยเช่นกัน อยู่ไหนก็มีทุกข์ อยู่ไหนก็มีสุข.... หาปัญหานั้นให้เจอ แล้วพยายามแก้ไขมันไปค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 17:31:25

ความคิดเห็นที่ 24 จขกท คะ....ชาวบ้านคนแก่ญี่ปุ่นเนี่ย ดิชั้นเห็นเงินเก็บเขาประมาณ 5 ล้านเยนนะคะ....(แอบเห็นตอนเขาเอาสมุดมาปรับอ่ะค่ะ)  ไม่อยากให้กังวลมากไปเลยค่ะ  คุณเครียดในสิ่งที่คนอื่นเขาเรียกสิ่งนี้ว่าความสุขสบายแล้วนะคะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 17:33:55

ความคิดเห็นที่ 25 ตอนนี้ก็พยามไปเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มในไทยอยู่ครับ ผมก็เสียดายเหมือนกันนะวีซาถาวรอุสากว่าจะได้มาจะให้ทิ้งไปทําใจได้ยากมากอะครับ. สับสนอย่างบอกไม่ถูกเลยครับ. ถ้าย้ายกลับไปจริงคงต้องเช่าบ้าน คงไม่ใปอยู่บ้านภรรยาเหมือนสมัยก่อน จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 17:49:02

ความคิดเห็นที่ 26 ยังมีเวลาอีก2 ปีนิดหน่อยถึงจะตัดสินใจแต่คราวนี้ต้องวางแผนให้รัดกุมจริงๆ ไม่อยากย้ายไปย้ายมาบ่อยๆ อีกแล้ว จากคุณ : Osaka (OSAKA_BOY)   เขียนเมื่อ : 27 ก.พ. 54 20:16:56   -------- อ่านทวนดู ยังมีเวลาคิด..... ใจเย็นๆค่ะ จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 19:00:01

ความคิดเห็นที่ 27 ใช่ยังมีเวลาครับ แต่ใจอะไปนานแล้วครับ แฟนยินยอมที่จะย้ายไปแล้ว เหลือแต่เวลาอีก 2 ปี นิดหน่อยรอลูกเข้า ป.1 จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 19:26:12

ความคิดเห็นที่ 28 ปัจจุบันเพื่อนคนไทยที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นก็ทํางานโรงงานแต่สวัสดิการดีมากแถมส่งหนังสือพิมพ์ทุกวันตอนตี3 ทุกวัน คิดแล้วเค้ามาหลังผมแต่อยู่ปุ่นได้นานกว่าผมอีก ผมอิจฉาเค้ามากเลยตอนนี้ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 20:36:32

ความคิดเห็นที่ 29 ตอนนี้คนญี่ปุ่นยังตกงานกันอยู่ใช่หรือป่าวครับ ---- ใช่ค่ะ คุยกันทุกอาทิตย์เรื่องนี้กับคนญี่ปุ่น   ถ้าเป็นคุณจะไม่ไปญี่ปุ่นค่ะ เงินเก็บจำนวนนั้นอยู่ที่ไทยก็พอกินจนชั่วชีวิต อยู่ไทยถ้าไม่ต้องทำธุรกิจที่บ้านไม่ได้เหรอคะ หรือว่าถ้าไม่ทำจะไม่ได้ส่วนแบ่งตามที่เขียนไว้ ถ้าหางานอื่นทำที่ไทยได้ยังจะดีกว่ามาทำแรงงานที่ญี่ปุ่น ส่วนตัวเราว่าอยู่ไทยสบายกว่า ยิ่งถ้าจะมีลูกอีกคนด้วยนะ ยังหาคนช่วยเลี้ยงง่ายกว่าที่ญี่ปุ่น ถ้ามาญี่ปุ่นมาทำงานเป็นแรงงานอาจจะเครียดหนักกว่าเก่าก็ได้นะ ถ้ามองอนาคตของลูกนะ ลูกก็เอาเข้าอินเตอร์ได้ที่ไทย จะได้ได้ทั้งไทยและอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่นก็พูดกับคุณแม่ หรือไม่ก็เรียนโรงเรียนญี่ปุ่นวันเสาร์ได้ ถ้าอยู่ญี่ปุ่นลูกคงได้แค่ภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวแน่ๆ โรงเรียนอินเตอร์ที่ญี่ปุ่นนี่ปีละสี่ล้านเยนอย่างต่ำ จากคุณ : ชอบตื่นสาย (ชอบตื่นสาย) เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 22:37:20

ความคิดเห็นที่ 30 มีแต่คนบอกไม่ควรย้ายกลับเร่ิมถอดใจตามระเบียบครับ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 28 ก.พ. 54 23:13:15

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ โอซาก้า บอย ค่ะ มองตามแนวทางของสิงห์ฯ นะคะ ไม่ขอพูดถึงเรื่องเงิน จะมีเงินกี่สิบล้าน หรือ แสนล้าน ใช้ไม่เป็นปีเดียวก็หมดได้ ยิ่งอยู่ญี่ปุ่น เกิดอยากได้บ้านอยู่กลางรปปงกิขึ้นมา เงินหมดไปครึ่ง เจอค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่าย ค่าโรงเรียน ค่าภาษี ค่า บลาๆๆๆๆ อะไรที่กองตามมาอีก ถ้าหากสมาชิกในบ้านเกิดติดแบรนด์ขึ้นมา งานนี้เท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆ คะ เอาเป็นว่า อันนั้นขึ้นอยู่กับการใช้เงินของจขกท. แล้วล่ะค่ะ ด้านล่างเป็นคำแนะนำเล็กๆ คะ ลองอ่านแล้วพิจารณาดูนะคะ   ญี่ปุ่นเปรียบเหมือนซากุระค่ะ สวยค่ะ แต่ ซากุระก็มีช่วงแห้งเหี่ยวและโรยรา ช่วงที่บานมีแค่ช่วงเดียวค่ะ ระยะเวลาไม่ถึงเดือน ที่เหลือ เป็นสีเขียวชะอุ่ม กับ ตอนที่มันแห้งแล้ง ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอย่างนั้นค่ะ เปรียบกับประเทศไทยเหมือนดอกมะลิ บานเกือบทั้งปี ร่วงเร็ว เก็บได้เร็ว ส่งกลิ่นหอมเย็นสบาย ไปเรื่อยๆ ไม่ฉุยฉาย ไม่ดูฟู่ฟ่าเหมือนดอกซากุระ ความปลอดภัย ความประณีตอาจจะไม่เหมือนดอกซากุระ ที่เก็บตัวมาหนึ่งปีเต็ม แต่กลิ่นหอมนั้นก็ทำให้พักใจได้ตลอดเวลา เมืองไทยเรา เส้นเป็นใหญ่ เช้าชามเย็นชามก็จริง การเมืองก็ลุ่มๆ ดอนๆ เศรษฐกิจเทคโนโลยี ความปลอดภัยยังไม่เห็นอนาคต แต่ข้อดีก็เยอะเช่นกัน นั่นคือ ความสบายๆ ของไทยนั่นแหละคะ ถ้าคุณจขกท. ชอบความเนี๊ยบ เพอร์เฟค ชีวิตอยู่ในเส้นตลอดเวลา เทคโนโลยีชั้นเลิศ ความปลอดภัยระดับแนบหน้า แต่ความเครียดเป็นที่หนึ่งในโลกไม่แพ้ใครเช่นกัน แนะนำ ญี่ปุ่น เลยคะ ถ้าคุณจขกท. ชอบความสบาย ชิวๆ ถ้ามีเส้นก็สบายหน่อย เทคโนโลยีสามจีจะคลอดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความปลอดภัย...เออ...อืม....  แนะนำ ไทย คะ อีกนิดนึง ขอถามเจ้าของกระทู้ก่อนตัดสินใจ คุณทราบไหมคะว่าที่ญี่ปุ่น มีพ่อแม่ที่อายุมากแล้วถูกทิ้งให้เสียชีวิตในอพาร์ตเม้นท์มาเจออีกทีก็เป็นกระดูกแล้ว (เสียชิวิตตามลำพังไปเป็นปี) การทอดทิ้งผู้สูงอายุในญี่ปุ่นเลวร้ายและรุนแรงกว่าเมืองไทยนัก โรงพยาบาลในญี่ปุ่นไม่ได้เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงทุกโรงพยาบาล และหลายแผนกปิดเสาร์อาทิตย์ ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งต่อให้ขึ้นรถพยาบาลก็ยังเสียชีวิตบนรถได้ เพราะแปดโรงพยาบาลไม่รับ (เหตุเกิดประมาณสามปีที่แล้วที่จังหวัดชิบะ หญิงสาวท้องกำลังจะคลอดลูกแต่เด็กไม่กลับหัว สุดท้ายตายทั้งกลม) ในร้านอาหาร คุณคือ พระเจ้า แต่ถ้าคุณเป็นลูกจ้างเมื่อไหร่ คุณคือ ทาส เมื่อนั้น เคยเห็นพนักงานร้านญี่ปุ่นต้องก้มลงกราบลูกค้า รวมทั้งพนักงานสถานีรถไฟที่ก้มลงกราบคุณลุงเมาๆ โดนถอง โดนด่าสาดเสียเทเสีย แต่ก็ไม่มีใครทำอะไร (ทุกอย่างเห็นมากับตา) ด้านมืดในญี่ปุ่นคะ แน่นอนด้านดีก็เยอะ สิงห์ฯ เองก็ชอบญี่ปุ่นมาก แต่ไม่เท่ากับตอนที่ก่อนจะมาญี่ปุ่น เพราะตอนนั้นเห็นแต่ดอกซากุระสีชมพูบานสวยอย่างเดียว ไม่เคยคิดถึงตอนมันร่วง ฝากไว้ให้คิดเฉยๆ นะคะ จากคุณ : สิงห์ใต้เงาจันทร์ (ise...) เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 02:13:39

ความคิดเห็นที่ 32 เพื่อน ๆ ในคห. ด้านบน หลายท่านก็ให้คำแนะนำดี ๆ ไว้มากมายแล้ว  คงไม่ต้องเขียนเพิ่มดีกว่า ^o^ สำหรับดิฉันนั้น...ใช้ชีวิตอยู่ญี่ปุ่นมาเข้าปีที่ 15 แล้ว ตามสภาวะจำยอม ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ยังมีความฝันอยู่ทุกวัน ซึ่งอีกไม่กี่่ปี ก็คงจะใกล้ความจริงแล้วว่า บั้นปลายชีวิต คงจะต้องกลับไปอยู่เมืองไทยแน่นอน  รวมถึงหนีบสามี (ญี่ปุ่นแท้ ๆ ) ไปด้วย สังคมการทำงานในญี่ปุ่น ค่อนข้างเครียดพอควร ยิ่งอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวด้วยแล้ว  ขนาดดิฉันเป็นแค่แจ๋วประจำบ้าน  กับรับจ๊อบทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามเวลาที่ตัวเองอยากทำ  ไม่เคยต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายประจำ  ยังแอบเครียดแทนพ่อบ้านเลยค่ะ   ถ้าต้องรับผิดชอบเองทุกอย่าง เห้อ...แค่คิด  คงได้ไปกระโดดตามรางรถไฟ เหมือนข่าวที่ออกมาเป็นประจำทุกปี (ซึ่งมีแต่คนสมน้ำหน้า) แล้วละค้า ^o^   สำหรับเรื่องที่คุณจขกท. กังวลคือ "วีซาถาวร" ที่ได้มาแล้ว  ทำไมถึงจะต้องทิ้งละคะ?   เพราะถึงแม้นว่าเราจะไม่ได้อยู่ในญี่ปุ่น  แต่ถ้าทำรีเอนทรีเอาไว้ และภายในกำหนด 3 ปี ก่อนที่รีเอนทรีจะหมดอายุ  ก็กลับมาต่อ ทำใหม่ได้ (เหมือนเป็นการรายงานตัว)  ซึ่งคุณจขกท. น่าจะไม่มีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการกลับมาทำเรื่อง (มีเงินมากมายขนาดนั้นแระ)   ปัญหาทุกอย่าง...เพื่อน ๆ ในห้อง ก็คงให้ได้แค่คำแนะนำเท่านั้นเอง  แต่การตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตเป็นของคุณ (และครอบครัว)  ซึ่งเมื่อคุณได้ตัดสินใจไปแล้ว คุณก็คงต้องยอมรับในสิ่งที่คุณเลือก  ไม่ว่า...มันจะเกิดอะไรขึ้นมา หนักหนาสาหัสแค่ไหนนะคะ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 07:52:27

ความคิดเห็นที่ 33 กังวลเรื่องวีซ่าถาวรจะหายครับ เพราะตอนนี้ผมจ่ายค่าประกันสังคมทุกเดือน แต่เงินค่าสํารองเลี้ยงดูตอนแก่ของภรรยาไม่ได้จ่าย ซึ่งเพื่อนภรรยาก็ไม่ได้จ่ายแล้วมีอยู่วันนึงมีจดหมายจะยึดทรัพย์มาที่บ้านพ่อแม่เค้าเลยนะครับ ด้วยเหตุนี้เองแฟนผมอยากจะเอาชื่อออกจามะเบียนบ้านจะเป็นวิธีแก่ไข้ที่ถูกต้องทุกคนทํากัน. แต่ถ้าเอาชื่อออกจากทะเบียนบ้านวีซ่าถาวรผมหลุดทันทีเลยครับ. เสียดายมากกว่าจะได้มาต้องใช้เวลาหลายปีตอนอยู่สมัยนั้น. หรือพอจะมีวิธีไหนที่ดีกว่านี้หรือป่าวครับ กังวลเรื่องวีซ่าถาวรที่มีอยู่ว่าจะหลุด เรืองรีเอนทรีวีซ่า ผม ต่อทุก 3 ปี กับ บัตรต่างด่าวเพิ่งไปต่อปีที่แล้วเองครับ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 09:45:21

ความคิดเห็นที่ 34 ขอมองให้กว้างขึ้นอีกนิด  ที่คุณบอกมีปัญหาเรื่องการทำงานที่ไทย เป็นเพราะ เป็นเจ้าของธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบสูง ปัญหาเรื่องคน เส้นสาย การโกง ยิ่งเรื่องแบ่งมรดก ถ้าแบ่งไม่ลงตัว อาจมีศึกสายเลือด รึเปล่าถ้าคุณได้รับมรดกขนาดนี้ ทรัพย์สินทางบ้านคุณน่าจะมีประมาน ร้อยล้านบาท เงินระดับนี้ น่าจะต้องมีผู้ยิ่งใหญ่ คนมีสีเข้ามาเอี่ยว ถ้าหนีมาญี่ปุ่นเป็นลูกจ้าง  ถึงงานจะหนักแต่ไม่ปวดหัว วุ่นวาย หรือถ้าเปิดกิจการ ก้อ จะมีลูกจ้าง ที่ขยัน ไม่โกง ไม่บ่น ใช้งานเยี่ยงทาส ได้ รึเปล่า  หลังเกษียณก้อ มีเนนคิน ใช้ เรื่องตัวเงิน ที่ภรรยาคุณบอกว่าไม่เยอะ อาจเพราะ เค้ายกตัวเลขมาจากสถิติ  เคยได้ยินว่าหลังเกษียณควรมีเงินไว้ประมาน 1 โอคุ กรณีไม่มีรายรับเข้ามาเลย  ตัวเลขนี้เป็นไปได้ ถ้าใช้ชีวิตปกติ คนนึงตกเดือนละ 10 มัง สองคน 20 มัง ค่าบ้าน + อื่นๆ อีก 10 มัง เดือนนึงก้อ 30 มัง 1ปี 360 มัง อายุเฉลี่ย คนญี่ปุ่น 80 ปี ถ้าเกษียณ 60 ปี ก้อ ต้องใช้เงินแน่ๆ 7200 มัง อีก 2800 มัง เป็นค่ารักษาพยาบาล ก็ จะเหลือคนละ 70 มัง ต่อปี ซึ่งก้อ ไม่มากเท่าไหร่นักสำหรับผู้สูงอายุ   ตัวเลข 2000 มัง ก้อ คิดกันประมานนี้ครับ ตัวเลขพวกนี้ยังไม่รวมปัจจัยเงินเฟ้อ และ ภาษีสินค้าที่อาจจะขิ้น ในอนาคต  แต่ถ้าได้รับเนนคิน ก้อ ช่วยไปได้เยอะ จากคุณ : ganemochi เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 11:59:54

ความคิดเห็นที่ 35 ไม่มีปัญหาเรื่องมรดกและพี่น้องครับไม่มีปัญหาอะไรกับคนมีสีและไม่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เลยครับ ปัญหาเรื่องงานแหละครับ มันเครียดทุกเวลาคู่แข่งสูงหลายเรื่องครับ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 12:24:29

ความคิดเห็นที่ 36 ทางที่ดี...ในเรื่องที่คุณกังวล (วีซ่าถาวร) นั้น ถ้ามีโอกาสมาญี่ปุ่นเมื่อไหร่  คุณก็น่าจะไปติดต่อสอบถามด้วยตัวเอง (ฟังกับหูตัวเองเลยดีกว่า) ที่นิวกัง   คาดว่า...ต้องมีเจ้าหน้าที่ ที่เค้าสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีแน่นอน  หรือบางแห่ง ก็อาจจะมีคนพูดภาษาไทยได้ด้วยเช่นกันค่ะ   เพราะจากที่ทราบมานั้น....วีซ่าถาวร เค้าไม่ยึดคืนนะคะ  ถ้าไม่มีคนฟ้อง แล้วมีมูลจริงตามคำกล่าวหา  ที่โดนยึดวีซ่าแน่ ๆ คือในกรณีที่คุณถูกจับโทษฐานผิดกฏหมาย เช่น ค้าของเถื่อน , อาวุธ , ยาเสพติด , ค้าประเวณี ((มีอะไรอีกบ้าง จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน)) เอาเป็นว่า...คดีหนัก ๆ ก็แล้วกันค่ะ   ดิฉันได้แต่แปลกใจหน่อย...สำหรับเรื่องการจ่ายเงินสํารองเลี้ยงดูตอนแก่ ((คุณหมายถึง "เนงคิน" หรือเปล่า?)) ซึ่งมันก็แยกย่อยอีก 2 ประเภท  สำหรับคนที่ทำงานบริษัทฯ  ทางบริษัทฯ จะจัดการหักจากเงินเดือน แล้วสมทบเพิ่มให้ส่วนหนึ่ง   ส่วนคนที่ทำกิจการส่วนตัว...ก็สามารถไปยื่นขอจ่ายได้ด้วยตัวเอง    ถ้าใช่ตัวนี้...คุณก็ให้ภรรยาไปทำเรื่องขอจ่ายได้นะคะ  (ซึ่งดูเหมือนจะต้องจ่ายเกิน 25 ปีขึ้นไป ถึงจะมีสิทธิที่จะได้รับบำนาญตัวนี้)   ถ้าไม่ได้จ่าย (ผิดกฏหมายหรือเปล่า? อันนี้ไม่กล้ายืนยันค่ะ) แต่ก็มีบางคน ที่เค้าไม่จ่ายก็มีตั้งเยอะ (คนญี่ปุ่นด้วย)  ก็คงแค่ไม่ได้รับเงินบำนาญเมื่อถึงกำหนดอายุที่ระบุไว้เท่านั้นเองค่ะ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 13:17:27

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าภรรยาของคุณ...อยากแก้ปัญหา ด้วยการเอาชื่อคุณออกจากทะเบียนบ้าน (ซึ่งคาดว่า....น่าจะเป็นพ่อแม่เค้า)   คุณมีเพื่อน หรือญาติคนไหนของภรรยา ที่พอจะขอย้ายชื่อคุณเข้าไปขออาศัยอยู่แทนไหมละคะ   เพราะถ้าเป็นวิธีนี้....คุณมีแห่งที่อยู่ (ทะเบียนบ้าน) วีซ่าถาวรก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 13:21:25

ความคิดเห็นที่ 38 รัฐบาลญี่ปุ่นก็มีปัญหาเรื่องเงินฝืดเคืองเหมือนกันนะคะ เพราะประชุมรัฐสภาแจ้งว่าเงินเลี้ยงดูบุตรที่ให้เดือนละ 13000 เยนนั้น มีปัยหาอยู่ค่ะ เมื่อก่อนได้รับเงินเกษียณคืนเมื่อออกจากงาน แต่ตอนนี้เขาเริ่มให้เม่ออายุ 65ปีเป็ฯต้นไปค่ะ แล้วอนาคตจะยืดออกไปอีกหรือเปล่าไม่รู้ ถ้าคุณทำงานกะได้เงินบำนาญยามแก่ คุณต้องทำงานที่จ้างวันละไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมงนะคะ...เพื่อนญี่ปุ่นบอกมาอีกทีค่ะ   ญี่ปุ่นมีภาษีและค่าใช้จ่ายบาน...มากมายค่ะ  แต่ละปี แต่ละเดือน - ภาษีบ้าน ตกปีละ 100000 เยนขึ้นไปค่ะ  บ้านใหม่จ่ายเยอะ บ้านเก่าลดลงมาหน่อยค่ะ...เก่าจริงๆน่ะค่ะ - ภาษีรถยนต์  รถ 8 ที่นั่งจ่ายเยอะ / รถป้ายเหลืองจ่ายน้อย  บ้านเราสองคัน  5ที่นั่ง+ป้ายเหลืองตกปีละเกือบ 6 หมื่นเยนค่ะ - ค่าตรวจเช็ครถ  ปีละเกือบ 3 หมื่นเยนค่ะ -ค่าประกันชีวิต -ค่าเรียนพิเศษลูกเดือนละ 15000 เยน -ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าจิปาถะ เดือนละเกือบแสนเยน -ที่บ้านมีมาสูบส้วม มาเองทุกปีตามกฏระเบียบค่ะ จ่ายปีละ 10000เยน -มาสูบส้วมแล้ว  ยังมีคนมาวัดค่าคุณภาพน้ำท่อส้วมอีก วันนี้จ่ายไป 5 พันเยน ไปเที่ยวไหนๆก็จ่ายเยอะค่ะ โดยเฉพาะค่าเดินทาง ค่าเข้าชม ค่าโรงแรม ค่าอาหาร  ลำพังเงินเดือนพาร์ทไทม์นั้น ไม่พอดำเนินชีวิตสะดวกสบายที่ญี่ปุ่นค่ะ   ถ้าเงินเดือนประจำ....สวัสดิการจะดีกว่า โอกาสโดนเลิกจ้างงานน้อยกว่า  หักภาษี หักประกันสังคมต่อเดือนหลายหมื่นเลยนะคะ จะบอกว่า คุณมาอยู่ที่ ดูแลตัวเองให้มากค่ะ  ส่งหนังสือพิมพ์หน้าหนาวนี่ ไม่สนุกเลยนะคะ วันไหนหิมะตก อันตรายมากค่ะ  ตอนมหาวิทยาลัย สามีเคยทำพาร์ทไทม์แบบนี้ค่ะ  เหนื่อยค่ะ   แล้วถ้าภาษาไม่ได้ อ่านไม่คล่องทำงานหน้าร้านก็ยากค่ะ   ใจเย็นๆค่ะ  ห่วงเรื่องวีซ่าถาวรก็ศึกษาเรื่องข้อบังคับดีๆ อาจมีทางออก  ถ้ากลัวลูกไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นก็ส่งเรียนโรงเรียนญี่ปุ่นได้นะคะ   ปิดเทอมแล้วให้แม่เขาพามาอยู่ญี่ปุ่นสักเดือนนึงไปเลยก็ได้ค่ะ  ถ้าเน้นอังกฤษก็เรียนนานาชาติไปค่ะ ที่ไทยมีตัวเลือกเยอะ ไม่แพงมากค่ะ   ถ้านานาชาติที่ญี่ปุ่น เอ่อ...เดือนละ 1 แสนบาท....โอว....ไม่ต้องคิดอะไรมากค่ะ ไม่มีปัญญาส่งเรียนค่ะ   เรื่องค่าใช้จ่ายลูกเรื่องเรียนเนี่ย  กุมขมับค่ะ....ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ อาจต้องติวทั้งปีแล้วมาสอบใหม่   หรือถ้าลูกสอบติดในโตเกียว ต้องมาอยู่ที่พักแถวนั้น  เขาส่งให้ลูกเดือนละสองแสนเยนค่ะ....ถามคนที่ลูกเขาเรียนม.โตเกียวมาค่ะ ค่อยๆคิดนะคะ  เรื่องค่าใ้ชจ่าย เงินทอง ความสุขและความเป็นจริง....ไตร่ตรองเยอะๆค่ะ เมื่อมั่นใจแล้ว ก็ต้องปรับตัวกับสิ่งๆนั้นให้ได้นะคะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 20:59:45

ความคิดเห็นที่ 39 เ่อ่อ..ดิชั้นถามสามีแล้วว่า ถ้าไม่ได้จ่ายเงินเนนคิง หรือเงินบำนาญยามแก่ จะมีปัญหาอะไรไหม เขาบอกว่า  ไม่มี ก็แค่ไม่ได้รับคืนยามแก่เท่านั้นค่ะ  ......แล้วเหตุใด ถึงจะมายึดทรัพย์กันได้ง่ายๆคะ  ไปทำอะไรไว้หรือเปล่าแล้วใช้หนี้คืนไม่ได้ ส่วนบ้าน 1 หลังนั้น.... ดูในบัตรต่างด้าวนะคะ จะมีชื่อผู้ปกครองหรือเจ้าบ้านอยู่ค่ะ  ถ้าบัตรคุณเป็นชื่อพ่อตา ก็แสดงว่าพ่อตาคุณเป็นลีดเดอร์ของบ้าน   เงินเนนคิงหรือเงินช่วยเหลือใดๆจากรัฐจะจ่ายน้อยค่ะเพราะเขาถือว่า พ่อตามีลูกและลูกเขยดูแลอยู่   แต่ถ้าคุณและภรรยา ทำเรื่องแยกครอบครัว...แต่อยู่ในบ้านเดียวกัน หมายถึงมีลีดเดอร์ 2 คนในบ้าน   พ่อตาและคุณ ก็จะรับผิดชอบครอบครัวใครครอบครัวมันค่ะ  เพราะบ้านดิชั้นก็เพิ่งไปยื่นเรื่องเมื่อปีนี้เองค่ะ   ทีนี้พอลูกสาวเข้าเนิสของรัฐ....ซึ่งปกติเขาคำนวณค่าเทอมจากรายรับของบ้านนั้นๆ บ้านใครเงินรายได้เยอะ จ่ายเยอะ  รายได้น้อยจ่ายน้อย....มันก็เปลี่ยนไปค่ะ ตอนนี้ของเราจะมีรายได้แค่สามีคนเดียว เราก็จ่ายค่าเทอมน้อยลงค่ะ คนญี่ปุ่นที่อยู่กัน 3 คนในบ้าน....คู่สามีภรรยา+แม่ยาย..... เขาจะทำเรื่องแยกอยู่ค่ะ ทะเบียนบ้านเดียวกัน แต่แยกรายได้กันค่ะ  เพราะฉนั้นคุณยายคนนี้จะได้รับเงินดูแลจากรัฐมากขึ้น เวลาป่วย นอนรพ.ก็มีเงินช่วยมาค่ะ เพราะรายได้คุณยายน้อยค่ะ..... แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็จะถือว่าคุณยายมีลูกๆดูแล  เขาจะไม่จ่ายช่วยค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 21:11:48

ความคิดเห็นที่ 40 ทุกคนขยันเขียนกันจัง ..... เฮ้อ .... เขียนไม่ไหวค่ะ เรื่องเยอะมาก ถ้าจะคุยให้ได้เรื่อง ลองกลับไปอ่านกระทู้เก่าๆของคุณ โอซาก้าบอยด้วย  จำได้เคยตอบบางเรื่องไปแล้ว คิดว่า ... จขกท เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับญี่ปุ่นหลายๆอย่างไม่อัพเดท และสับสน  เช่นเรื่องวีซ่า เรื่องเนงกิงเป็นอย่างที่ คุณ Mnki พูดถึงค่ะ (นายก ยังลืมจ่ายตั้ง สองสามปี) เรื่องบ้านนี่ ถ้าเข้าใจระบบ โคเซกิ แล้ว ก็จะเข้าใจสถานภาพของตัวเอง ... เรื่อง การศึกษาลูก ... อื่นๆอีก ... จิปาถะ .... จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 54 23:42:12

ความคิดเห็นที่ 41 อิๆ ครับหลายๆ อย่างคงไม่ได้อัปเดท ฟันมาจากแฟนทั้งหมด ไม่ทราบว่าคุยกับคุณnijja. ช่วงไหนสะดวกดีครับเกรงใจครับ คิดว่าภายใน2ปีหน่อยๆ พอมีเวลาคิดกว่าลูกจะขึ้น ป 1  ใจอยากจะย้ายกลับไปมากกว่าแต่ห่วงเรื่อง  คือ ไม่อยากกินเงินเก่าอยากหาเงินใหม่กินเงินใหม่ที่หามาได้. จะได้ไม่กระทบเงินเก็บ คิดแบบนี้ไม่รู้ว่าถ้ายายใปแล้วจะทําได้หรือก็ไม่รู้ จริงๆ ผมเคยอยู่มา 3ปี แต่รายละเอียดต่างๆ ให้แฟนจัดการหมดทุกเรื่องบ้างครั้งแฟนลําคาญ นี้เป็นสาเหตุ 1ที่แฟนผมไม่ค่อยอยากย้ายกลับไปเกมือนว่าดูแลลูกแล้วต้องดูแลผมอีกเห็นบ่นประมาณนี้ฟังแล้วเศร้าใจมากครับแต่สุดท้ายก็ต้องยอมผมอยู่ดีไม่รู้จะบ่นทําไมคิดเองอยู่ในใจอิๆ     เป็นห่วงเรื่องวีซ่ามากกลัวหลุดกว่าได้มาเป็นถาวรลุ้นแทบแย่ เดี๋ยวถ้ามีอะไรสับสนจะมาขอชี้แนะด้วยนะครับ จากคุณ : Osaka (OSAKA_BOY) เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 00:31:47

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ Osaka (OSAKA_BOY) กรณีเพื่อนแฟนคุณเจอ  น่าจะหมายถึง เจคิน ....เงินค่าภาษีมากกว่านะคะ ที่เขาไม่ได้จ่ายแล้วหลายปี แล้ววันนึงมีจดหมายมายึดทรัพย์หรือทวงหนี้   เพราะว่าถ้าเป็นเงินเนนคิน...เงินดูแลยามชรา อันนี้ไม่่จ่ายก็ไม่มีปัญหาเพราะเขาก็ไม่จ่ายคืนเรายามแก่เช่นกัน   หนุ่มสาวสมัยนี้ไม่จ่ายมีเยอะค่ะ ไม่เข้าร่วมก็มีเยอะ รัฐบาลก็เลยแย่เหมือนกัน ไม่มีเงินหมุนเวียนมาดูแลคนแก่อายุ 70ปีขึ้นไป ที่มีจำนวนประชากรมากกว่าเด็กเยอะค่ะ ถ้าพ่อแม่กังวล คุณและภรรยาและลูกก็ควรไปทำเรื่องที่อำเภอที่มีทะเบียนบ้านอยู่  ขอแยกครอบครัวกันค่ะ ...จะหมายถึงบ้านเลขที่นี้ มี 2 ครอบครัวอยู่ค่ะ  อันนึงคือพ่อแม่ อันนึงคือครอบครัวคุณ   อย่างนี้ทุกคนสบายใจค่ะ เพราะเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ไม่ต้องมารับผิดชอบร่วมกันค่ะ   ที่บ้านดิชั้นก็เพิ่งยื่นเรื่องขอแยกเมื่อปีที่แล้วนี้ค่ะ   ตอนนี้ก็อยู่บ้านเดียวกันเหมือนเดิม เพียงแต่บ้านนี้จะมี ลีดเดอร์สองคนคือสามี และพ่อสามีค่ะ มาญี่ปุ่นแล้ว ภรรยาคุณต้องดูแลลูกเป็นหลักแน่นอนค่ะ ทั้งอนุบาล ประถม กิจกรรมต่างๆที่เยอะแยะมากของเด็กญี่ปุ่น  ทั้งพาไปหาหมอ ฉีดยา  เรื่องเรียนพิเศษ เรื่องกิจกรรมพิเศษรับส่ง   เพราะคุณต้องทำงานเป็นหลัก แล้วถ้างานที่ทำมีรายได้เข้าต่อเดือนไม่ถึง 200,000 เยน เชื่อว่าครอบครัวลำบากอยู่ค่ะ เพราะเดือน 4-5 ภาษีต่างๆจะเข้ามาค่ะ  จ่ายสนุกเลยค่ะ   ภรรยาอาจะต้องช่วยกันทำงานด้วยนะคะ  เธอคงมองภาพออกว่ามาญี่ปุ่นแล้วจะมีรายได้ รายจ่ายแค่ไหน จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 06:58:31

ความคิดเห็นที่ 43 .... แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 54 21:35:06 จากคุณ : nijja เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 08:33:32

ความคิดเห็นที่ 44 ผมว่าใจคุณ OSAKA_BOY เค้าอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว ในมุมมองของผมว่าไปเถอะครับเราเพราะถ้าว่าใจเรามันไปแล้วรับรองว่ามันก็จะมีแรงผลักดันและสู้สุดตัวจนอยู่ได้ ผมเคยอ่านวิจัยเกี่ยวกับโรบินฮู็ด (หนีวีซ่า) แต่ละคนมีใจมุ่งมั่นมากที่จะอยู่ประเทศนั้นๆอย่างมาก โดยที่ใจเขาพุ่งเป้าและมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่วแน่ยังสามารถไปประเทศนั้นได้  ทำงานจนตัวเป็นเกลียว หลบ ต.ม. ยังอยู่ได้แถมมีเงินเก็บอีกต่างหาก แต่ถ้าใจไม่อยากมาแต่ถูกผลักให้มาก็อาจจะลำบากหน่อย ภรรยาคุณ OSAKA_BOY อยากอยู่ไทย ต่างจากภรรยาผมมากกกกกกก ที่อยากอยู่ญี่ปุ่นมากกว่าไทย ตอนนี้เค้ากำลังมีความสุขในการเตรียมเอกสารต่างๆให้ผมย้ายไปญี่ปุ่นตอนสิ้นปีอย่างมาก หาโรงเรียนเรียนภาษาญี่ปุ่นให้ผมเรียบร้อย วางแผนการย้ายไว้อย่างเบ็ดเสร็จ (แต่ใจผมมันติดอยู่ที่ไทยนี่สิปัญหาใหญ่) จากคุณ : Leto เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 09:48:43

ความคิดเห็นที่ 45 คิดกอบโกย อยู่ญี่ปุ่นดี ถ้าไม่เลือกงานและขยัน อยู่ไทย ก็ สบายๆแบบไทย   อยู่ญี่ปุ่นก็ดี เรียนก็ฟรีจนถึงลูกโต จ่ายประกันรักษาก็ดี ที่ไทยเงินดีก็บริการดี ตามน้ำเงิน ความคิดเห็นส่วนตัว อยากรวยอยู่ญี่ปุ่นดี ภาษีสังคมก็ไม่มี  แถมสวัสดิ์การลูกเรียนก็ดี พอลูกเข้าอนุบาลได้ แม่ของลูกยังไปช่วยทำงานได้ 3-4 ชม อยู่ไทย ก็งั้นๆๆ  สบายจริง แต่ไม่สะดวก จากคุณ : รวมการเฉพาะกิจ เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 14:02:20

ความคิดเห็นที่ 46 คุณ Leto อยู่ส่วนไหนของไทยหรือครับแล้วจะย้ายไปอยู่ส่วนไหนของญี่ปุ่นหรือครับ อิอิ ว่างๆ นัดเจอกันได้ไหมครับท้ังครอบครัวเลยนะครับแต่คงต้องอีก 2 เดือนหน้าประมาณนะครับเพราะแฟนกับลูกเล่นกับแล้วทิ้งผมไว้ 2 เดือนเลยเซ็งอยู่นี้เลยครับ.     ไม่มราบว่าแฟนคุณเข้ากิจกรรมแม่บ้านญี่ปุ่นในไทยบ้างไหมครับอิๆ ถ้าเข้าอาจจะเคยเจอกันหรือป่าวก็ไม่รู้ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 16:43:35

ความคิดเห็นที่ 47 เอาที่อยู่แล้วสบายใจค่ะ ไม่ต้องไปแคร์ใครมาก ความคิดเห็นคนอื่นก็ฟังๆ ไว้ คิดให้มาก อย่างไหนคิดว่าดี ก็ทำ อย่างไหนไม่ดี ก็ไม่ต้องทำ ลองไปอยู่นู่นสักระยะ พอเห็นว่ามันไม่ใช่ ก็ย้ายกลับ เงินคุณก็พอมีบ้าง คงไม่ขัดสน อยู่ญี่ปุ่นจริงๆ มันก็ไม่ได้เครียดอะไรมากมาย คนอื่นเครียดก็ปล่อยเขาไป เราไม่ได้ไปเครียดกับเค้า รถรามีระเบียบ ความปลอดภัยสูง (ความคิดเห็นคนชอบญี่ปุ่นน่ะค่ะ) จากคุณ : คนเลี้ยงแกะปริศนา เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 18:30:06

ความคิดเห็นที่ 48 ครับสมัยที่อยู่ก็ไม่ได้เครียดมากอะไรมากครับ เป็นห่วงตรงเรื่องงานอย่างเดียว เรื่องอื่นไม่ใช้ปัญหาจากที่เคยอยู่มาก่อนนะครับ. จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 54 19:21:21

ความคิดเห็นที่ 49 คุณ OSAKA_BOY ผมอยู่เชียงใหม่ครับและจะย้ายไปญี่ปุ่นบริเวณ Hyogo ครับตอนนี้ติดต่อที่เรียนเรียบร้อยกำลังจัดการเรื่องวีซ่า (แต่ใจยังมีห่วงพ่อแม่ที่ไทย) ส่วนภรรยาผมไม่เข้ากิจกรรมแม่บ้านญี่ปุ่นในไทยเลย เพราะไม่มีเวลาเนื่องจากผมส่งไปเรียนภาษาไทยทุกวัน จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน จากคุณ : Leto เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 54 08:55:39

ความคิดเห็นที่ 50 5555 ดีแล้วครับที่ส่งไปเรียนจะได้ไมฟุ้งซ่านโรคนี้ภรรยาผมก็เป็นครับหลังเข้ากลุ่มแม่บ้านญ่ีปุ่น ผมของเมลล์ msn ได้ไหมครับ เพราะก็อยู่ hyogo เหมือนกันไม่ทราบเขตไหนหรือครับ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 54 10:06:02

ความคิดเห็นที่ 51 ส่งไปหลังไมค์ แล้วครับ จากคุณ : Leto เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 54 10:47:13

ความคิดเห็นที่ 54 พอดีกําลังคิดอยู่ว่าจะลองไปขอวีซ่าถาวร มาเจอกระทู้นี้เลยอยากเข้ามาขอข้อมูลเพิ่มก่อนตัดสินใจนะค่ะ คืออยากทราบว่าถ้ามีวีซ่าถาวรแล้วแต่ละปีต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไร และเท่าไหร่บ้างค่ะ แล้วถ้าต่อไปเกิดไม่มีชื่อในทะเบียนบ้านที่ญี่ปุ่นแล้ววีซ่าถาวรจะหลุดไปไหมค่ะ ถ้าใครพอจะทราบรบกวนแนะนําด้วยค่ะ   จากคุณ : Growthforest เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 54 16:47:23 A:115.87.143.77 X: TicketID:168311

ความคิดเห็นที่ 55 ผมจ่านค่าประกันสังคม ของผม ลูก แฟน. กรณีไม่มีรายได้ในญี่ปุ่น เขตบ้านผม 13000 เยนหน่อยๆ ทุกเดือน แต่ยังไม่ได้จ่ายค่าสวัสดิการตอนแก่. แฟนไม่เคยจ่ายเลยต้องจ่ายย้อนไป2 ปี แล้วเดือนละประมาณ 13,000 เยน ถ้าเอาชื่อออกทะเบียนบ้านก็ไม่ต้องจ่ายแต่วีซ่าถาวรจะหลุด. รู้มาคร่าวๆ แค่นี้ครับ จากคุณ : OSAKA_BOY เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 54 15:46:19

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณ คุณ OSAKA_BOY ที่ให้ข้อมูลนะค่ะ ยังงี้ไมรู้ว่าจะลองขอวีซ่าถาวรดีไหม เพราะรู้สึกปีๆนึงก็ต้องจ่ายเยอะอยู่เหมือนกัน มิหนําซํ้ายังไม่แน่ใจว่าจะเอาชื่อไปใส่ทะเบียนบ้านที่ไหนถ้าไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่น แต่อีกใจก็เสียดาย ยังไงจะลองคิดดูอีกทีค่ะ จากคุณ : Growthforest เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 54 13:59:24 A:58.9.228.101 X: TicketID:168311

ความคิดเห็นที่ 57 เวลาผ่านไปไวจริงๆ คุ้นๆว่าเคยคุยกับคุณเรื่องท้องอะไรนี่แหละ ตอนมาญี่ปุ่นใหม่ๆนานมากแล้ว ขอโฟกัสเรื่องเงินอย่างเดียวนะครับ เพราะในฐานะคนเป็นหัวหน้าครอบครัวมักมองที่ความเป็นอยู่ของคนที่เรารักเป็นหลัก เงินเก็บถ้าไม่สร้างหรือต่อยอด นับวันก็มีแต่หมดไป 35 ล้านถ้าใช้อย่างมัธยัสถ์ ก็คงอยู่ถึงวันตาย แต่มนุษย์เราส่วนใหญ่ มักไม่ใช่เป็นคนแบบนั้น คนส่วนใหญ่ มีมากใช้มาก มีน้อยก็ใช้น้อย ยิ่งคนที่มีครอบครัวด้วยแล้วก็อยากให้คนที่เรารักอยู่อย่างสบายๆไม่เดือดร้อน สมมุติเราจะอยู่ต่อไปถึง 80 ปี เราก็จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 50ปีคุณก็จะมีเงินใช้ปีละ 7 แสน ถ้าคุณโสด เงินก้อนเนี่ย ถึงไม่สร้างต่อ แต่ถ้าไม่สุรุ่ยสุร่าย คุณก็อาจสบายไปทั้งชาติ แต่ถ้ามีครอบครัวมีลูกแล้ว ลำบากแน่นอนครับ เหลือตกเดือนละ 6หมื่นกว่าบาทเอง นี่ยังไม่คิดปัจจัยเรื่องรถ เรื่องบ้าน ถ้าเราอยากได้ หรือเรื่องเรียนของลูก ค่าใช้จ่ายส่วนตัวของภรรยา ไหนจะเรื่องเที่ยวอีก ไปๆมา ไม่เกิน 20กว่าปีก็หมดแล้ว หวุดหวิดทันเห็นลูกรับปริญญา่พอดี แต่ก็ต้องเป็นภาระให้ลูกหลานอีก อยู่ไทยยังขนาดนี้ อยู่ญี่ปุ่นคงไม่ต้องคิด ตัวเราไม่ค่อยเท่าไร ม่าม่าห่อเดียวก็อยู่ได้ทั้งวัน จากคุณ : BEETONG เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 54 03:32:44

ความคิดเห็นที่ 58 กังวลเรื่องวีซ่ามากไปไหมค่ะ ถ้ามาแค่ปีล่ะครั้ง สองครั้ง คุณเก็บเงินมาจ่ายค่าทำวีซ่าที่ไทยเสียเวลาแค่วันเดียว ไปสถานฑูตจะไม่ประหยัดกว่าเหรอค่ะ ส่วนเรื่องจะโดนถอนวีซ่าหรือไม่ โทรหา นักกฎหมายหรือโทรไปถาม immigration เลย เขามีบริการทั้งภาษาอังกฤษและไทย บอกสถานการณ์ของคุณไปตรงๆเขาจะให้คำแนะนำได้ดีกว่า แน่นอนกว่า การมาคาดคะเนในห้องนี้ค่ะ ส่วนเรื่องรายได้ ดิฉันเขาใจถึงความไม่แน่นอนน่ะค่ะ หากคุณมีความสามารถในการหาเงินเก็บได้ขนาดนั้นมา คุณก็มีความรู้และประสบการณ์มากกว่าใครหลายๆคน ฝึกเรื่องภาษาหน่อย อดทนให้มาก อยู่ไหนก็ไม่ตายหรอกค่ะ ใจค่ะ ใจอย่างเดียวเลย จากคุณ : ภารโรงประจำ เขียนเมื่อ : 10 มี.ค. 54 23:59:57