 |
โครงการ Work & Travel นี้ ผู้ผลักดันให้เกิดขึ้นมา คือนักการเมืองที่มีนายทุนใหญ่ที่ต้องการเลี่ยงกฏหมาย แรงงาน และกิจการนั้นๆ เป็นกิจการที่ต้องการ non-skilled labor จำนวนมาก เช่น รีสอร์ท สวนสนุก ฯลฯ ข้อได้เปรียบของนายจ้างคือ ได้แรงงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ ค่าแรงถูกคือต่ำสุดตามที่กฏหมายกำหนด ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องสวัสดิการ ไม่มี unemployment, healthcare, 401K, ฯลฯ
อย่างงานตามรีสอร์ท ถ้าเขาจ้าง resident มาทำ ช่วงที่รีสอร์ทปิด low season นายจ้างต้องจ่าย unemployment แต่ถ้าจ้างผ่านโครงการ ก็ไม่ต้องจ่ายเพราะอยู่ทำงานแค่สามเดือน รับคนมาสองผลัดก็จบแล้ว เขาจ่ายเงินค่าหัวให้สปอนเซ่อร์ เพื่อเอาพวกคุณมาทำงานระยะสั้นหกเดือน น้อยกว่าที่เขาต้องจ่ายเวลาจ้าง resident มาทำหลายเท่าตัว หรืองานตามร้าน fast food ต่างๆ หาคนทำที่อยู่นานๆ มีความรับผิดชอบหายาก ก็จ้างค่าแรงขั้นต่ำ... คนที่มีโอกาสดีกว่าเขาก็ไปหาที่ใหม่ต่อไป นี่คือประเด็นที่ว่าทำไมถึงมีงานในลักษณะนี้ให้คนต่างชาติทำ
เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศที่ใครๆ ก็อยากมา ดังนั้นเรื่องการตลาดจึงเป็นเรื่องง่าย ทำให้คนจำนวนมากสมัครเข้าโครงการ เมื่อมาแล้วก็เหมือนกับซื้อหวย คือโชคดีไปเจอคนดี จังหวะเรื่องภาวะเศรษฐกิจดี ทำเลที่ตั้งของกิจการ ฯลฯ ก็ดีไป แต่มากกว่าครึ่งที่มาแล้วประสบปัญหา ถูกปล่อยเกาะ ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานใดได้
วีซ่าสำหรับโครงการแลกเปลี่ยนนี้ ผู้มีอำนาจเต็มในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวีซ่า คือสปอนเซ่อร์ของคุณ คนที่จะมาเป็นสปอนเซ่อร์ได้คือ ต้องได้รับ contract จากรัฐบาล มีเงินประกันวางไว้ ฯลฯ โดยทั่วไปตามเงื่อนไขคือ ถ้าคุณออกจากโครงการก่อนกำหนด ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เขาจะต้องแจ้ง DHS ภายใน 5 วัน เพื่อยกเลิกวีซ่าของคุณ มิฉนั้นเขาจะได้รับผลกระทบคือ เงินค่าปรับ และประวัติเสียซึ่งอาจจะทำให้ไม่ได้รับการพิจารณาต่อสัญญา ฯลฯ ข้อกำหนดหลักของวีซ่าประเภทนี้คือ คุณต้องเข้าระบบ SEVIS และมี D/S เหมือนวีซ่านักเรียน เพื่อที่อิมมิเกรชั่นจะได้ตรวจสอบได้ว่าคุณยังทำงานอยู่ที่เดิม หรือย้ายงาน หรือกลับเมืองไทยไปแล้ว ฯลฯ ดังนั้นเรื่องสปอนเซ่อร์จึงเป็นเรื่องบังคับว่าต้องมี เพราะเรื่องเอกสารต่างๆ เขาเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด
ส่วนที่ไปหางานเอง หรือไปทำงานกับนายจ้างเดิมโดยไม่ผ่านสปอนเซ่อร์นั้น จริงๆ แล้วนายจ้างเขาก็ยังต้องติดต่อสปอนเซ่อร์อยู่ดี เพราะนายจ้างเองไม่สามารถออกเอกสารให้คุณเอาไปขอวีซ่าได้ เพียงแต่คุณไม่ต้องผ่านเอเย่นต์ในไทยเท่านั้น
ดิฉันเห็นว่าเอเย่นต์ทางเมืองไทยส่วนใหญ่ทำน่าเกลียด เห็นแก่ตัวมาก ไม่ได้มีความรู้ หรือเข้าใจเรื่องเงื่อนไขของโครงการ รวมทั้งเรื่องสถานะของวีซ่าเลย หรือรู้แต่ไม่แคร์ พูดอะไรออกไปไม่สนใจขอให้ขายโปรแกรมได้ และเรื่องพ้นตัวไปเท่านั้น ไม่ได้คำนึงผลกระทบที่จะเกิดกับตัวพวกคุณในวันข้างหน้า เอเย่นต์ในเมืองไทยมีหน้าที่ทำ marketing เท่านั้น ไม่มีสิทธิมายกเลิกวีซ่าของคุณ แต่เท่าที่เห็น ไม่เคยมีรายไหนช่วยคุณต่อรองกับเอเย่นต์ทางอเมริกาเลย
ถ้าคุณมีปัญหากับนายจ้าง แต่ยังอยากอยู่ต่ออย่างถูกต้องตามกฏหมาย คุณต้องเจรจากับสปอนเซ่อร์ของคุณว่า ชั่วโมงทำงานแค่นี้คุณอยู่ไม่ได้ ให้เขาช่วยหางาน หรือถ้าเขาไม่ช่วยหา คุณหางานเอง คุณจะยังต้องทำจ๊อบหลักกับเขา ทำจ๊อบที่สองเอง จะทิ้งไปเลยทั้งหมดไม่ได้ ถ้าคุณหางานใหม่เอง โดยตัดขาดกับเอเย่นต์ที่สปอนเซ่อร์วีซ่าให้คุณมาโดยสิ้นเชิง ทางสปอนเซ่อร์สามารถแจ้งยกเลิกวีซ่าของคุณได้ คุณจะเอาผิดกับเขาไม่ได้ เพราะว่าเขาทำตามระเบียบ และได้ทำสัญญากับคุณไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้ากลับไปอ่านให้ดีๆ จะเห็นว่าสัญญาที่คุณเซ็นเอาไว้ มีช่องโหว่มากมายที่เอื้อประโยชน์กับสปอนเซ่อร์ คือเขาไม่ต้องรับผิดชอบถ้าไม่สามารถหางานให้คุณ หรือหาได้แต่ไม่ครบ 40 hrs/wk ฯลฯ
ถ้าคุณออกจากโครงการไป และทำงานที่อื่นเอง เท่ากับว่าคุณ overstay (วีซ่าคุณจะถูกยกเลิกโดยสปอนเซ่อร์ ถึงแม้ว่าในพาสปอร์ตจะยังเหลืออีกหลายเดือน เงื่อนไขวีซ่าของคุณถูกผูกติดอยู่กับสัญญาการทำงานเท่านั้น) และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต (SSN ของคุณ ระบุว่าทำงานได้เฉพาะกับนายจ้างที่ DHS อนุมัติเท่านั้น ถ้านำไปใช้ทำงานที่อื่น ก็ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนกฏหมาย) ผลกระทบที่สำคัญมากคือ วันหน้าถ้าคุณไปขอวีซ่าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวีซ่าท่องเที่ยว หรือวีซ่านักเรียนก็ตาม คุณจะถูกปฏิเสธเนื่องจาก overstay และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ฉนั้นก่อนจะตัดสินใจทำอะไรลงไปให้คิดทบทวนให้รอบคอบก่อน คิดให้ยาวๆ ว่าวันหน้าคุณอาจจะต้องมาเรียนต่อ มาดูงาน ฯลฯ
โครงการประเภทนี้ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประสบการณ์ ชอบผจญภัย ทนลำบากได้ ไม่เหมาะสำหรับคนที่หวังเก็งกำไรค่ะ ความเห็นของดิฉันเอง น่าจะเรียนให้จบแล้วขอมาทำงานในลักษณะ intern จะดีกว่าค่ะ
จากคุณ |
:
Lawanwadee
|
เขียนเมื่อ |
:
20 เม.ย. 54 23:37:04
|
|
|
|
 |