|
อยากแชร์ประสบการณ์คนอ่อนภาษาอังกฤษครับ
ตอนผมอยู่ ปี 4 ภาษาอังกฤษผมก็แย่มากขั้นวิกฤษครับ Gramma อะไรไม่รู้เรื่องเลย เหมือนผมวิ่งหนีมันมาทั้งชีวิต สุดท้ายเลยตัดสินใจสู้กับมันครับ
ตอนแรกผมพยายามหาว่าทำยังไงถึงจะเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาได้ ควรจะฝึก Skill ไหนก่อน Reading, Listening, Speaking, Writing ก็เที่ยวถามคนอื่น ๆ ไปทั่ว ปรากฎว่าไม่มีใครตอบได้เลยครับว่าผมควรฝึกอันไหนก่อนบอกขึ้นอยู่กับตัวผม
ผมเลยตัดสินใจฝึก Gramma ก่อนครับ แล้วมันเป็นสิ่งที่ผมตัดสินใจถูกจริง ๆ หลังจากผมอ่าน Gramma จบ ภาษาอังกฤษผมดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ อันนี้ค่อนข้างสมเหตุสมผลเพราะว่า Gramma เป็นแกนของภาษาอังกฤษครับ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะใช้ Skill ไหนก็ต้องมี Gramma
หลังจากได้แกรมม่าแล้วตอนนี้คุณจะยังคงอ่านภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้นะครับ แต่จะแต่งประโยคง่าย ๆ ได้ ผมแนะนำให้เริ่มท่องศัพท์ บางคนที่เก่งภาษาอังกฤษบอก โอ้ยศัพท์ไม่ต้องท่องหรอกให้อ่านเยอะ ๆ เดี๋ยวก็จำศัพท์ได้เอง อันนี้ผมไม่เถียงครับและก็ดีกว่าด้วย แต่ในความคิดผมท่องศัพท์ทำให้เก่งอังกฤษได้ไวกว่าครับ พวกที่ไม่ท่องคือเขาต้องอ่านหนังสือเยอะมาก ๆ เพื่อที่จะให้ศัพท์ซึมเข้าไปในหัว ดังนั้นผมแนะนำให้ท่องศัพท์แล้วค่อยไปอ่านครับ เพราะเวลาอ่านมันจะได้ไม่ต้องเปิด Dictionary มาก
จำนวนศัพท์ที่ท่องผมแนะนำให้ท่องประมาณวันละ 10-20 คำต่อวันนะครับ แล้วแต่ว่าอยากเก่งเร็วแค่ไหน ทำ Flash Card ครับแล้วเอาขึ้นมา Review บ่อย ๆ ต้อง บ่อย ๆ นะครับย้ำเลย ไม่งั้นยังไงก็ไม่มีทางจำได้ ผมแนะนำให้สละเวลา 1 ชั่วโมงทุกวันในการ Review และเพิ่มศัพท์ครับ เซตของศัพท์ให้เอามาจาก TOEFL/Newspaper ครับ ให้คัดศัพท์ในการท่องด้วยนะครับถ้าได้เซ็ตศัพท์ไม่ดีจะเสียเวลามากกว่าคนได้เซ็ตศัพท์ดีครับ
ตอนท่องไปแรก ๆ จะท้อหน่อยครับเพราะรู้สึกเหมือนไม่พัฒนา แต่ภาษาอังกฤษเป็นอะไรที่เร่งรัดไม่ได้ครับ มันเป็นธรรมชาติต้องค่อย ๆ สะสมไป ผมรับประกันได้ว่าการท่องศัพท์จะเห็นผลชัดเมื่อท่องได้เกิน 800 คำขึ้นไปจะเริ่มเห็นผลครับ
ระหว่างที่ท่องศัพท์ให้ฝึก Writing ไปด้วยครับ เนื่องจากตอนนี้แกรมม่าเราก็มีแล้ว ก็ให้เริ่มเขียนจากเป็นประโยคสั้น ๆ บทความสั้น ๆ เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน เล่าเรื่องต่าง ๆ เขียน Blog ทุกวัน สั้น ๆ ก็ได้ครับเริ่มต้นไม่ต้องอะไรมาก หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ พัฒนา Writing ต้องมีอาจารย์นะครับเพื่อให้ดูสไตล์งานเขียนของเรา
ส่วน Listening อันนี้ผมแนะนำให้ดูหนังครับ เป็นทางเดียวจริงๆ เพราะว่ายังไงเราก็ต้องฟังเยอะ ๆ ครับ ควรจะเริ่มจาก Listening ก่อน Speaking นะครับเพราะว่า เราต้องฟัง จำ แล้วนำมาพูดเป็น Step แบบนี้อยู่แล้วครับ ช่วงแรกดูก็เปิดซับไทยไปก่อนครับ หนังที่ดูแนะนำเอาเป็นพวก American Series ไปเลยครับยาวดี Listening ผมดีขึ้นมาหลังจากที่ดู Series ไป 5-6 เรื่อง ซีรีย์ยาว ๆ นะครับ
แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า Listening มีสองแบบครับ Conversation ในชีวิตประจำวัน กับ Academic Lecture สองอันนี้ใช้ศัพท์คนละชุดครับ ดังนั้นดูซีรีย์จะได้ Conversation แต่ Academic Lecture ถ้าคิดว่าไม่ได้จะไปเรียนต่อก็ไม่ต้องไปสนใจมากก็ได้ครับ
มาต่อในส่วน Speaking ถ้าอยากจะฝึก Speaking สามารถฝึกได้ด้วยตัวเองครับ ให้ไปหาข้อความสนทนาที่เป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็มีบทพูดมาให้เราด้วย ให้ฟังไปก่อนสองรอบ แล้วก็รอบที่สามสี่ให้เราอ่านตามบทไปเลยครับ วิธีการฝึกแบบนี้จะช่วยแก้ pronunciation ให้เราออกเสียงถูก ซึ่งสำคัญมากครับและก็ไม่เครียดเกินไปนักเพราะแค่อ่านตาม หลังจากนั้นให้เริ่ม ลองตั้งคำถามแล้วตอบตัวเองครับ เช่น What will I do today? แล้วก็พูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษเหมือนตัวเองโดนสัมภาษณ์ครับ
แต่บอกไว้ก่อนนะครับจะฝึก Speaking ได้ต้อง Listening มาเยอะพอสมควรครับและก็ต้องฝึก Writing มาพอสมควรเหมือนกันให้เราสามารถแต่งประโยคได้
ในส่วนของ Reading เราต้องท่องศัพท์มาก่อนให้มีศัพท์อยู่ในหัวพอสมควรแล้วไปหาหนังสือภาษาอังกฤษมาอ่านครับ เลือกหนังสือที่อยู่ในระดับภาษาอังกฤษเดียวกับเราอย่างเลือกเล่มที่มีศัพท์ยากเกินไป แนะนำให้อ่านเยอะ ๆ ครับฝึก Reading ช่วยส่งเสริม Listening ด้วยนะครับ อันนี้เรื่องจริงคือ ปกติเวลาเราอ่านเราจะได้หลังจากการเดาศัพท์และพูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ซึ้งตรงนี้จะช่วยให้ Listening เราดีขึ้นมาก ๆ ครับเพราะว่าเวลาเราฟัง เราจับศัพท์ได้ไม่หมด เราก็จะสามารถเดาได้เหมือนกับ Reading
สรุปนะครับ Gramma + Vocab 2 Months Reading + Series + Writing + Vocab 3 Months Reading + Series + Writing + Vocab + Speaking 3 Months
ให้เวลากับมันวันละ 2 ชั่วโมงครับ ภาษาอังกฤษคือการสะสม ถ้าไปเรียนต่างประเทศแบบตัวเปล่าเราจะพัฒนาช้ามากครับ เราควรมีฐานภาษาอังกฤษดีหน่อยจะได้สามารถไปเก็บเกี่ยวและต่อยอดภาษาอังกฤษได้อย่างเต็มที่
อาจจะไม่ต้องทำแบบผมก้ได้ครับ ทุกคนก็มีความเห็นต่างกันไป ผมแค่แชร์ประสบการณ์ที่ทำแล้วรู้สึกว่าได้ผลครับ บางที่อาจจะมีวิธีดีกว่านี้แต่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันก็เป็นไปได้ครับ
ปัจจุบันผมก็ยังฝึกอยู่ครับ ทุกวันนี้ก็ยังคงท่องศํพท์ ดูหนัง อ่านหนังสือ อยู่ทุกวันครับ เวลาที่ผ่านไป 1 ปี ผมพัฒนาจากอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง เลยกลายมาเป็น พูดได้ ฟังได้ เขียนได้ อ่านได้ คะแนน TOEFL ผมเกิน 550 ไปแล้วครับ จากเดิมที่เป็นคนไม่ได้เรื่องเลยในภาษาอังกฤษ
เป็นกำลังใจให้ครับเพราะว่าเรียนมาทางด้านคอมพิวเตอร์เหมือนกัน เลยทราบครับว่าภาษาอังกฤษสำคัญจริง ๆ เพราะความรู้ใหม่ ๆอยู่บน Internet เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
จากคุณ |
:
PoweronOhm
|
เขียนเมื่อ |
:
19 เม.ย. 54 10:19:09
|
|
|
|
|