ความคิดเห็นที่ 1 เคยอ่านเจอว่าท่านใช้บาลีเป็นหลัก เพราะเป็นภาษาชาวบ้านทั่วไปเข้าใจ ภาษาสันสกฤตเป็นภาษาของชนชั้นสูง หรือผู้ที่มีการศึกษาค่ะ การเผยแพร่พระธรรมจึงต้องใช้ภาษาบาลีเพื่อให้คนหมู่มากเข้าใจ ส่วนเรื่องห่มจีวร ไม่ทราบค่ะ ผิดพลาดประการใด ขออภัยด้วยค่ะ จากคุณ : กระปุกตังฉ่าย เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 04:39:50 A:220.237.174.85 X: TicketID:188044

ความคิดเห็นที่ 2 คนส่วนมากเข้าใจว่าท่านใช้ภาษาบาลีเป็นการสื่อสาร บางตำราก็บอกว่าพระพุทธเจ้าท่านใช้ภาษาพื้นเมือง แต่ว่ามีการบันทึกเป็นพระไตรปิกฏไว้เป็นภาษาบาลี ส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันไปว่าท่านใช้ภาษาบาลี ส่วนข้อเท็จจริงอย่างไรไม่ทราบ เพราะยังไม่เกิดและ ถึงขะเจ้าจะแก่ แต่ว่าอายุยังไม่ถึง 2500กว่าปี จากคุณ : Rinta เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 04:50:57

ความคิดเห็นที่ 3 ใช้บาลี การห่มผ้าจีวรแบบเดิมก่อนที่พระอานนท์ออกแบบผ้าจีวรลอกเลียนแบบผืนนาข้าวของชาวมคธนั้น   ผมคะเนว่าน่าจะยังไม่มีวิธีห่มเหมือนปัจจุบัน     ทั้งนี้ก็เพราะว่า "ผ้า" ที่พระภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้นนำมาห่มนั้นไม่ได้ไปหาซื้อตามร้านสังฆภัณฑ์หรือมีญาติโยมมาถวาย   แต่เป็นผ้า "บังสุกุล" คือผ้าที่ชาวบ้านเขาใช้ห่อศพแล้วเอาทิ้งไว้ตามป่าตามชัฏ   พระภิกษุเนื้องจากเป็นผ้าที่เขาทิ้งแล้ว   พระภิกษุก็สามารถนำมาย้อมหรือไม่ยอ้มก็ได้มาห่มกายได้ตามมีตามเกิด   ดังนั้น    ถ้าโชคดีได้ผ้าบังสุกุลผืนใหญ่หน่อยก็หุ่มได้เป็นกิจจะลักษณะ  ถ้าผืนเล็กก็กระมิดกระเมี้ยนห่ม     จะว่าไปแล้วสภาพพระภิกษุสมัยพุทธกาลไม่น่าจะแตกต่างจากพวกโยคีเท่าใดนัก ก็ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังแคว้นมคธแล้วเห็นผืนนาข้าวที่แบ่งเป็นส่วนๆ นั่นแหละ    พระองค์ก็ตรัสกับพระอานนท์ให้พระอานนท์ไปดีไซน์ผ้าจีวรของพระภิกษุให้เหมือนผืนนา   โดยการนำ "ผ้าบังสุกุล" หลายชิ้นส่วนมาตัดเย็บรวมกัน   เป็นผ้าจีวรที่ลายคันนาข้าวที่เห็นในปัจจุบัน     นับว่าเป็น "ดีไซน์" ที่ไม่ตกยุคเอาเสียเลย ลักษณะการคลุมผ้าจีวรของพระภิกษุไทยในปัจจุบันที่เด่นๆ ตอนนี้ก็มีสามแบบ  เช่น  แบบลูกบวบพาดบ่าที่เราเห็นทั่วๆ ไป    แบบห่มมังกร(ห่มลักษณะนี้จะนิยมในกรุงเทพฯ)   และแบบห่มดองอย่างเช่นพระภิกษุวัดธรรมกายนิยมห่มกัน จากคุณ : วัชรานนท์ เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 07:39:29

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตคิดต่างหน่อยนะครับ คือเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง ผมเดาว่าพระพุทธเจ้าอาจจะใช้ภาษาเนปาล คาสกุรา (Khaskura) ในการสื่อสาร เนื่องจากตามพุทธประวัติ- พระพุทธเจ้ามีพระนามเดิมว่า "สิทธัตถะ" เป็พระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ครองกรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศเนปาล พระราชมารดาทรงพระนามว่า "พระนางสิริมหามายา" ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ราชสกุลโกลิยวงศ์แห่งกรุงเทวทหะ แคว้นโกลิยะ    - เจ้าชายสิทธัตถะประสูติเมื่อ 80 ปีก่อนพุทธศักราช ที่สวนลุมพินีวัน ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งอยู่ระหว่างพรมแดนกรุงกบิลพัสดุ์และกรุงเทวทหะ(ปัจจุบันคือ ต.รุมมินเด ประเทศเนปาล)       ภาษาเนปาล เป็นภาษากลุ่มอินโด-อารยันที่พูดในประเทศเนปาล ประเทศอินเดีย ประเทศภูฏาน และบางส่วนของประเทศพม่า เป็นภาษาราชการของประเทศเนปาล ชื่อของภาษาเนปาลในภาษาเนปาลคือ คาสกุรา (Khaskura) ชื่ออื่น ๆของภาษานี้ นี้มีมากมาย คนที่พูดภาษาอังกฤษเรียกว่า เนปาลี (Nepali) หรือ เนปาลีส (Nepalese) นอกจากนี้ คาสกุรา มีชื่ออื่น เช่น กอร์คาลี (Gorkhali) หรือ กูร์คาลี (Gurkhali) แปลว่าภาษาของชาวกุรข่า และพาร์ตาบิยา (Parbatiya) แปลว่าภาษาของภูเขา ทั้งหมดนี้เป็นการเดาจากข้อมูลที่เคยอ่านๆผ่านตามาบ้าง จริงเท็จประการใดไม่ทราบครับ จากคุณ : CHISWICK เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 13:00:20

ความคิดเห็นที่ 5 จำได้ว่า ในเรื่องที่ 2   พระไตรปิฎกบาลีนี้ รักษากันมาอย่างไร มีพูดถึงเรื่องนี้ครับ  http://www.watnyanaves.net/th/album_detail/buddhism-inside พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต)  จากคุณ : นิรมาณ เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 14:07:18

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เคยค้นมา พระพุทธองค์ ทรงใช้ ภาษา Prakit ที่มีรายละเอียด ดูได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Prakrit http://jainhistory.tripod.com/prakrit.html ส่วน ภาษา บาลี มคธ  สันสกฤษ นั้น เกิด หลังสมัย พระพุทธองค์ จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 14:27:58

ความคิดเห็นที่ 7 ก็เชื่อกันว่าภาษาบาลี (ภาษาหนึ่งในตระกูลปรากฤต-ปรากฤตเป็นชื่อเรียกรวมๆ ของภาษาสายอินโด-อิราเนี่ยน) เป็นภาษาพูดของแคว้นมคธ ซึ่งเป็นเป็นแคว้นที่พระพุทธเจ้าประดิษฐานพระพุทธศาสนาในสมัยพุทธกาล การจดจำคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงท่องสืบต่อกันมาเป็นภาษาบาลี ส่วนพระไตรปิฎกจารึกเป็นตัวอักษรครั้งแรกในการสังคายนาที่ประเทศศรีลังกา ประมาณ พ.ศ. 433-450 (สุชีพ  ปุญญานุภาพ) โดยจารึกเป็นภาษาบาลีที่ท่องสืบต่อกันมาแต่ใช้ตัวอักษรสิงหลในการเขียน พอต่อมาพระพุทธศาสนาเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ ประเทศเหล่านั้นก็ใช้ตัวอักษรของตัวเองในการบันทึก แต่ตัวภาษายังเป็นภาษาบาลีดังเดิม จากคุณ : Varalbastra เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 16:18:51

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณ คุณวัชรานนท์ เรื่องการห่มผ้าของพระ ผมเคยได้ยินเหมือนกันแต่ลืมไปแล้ว คุณ : ธนิตา ผมไม่เชื่อว่าภาษาเหล่านี้ จะเกิดหลังพระพุทธองค์นะครับ จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 16:21:04 A:71.114.49.147 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 9 ภาษาที่พวกเราสวดมนต์กันนั้นแหละ  ภาษานั้น  แน่นอน เพราะฟังดูแล้ว   ไม่ใช่มีแต่ในประเทศไทย  แต่เกีอบทุกประเทศ สวดมนต์เหมีอนกันโหม๊ด นะ โม ตัส สะ  ภะ คะ วัดโต  อาระหัตโด  สัมมา สัมพุทธ  ตัสะ (สะกด ไม่ ถูก) จากคุณ : hollywop เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 23:14:08

ความคิดเห็นที่ 10 บาลีมคธ จากคุณ : เว็บโลกสวย เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 54 00:24:13 A:140.119.202.18 X: TicketID:313651

ความคิดเห็นที่ 11 ด้วยความที่อยากรู้เหมือนกัน จึงอีเมลไปถามคนรู้จักซึ่งเป็น Prof.สอนภาษาสันสกฤต อยู่ที่ออสโล เธอตอบมาว่า... "The Buddha lived in Magadha - so most likely the language he spoke was Magadhi. Pali is the language of the Theravada canon, and for a long time people believed tat Pali was also the language of the Buddha - however, now we know that Pali was never a spoken language (at least not at that time), but that Pali is a kind of artificial language (a mix between Eastern and Western Indian dialects), which was imagined to have been the language of the Buddha. Nowadays, of course, Pali IS in fact spoken, as a medium of communication between South and South East Asian Theravada monk scholars." สรุปน่าจะเป็น Magadhi หรือ มคธ? จากคุณ : หญิงป้า เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 54 05:39:33

ความคิดเห็นที่ 12 ชอบความคิดเห็นที่ 9 ดูแล้วมีเหตุผล ตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน รับได้เลย เป็นสิ่งใกล้ตัว ที่เรามองข้ามไป ไม่เคยคิดตั้งคำถามเลย จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 54 08:15:32

ความคิดเห็นที่ 13 คห ที่ 4 คุณ CHISWICK ไม่เคยได้ยินเลยแฮะ ไอ้ที่คุณกล่าวมาเนี่ย ถ้าตามที่ได้ศึกษากันมาก็จะรู้ๆกันว่าเป็นภาษาบาลี เหตุผลง่ายๆตาม คห 9 แต่จะอยากจะบอกว่าผมชอบความคิดของคุณมากๆเลย ผมชอบคนที่คิดต่างแบบนี้มากๆเลย คุณเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีจังเลย ^_^ จากคุณ : เจ้าแตงกวาดอง เขียนเมื่อ : 17 เม.ย. 54 18:03:52