ที่มา: http://www.komchadluek.net/detail/20110731/104437/บทเรียนจากมือสังหารผมสีทอง.html
=======================================================
คงอีกนานกว่าที่โลกจะหายตกตะลึงกับเหตุสะเทือนขวัญในนอร์เวย์ ประเทศที่เชื่อกันว่าสุขสงบที่สุดในโลกประเทศหนึ่งจนถึงบ่ายวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2554 เมื่ออาคารทันสมัยสูง 17 ชั้นที่ตั้งหน่วยงานรัฐบาลหลายแห่ง รวมทั้งสำนักงานของนายกรัฐมนตรีกลางกรุงออสโล ถูกถล่มด้วยระเบิดรถยนต์เสียหายอย่างรุนแรงทั้งตึกที่เป็นเป้าหมายและอาคารใกล้เคียง ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน บาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง และใจสลายซ้ำกับเหตุน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ากับเหตุไล่ยิงเยาวชนในค่ายฤดูร้อนของพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล บนเกาะอูโทยา ห่างจากกรุงออสโลประมาณ 35 กิโลเมตร เสียชีวิต 78 คน
ขณะเหตุการณ์ยังไม่คลี่คลาย สื่อตะวันตกและผู้สังเกตการณ์หลายท่านวิเคราะห์กันไปว่า ดูจากลักษณะการโจมตีแล้วบ่งชี้ยี่ห้ออัล-ไกดา ตามด้วยข้อมูลสนับสนุนว่านอร์เวย์เป็นเป้าหมายหนึ่ง เพราะส่งทหารเข้าร่วมสงครามอัฟกานิสถาน นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ในนอร์เวย์ยังเคยนำภาพการ์ตูนล้อศาสดาอิสลามจากหนังสือพิมพ์เดนมาร์กมาตีพิมพ์ซ้ำ พอปะติดปะต่อได้เท่านี้ สื่อบางแห่งก็สรุปอย่างลวกๆ ไม่กลัวหน้าแตกว่า นี่คือเหตุวินาศกรรม 9/11 ภาคนอร์เวย์
แต่เมื่อฝุ่นระเบิดจางลงและเสียงปืนเงียบลง ก็ต้องผงะเมื่อส่อเค้าว่าเป็นฝีมือของชายร่างสูง ผมสีทอง ตาสีฟ้า นิ้วที่ชี้ไปยังกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเอาลงแทบไม่ทัน เพราะหากจะเทียบก็น่าจะเป็นโอกลาโฮมา ซิตี้ ภาคนอร์เวย์มากกว่า
เหตุวางระเบิดถล่มอาคารที่ทำการรัฐบาลกลาง อัลเฟรด พีเมอร์รา ในโอกลาโฮมา ซิตี้เมื่อปี 2538 ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 168 คนนั้น แรกเริ่มเจ้าหน้าที่ก็ปักใจเชื่อว่าการก่อการร้ายครั้งใหญ่สุดบนแผ่นดินสหรัฐก่อนเหตุ 9/11 เป็นฝีมือผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ แต่เมื่อสืบไปสืบมา กลับพบว่าเป็นเพื่อนร่วมชาติชื่อ ทิโมธี แมคเวย์ ผู้มีแนวคิดขวาจัดสุดโต่งและเกลียดชังรัฐบาลอย่างที่สุด
นายอานเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก ชาวนอร์เวย์วัย 32 ปี อาจทำสิ่งโหดเหี้ยมเพราะวิกลจริตด้วยหรือไม่ ยังต้องรอการประเมินผลจากจิตแพทย์ แต่พื้นหลักความคิดอันบิดเบี้ยวและบ้าคลั่ง จนนำมาสู่การวางแผนประกอบระเบิดและถือปืนไรเฟิลไปไล่ยิงเยาวชนอย่างไร้ความรู้สึกนั้น มาจากความเกลียดชังผู้อพยพ ต้องการคงความบริสุทธิ์ของยุโรปจึงต้องออกมาปกป้องการเข้าครอบงำของมุสลิม และไม่ได้เลือกทำตรงๆ ด้วยการโจมตีมัสยิด แต่เล่นงานพรรคแรงงานทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อส่งสัญญาณแรงๆ ว่า เป็นเพราะความล้มเหลวของพรรคการเมืองกระแสหลักและนักการเมืองหัวเอียงซ้ายที่ทำให้ยุโรปเผชิญภัยคุกคามจากมุสลิม
สื่อกระแสหลักอย่าง นิวยอร์กไทมส์และอีกหลายเจ้า ปล่อยให้เนื้อหาข่าวที่เป็นการอ้างความรับผิดชอบของกลุ่มที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มมุสลิมที่ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อว่า เป็นผู้ลงมือก่อการร้ายในนอร์เวย์ อยู่บนหน้าเว็บไซต์ต่อไปอีกหลายชั่วโมง ทั้งที่ขณะนั้นค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า เจ้าของผลงานการเข่นฆ่าโหดเหี้ยมผิดมนุษย์เป็นใคร ราวกับเป็นเรื่องที่ทำใจเชื่อได้ยากกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับ
ในความเป็นจริงแล้วในสหรัฐ การก่อการร้ายภายใน เกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าการก่อการร้ายข้ามชาติมาก โดยตัวเลขช่วงปี 2541-2548 พบว่าการก่อการร้ายคร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้าย 26,445 คน ในจำนวนนี้มี 6,447 คนที่เป็นผลจากก่อการร้ายข้ามชาติ (3,000 คนเป็นเหยื่อวินาศกรรม 11 กันยายน 2544)
ในปี 2552 กระทรวงความมั่นคงภายในสหรัฐ ได้ออกรายงานสำคัญฉบับหนึ่งว่าด้วยภัยกลุ่มขวาจัดสุดโต่งในประเทศ แต่เมื่อถูกวิจารณ์หนักๆ เข้าจากกลุ่มอนุรักษนิยม กระทรวงก็ถอนรายงานฉบับนี้ แถมต่อมา ยังลดจำนวนนักวิเคราะห์ภัยก่อการร้ายอื่นที่มิใช่จากกลุ่มอิสลาม จาก 6 คนเหลือ 2 คน
รายงานฉบับนี้เตือนว่า กระแสขวาจัดและเกลียดกลัวอิสลามในสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากการได้ประธานาธิบดีผิวสีคนแรกและภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ทั้งยังได้เห็นการเติบโตของขบวนการอย่าง "เบิร์ทเธอร์" ที่เชื่อฝังหัวว่า ประธานาธิบดีบารัก โอบามา เป็นมุสลิม หรือกลุ่มอนุรักษนิยมสุดขั้ว "ที พาร์ตี้" ที่นายเบรวิกชื่นชมว่าเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างเป็นรูปธรรมครั้งแรกที่บ่งบอกว่าพายุลูกใหญ่กำลังจะมา
ขณะที่ในยุโรปเอง การก่อการร้ายส่วนใหญ่ในภูมิภาค เป็นผลงานจากพวกชาตินิยมสุดโต่ง
ตัวเลขจากยูโรโพล สำนักงานตำรวจแห่งยุโรป พบว่า ภัยจากการก่อการร้ายอิสลาม มีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับภัยก่อการร้ายจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนกับกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรง โดยในปี 2549 การก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วยุโรป 498 ราย มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ถูกจัดเป็นผลงานกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง ต่อมาในปี 2550 ตัวเลขเพิ่มเป็น 4 รายจากทั้งหมด 583 รายแต่ก็ยังไม่ถึง 1% ของทั้งหมด
ในทางตรงกันข้าม เหตุก่อการร้าย 517 รายทั่วยุโรป เป็นการอ้างความรับผิดชอบโดยกลุ่มก่อการร้ายบนแนวคิดชาตินิยม หรือแบ่งแยกดินแดน อย่างเช่น กลุ่มเอต้า ในสเปน
จากข้อมูลที่นอร์เวย์แถลงถึงตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เบรวิกลงมือวางระเบิดและเหนี่ยวไกปืนเพียงคนเดียว แต่ในคำประกาศออนไลน์ 1,500 หน้าที่เชื่อว่าเป็นการบันทึกของเบรวิกนั้น (พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบเรื่องไหนจริงเรื่องไหนเป็นจินตนาการ) อิงกับงานเขียนและวิธีคิดของกลุ่มเกลียดกลัวมุสลิมดังๆ ในอเมริกาแทบทั้งสิ้น
และแม้ไม่ได้หมายความว่า กลุ่มที่มีแนวคิดขวาและเกลียดกลัวมุสลิมมากๆ จะลุกขึ้นมาก่อเหตุรุนแรงบ้าคลั่งแบบเบรวิก และหลายกลุ่มก็ได้ออกมาประณามการกระทำของมือปืนรายนี้ กระนั้น คงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่การถกเถียงถึงมาตรการต้านภัยก่อการร้ายอย่างมีประสิทธิภาพในโลกตะวันตก จะเพิกเฉยภัยจากความเกลียดชังฝังลึกในบ้านตัวเอง เช่น การสนทนาพูดคุยในโลกออนไลน์ของพวกขวาจัด สมควรถูกนำมาวิเคราะห์อย่างละเอียด พอๆ กับเว็บไซต์ญิฮัดทั้งหลายเช่นกัน
กรณีของเบรวิกยังกลายเป็นโจทย์อีกข้อที่ยุโรปกำลังขบคิดหาทางป้องกันนั่นคือ ผู้ก่อการร้ายประเภทลงมือคนเดียว ไม่ได้สังกัดองค์กรอะไร และดำเนินชีวิตเป็นปกติ แต่ซุ่มซ่อนหลบเรดาร์ตรวจจับจนก่อเหตุสำเร็จ เพราะหากเป็นชาวขวาจัดประกาศตัวชัดเจน ทางการก็จับตาดูอยู่แล้ว
ในการประชุมเจ้าหน้าที่ต่อต้านก่อการร้ายของยุโรปเพื่อศึกษาบทเรียนจากเหตุร้ายในนอร์เวย์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่หลายคนเกรงว่า พวกสุดโต่งที่มีอุดมการณ์คล้ายเบรวิก อาจโจมตีเลียนแบบเพื่อแสดงการสนับสนุน ขณะเดียวกัน มีการตั้งคำถามน่าสนใจว่าเป็นเพราะความล้มเหลวของรัฐบาลหรือพรรคการเมืองหรือไม่ ที่ทำให้วิธีคิดแบบโยนบาปให้ชาวมุสลิมหรือผู้อพยพเป็นต้นเหตุของทุกปัญหาในบ้าน กลายเป็นกระแสที่มีแนวร่วมเพิ่มขึ้น และแนวคิดเช่นนี้ไม่เคยถูกมองว่าเป็นวิธีคิดสุดโต่ง
โดย อุไรวรรณ นอร์มา
(ข้อมูลจากอัลจาซีรา และไทม์)
ภาพบน: เกาะอูโทยา
ภาพกลาง: ไซน์ โซเออร์ไฮม์ (ซ้าย) และ ทอร์เกเออร์ ฮุสบี สองจิตแพทย์นอร์เวย์ที่ได้รับมอบหมายให้ประเมินสภาพจิตของนายอานเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก
ภาพล่าง: ทิโมธี แมคเวย์