Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กรณีศึกษา: การเรียนภาษาอังกฤษที่มีเงื่อนไขก่อนเข้า U อาจไม่เป็นอย่างที่คิด: สอบ IELTS/TOEFL ให้ผ่านน่าจะดีกว่า ติดต่อทีมงาน

ผมขออนุญาตแชร์ประสบการณ์การเรียนคอร์สภาษาอังกฤษที่เป็นเงื่อนไขก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยนะครับ

ผมขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวผมสักหน่อยนะครับเพื่อให้เข้าใจข้อมูลเบื้องต้นหรือที่มาที่ไปก่อนนะครับ

ก่อนผมมาเรียนที่นี่ ผมทำงานได้ 4 ปีแล้ว ผมจบปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่น (เรียน 2 ปี) ผมเคยสอบ TOEFL สมัยนั้นผมสอบ Computer-based TOEFL (CBT) เทียบเท่าได้คะแนน 554 คะแนน และได้ writing 5.5 ส่วน 6.0 แต่คะแนนผมก็หมดอายุแล้วครับ

ผมสนใจที่จะเรียนต่อในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ผมจึงสมัครเรียนที่ออสเตรเลียเพราะไม่ไกลบ้านเรามากนัก

ด้วยความที่ผมทำงานตลอดเวลา แทบไม่ได้หยุดแม้ในเสาร์อาทิตย์ ผมจึงไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบภาษาอังกฤษ และไม่เคยไปเรียนติวที่ใดๆ เลย (ยอมรับว่าตัวเองไม่ดีเองจริงๆ) และแอบเข้าข้างตัวเองว่าคงทำได้เหมือนตอนทำ TOEFL ผมก็เลยไปสอบ IELTS โดยไม่มีการการเตรียมตัวใดๆ ดูแนวข้อสอบก่อนไปสอบ อาทิตย์เดียว

ผลที่ได้ออกมาคือได้ IELTS overall 6.0 โดยผมโชคดีได้ reading กับ writing 6.5 ส่วน Listening ผมพลาดมากๆ เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนทำให้ฟังไม่ทันจึงได้ 5.5 ส่วน speaking ได้ 6.0

ตอนแรกผมคิดจะไม่ใช้คะแนนนี้ในการสมัครเข้าเรียน U ในออสเตรเลีย
เพราะคิดว่าส่วนใหญ่จะเรียนต่อปริญญาเอกในสายของผม (สายวิทย์) ก็ต้องการ 6.5 ขึ้นไปอยู่แล้ว คะแนนได้ 6.0 คงไม่ได้แน่นอน

แต่ตอนนั้นผมก็ได้ติดต่อหา Supervisor ไว้แล้ว จึงลองส่งใบสมัครไปที่ U 3 แห่ง (เป็น Go8 1 แห่ง และ U กลางๆ ที่ติด TOP 12 ของ Australia อีก 2แห่ง) ผมสมัครผ่าน Agency เพราะตอนนั้นเขาไม่คิดค่าสมัคร (คือสมัครฟรี) เพราะถ้าสมัครเองจะเสียเงินค่าสมัคร U ละประมาณ 3000 บาท ผมยอมรับว่าผมอาจคิดน้อยไปก็ได้ แต่ Agency ก็ดำเนินเรื่องให้ดีนะครับ แต่ส่วนที่ผมทำเองก็มี คือ คอยตามเอกสาร (อีเมลล์ไปถามมหาวิทยาลัยว่าตอนนี้ถึงขั้นตอนไหนแล้ว) รวมถึง contact กับอาจารย์ ที่จะเป็น Potential Supervisor ด้วยตัวเอง

ตอนนั้นผมก็คิดจะไปสอบภาษาอังกฤษใหม่นะครับ เพราะคิดว่ายังไงก็ต้องได้ Conditional Offer Letter มาแน่ๆ

และก็จริงๆ ปรากฏว่า ทั้ง 3 U ตอบรับผมมาหมด ผมอาจจะโชคดีได้ทั้ง 3 U ดังนี้
- Cond. Offer Letter จาก Go8 U ให้เรียนภาษาอังกฤษ 15 สัปดาห์ ก่อนเข้าเรียนหลักสูตร Ph.D.

- Cond. Offer Letter จาก U กลางที่ 1 แต่ให้เรียนภาษาอังกฤษ 5 สัปดาห์

- Uncond. Offer Letter จาก U กลางที่ 2 ที่ผมไม่ต้องเรียนเพราะเขาพิจารณาว่าผมได้ writing เป็นที่น่าพอใจ


ตอนแรกผมก็กะจะไปเรียน U กลางที่ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ เพราะคิดว่าเป็นอะไรที่เราจะได้เริ่มต้นไปทำวิจัยได้เลย แต่ด้วยความที่ผม (ต้องโทษตัวเองจริงๆ) เชื่อคนรอบข้าง รวมถึง Agency (ผมเชื่อค่อนข้างมาก) ว่า ไปเรียน U ที่เป็น Go8 ดีกว่า เพราะมีชื่อเสียง และเมื่อจบมาแล้วจะได้รับการยอมรับมากกว่า (จริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดแบบนั้นนะ เพราะคิดว่าจบ U ไหนก็ดีหมดแหล่ะครับ น่าจะขึ้นกับผลงานเราที่เราทำไว้ตอนเรียนมากกว่า) แต่ก็โอนเอนตามคำบอกคนอื่นหลายๆ คน รวมถึง Agency ว่า โอกาสจะเข้าเรียน U ใหญ่และมีชื่อเสียงไม่ได้มีง่ายๆ นะ เขารับก็ควรจะไปเรียนดีกว่าทิ้งโอกาส

ผมเอง ก็คิดหลายตลบมาก เพราะคิดว่าตัวเองก็อายุจะ 30 ปีแล้ว ก็ไม่อยากจะเสียเวลาเรียนภาษาอังกฤษตั้ง 15 สัปดาห์ ผมก็งงนะ ว่าทำไมถึงให้ผมเรียนตั้ง 15 สัปดาห์ ทั้งๆ ที่เราก็ได้คะแนน IELTS ใกล้เคียง 6.5 แต่ก็เข้าใจว่าตาม requirement ของ U เขาระบุว่าถ้าได้ listening ต่ำกว่า 6 จะให้เรียน 10-15 สัปดาห์ คือ ต่ำสุดที่เขาให้เรียนมีแค่ 10 สัปดาห์ ไม่มี 5 หรือ 6 สัปดาห์เหมือนมหาวิทยาลัยอื่น ผมก็พยายามจะต่อรองให้ได้เรียน 10 สัปดาห์จะได้ไหม เพราะเห็น Uo8 ที่อื่นได้ IELTS 6.0 ก็เรียนเพียง 5-6 สัปดาห์ก็มี

แต่ก็ต่อรองไม่ได้ผล จนกระทั่งใกล้เวลาจะเปิดเทอมเรียนภาษาอังกฤษของUo8 แห่งนี้แล้ว ผมก็ยังลังเลใจมากๆ ว่าจะเอาไงดี ถ้าจะไปเรียนที่นี่จริงๆ มันต้องเรียนภาษาอังกฤษตั้ง 15 สัปดาห์เชียวนะ

ไปสอบ IELTS ใหม่จะดีกว่าไหม หรือว่าจะเอา U ที่ไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษข้างต้น (หรืออีก U ที่เรียนแค่ 5 สัปดาห์) แต่ถ้าสอบ IELTS ใหม่เพื่อไปใช้กับ Go8 ถ้าได้ 6.5 ก็อาจไม่ต้องเรียนเลย เพียงแต่เราต้องไปอ่านหนังสือ ติวตัวเองหรือไปเรียนเพิ่มเติม เพราะอีกนิดเดียวก็น่าจะได้ โดยเฉพาะไปปรับ listening

แต่ผมก็ไม่เป็นตัวของตัวเอง (ต้องโทษตัวเองจริงๆ) เพียงแค่ได้รับแรงเชียร์จากคนอื่นๆ รอบข้าง และ Agency ประมาณว่า ไปเรียนภาษาอังกฤษ "สนุกจะตาย" แถมมีเพื่อนๆ เยอะแยะ เรียนภาษาน่ะ มีแต่ได้กับได้ (มันก็จริงน่ะครับ ได้แน่นอน ถ้าเราชอบและสนุกกับมันจริงๆ) ผมก็คิดว่า เออ อาจจะจริง เพราะมาเรียนภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยที่เขาจัดให้ เราก็จะได้ความรู้มากขึ้น ทักษะภาษาอังกฤษบางอย่างของเราก็จะดีขึ้น โดยเฉพาะการฟัง และพูด ก็คงจะดีขึ้นมากๆ ผมจึงตัดสินใจขอ COE จาก Uo8 แห่งนี้ และได้เริ่มมาเรียนภาษาอังกฤษ 15 สัปดาห์ก่อนเข้าเรียนหลักสูตร ป.เอก (ที่เน้นทำเฉพาะวิจัย)

==========================================

ตอนนี้ผมกำลังเรียนภาษาอังกฤษเพื่อเข้าเรียนหลักสูตรปริญญาเอก
ผมค่อนข้างรู้สึกผิดหวังกับการมาเรียนภาษาอังกฤษพอควร

เพราะผมคิดว่า จะสนุก อย่างที่ใครๆ บอก

ปรากฎว่า ผมกลับรู้สึกเหนื่อยและเครียดอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้

1. ผมเข้าใจว่าเรียนจบ 15 สัปดาห์แล้ว ผมจะเข้าเรียนต่อ Ph.D. ได้ทันที เพราะศูนย์ภาษาอังกฤษนี้ก็เป็นของมหาวิทยาลัย แต่กลับไม่ใช่อย่างที่คิด กลับกลายเป็นว่า ผมต้องมาสอบทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน ที่ศูนย์ภาษาอังกฤษที่นี่ออกข้อสอบให้ผมทำอีกเช่นกัน โดยจะแบ่งการสอบทีละ 5 สัปดาห์ ถ้าสอบไม่ผ่าน 2 ใน 3 ผมจะต้องกลับบ้าน

2. การเรียนภาษาอังกฤษ มีการบ้านเยอะมากๆ ตอนแรกผมตั้งใจจะขอ Supervisor ไว้ว่า จะเริ่มไปขอทำวิจัย เก็บข้อมูล หรือ ค่อยๆ เตรียมอะไรไว้ในห้องวิจัย แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้แน่นอน เพราะเรียนภาษาอังกฤษในหลักสูตร Uncond. offer นี่มันไม่ได้สนุกแบบที่คิดเลยครับ มีการบ้านทุกๆ วัน วันละหลายชิ้นด้วย ผมต้องนอนดึกๆ ทุกวัน

อาจารย์ภาษาอังกฤษประจำห้องของผมบอกว่า ไม่อยากให้นักเรียนทำงานหนัก (hard work) ต้องการให้นักเรียนทำงานแบบ smart work มากกว่า อยากให้นักเรียนแบ่งเวลา บริหารเวลาเป็น จึงให้งานไปทีละเยอะ โอ้ ไม่เข้าใจหลักการของโรงเรียนนี้จริงๆ ให้งานวันละ 5 ชิ้น บางวัน ส่งอีเมลล์มาบอกเพิ่มอีก ที่สำคัญคือ งานที่ทำเกือบทุกชิ้นต้องเป็นงานกลุ่ม

3. งานที่ทำ ทั้งในและนอกห้องเรียน คือ assigment ทั้งหลาย จะเน้นงานกลุ่มมากๆ อันนี้ก็เข้าใจว่าอาจารย์ต้องการให้ทำงานเป็นทีม แต่การที่ได้งานมาบางครั้ง ไม่สามารถจัดการกับการแบ่งงานกับนักเรียนร่วมชั้นกับเราได้ เนื่องจากว่า บางคนก็ขี้เกียจ บางคนก็ไม่มาตามนัด บางคนก็คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เราก็อดทนได้ (ทนได้ครับ แต่อยากบ่น คงไม่ว่ากันนะครับ)

4. ที่นี่ ไม่สอนหลัก Grammar/Structure หรือหลักการฟัง การอ่าน หรือ การเขียนอะไรทั้งนั้น เขามีเป้าหมายเลยว่า คุณต้องไปเรียนรู้เอง เพราะที่นี่เน้น Student-centred approach คือต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจารย์จะไม่มาสอน Grammar/Structure หรือมาบอกว่าพูดยังไง พูดผิดอาจารย์ก็จะไม่แก้ให้ด้วย เพราะไม่ใช่หน้าที่ (ผมจำได้เลย เพราะอาจารย์บอกว่า อาจารย์ไม่ใช่เครื่องตรวจแก้คำผิด) แต่อาจารย์ต้องการให้คุณเรียนรู้ด้วยตนเอง

มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่า การเรียนนี่มันมีแต่งานๆ ที่อาจารย์สั่งให้ทำในห้อง และก็สั่งไปทำเป็นการบ้านทุกๆ วัน วันละหลายๆ ชิ้น

ที่สำคัญคือต้องทำรายงานส่ง จำนวนหน้ารายงานเกือบ 1000 คำ มีทั้งเดี่ยวและกลุ่ม ซึ่งเหนื่อยๆ มากๆ ที่ต้องมาทำแบบนี้ ทุกๆ อาทิตย์

5. สไตล์การเรียนภาษาอังกฤษของที่นี่คือ การเรียนแบบสไตล์ศึกษาศาสตร์ คือผมไม่ได้ว่าคนเรียนสายนี้นะครับ แต่กำลังเปรียบเทียบ ด้วยความที่ผมเป็นสายวิทย์มาก่อน ผมไม่ได้มีโอกาสเรียนในสายศึกษาศาสตร์มาเลย ผมจึงค่อนข้างปรับตัวไม่ดีพอ เขาจะเหมือนกับว่า เอาเรื่องในสายศึกษาศาสตร์มาสอน เช่น การทำงานเป็นกลุ่ม การคิดวิเคราะห์แบบคุณภาพ การจด lecture การจัดระเบียบโครงสร้างของหนังสือ จิตวิทยาการสอนและการเรียน การอภิปรายกลุ่ม การค้นข้อมูลห้องสมุด รูปแบบการเขียนรายงาน รูปแบบการทำ PowerPoint อะไรแบบนี้ครับ แต่ไม่ได้สอนภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อสารหรือในการอ่านเขียนนะครับ คือ อาจารย์บอกว่าถ้าจะเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารก็ต้องไปเรียนต่างหาก แต่คอร์สนี้จะเป็นแบบนี้

แล้วทีนี้ผมก็เคยเรียนอะไรแบบนี้มาหมดแล้ว ก็เพราะเราเรียนในระดับป.โท มาเราก็ต้องเคยผ่านพวกนี้มาแล้วใช่ไหมครับ ปัญหาคือไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเก่งนะครับ (เพราะผมก็ไม่ได้เก่งหรอก) แต่ผมก็พอจะมีพื้นฐานแบบนี้มาแล้ว จึงเหมือนเรียนซ้ำๆ แทนที่เราจะได้เรียนการใช้ภาษาอังกฤษ แต่กลับไม่ใช่แบบนั้น

ที่เขาต้องสอนแบบนี้ก็เพราะว่า ที่คอร์ส นี้ มีทั้งเด็กกำลังจะเข้าเรียน ป.ตรี เด็กที่กำลังจะเข้าเรียน ป.โท และคนแก่ๆ อย่างผม ที่กำลังจะเรียน ป.เอก มาปนกันน่ะสิครับ เขาก็เลยต้องสอนกว้างๆ ตั้งแต่พื้นฐานการจด lecture การเขียนรายงาน การทำ PowerPoint การทำงานกลุ่ม อะไรแบบนี้ให้หมด

6. ก็ปัญหาที่ว่า ที่นี่ เขาไม่ได้แยกเด็กที่กำลังจะเข้าเรียน ป.ตรี ออกจาก Postgraduate student น่ะสิครับ ทำให้เกิดปัญหา เวลาอภิปรายงานหรือทำงานกลุ่มกัน เพราะเด็กเหล่านี้จะยังไม่เคยผ่านการทำงานทำนองนี้มาก่อน ซึ่งบางครั้งก็จะทำให้คุยกับยาก แต่เราก็ต้องใจเย็นๆ เพราะเราก็ต้องฝึกการทำงานเป็นกลุ่มและให้เกียรติเขา แต่ปัญหามันก็จะมีจากการที่เด็กเขาก็จะไม่อยากทำตามที่เราคิด ทั้งๆ ที่เราก็เคยทำมาก่อน และเด็กบางคนก็เป็นสายศิลป์ ก็จะคิดอีกแบบ กับเราซึ่งเรียนสายวิทย์ ในการวางรูปแบบรายงาน หรือ PowerPoint จึงอาจทำให้คิดไปคนละแบบ หรือ เช่น เราต้องใส่ Reference ลงในเนื้อหา เด็กเหล่านี้ก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใส่ เป็นต้น ซึ่งหากทางมหาวิทยาลัยแยกระดับของ undegrade กับ Postgraduate student ออกจากกันก็อาจจะสอนได้ตรงจุดมากขึ้น ผมคิดงี้นะ

อืม แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ อีกอย่าง อยู่กับเด็กก็ต้องเข้าใจเขาล่ะนะ ผมก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับเด็กๆ น่ะครับ อาจเป็นเพราะผมเริ่มแก่แล้วก็ได้ จึงคิดแบบนี้ (หรือท่านใดคิดเห็นอย่างไรเสนอแนะได้นะครับ)

===========================================

ผมจึงเซ็งตัวเองมากๆ ตอนนี้ ว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่า แต่มันก็คงย้อนแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ทั้งๆ ที่อยากไปทำวิจัยให้จบๆ เร็วๆ เพราะตัวเองก็แก่แล้ว นี่ต้องนั่งเสียเวลาเรียนภาษาอังกฤษสไตล์แบบนี้ ถึง 15 สัปดาห์แต่ ทั้งหมด เกือบๆ 4 เดือน เพราะเขามีช่วงวันหยุดด้วย ทำให้ต้องทนกับช่วงเวลานี้นานกว่าจะหมดช่วงเรียน

นี่เพิ่งเริ่มไปแค่ 2 อาทิตย์ ผมก็เริ่มเซ็งตัวเองแล้ว

ใครพอจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ ผมได้ไหมครับ ให้ผมพอมีกำลังใจขึ้นมาหน่อยครับ ผมกลายเป็นท้อไปเลยครับ คือ ก็ยังไม่ได้ไปบอก Supervisor หรอกครับว่าผมไปทำ lab ไม่ได้

ที่สำคัญ คือ ต้องมาทำการบ้านทุกๆ วัน จนดึกๆ ไม่ได้หลับได้นอน และก็ต้องสอบวัดผลด้วย (แต่เขาไม่สอนเรื่องที่จะสอบนะครับ คือสอบคล้ายๆ IELTS ล่ะ ได้ยินแนวข้อสอบมาแบบนั้น) คือถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องกลับบ้าน
นี่มันก็คงไม่ต่างกับผมไปเริ่มสอบ IELTS ใหม่ล่ะสิครับ T_T

อ่อ ผมลืมบอกไปว่า ผมน่ะ ฟังที่อาจารย์สอนรู้เรื่องนะครับ มาอยู่นี่ วันแรกๆ ไม่คุ้นสำเนียงภาษาอังกฤษ (เพราะเราอยู่แต่ไทยมานาน) พอวันที่ 5 นี่ ฟังออกหมดเลย แล้วเวลาอาจารย์เขาพาไปฟังตัวอย่างการสอน lecture ผมก็ฟังออก ซื้อของ คุยกับคนทั่วไปรู้เรื่องหมดเลย เข้าใจภาษาอังกฤษ สื่อสารได้

แต่สุดท้าย ผมก็ต้องมานั่งทำการบ้านหนักๆ และต้องเตรียมตัวสอบภาษาอังกฤษของศูนย์ภาษาฯ ของมหาวิทยาลัยตามเงื่อนไขของเขา เฮ้อ โอ๊ย เครียดเลย

ใครพอจะมีคำแนะนำอะไรดีๆ ผมได้ไหมครับ หรือหาแนวทางอะไรให้ผมมีกำลังหรือแรงใจ มาทำงาน การบ้าน ภาษาอังกฤษ และสอบวัดผล ที่ต้องทนอีกเกือบ 10 กว่า สัปดาห์ข้างหน้านี้ได้อย่างไร

*** ถ้าผมจะลองคิดทำแบบนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาที่โง่ๆ ไหมครับ ***
1. ไปสอบ IELTS ให้ได้ 6.5 และทุก score ให้เกิน 6.0 ตามที่ requirement ของมหาวิทยาลัยกำหนด เพื่อผมจะได้ไม่ต้องมาเรียนภาษาอังกฤษอีก หลายสัปดาห์ (สัปดาห์หนึ่งคิดค่าเรียน 360 เหรียญ) แล้วเอาผล IELTS ใหม่นี้ ไปขอ Unconditional Letter เพราะเทอมที่จะเข้าเรียน Ph.D. จริงๆ คือ ปลาย กรกฎาคม ยังพอมีเวลาขอ Uncond. อันใหม่ได้ตั้ง 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน) คือ ผมก็เริ่มมั่นใจขึ้นแล้วว่าผมน่าจะสอบผ่านแน่ๆ ตอนนี้ (ไม่ผ่านก็ลองสอบอีก อิอิ) มันจะเป็นวิธีที่ดีหรือทำได้ไหมครับ ช่วยคิดทีครับ

หรือ

2. ย้ายไปเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ไปเลย (บ้าไปแล้ว) เพราะจริงๆ Supervisor คนนี้ที่ผมติดต่อเรียนด้วย ท่านก็แทบจะไม่ตอบอีเมลล์อะไรผมเลย ติดต่อยากมากๆ ครับ บางทีเมลล์ไปก็ไม่ตอบ พอเราเมลล์ไปอีก ก็ไม่ตอบ (เว้นห่าง 3 วัน) เมลล์ไปอีกก็ไม่ตอบ บางทีติดต่อไม่ได้เป็นเดือน นี่ตั้งแต่มาอยู่นี่ ผมเมลล์หาท่าน 2 ครั้งก็ไม่เคยตอบ ผมเอาของมาฝากด้วย ว่าจะเอาไปให้ก็เลยไม่ได้เอาไปให้เลย ก่อนมาเรียนทีนี่ ก็มีปัญหาติดต่อลำบากแบบนี้นะครับ เห็นว่าท่าน busy มากๆ แต่ทำไมผมตัดสินใจมาก็ไม่รู้ โอ๊ย จะบ้าตาย ก็ดีแล้วที่ผมไม่ไปขอเก็บข้อมูลหรือทำวิจัยก่อน

สรุปว่า ผมจะเอาไงดีกับชีวิตนี่ เฮ้อ ว่าที่ Supervisor ก็มีอะไรทะ:-)ๆ แปลกๆ (จริงๆ ยังไม่อยากคิดถึงเรื่อง Sup ตอนนี้ เพราะแค่นี้ก็ปวดหัวแล้วครับ เฮ้อ) แถมต้องมาเรียนภาษาอังกฤษแบบสไตล์นี้ เครียด การบ้านเยอะ ต้องสอบให้ผ่านอีก (สอบ 3 ครั้ง)

=====================================
เอาเป็นว่า ถ้าใคร อยู่ในวัยทำงาน แล้วคิดจะลองมาเรียนภาษาอังกฤษที่เขา offer มาพร้อมกับ Conditional offer letter ก็อยากให้คิดดีๆ ก่อนนะครับ

เพราะมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้ ว่าเรียนแล้วสนุกๆ

ผมคิดว่า (ในมุมมองส่วนตัว) น่าจะพยายามสอบภาษาอังกฤษให้ผ่านไปเลยดีกว่าครับ ส่วนการพูดในชีวิตประจำวัน สื่อสาร มาอยู่แล้วมันได้เองแน่นอนครับ ผมว่า การเรียนภาษาอังกฤษแบบที่ผมเรียนนี่ อาจเหมาะกับวัยที่กำลังเตรียมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมากกว่า และอาจเหมาะกับคนที่จะไปเรียน course work เป็นหลัก

หากใครจะเน้นการเรียนแบบทำ Research อาจจะไม่เหมาะ แล้วที่สำคัญ คือ หากมาเรียนแล้วต้องสอบวัดผลอยู่ดี ผมว่าสู้เราไปสอบ IELTS/TOEFL ให้ผ่านจะยังดีกว่า แล้วค่อยมาปรับทักษะการฟัง พูด ที่นี่เอา ตอนมาเรียน แต่ไม่ต้องทนเครียดทำการบ้าน หรือ สอบอะไรแบบนี้

พูดวนไปเวียนมา หวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ

อาจยาวสักหน่อย แต่ก็อยากให้เป็นกรณีศึกษาอีกหนึ่งกรณีนะครับ
หวังว่าคงไม่ว่ากันนะครับ

ท่านใดพอจะมีอะไรชี้แนะหรือให้คำแนะนำช่วยแนะนำผมด้วยนะครับ ขอบพระคุณล่วงหน้านะครับ

จากคุณ : ผมชื่อโคอะล่า มาร์ช ~ ~
เขียนเมื่อ : 27 มี.ค. 54 02:44:24 A:219.90.153.54 X: TicketID:298126




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com