|
เข้ามาสนับสนุน คห.ที่ 1, 5 และ 7 ครับ ที่ทุกท่านแนะนำเป็นจริงและเหมาะสมอย่างมากครับ ควรไปเรียนต่อก่อนครับ
ผมขออนุญาตช่วยเพิ่มเติมข้อมูลให้อีกนะครับ เพื่อว่า จขกท. จะได้รับรู้ในมุมมองของคนที่เคยทำงานมาก่อนนะครับ
เพื่อนผมหลายๆ คนที่เรียนจบ ป.โท แล้วไปทำงานเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เลย เขาเคยบ่นให้ผมฟังหลายต่อหลายครั้งว่า เขาไม่มีเวลาที่แม้จะเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบภาษาอังกฤษเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศ บางคนรับภาระงานสอนมาก ทำงานอย่างอื่นนอกเหนือจากการสอนด้วย เช่น ต้องมีการบริการวิชาการต่างๆ ทำวิจัย และอื่นๆ เพราะว่ามันเป็นระเบียบของเกือบทุกๆ มหาวิทยาลัยว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยจะต้องมีภาระงาน 4 ด้าน คือ
1. ด้านการสอน ต้องสอนให้ครบเกณฑ์ขั้นต่ำ อันนี้ผมก็ไม่รู้ระเบียบว่าเท่าไหร่ในแต่ละมหาวิทยาลัย
2. ด้านบริการวิชาการ เช่น ช่วยกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย รวมถึงไปทำกิจกรรมถ่ายทอดความรู้ให้ชาวบ้าน นักเรียน ครู ชุมชนต่างๆ
3. ด้านวิจัย ตรงนี้จะต้องมีทุกๆ คน ต้องทำวิจัยเพื่อผลิตผลงานตีพิมพ์ หรือรูปเล่มงานวิจัย เพราะเกณฑ์ใหม่จะบังคับให้อาจารย์ทุกๆคนทำวิจัย
4. ด้านทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม
ด้านที่หนักมากหน่อยสำหรับอาจารย์ใหม่จะเป็นด้านการสอน และการบริการวิชาการ ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะอาจารย์ที่ทำงานอยู่แล้ว เขาจะแบ่งภาระงานให้เด็กใหม่ เพื่อว่าคุณก็จะได้มีภาระงานสอนเป็นไปตามเกณฑ์ขั้นต่ำ ไม่อย่างนั้นหัวหน้าภาควิชาหรือคณบดีก็จะมีปัญหา ว่าทำไมไม่แบ่งภาระงานให้เหมาะสมให้อาจารย์ใหม่
ปัญหาของอาจารย์ใหม่จะมีอยู่ 2 กรณี
1. เมื่อคุณไปทำงานใหม่ๆ คุณก็จะได้รับงานสอนเยอะแยะมากเกินไปจนคุณรู้สึกว่าไม่แฟร์ อาจารย์รุ่นใหม่บางคนจะมีปัญหาตรงนี้ และบางคนอาจไม่พอใจที่ว่าทำไมอาจารย์รุ่นเก่าเอาเปรียบ (มันมีแบบนี้จริงๆ ในหน่วยงานต่างๆ) แต่จะว่าไปมันก็ว่าไม่ได้ เพราะอาจารย์รุ่นเก่าๆ หรืออาจารย์อาวุโสบางท่านเขาก็กว่าจะผ่านจุดนั้นมา เขาก็ทำงานหนักมาก่อน เขาจึงอาจมองว่าเขาก็เคยทำงานหนักมาก่อน กว่าจะอยู่ตัวหรือทำงานไม่ต้องหนักเท่าเดิม อายุเขาก็เยอะแล้วนะ จะให้ไปทำเท่าเดิมก็ไม่ได้ มีหลายร้อยเหตุผลเลยรครับ แล้วอาจารย์บางท่านเขาก็ต้องไปทำงานบริหาร คงจะให้มาสอนหนักๆ โหลดงานเยอะๆ ก็คงไม่ได้ เขาก็ต้องให้ภาระงานกับอาจารย์ใหม่แทน
2. คุณอาจเจอปัญหาที่ตรงกันข้ามกับข้อ 1 คือหาภาระงานไม่ค่อยได้ เพราะจบปริญญาโท ตรงนี้เพื่อนๆ ผมหลายคนเป็นนะครับ เพราะเขาไม่สามารถไปสอนในระดับบัณฑิตศึกษา หรือ ป.โท-เอก ได้ เพราะยังไม่ได้จบปริญญาเอก ซึ่งระเบียบหลายๆ มหาวิทยาลัยจะไม่ให้อาจารย์ที่ยังไม่จบปริญญาเอก ไปสอนหรือรับนักศึกษา ป.โท เอก ได้นะครับ ยกเว้นว่าจะจบโท แต่มีตำแหน่งวิชาการระดับ รศ. ขึ้นไป อะไรแบบนี้
ทีนี้คุณก็จะหาภาระงานในส่วนของบัณฑิตศึกษาไม่ได้ ต้องสอนเฉพาะ ป.ตรี แล้ว บางหน่วยงานก็จะมีปัญหาตรงที่ว่า อาจารย์หลายๆ คนเขาไม่ยอมแบ่งภาระงานสอนออกมาให้อาจารย์ใหม่ เพราะเขามีภาระงานสอนกันอยู่ตัวแล้ว ประมาณว่าแบ่งไปฉันจะเอาอะไรสอน หรือรายได้ (ถ้ามีภาคพิเศษ) ฉันก็ลดไปสิ ไม่อยากแบ่งให้อาจารย์ใหม่เท่าไหร่ โดยเฉพาะหากอาจารย์ใหม่มาแบบเส้นสายนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาไม่สนใจหรอกครับว่าใครจะพาเข้ามา แต่เขาสนใจว่าเขาชอบใจหรือไม่ชอบใจ แค่นั้น เรื่องแบบนี้เพื่อนบางคนของผมก็เจอมา เขาก็เล่าๆให้ฟังบ่อยๆ ทำให้มีปัญหาระหว่างทำงานได้
ปัญหาของอาจารย์ที่จบโท แล้วไปทำงานสอนเลย มันมีเยอะมากครับ เมื่อเทียบกับ จบ ป.เอกไปเลย ดังนั้น จึงจะเห็นว่าปัจจุบันมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ ยิ่ง ม.รัฐ ขนาดใหญ่เก่าแก่ที่เปิดมานาน เขาจะเน้นรับอาจารย์ที่จบ ป.เอก ไปเลย เพราะเขาไม่อยากมาเสียเวลากับอาจารย์ที่จบ ป.โท ที่ต้องลาไปเรียน ต่อ ป.เอก อีกในวันข้างหน้า ทำให้สุดท้ายเขาก็ต้องมาหาอาจารย์ใหม่มาทดแทน ระหว่างที่อาจารย์ลาไปศึกษาต่อ
นอกจากนี้อาจารย์ที่จบ ป.โท ก็ไม่สามารถช่วยงานบางอย่างได้เต็มที่ เช่น ไปรับงานบริหารบางอย่างไม่ได้ เพราะเดี๋ยวให้งานไปแล้ว ต้องมาลาเรียน ก็จะเสียระบบเขาไป
มันมีข้อยุ่งยากหลายอย่างกว่านั้น คือ ระบบของมหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้คือระบบพนักงานมหาวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยนอกระบบ นะครับ เช่น เพื่อนของผมคนหนึ่งเขาก็จบ ป.โท จากเมืองนอก เพิ่งไปทำงานได้ 1 ปี จริงๆ ก็แพลนอยากไปเรียนต่อ ป.เอก แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปเลย เพราะงานสอนเขาเยอะมาก แต่ได้สอนเฉพาะ ป.ตรี ไม่มีสิทธิรับนักศึกษาป.โท หรือ เอก แล้วต้องทำงานบริการวิชาการเยอะมาก ช่วยงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ทั้งงาน กีฬา งานปริญญาบัตร งานราษฎร์ งานหลวง ต้องเอาหมด ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้ เพราะต้องอย่าลืมว่าเดี๋ยวนี้ ทุกมหาวิทยาลัยมีระบบประเมินพนักงานมหาวิทยาลัย ต้องอย่าลืมว่าทำงานเป็นอาจารย์รุ่นใหม่ ไม่ใช่ข้าราชการแล้วนะครับ เป็นนโยบายของรัฐที่แก้ไม่ได้แล้วครับ สิทธิต่างๆ ของ พนักงานมหาวิทยาลัย ไม่เหมือนกับ ข้าราชการ นะครับ อันนี้ต้องเข้าใจด้วยครับ
ระบบพนักงานมหาวิทยาลัยจะต้องทำงานให้ดีพอ จึงจะผ่านการประเมิน และบางคนก็อาจทำงานดี แต่ถูกแกล้ง ก็ยังมี มันขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยนะ เล่า 3 วันก็ยังไม่จบ เอาเป็นว่ามันมีแน่นอนในหลายๆ หน่วยงาน ขึ้นกับว่าดวงคุณจะเจอไหม
เพื่อนผมคนนี้ ขนาดจบ ป.โท ต่างประเทศ (อเมริกา) นะ ยังลำบากเลยนะในระบบพนักงานมหาวิทยาลัย เขาก็บอกว่าบางทีอาจารย์ที่จบ ดร. บางคน ก็ดูถูกอาจารย์จบโท ก็มี อันนี้มันมีจริงๆ นะครับ ไม่ใช่ผมพูดเล่นๆ มันขึ้นกับหน่วยงาน ผู้คนตรงนั้นด้วย เราอาจปรับตัวได้ หรือ อยู่แบบเครียดๆ ก็ได้ แต่เราเจอแบบไหน เราก็อย่าไปทำแบบเขา เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ดีจะไปเลียนแบบ แต่มันก็พูดยาก ต่างคนร้อยพ่อพันแม่ ต่อให้จบ ดร. ก็ใช่ว่าจะต้องเป็นคนจิตใจดี ดร. บางคนนี่ก็น่ากลัว ดังนั้น เราก็ต้องเข้าใจสภาพว่า มันมีโอกาสเจออะไรได้หลากหลาย ถ้าเราไปเจอแบบนี้ เราก็จะอยู่ยาก
แต่ถ้าคุณ จบ ป.เอก ไปแล้ว มันจะต่างกันราวกับฟ้า และเหว เลย อันนี้พูดจริงๆ เพื่อนผม 3 คนที่จบ ป.โท ที่กำลังสอนอยู่ ม.ราชมงคง ม.ราชภัฎ เล่าให้ผมฟังบ่อยๆ เขาก็ทำงานด้วยความเครียดนะ ไหนจะระบบประเมิน ไหนจะต้องเจอปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ไหนจะงานสอนหนัก ทำงานวิจัยอีก แต่คนที่จบ จบ ป.เอก มานะ ที่สถาบันเขาจะอวย ยิ่งกว่าเป็นเทวดา เลยล่ะ เพราะสถาบันของเขา ดร. ยังน้อยอยู่ (ไม่เหมือนกับ ม.รัฐ เก่าแก่ จะมี ดร.เยอะแล้ว) ดังนั้น พอมี ดร. มาก็จะได้สิทธิต่างๆ มากมาย ได้รับเกีรยติต่างๆ เรียก ท่าน ดร. ไม่ต้องทำงานหนักมาก ไปเน้นช่วยงานบริหาร ไปช่วยพัฒนาวิชาการ สามารถขอทุนวิจัยได้เต็มที่ แต่พวกจบ ป.โท เนี่ย เป็นแบบว่า จะขอทุนวิจัยก็ได้แค่ผู้ร่วมโครงการ เพราะจะเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยมหาวิทยาลัยเขาก็ยังไม่มั่นใจอีก ทั้งๆ ที่เขาอาจจะเก่ง แต่ก็อาจไม่ได้รับการสนับสนุน งานสอนพื้นฐานต่างๆ ที่เป็นแนว labour หน่อย ก็จะโยนมาให้อาจารย์พนักงาน ป.โท อะไรแบบนี้
จริงๆ มันมีมากมายเลยนะครับ แต่ผมไม่รู้จะเล่ายังไง คือ เพื่อนผมหลายๆ คนก็ลาออกไปเลย เพราะโดนสภาวะกดดันไม่ไหว ยิ่งเรื่องทุนเรียนต่อ ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ก็เหมือนหลายๆ ท่านบอก เขาก็มีคิวนะ หรืออาจมีคนของเขา (เส้น) ไว้แล้ว ไม่ใช่ตัวเราอยากจะลาเรียน แล้วจะได้ง่ายๆ นะครับ ถ้าช่วงนั้นคนเขายังขาดอยู่ เขาก็ยังไม่ให้ไปก็มีนะ ยกเว้นในระบบ ม.ใหญ่ๆ อันนี้อาจต่างออกไป แต่ก็เห็นว่า คนที่ จบ ป.โท แล้วไปทำงานเป็นอาจารย์ก่อนเนี่ย จะไปเรียนต่อไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่คิดนะครับ
คือ จบ ป.เอก เนี่ยมี priority ในหลายๆ อย่างครับ แล้วก็แทบจะไม่มีใครมายุ่งวุ่นวาย หรือกดดันคุณมาก แม้จะเป็นระบบพนักงานเหมือนกันก็ตาม มากสุดก็คือต้องทำผลงานให้ได้ตามเกณฑ์เพื่อให้ประเมินผ่าน แต่พวก ป.โท เนี่ย จะเจอสารพัดความกดดัน เพราะนอกจากต้องทำผลงานให้ได้ตามเกณฑ์แล้ว ยังต้องพะวงเรื่องไปเรียนต่อ เวลาจะไปอ่านหนังสือสอบ หาทุน หาอะไรก็ยากอีก แถมบางทีเจอ ดร. บางคน (ไม่ได้ว่าทุกคนนะครับ) พูดจากถากถางอีก บางคนก็จะเจอผู้ใหญ่กดดันอีก สารพัดนะครับ
แต่ถ้าจบ ป.เอก ต่อให้เข้ามาแบบเส้นสาย คนอื่นก็เล่นงานหรือทำอะไรยาก แบบว่าคนละเรื่องกับ ป.โท เลยล่ะครับ
ขอแนะนำอย่างเต็มร้อยเลยให้จขกท. ต้องไปเรียน ต่อ ป.เอก ครับ จบมาแล้วสบาย ทำงาน 2-3 ปีก็มีสิทธิขอตำแหน่งวิชาการได้ ป.โท ต้องทำตั้งหลายปีกว่าจะมีสิทธิขอได้) แล้วคุณก็จะไม่ค่อยมีคนมาวุ่นวายกับคุณ แถมจะได้สิทธิพิเศษต่างๆ มากมายถ้าไปทำงานในสถาบันที่ไม่ค่อยมี ดร. แบบว่าคุณจะเป็นดาว ในหน่วยงานเลย
แต่ก็อยากฝากไว้ว่า ถ้าจบมาแล้วก็อยากให้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้น้อยกว่าด้วยนะครับ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนงาน เจ้าหน้าที่ ตำแหน่งน้อยๆ หรือาจารย์ใหม่ๆ ที่จบ ป.โท ก็ให้คิดเสียว่าเราคือเพื่อนมนุษย์ รักใคร่กลมเกลียวกัน ผมรู้ว่า จขกท. เป็นคนดีครับ แต่แบบว่าอยากให้ช่วยกันครับ ผมไม่อยากให้เจอแบบเพื่อนผม เจอมา หลายๆ คนเขาก็เครียด เราไม่ชอบแบบไหน เราก็อย่าไปทำแบบนั้นกับคนอื่น ผมว่าแบบนี้ชีวิตเราก็จะรุ่งเรืองและก็มีแต่ความเจริญนะครับ ^_^
ผมขอให้ จขกท. ลองไปอ่านหรือติวสอบ IELTS เพิ่มอีกนิดนึง ผมว่าน่าจะสอบได้ 6.0 ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนดนะครับ ยังพอมีเวลานะครับ ติวสัก 1 เดือน ระหว่างที่รอเขา process เอกสารต่างๆ ไงครับ ถ้าตอนนั้นเรามีคะแนนได้ตามเกณฑ์เราก็สามารถเปลี่ยนเป็น unconditonal offer letter ได้ครับ จนกว่าจะเปิดเทอมนะ
สุดท้ายนี้ก็ขอให้ จขกท. จบ PhD ได้อย่างไม่ยากเย็น ประสบความสำเร็จในด้านการเรียน และได้เป็น ดร.ที่มีคุณภาพทั้งวิชาการ และจิตใจ ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ได้งานทำที่ดี และมีคนรักใคร่ เป็นอาจารย์ที่มีลูกศิษย์ลูกหารักใคร่ และเป็นเสาหลักให้วงการการศึกษาได้นะครับ โชคดีนะครับ
(แก้ไขคำผิดครับ)
แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 54 10:41:39
แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 54 10:36:57
จากคุณ |
:
ภาพสะท้อนของกระจกเงา
|
เขียนเมื่อ |
:
วันต่อต้านยาเสพติดโลก 54 10:30:56
|
|
|
|
|