|
ขออนุญาตมาแบ่งอีกมุมมองหนึ่ง ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์จริงๆ เพียงแค่อยากมาแบ่งปันภาพอีกด้านหนึ่งของปัญหาในภาพรวม
เข้าใจว่าพวกเราที่ประสบวิกฤติในต่างแดนมีความรู้สึกเช่นใด เคว้งคว้าง สับสน หวาดกลัว
แต่เดาว่า ภาวะการขาดแคลนไฟฟ้า, น้ำประปา, อาหาร, สิ่งอุปโภคและบริโภค, ความหนาวเย็น, ระบบโทรศัพท์และจำนวนคู่สายที่มีจำกัด (การจะขอเพิ่มเติมแบบปัจจุบันทันด่วนในภาวะปัจจุบันไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายนัก) หรือแม้แต่ความสะดวกและคล่องตัวในเรื่องของการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ รถไฟใต้ติด รถแทกซี่ ซึ่งไม่ทราบว่ากลับมาให้บริการตามปกติมากน้อยเท่าใดแล้ว นั้น หน่วยงานไทยทั้งหลายในญี่ปุ่นก็คงประสบเช่นเดียวกัน (ทราบว่าที่โตเกียวมีการตัดไฟฟ้าเป็นระยะเพื่อความประหยัดเนื่องจากวิกฤติจากโรงงานผลิต) บางแห่งได้ยินว่าคอมพิวเตอร์ใช้งานได้ทีละ 1-2 ชม. แล้วต้องหยุดพักอีก 1 ชม. เนื่องจากกระแสไฟฟ้าถูกตัด หรือบางสนง.จนท.ต้องจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่างในการทำงานและหลายคนก็อาจไม่มีอาหารกลางวันรับประทานระหว่างวันเช่นกัน
จำนวนบุคลากร ข้าราชการ จนท.คนไทยที่ประจำอยู่ในสถานทูตที่โตเกียวหรือสถานกงสุลที่นครโอซาก้า เดาว่าอย่างเก่งสำหรับประเทศขนาดใหญ่อย่างญี่ปุ่นก็คงรวมๆ แล้วไม่เกินแห่งละ 10 ท่าน ซึ่งก็น่าจะเป็นจำนวนที่มากแล้วเมื่อเทียบกับสนง.อื่นๆ เช่น พาณิชย์, ส่งเสริมการลงทุน, ททท., แรงงาน, ผช.ทูตทหารเหล่าต่างๆ, ธนาคารและเอกชน (บางยี่ห้อ) รวมถึงการบินไทยเอง ที่น่าจะมีจำนวนบุคลากรชาวไทยประจำอยู่เฉลี่ย สนง.ละ 3 คน รวมทั้งหมดทุกสนง.เอาเฉพาะที่มีน่าที่ให้บริการและช่วยเหลือก็น่าจะรวมๆ ราว 20 - 30 คน ซึ่งก็คาดว่าขณะนี้ทุกท่านก็ยังคงประจำการและปฏิบัติหน้าที่อยู่ในญี่ปุ่นเท่าที่สถานการณ์รอบด้านจะอำนวย
จำนวนนี้ เมื่อรวมกับลูกจ้างท้องถิ่น (ซึ่งก็ไม่ทราบว่าขณะนี้จะมีสภาพจิตใจพร้อมปฏิบัติงานคิดเป็นร้อยละเท่าใด) ที่แต่ละสนง.มี ที่ส่วนใหญ่ก็ต้อง "เดินเท้า" มาทำงานกว่า 2 - 3 ชม.ต่อการไปและกลับแต่ละเที่ยว
เมื่อเทียบกับจำนวนคนไทยที่ต้องการความช่วยเหลือ (จากทั้งหมด 60,000 กว่าคน ทั้งที่ไปทำงาน,เรียน,มีถิ่นพำนัก หรือท่องเที่ยว) ซึ่งก็น่าจะกระจัดกระจายอยู่มากมายหลายแหล่งแม้ว่าจะเป็นเมืองเดียวกัน สัดส่วนของผู้ให้ความช่วยเหลือกับผู้รอรับความช่วยเหลือนั้นจึงมีความแตกต่างสูงเหลือเกิน
จึงเป็นไปได้สูงว่าการติดต่อ สื่อสาร ให้ข้อมูลแก่ผุ้ต้องการความช่วยเหลือนั้นเป็นไปในแบบที่เรียกว่า "ไม่ง่าย" หรือ "ไม่ทันใจ" และ "ไม่เพียงพอ" กอปรกับการประสานงาน เตรียมการเดินทางไปช่วยเหลือเช่นการว่าจ้างรถบัสหรือรถตู้ซึ่งน่าจะยากและอยู่แล้วในภาวะขณะนี้และน่าจะยากยิ่งขึ้นไปอีกหากพื้นที่ที่จะเดินทางไปมีความเสี่ยง
กระทวงต่างประเทศเองก็น่าเห็นใจ กระบวนการตัดสินใจแบบไทยๆ อาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นความตั้งใจและจริงใจของคนถึงขนาดตำแหน่งการเมืองบางท่านที่ลงทุนเดินทางเข้าไปในพื้นที่ด้วยตัวเอง (พิจารณาจากภาพข่าว) ซึ่งเราๆ ก็รู้กันอยู่ว่าระดับความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ มีอยู่มากน้อยแค่ไหน เราๆ ท่านๆ หลายคนถ้าเลือกได้ก็คงไม่เข้าไปในประเทศญี่ปุ่นในช่วงนี้
ที่สำคัญที่สุด ไม่อยากให้เราลืมกันว่าจนท.และข้าราชการไทยของหน่วยงานต่างๆ ที่กล่าวไปแล้วทั้งหมด จะเป็นคนไทย "กลุ่มสุดท้าย" ที่ได้เดินทางออกจากพื้นที่ แน่นอน หลังจากที่พวกเขาแน่ใจว่าได้ทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการความช่วยเหลือและดูแลทรัพย์สินของประเทศไทยส่วนใหญ่เรียบร้อย
ในภาวะการณ์แบบนี้ ท่ามกลางความหนาวเหน็บ ขาดแคลนพลังงาน อาหาร น้ำดื่ม และเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของกัมมันตภาพรังสี ไม่มีใครหรอกที่อยากอยู่ เลือกได้ ทุกคนคงอยากกลับบ้านโดยเร็วเช่นเดียวกับคนไทยอีกหลายๆ คน
ภายในเร็ววันนี้ 3 วัน 7 วัน หนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ เชื่อว่าหน่วยงานไทยในส่วนกลาง และจนท.คนไทยที่ประจำอยู่ที่นั่นคงช่วยเหลือคนไทยท่านอื่นๆ ให้ได้กลับบ้านกันมากขึ้นจนถึงทุกคน อาจไม่รวดเร็วเหมือนการดำเนินการของประเทศอื่นๆ แต่เชื่อว่าจะคลี่คลายในเร็ววัน
แต่สำหรับจนท.คนไทยที่ประจำอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ "กลับบ้าน" ไม่ว่าแผ่นดินจะ "ไหว" อีกกี่ครั้ง ผลกระทบที่ตามมาและสถานการณ์จะเลวร้ายหรือดีขึ้นอย่างไร
และเมื่อโอกาสของพวกเขามาถึง ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันจะ "สาย" เกินไปหรือไม่ ด้วยเหตุผลมากมายทั้งในเรื่องของความเสี่ยงต่างๆ หรือ "ช่องทาง" ในการเดินทางออกที่อาจจะน้อยลง
ไม่ตำหนิใคร แต่เอาใจช่วยคนไทยทุกๆ คน รวมทั้ง จนท. และขอให้คุณพระอำนวยพรให้ปลอดภัย
ปล. เรื่องนักข่าว การทำข่าว การใช้วิจารณญาณของผู้จัดสรรพื้นที่รถ ขออนุญาตไม่ออกความคิดเห็น ด้วยข้อเท็จจริงเป็นประจักษ์
แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 54 08:43:48
แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 54 08:40:33
จากคุณ |
:
หมูทะเล (หมูทะเล)
|
เขียนเมื่อ |
:
18 มี.ค. 54 08:38:20
|
|
|
|
|