|
ตอนที่หนึ่ง ก่อนจะเป็นหนึ่งปีแสนสุขที่เอดินบะระ
ตลอดระยะเวลากว่ายี่สิบปีก่อนหน้า เอดินบะระในสายตาของผม ก็เป็นเพียงเมืองท่องเที่ยวเมืองหนึ่ง มีปราสาทตั้งตระหง่านอยู่กลางเมือง และก็น่าจะมีผู้ชายนักเป่าปี่แบบสก็อต (pipers) ใส่กระโปรงลายหมากรุกหรือ kilt เดินไปเดินมาเพียงเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการทำบุญอย่างหนักหน่วงด้วยการใส่ชอร์ทเบรดลงไปในบาตรพระช่วงหลังๆ หรืออย่างไร เลยทำให้ผมต้องจับพลัดจับผลูมาอยู่ที่นี่ได้ครับ
ยิ่งเมื่อมองเอดินบะระกับผมในช่วงสำเร็จการศึกษาใหม่ๆ ในรับปริญญาตรีแล้ว ก็ยิ่งดูเหมือนจะเป็นเส้นขนานที่ไม่มีทางจะมาเจอกันได้ ทั้งนี้ เพราะผมได้รับทุนจากทางคณะให้ศึกษาต่อในสองหลักสูตร ซึ่งทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดี
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกกับผมอีกรอบ เมื่อคุณแม่ผมป่วยค่อนข้างหนัก และผมอยากได้เวลามาดูแลคุณแม่เสียมากกว่า ประกอบเข้ากับเวลานั้น ผมก็ได้รับเสนองานจากบริษัทแห่งหนึ่งเข้ามาอีก นี่ยังไม่รวมความโลภที่แอบไปสอบทุนรัฐบาลเอาไว้ด้วย เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างประดังประเดเข้ามาพร้อมกัน ผมก็เลยต้องตัดสินใจเลือกให้ผลลัพธ์ที่ออกมาสมประโยชน์แก่ทุกฝ่าย(โดยเฉพาะผม) มากที่สุดครับ
แน่นอนว่าปริญญาโทที่คณะถูกคัดทิ้งไปเป็นอย่างแรก ส่วนทุนรัฐบาลผมก็ไปสอบสัมภาษณ์เอาไว้ ตั้งใจว่าได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แล้วก็รับงานประจำมาเป็นที่เรียบร้อย
15 มิถุนายน 2550 วันข่าวดีแห่งชาติของผมก็มาถึง เมื่อได้ทราบผลทุนอย่างไม่เป็นทางการ พร้อมๆ กับอาการที่ดีขึ้นหลังการผ่าตัดใหญ่ของคุณแม่ ผมจำได้ว่าผมกระโดดโลดเต้นอยู่คนเดียวในห้องพักของเชอราตันลากูน่าที่ภูเก็ตหลังจากประชุมงานเสร็จและบทสนทนาทางไกลจากกรุงเทพผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่สิ้นสุดลง
ถึงเวลานี้ชีวิตดูเหมือนจะง่ายขึ้นอีกเล็กน้อย เพราะผมก็ก้มหน้าก้มตาทำงานไปหนึ่งปี ควบคู่กับระหว่างนี้ก็หาที่เรียนไปพลางๆครับ
เอดินบะระกับผมดูเหมือนจะใกล้กันเข้ามาอีกนิด เมื่อเงื่อนไขของทุนระบุชัด ว่าจะต้องไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาหรือสหราชอาณาจักร ผมตัดสหรัฐอเมริกาออกอย่างไม่ลังเล ส่วนหนึ่งก็เพราะ มีนักเรียนทุนเดียวกันอีกท่านจะไปเรียนที่นั่นอยู่แล้ว ผมเลยเห็นว่าถ้าผมไปเรียนทางฝั่งยุโรปจะเป็นประโยชน์ต่อการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันมากกว่า
ประเด็นถัดมาก็คือ ที่ฝั่งอเมริกา ผมไม่มีญาติอยู่เลย มีก็แต่คนรู้จักซึ่งก็ไม่อยากจะไปรบกวนมากนัก แต่ที่อังกฤษ ผมมีลูกพี่ลูกน้องซึ่งอยู่ที่นั่นมาเจ็ดปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ไปเรียนภาษาอยู่หนึ่งปี แล้วก็เรียนต่อปริญญาโท จนกระทั่งทำงาน แล้วก็หมั้นหมายจนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเรียบร้อย ผมเลยเล็งเห็นว่า หากมีอะไรฉุกเฉินก็จะเป็นการดีกว่า เพราะยังมีใครที่จะสามารถให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงทีครับ
สาเหตุสุดท้ายที่เลือกสหราชอาณาจักรคงเป็นเพราะระยะเวลาการเรียนที่สั้นกว่าคือหนึ่งปีซึ่งเหมาะสมกับผมมาก เพราะไม่ต้องห่างคุณแม่ไปนาน แต่หารู้ไม่ว่าหนึ่งปีนั้นสั้นมาก มากจนทำให้ผมโหยหาและคิดถึงอดีตที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตยามที่ผมกลับเมืองไทยได้อย่างไม่น่าเชื่อ คิดดังนี้แล้วก็ไปทำสัญญารับทุนเป็นที่เรียบร้อย แล้วก็เริ่มขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือการหาที่เรียนครับ
หลายๆ คนอาจจะเริ่มต้นการหาที่เรียนโดยการเปิดเว็บไซต์จัดอันดับสถาบันการศึกษาทางอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น timesonline, guardian, arwu หรือเจ้าอื่นๆ ผมเองก็ทำเช่นกัน แต่ไม่ใช่ประเด็นหลัก
เพราะประเด็นหลักของผมแทนที่จะดูว่าใครสอนดีกว่า หรือมหาวิทยาลัยใดมีชื่อเสียงกว่า ผมก็ไพล่ไปดูว่า The best place to live in UK หรือเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในสหราชอาณาจักรคือที่ใด เพียงเท่านี้ ชื่อเอดินบะระก็ดูจะเริ่มคุ้นเคยกับผมมากขึ้น
ขั้นตอนการเลือกเมืองของผมยังไม่จบเท่านี้ จนหลายคนค่อนขอดว่าผมจะไปเรียนหรือจะไปเลือกเมืองเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก เงื่อนไขของผมคือขอเมืองที่มีขนาดใหญ่เสียหน่อย การคมนาคมขนส่งดีหรือพูดง่ายๆ คือเดินทางไปเที่ยวที่อื่นสะดวก ค่าครองชีพกลางๆ แล้วก็ต้องมีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้วย
เลือกไปเลือกมา ดูเหมือนว่าจะตัดออกมากกว่าเลือกไว้ เพราะออกซ์ฟอร์ เคมบริดจ์ วอร์ริค เซนต์แอนดรูวส์ แม้กระทั่ง บาธ บริสตอล ก็หายไปจากรายชื่อผู้เข้ารอบของผมทั้งหมดครับ ท้ายที่สุด ผมก็ได้มาสามเมือง นั่นก็คือ ลอนดอน แมนเชสเตอร์ และเอดินบะระ ชื่อมหาวิทยาลัยเอาไว้ทีหลัง เอาเมืองให้เรียบร้อยก่อนครับ
ถึงเวลาออกเสียงรอบที่หนึ่ง ผ่านญาติโกโหติกา เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน ครูบาอาจารย์ เรื่อยไปจนถึงเจ้านาย การหยั่งเสียงรอบแรกเป็นไปตามคาด แมนเชสเตอร์ตามหลังอีกสองเมืองข้างต้นราวหลายล้านปีแสง ผมก็เลยเอาปากกาแดงมาขีดฆ่าชื่อเมืองนี้ออกไปเป็นที่เรียบร้อย
สำหรับลอนดอนกับเอดินบะระนั้นสูสีกันมาก และผมเองก็ยังรักพี่เสียดายน้อง เข้าทำนองอยากเก็บเธอไว้ทั้งสองคน ก็เลยตัดสินใจสมัครมันเสียสองเมือง เพราะพี่สาวผมเองก็เชียร์ลอนดอนสุดฤทธิ์ ขณะที่เพื่อนสนิทมากๆ สมัยประถมซึ่งเป็น ชาวเอดินบะระเต็มตัวก็หนุนหลังที่นั่นสุดใจขาดดิ้นไม่แพ้กัน
วิธีการสมัครของผมนี่ต้องบอกว่าแย่มาก คือสมัครเพียงสามที่วัดดวงกันไปเสียข้างหนึ่ง ต่างกับหลายๆคนที่สมัครไปเป็นสิบ สาเหตุหลักคือผมเป็นคนงก ไม่ใช่สิ ควรจะใช้คำว่าตระหนี่หรือใช้เงินเป็นเสียมากกว่า เพราะการส่งเอกสารแต่ละครั้งไปอังกฤษ ธนบัตรสีเทาใบเดียวนั้นเอาไม่อยู่ ถ้าสมัครสิบที่นี่ก็เป็นเงินไทยราวห้าหลักแล้ว อย่ากระนั้นเลย เอามันสามที่ก็พอครับ
ในสามที่นั้น เป็นที่ที่ผมอยากเรียนจริงๆ สองที่ ในลอนดอนคือ UCL แล้วก็เอดินบะระ ส่วนอีกที่นั้นคือ Royal Holloway อันหลังนี่สมัครแก้บนไปอย่างนั้น เผื่อสองที่แรกไม่ได้จะได้มีที่เรียนครับ
และด้วยความรอบคอบในการใช้จ่าย ผมเองก็ใช้วิธีการส่งผ่านเอเย่นต์ โดยไม่ได้ไปปรึกษาอะไรเขามาก แค่บอกว่าสนใจมหาวิทยาลัยนี้ รบกวนส่งเอกสารให้หน่อยได้ไหม เท่านี้ก็เป็นที่เรียบร้อยครับ จำได้ว่ารายของรอยัลฮอลโลเวย์นี่ถามคุณสมบัติแล้วบอกว่ารับแน่นอน จะกันที่เอาไว้ให้ด้วย ส่งเอกสารทั้งหมดมาเมื่อไรก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน
ส่วนยูซีแอลนี่ผมต้องจัดส่งด้วยตัวเอง และเป็นมหาวิทยาลัยที่สร้างความประทับใจให้ผมเป็นอย่างมาก เพราะไม่รับการติดต่อโดยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ทุกอย่างให้ใช้วิธีการสูงสุดคืนสู่สามัญ หรือปัจจุบันย้อนสู่อดีตเพราะรับแต่จดหมายเท่านั้น แถมวันปิดรับเอกสารก็เร็วกว่าที่อื่นๆ รู้สึกว่าปลายมกราคมต้องส่งทุกอย่างแล้ว
ผมซึ่งเป็นพวกโอ้เอ้วิหารราย ก็เลยรู้สึกใจหายใจคว่ำ เมื่อเตรียมเอกสารเสร็จเช้าวันที่ยี่สิบแปด ก่อนที่เจ้าหน้าที่บริษัทของผมจะอนุเคราะห์เรียก Fedex มารับแล้วเอกสารทั้งหมดก็ไปกองอยู่ที่ฝ่ายรับนักศึกษาในวันที่สามสิบเอ็ดพอดิบพอดีครับ
ในขณะที่เอดินบะระนั้น สำนักงานของเอเย่นต์อยู่ด้านหลังตึกที่ผมทำงาน เดินสักห้านาทีก็ถึง ผมก็เลยไม่ต้องรีบร้อนมาก วันไหนงานไม่มีหรือมีมากแล้วเบื่องานก็เดินไปนั่งคุยอยู่บ้าง ซึ่งทางเอเย่นต์ก็ช่วยเหลือดี
ส่วนตัวผมมองว่า ถ้าไปฝั่งอังกฤษ แล้วไม่ใช่มหาวิทยาลัยหรูหราเลิศลอยอย่างออกซ์บริดจ์ ก็ควรใช้บริการเอเย่นต์ เพราะทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในภาวะได้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ว่าบางครั้งตัวผมอาจจะอยู่ในภาวะอิงอาศัยหรือภาวะปรสิตบ้างเป็นครั้งคราวครับ
จากคุณ |
:
buenos
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ค. 54 21:03:11
|
|
|
|
|