ความคิดเห็นที่ 1 1. ผมสงสัยว่า ในเมื่อจะสมัครเรียนมหาวิทยาลัยในอเมริกา ทำไมถึงเลือกสอบ IELTS แทนที่จะสอบ TOEFL แต่ถ้าคุณบอกว่า มันน่าจะง่ายกว่าแล้วทางมหาวิทยาลัยรับผล IELTS ด้วย ก็สุดแท้แต่ 5. คิดว่า ถ้าเป็นเทอม Fall 2012 สมัครได้ตั้งแต่เดือน ต.ค. 54 นะครับ ผมก็สมัครราวๆ เดือนนั้น เมื่อปีที่แล้ว 9. ถ้าเป็น Fall semester เปิดเทอมเดือนกันยายนครับ ก็อาจจะเดินทางสักประมาณปลายสิงหาฯ ปี 2012 ผมไม่รู้ว่าสาขาที่คุณสมัครจะรับนักศึกษาเข้าเทอม Spring ด้วยหรือเปล่า University of Wisconsin Madison เขาทำ Timeline ไว้ให้อย่างนี้ครับ http://www.grad.wisc.edu/education/admissions/stepstoapply.html ข้อแนะนำจากประสบการณ์ผม - ตอนนี้ปลายเดือนมีนาแล้ว ผมอยากจะให้คำแนะนำว่า น่าจะลองสอบภาษาอังกฤษ ประมาณเดือน พ.ค. สักรอบนึงก่อน ดูคะแนนว่าเป็นยังไง ถ้ายังไม่พอใจ อาจจะสอบใหม่อีกครั้งเดือน 8-9 ก็ว่าไป *ข้อสำคัญ: ว่างๆ ช่วงนี้ก็ไปขอ Official Transcript กับ ใบแปลปริญญาบัตร จาก สำนักทะเีบียนของมหาวิทยาลัยที่จบมาครับ ขอตามจำนวนมหาวิทยาลัยที่สมัครเลยนะ หรือจะขอมากกว่านั้นก็ได้้ เผื่อว่าจะสมัครเพิ่มอีกหลายมหาวิทยาลัย จะได้ไม่ต้องเสียเวลากลับมาขอใหม่ เพราะเขียนคำร้องแล้ว ต้องรออีกอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ (สำหรับมหาวิทยาลัยของผมนะ) มหาวิทยาลัยในอเมริกา แต่ละที่ก็เรื่องมากไม่เหมือนกันอีก บางที่ต้องการให้ใส่ซอง sealed จ่าหน้าซองถึงมหาลัยนั้นเลย บางที่ก็บอกว่า ไม่ต้อง sealed ก็ได้ไม่เป็นไร ใส่รวมมากับเอกสารอื่นๆ ได้เลย บางที่ใจดีหน่อย บอกว่า สแกนมาก่อนก็ได้ ถ้ารับแล้วค่อยส่งตัวจริงตามมาก็มี ดังนั้นคุณควรตรวจสอบดีๆ ว่ามหาวิทยาลัยที่สมัครไปนั้นต้องการให้ส่ง official transcript แบบไหน บางแห่งถ้าไม่ sealed และประทับตราจากทางมหาิวิทยาลัยไปในเมืองไทย เขาไม่ยอมรับก็มี แก้ไขเมื่อ 21 มี.ค. 54 14:51:17 จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 14:47:02

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณครับ คุณRyuichi ที่ผมเลือกสอบ IELTS เพราะ มหาลัยที่เล็งไว้ เขารับทั้ง TOEFL และ IELTS อ่าครับ โดยส่วนตัวแล้ว ภาษาอังกฤษไม่ได้เก่งมากมาย TOEFL 100 IBT นี่คงไม่ไหวแน่ๆเลยครับ..  T-T แล้วปกติ ถ้าผมส่งใบสมัครไปเดือน ตุลาคม นี่  ผมจะทราบผล ประมาณเดือนไหนว่าได้รึไม่ได้อ่าครับ   แตกต่างกันไหมครับ กับการที่ผมจะยื่นใบสมัครตั้งแต่ เปิดรับ (ต้นเดือน ตุลา)  กับการที่จะยื่นสมัคร ตอนใกล้ๆ ปิดรับ (ปลายเดือน มกรา ปีหน้า) ? เผื่อว่าจะมีเวลาเพิ่มอีกหน่อย ถ้าคะแนนสอบ IELTS กับ GMAT ยังไม่ผ่านเกณฑ์น่ะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : justingun (justingun) เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 19:42:40

ความคิดเห็นที่ 3 มหาวิทยาลัยในอเมริกาส่วนใหญ่จะประกาศผล Graduate Admission ตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ไปเรื่อยๆ ช้าสุดก็เคยได้ยินว่าบางแห่งเกือบถึงพฤษภาคม แต่โดยทั่วไปกลางๆ เดือนมีนาคมน่าจะทราบผลแล้ว ไม่ต่างครับว่าสมัครเร็วแล้วจะรู้ผลเร็ว เพราะ Admission Committee ยังไงก็จะเริ่มประชุมกันต้นเดือนกุมภาพันธ์อยู่ดี เว้นแต่ คุณจะติดต่อกับ Professor ที่เป็นหนึ่งใน Committee เป็นการส่วนตัว แล้วเขาชอบ Profile ของคุณมาก แล้วมีการแจ้งกันเป็นการส่วนตัวก่อนว่าจะรับเข้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องส่งหลักฐานไปก่อน deadline นะครับ จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 21 มี.ค. 54 20:44:40

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณคุณ Ryuichi นะครับ โดยทั่วไปแล้วถ้าสมัคร Ph.D เนี่ย  ต้องยื่นไปประมาณกี่ที่จึงจะได้ Offer แน่ๆ อ่ะครับ  ยื่นเยอะ ก็มีค่าใช้จ่ายเยอะ  ยื่นน้อย ก็กลัวไม่มีที่ตอบรับเลย  เลยไม่รู้ว่าสักกี่ U ถึงจะดีครับ ? จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 11:51:27

ความคิดเห็นที่ 5 ผมตั้งใจจะเรียนติวคอร์ส IELTS ให้จบก่อนแล้วค่อยสอบทีเดียวครับ  เพราะค่าสอบ IELTS ก็แพ๊ง..แพง  สอบดูตอนนี้ยังไงก็ไม่ถึง 7.5 แน่ๆ ครับ ( 6 ไม่รู้จะถึงรึเปล่าเลย แบบว่า อ่อนแกรมม่า และศัพท์น้อยมาก) ไม่ทราบว่าแค่ คอร์สเรียน Grammar และ IELTS ที่ผมจะลงติวนี่  จะเพียงพอในการเตรียมตัวไปเรียนระดับ ป. เอก ที่อเมริการึเปล่าครับ     กลัวว่า..  โอเค สอบผ่านแล้ว  มหาวิทยาลัยรับแล้ว แต่พอไปถึง นั่งเอ๋อ ใช้งานภาษาอังกฤษจริงไม่ได้  ( ภาษาผมตอนนี้คือ สื่อสารเรื่องทั่วไปได้ครับ แต่เรื่องซับซ้อนจะพูดไม่ได้  ผมเคยเรียน AUA Conversation จบ 15 เลเวลของเขาแค่นั้นอ่ะครับ) จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 11:56:55

ความคิดเห็นที่ 6 GMAT ยากกว่า TOEFL & IELTS มากกกกกกกกกกกก นะคะ GMAT เป็นอย่างเดียวที่เราต้องสอบสองครั้งเพราะนีกว่ามันน่าจะง่าย (เพราะเรา TOEFL ร้อยกว่า) ครั้งแรกเลยไม่ได้อ่านไปสอบเลย เน่าเลย (5xx) ครั้งสองฟิตไปเลยได้ 7xx เตรียมตัวเยอะ ๆ มีอะไรหลังไมค์มาถามได้นะคะ สอบมาแล้วทั้ง 3 อย่าง แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 12:38:15 จากคุณ : Severus' Lover เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 12:36:56

ความคิดเห็นที่ 7 #4 ผมไม่กล้าให้คำแนะนำคำถามนี้เลย เพราะประสบการณ์ของผมเองก็คาบลูกคาบดอกเต็มที ผมสมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาไป 6 แห่ง ผลปรากฎว่า Reject ไป 4 ตอบรับ 2 ขนาดมหาวิทยาลัยที่มี rankings ลำดับที่ 41 ที่คิดว่า safe สุดก็ยัง reject เขาให้เหตุผลว่า ปีนี้คนสมัครเยอะ รับน้อย คือมันมีปัจจัยร้อยแปดในการที่จะถูก accept หรือ reject ไอ้ที่คิดว่า น่าจะได้แน่ๆ ก็ดันไม่ได้ ไอ้ที่คิดว่าไม่น่าจะได้ก็ดันได้ อย่างที่คุณว่า  "ยื่นเยอะ ก็มีค่าใช้จ่ายเยอะ  ยื่นน้อย ก็กลัวไม่มีที่ตอบรับเลย" ถ้าจะให้ตอบจริงๆ ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมอยากจะสมัครสัก 9 แห่งเหมือนกัน เพราะคิดว่า โอกาสสมัครคงมีแค่ครั้งเดียว เรื่อง Application fee อาจจะไม่ทำให้ลำบากใจเท่ากับการที่ไปขอให้ Referee ปริ๊นท์ และ เซ็น Recommendation letters ให้หลายๆ ชุด - - - มันเกรงใจ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 12:55:41 แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 12:55:27 แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 12:49:24 จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 12:45:42

ความคิดเห็นที่ 8 อ๊ะ... ! แบบนี้แสดงว่า  ต้องตัดสินใจก่อนว่า จะสมัครกี่ U  แล้วจึงไปติดต่อขอ Recomendation letter สิครับ   หลงผิดนึกว่า ค่อยมา ซีร็อค เอา 5555 จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 15:27:33

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ Severus' Lover   ครับ  ไม่ทราบว่าได้ TOEFL 100 กว่านี่ ต้องติวรึเปล่าอ่าครับ ขนาดคุณ Severus' Lover ได้ TOEFL 100 กว่ายังบ่นว่า GMAT ยากกกกกกกก  เลย   ทำเอาผมเครียดเลยนะเนี่ย  จะเตรียมตัวไงดี ต้องติวมะครับเนี่ย..  คอร์ส สองสามหมื่นแน่ะ  บวก คอร์ส IELTS อีก สี่ห้าหมื่นแน่ๆ ไม่ไหวง่า....  T-T จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 15:33:41

ความคิดเห็นที่ 10 Recommendation letter ก็ต้อง ให้ คนเขียนเซ็นปิดผนึกซองให้ด้วยครับ ห้ามแกะออก จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 15:51:26

ความคิดเห็นที่ 11 แล้วตอนนี้คุณ Ryuichi เรียน อะไร อยู่ที่ไหนอ่าครับ Recommendation letter นี่คือต้องเป็น อ. ที่สอนเรามาจริงๆ ในชั้น ป.โท ใช่รึเปล่าครับ  รึเป็นใครก็ได้อ่าครับ ? จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 15:53:11

ความคิดเห็นที่ 12 เอ่อ เดี๋ยวนี้ Recommendation letter ส่วนใหญ่บังคับให้ทำผ่าน online แล้วนะครับ กรอกอีเมลล์ที่เป็นของสถาบัน (@tu.ac.th เป็นต้น) แล้วระบบจะส่ง email หาตัวอาจารย์โดยตรงเลยครับ ไม่ต้องเซ็นปิดผนึกซองอะไรให้วุ่นวาย (ประสบการณ์ตรงของผมนะครับ สมัครไป 5 แห่งใช้แบบนี้หมดเลย) IELTS เนี่ย ผมว่าอ่านเองน่ะได้ครับ (ผมไม่ได้ลงเรียน ได้มา 7.5 ครับ) แต่ GMAT ถ้าไม่เรียน ผมว่าตายแหงแก๋ครับ logic การออกข้อสอบไม่เหมือนมนุษย์โลก ถ้าไม่แม่นจริงๆ ผมว่า โอกาสถึง 600 ยากครับ ยิ่งภาษาอังกฤษ เขาไม่ได้ test grammar แต่ test พวก idiom กับ style แค่อ่านหนังสือกับฝึกทำ ผมว่ายากครับ (ผมเรียนกับ Kaplan สอบไป 2 รอบได้มา 650 ครับ ไม่เปลี่ยนเลย เท่ากันทั้ง 2 ครั้ง) เพิ่มเติมอีกนิด เรื่อง referee ถ้าไม่เคยทำงาน ก็ให้อาจารย์เขียนให้ครับ แต่ถ้าทำงานแล้ว อาจจะให้เจ้านายช่วยเขียนให้ได้ แต่ต้องดูเงื่อนไขจากทางมหาลัยด้วย ส่วนใหญ่ PhD เขา require 3 คน โดย 2 คนต้องเป็น academic referee ครับ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 21:13:58 จากคุณ : sappaloz เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 21:11:49

ความคิดเห็นที่ 13 ผมยังไม่ได้เรียนครับ กำลังจะเดินทางเพื่อไปเรียน Fall 2011 semester ครับ ของผม อาจารย์บางท่านไม่สะดวกจะตอบ recommendation letter ทางอินเตอร์เน็ต คือ กรอกอีเมล์ไปแล้วอาจารย์ไม่ตอบให้สักที (มันเช็คได้) - ทั้งๆ ที่แจ้งอาจารย์ท่านล่วงหน้าไปแล้วนะ ว่าจะมีอีเมล์ส่งมาจากมหาลัยในเมืองนอกให้ช่วยตอบให้หน่อย ไอ้ครั้นจะไปกดดันบรรดาอาจารย์ให้ตอบให้หน่อยครับ มันก็ดูไม่สมควร เลยถาม Graduate coordinator ว่าเอาไงดี เขาบอกว่า ถ้า referees ไม่ค่อยใช้ internet ก็เขียนเป็น hard copy letter มาก็ได้ เคยไปหา อาจารย์ที่เป็น "คนดัง" ท่านนึง ซึ่งเป็นอาจารย์ในคณะเดียวกันนี่แหละ แต่ถูกปฏิเสธมา แกบอกว่า LOR เนี่ยต้องให้ อาจารย์ที่รู้จักตัวคุณเป็นอย่างดีเขียน ซึ่งผมก็ไม่ได้โกรธเคืองอะไรแก ที่แกพูดมันก็ถูก ผมก็เลยไปให้อาจารย์ที่มีความสนิทสนมมากกว่าเขียนให้ดีกว่า สบายใจกว่า เรื่อง การสอบภาษาอังกฤษ ผมไม่รู้จะแชร์อะไรดี เพราะได้คะแนนไม่ค่อยดี แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 54 11:55:40 แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 54 21:50:06 จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 22 มี.ค. 54 21:46:22

ความคิดเห็นที่ 14 ความเห็นส่วนตัวนะ เราว่าถ้าเรียน GMAT มันจะเอาไปใช้กับ IELTS & TOEFL ได้ แต่ถ้าเรียน IELTS & TOEFL มันจะเอาไปใช้กับ GMAT ได้น้อยอ่ะ จากคุณ : Severus' Lover เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 09:34:13

ความคิดเห็นที่ 15 โอ้ว.. เพิ่งรู้ว่า เดี๋ยวนี้ Recommendation letter ส่วนใหญ่บังคับให้ทำผ่าน online แล้ว  งั้นเดี๋ยวผมต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว ว่า U ที่ผมสมัครเนี่ย เขาต้องให้ Online ด้วยรึเปล่า จะได้รู้ตัวไว้ก่อน... คุณสอบได้ 7.5 อ่านเองนี่เก่งจังเลยครับ  แสดงว่ามีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีอยู่แล้วเหรอครับ ผมไม่ได้โปรแกรมภาคภาษาอังกฤษมา  พื้นฐานเลยกลางๆ อ่ะครับ  กลายเป็นตอนนี้กังวลเรื่อง GMAT แทนเลย  T-T จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 11:25:03

ความคิดเห็นที่ 16 ผมว่า  อาจารย์ที่เป็น "คนดัง" และ "Profile หรู"  เนี่ย ไม่รู้เขาจะกังวลอะไรเนอะ แค่เขียนให้เป็นบันไดสู่วิทยาทานแก่คนอื่นเอง   ต่อไปเขาจะได้มีความรู้กลับมาพัฒนาประเทศต่อ มีแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น ...   ผมเล็งไว้ที่ Cornell University  เหมือนจะเป็น Top ด้วย  สงสัยจะหวังสูงเกินตัวไปมะเนี่ย...   T-T ส่วนเรื่อง GMAT ผมไปลองถามๆ ดู เขาบอกว่ามีแค่คอร์ส private ซึ่ง แพงมากกกกกกกกกก  เรียนไม่ไหว  เลยตัดสินใจลงคอร์สแค่ IELTS กับ Grammar  เง้อ.. จะไหวไหมน้อ... จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 11:31:25

ความคิดเห็นที่ 17 GMAT ที่ Kaplan มีแบบเรียนเป็นคลาสครับ นักเรียนประมาณ 10-15 คน ค่าเรียนประมาณ 22,000 (ส่วนตัวคิดว่า ค่าสอบ GMAT ก็เกือบ 8,000 แล้ว ยอมลงทุนดีกว่าครับ เอาครั้งเดียวจบ ไม่ต้องปวดหัวตามหลัง) อย่างที่ คห. อื่นๆบอกแหละครับ เรียนภาษาอังกฤษ GMAT ไปเนี่ย เอาไปใช้ต่อได้ทั้ง IELTS กับตอนเรียนต่อเลยครับ ส่วนเรื่อง Letter ผมว่า อาจารย์คนดังทำถูกแล้วนะครับ ถ้าเขาไม่รู้จักตัวนักเรียนดีพอ เขาก็ไม่รู้จะเขียนอะไรลงไปให้ มันก็จะกลายเป็นใช้แบบฟอร์ม ซึ่งน่าจะดูแย่กว่าขอให้อาจารย์ท่านอื่นๆเขียนให้อีกนะครับ ป.ล. ผมเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษมาตั้งแต่มัธยมน่ะครับ ก็เลยพอมีวิชาด้านภาษาอังกฤษอยู่บ้าง จากคุณ : sappaloz (sappaloz) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 13:28:48

ความคิดเห็นที่ 18 แล้วที่ Kaplan ดีมะครับ  ? ค่าเรียนที่ผมลงไปตอนนี้   Grammar   6,000   B. IELTS      18,000    B. ถ้าลง GMAT  22,000 อีก รวมแล้ว   46,000 B.  เลย   กินแกลบแน่ๆ  T-T แล้วคอร์สติวภาษาพวกนี้  สามารถเอาไปใช้งานจริงตอนเรียน ป.เอก ได้ด้วยรึเปล่าครับ คือสามารถไปฟัง lecture , เขียนงานส่ง  พูดรายงานได้ รู้เรื่องอย่างดี เลยรึเปล่าครับ กลัวสอบผ่านได้แล้ว  พอไปเรียนเมืองนอกจริงๆ  งงๆ สื่อสารได้ไม่ดี เขียนรายงานไม่ถูก อะไรแบบนี้อ่าครับ  เพราะต้องเขียน วิทยานิพนธ์ทั้งเล่มแน่ะ .. ! จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 14:42:11

ความคิดเห็นที่ 19 คือ คอร์ส Grammar , IELTS ที่ลงไว้นี่ คือลงทะเบียนไว้ก่อน  แต่คอร์สแกรมม่า จะเริ่ม เมษาอ่าครับ    ส่วน IELTS จะเริ่ม พฤษภา จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 14:44:56

ความคิดเห็นที่ 20 ผมคิดว่าควรจะเรียน GMAT ด้วยเหมือนกันนะครับ คือ ต้องลงทุนหน่อยน่ะ ส่วนเรื่อง การฟัง lecture เขียนรายงาน ผมว่ามันเป็นอะไรที่ต้องสั่งสมมานะและฝึกฝนบ่อยๆ นะครับ การเรียนคอร์สสั้นๆ แน่นอนว่ามีประโยชน์ แต่จะคล่องแคล่วหรือเปล่านี่ก็ตอบไม่ได้ ผมว่า จขกท. มีทักษะแล้ว แต่ต้องหมั่นฝึกฝนบ่อยๆ ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 54 11:56:24 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 54 16:59:42 จากคุณ : Ryuichi เขียนเมื่อ : 23 มี.ค. 54 16:53:56

ความคิดเห็นที่ 21 งี้ เดี๋ยวต้องไปหาข้อมูลเตรียมติว GMAT ละครับ ตื่นเต้นจัง  ไม่รู้จะสอบได้ดีแค่ไหน.. จากคุณ : JustinGun (justingun) เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 12:21:52

ความคิดเห็นที่ 22 เขียนรายงานนี่ยากจริงๆครับ คือมันต้องมีการเล่นคำ ทำให้รายงานมันดูหรูขึ้น ไม่ใช่ใช้แค่คำซ้ำๆ ถ้ายังไง ได้ที่เรียนแล้ว ก่อนไปก็น่าจะไปลง course Academic writing สั้นๆก็ได้ครับ ไม่น่าจะแพงมาก ไม่งั้นตอนไปเรียน ถ้าให้เจอเขียน report อาจจะเน่าได้ครับ ส่วนทักษะการฟัง การพูด แค่ couse ภาษาอย่างเดียวไม่พอครับ มันต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์ด้วย จากคุณ : sappaloz เขียนเมื่อ : 24 มี.ค. 54 21:25:29