|
เรื่องเงินผมแนะนำอีกวิธีคือ ทำบัตรเดบิต (มันจะกดเงินได้ทั่วโลก) ไว้นะครับ คือทำบัญชีออมทรัพย์ไว้ที่ ธนาคารของไทย ไว้ครับ แล้วก็ทำบัตรเดบิต (ค่าทำแค่ 500 บาทเองมั้งครับ)
พอไปนู้นเราก็กด ATM จากตู้ไหนก็ได้ของธนาคารของออสเตรเลีย เช่น Commonwealth Bank หรือ AUZ Bank หรืออีกมากมายหลายธนาคาร ค่าธรรมเนียมในการกดเงินต่อ 1 ครั้ง จะเสียค่าธรรมเนียม ให้ธนาคารของไทย ประมาณ 100 บาท (3 เหรียญ) และก็เสียให้กับธนาคารเจ้าของตู้ ATM อีก 3 เหรียญ (ประมาณ 100 บาท) รวมแล้วกด 1 ครั้งก็จะเสียเงินประมาณ 200 บาทครับ
แต่การกดเงิน ต้องคุยหรือติดต่อกับธนาคารที่ไทยไว้นะครับว่าเราจะกดได้วันละกี่บาท (หรือกี่เหรียญ) คือ เรากดที่นู้นมันจะได้เป็นเงินเหรียญออกมาทันที (แบงค์ออสเตรเลีย) ทีนี้ บัตรเดบิตของธนาคารที่ไทยเรา เขามักจะจำกัดวงเงินในการกดต่อ 1 ครั้งได้ไม่เกิน 20,000 บาท (หรือเทียบเท่า) คือกดออกมาเป็นเงินเหรียญน่าจะได้ไม่เกิน 600 เหรียญ ต่อ 1 ครั้ง เพราะผมเคยกด 650 เหรียญ นี่ไม่ได้เลยครับ เพราะมันคิดเป็นเงินไทยประมาณ 21,000 บาท แล้วมันก็จะบอกว่าเราทำรายการไม่ถูกต้องแล้ว eject บัตรออกมาจากตู้ กรณีนี้เราก็เสียค่าธรรมเนียมการทำรายการนะครับ (แม้ไม่ได้เงินออกมาก็ตาม T_T)
จะบอกว่า แค่ขอดูยอดเงินคงเหลือผ่านตู้ ATM ก็เสียค่าธรรมเนียม 3 เหรียญ นะคร๊าบบ ดูแล้วไม่กดเงินนี่เสียเงินทิ้งฟรีๆ นะครับ ดังนั้น ก็อย่าไปกดดูเล่นๆ นะครับ ไปทำ internet banking ไว้ดีกว่านะครับ เพราะเราสามารถเข้าไปดูยอดคงเหลือ หรือ โอนเงิน หรือทำรายการอะไรผ่านอินเทอร์เนตได้ เป็นบัญชีออนไลน์ของเราน่ะครับ ซึ่งหากเราสมัครไว้ เราก็จะได้รับ Username และ Password (ควรเปลี่ยน Password ใหม่เรื่อยๆ กันคนรู้จัก หรือ ถ้ามั่นใจว่าคนไม่รู้จักก็ไม่ต้องเปลี่ยน)
ข้อดีของ i-bank ก็คือทำให้เราไม่ต้องไปเสียค่าธรรมเนียมเวลาขอดูยอดเงินคงเหลือที่ตู้ ATM ที่ต่างประเทศ เราสามารถโอนเงินผ่าน i-bank ก็ได้ เช็ครายการอะไรก็ได้ เวลาเราซื้อตั๋วเครื่องบินผ่านอินเทอร์เนต (หักผ่านบัตรเดบิต) เราก็เข้าไปเช็ครายการที่ i-bank ของเราได้ว่ามันหักไปจริงๆไหม หรือหักเกินจริงไหม อะไรแบบนี้ คือจะสะดวกหลายๆ อย่างครับ
แต่ข้อเสียก็คือ จะต้องระวังคนรู้จัก Username กับ Password ของเราครับ ไม่งั้นได้โอนเงินเราหนีหมดเลย O_O นา อีกข้อเสียคือ เราต้องระวังเวลาใช้งาน เพราะมันจะมีพวกมิจฉาชีพ อาศัยช่วงเราเปิด i-bank ขึ้นมา คล้ายๆ แฮกข้อมูลคอมฯ ไม่รู้วิธีใดก็ไม่รู้ มาดูรายการและโอนเงินเราได้ มันเคยมีเคสแบบนี้น่ะครับ ก็เลยเตือนไว้ แต่ก็ไม่ใช่บ่อยหรอกครับ แต่ระวังไว้ก็ดีครับ อีกอันที่ต้องระวังคือ เวลาไปใช้งานกับคอมฯ สาธารณะที่ไม่ใช่คอมฯ ของเรา มันอาจมีคอมฯ บางตัวตั้งระบบ autosetting Username กับ Password ไว้ ทีนี้พอเราเลิกใช้ คนอื่นแค่มาพิมพ์ชื่ออักษรตัวแรก มันก็จะแสดง Username กับ Password แบบออโต้ขึ้นมา อันนี้ต้องระวังนะครับ แต่เช็คง่ายๆ ว่ามันมีการเซตแบบนี้ไว้ไหม ก็เข้าไปที่เมนู Tools ที่ Internet Explore แล้วก็เข้าไปที่ Internet option แล้วไปที่ปุ่ม Content แล้วไปคลิกที่ Setting มันก็จะโชว์ว่ามีการ autosave Username กับ Password ไว้ไหม สังเกตจะมีเครื่องหมาย / ติ๊กไว้ ถ้ามันติ๊กไว้ ก็ให้ไปคลิกให้มันหายไป แล้วก็ค่อยมา OK ออก มา ครับ
================================================
================================================= ขอนอกเรื่องสักหน่อยนะครับ เกี่ยวกับการกดเงิน
มีวันหนึ่งผมต้องใช้เงินประมาณ 1000 เหรียญ เพื่อทำธุรกรรมการเงินบางอย่าง ผมกดเงินรอบแรก 1000 เหรียญ มันไม่ให้นะครับ แถมโดนหักค่าธรรมเนียมไป 3 เหรียญ ฟรีๆ เลย
พอติดต่อไปทางธนาคารที่ไทย เขาบอกว่า กดได้ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท (ถ้าเป็นเงินเหรียญก็คือคำนวณแล้วต้องไม่เกิน 2 หมื่นบาท) ผมก็เลยมากดที่ 650 เพราะเข้าใจว่าค่าเงินตอนนั้น 1 เหรียญออสเตรเลีย เท่ากับ 30 บาท แต่ปรากฏว่า มันไม่ใช่ 1 เหรียญมันขึ้นไปเกือบ 32 บาท (ณ ตอนนั้น ซึ่งถ้าคำนวณดูมันก็จะประมาณ 20,800 บาท) ก็กลายเป็นว่าเสียเงินค่าธรรมเนียมทิ้งอีกแล้ว (มันหักไป 3 เหรียญ ค่าไปทำรายการตู้ ATM)
วันนั้นผมต้องกดที่ 600 เหรียญ มันถึงจะได้เงินออกมา ก็เสียค่าธรรมเนียมการกดในครั้งนี้ 6 เหรียญ (3 เหรียญทางไทยและอีก 3 เหรียญของธนาคารเจ้าของตู้)
แล้วต้องการเงิน อีก 400 เหรียญ ปรากฏว่า กดไม่ได้ ทั้งๆ ที่ก็กดไม่เกิน 600 เหรียญ (ซึ่งเทียบเท่าไม่เกิน 2 หมื่นบาท) >_< โมโหๆ ปรากฏว่า ทางธนาคารฝั่งไทยแจ้งว่า ปกติบัตร ATM~ ไม่ว่าจะใช้ที่ไทยหรือที่ต่างประเทศ เขาจะเซตจำกัดวงเงินไว้อัตโนมัติว่า "วันหนึ่งจะกดได้สูงสุดแค่ 2 หมื่นบาท" แต่มีข้อยกเว้นให้ เราสามารถแก้ไขหรือเซตวงเงินใหม่ได้สูงถึง 200,000 บาท ต่อ 1 วัน แต่เราต้องเข้าไปนเมนูเปลี่ยนแปลงวงเงินในตู้ ATM โดยต้องกรอกรหัสบัตรประชาชน แล้วเปลี่ยนวงเงินไปที่เราต้องการ แต่ไม่เกิน 2 แสนบาท
โอ้ย วันนั้นผมปวดหัวเลย อะไรหว่าเนี่ย พอดีไม่เคยใช้เงินวันหนึ่งเยอะขนาดนั้นไงครับ เพราะปกติซื้อของในซูเปอร์มาเก็ตก็ใช้บัตรเดบิตรูดเอา ให้มันหักผ่านบัญชีเรา (แบบนี้ไม่เสียค่าธรรมเนียม) หรือก็กดเงินออกมาเป็นอาทิตย์ละครั้งเอา มาจ่ายค่าห้อง กับค่าอาหาร ค่าเดินทางเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยไม่เคยรู้มาก่อนว่าหากจะกดทีละเยอะๆ มันจะมีปัญหา
ทีนี้ก็เลยให้ทาง ธนาคารที่ไทยเซตให้เรา เพราะผมทำเองที่ Australia ไม่ได้ มันไม่เหมือนกันน่ะครับ ระบบของที่นี่กับที่ไทย แล้วพนักงานของธนาคารที่ผมเปิดบัญชีไว้ที่ไทย ก็พูดไม่เข้าใจกับผม เพราะเขานึกว่าผมเป็นแกงค์ Call centre ซะงั้น
เพราะเขาให้ผมต้องกดรหัสบัตร ATM ผ่านมือถือ เพื่อเปลี่ยนแปลงวงเงิน และบอกบัญชีธนาคารเราใช่ไหม ปรากฏว่า ระบบของธนาคาร(บอกชื่อละกันคือไทยพาณิชย์)ก็เพี้ยนๆ ไงไม่รู้ คือ ไอ้ระบบคอมพิวเตอร์อัตโนมัติ มันจะพูดว่า "ให้กดรหัสบัตร ATM 4 หลัก แล้วตามด้วยเครื่องหมายสี่เหลี่ยม" ไอ้คำว่า เครื่องหมายสี่เหลี่ยมนี่แหล่ะ ที่ผมกดแล้วมันไม่ได้ แล้วระบบมันก็ตอบมาว่า "ขออภัยค่ะ ท่านทำรายการไม่ถูกต้อง" ผมก็เฮ๊ย เป็นไปได้ไง ไม่ถูกต้อง ก็รหัสบัตร ATM เราใช้กดประจำ พนักงานธนาคารก็ให้ลองกดใหม่ ผมก็กดอีกรอบ ไอ้ระบบคอมฯ มันก็พุดแบบเดิม คือให้กดรหัสบัตร ATM แล้วตามด้วยเครื่องหมายสี่เหลี่ยม (ผมก็รู้นะไอ้ปุ่มนี้ ไม่ใช่ไม่รู้จัก) ก็กดรหัสบัตร 4 ตัว แล้วตามด้วยเครื่องหมายสี่เหลี่ยม มันดันไม่ได้อีก ทีนี้พนักงาน (ผู้ชายที่รับสาย) ก็พูดไม่เพราะกับผมเลยล่ะ หาว่าผมไม่รู้เรื่อง แล้วก็บอกว่า หลอกลวงหรือเปล่านิ แล้วก็บอกว่าไม่ใช่เจ้าของบัตรหรือเปล่า ไม่ต้องโทรมาอีกนะ แล้วก็วางสายไป ผมก็ เฮ๊ยยยย
ไอ้บ้า ทำไมพูดแบบนี้ฟะ ว่าจะพูดเรื่องนี้นานแล้วล่ะ เพราะวันนั้นรู้สึกแย่ที่เขาพูดกับเราแบบนี้แล้วตัดสายไป ผมก็เลยโทรกลับไปไหม ด้วยอารมณ์ปีศาจ โทรไปกะว่าจะถามกับผู้จัดการธนาคาร แต่ก็มีพนักงานผู้หญิงคนหนึ่งรับสาย ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าเป็นแบบนี้ แบบนี้นะ รวมถึงบอกว่า พนักงานเมื่อกี้พูดไม่รู้เรื่องด้วย ทำไมผมเดือดร้อน มาทำแบบนี้ ผมก็เข้าใจนะว่ากลัวมิจฉาชีพ แต่ต้องฟังเหตุผลสิ เพราะถามรหัสบัตรประชาชน ผมก็บอกไปแล้ว เลขที่บัญชีธนาคารก็บอก คือก็เข้าใจว่ากลัวมิจฉาชีพ แต่ก็ต้องลองคุยกันดีๆ ก่อนสิ
พอพนักงานผู้หญิงคุยด้วย เธอก็เลยลองให้ผมทำแบบเดิม คือ กดรหัสบัตร ATM 4 หลัก แล้วตามเครื่องหมายสี่เหลี่ยม พอทำแล้วก็ไม่ได้อีก เธอก็ถามผมว่ากดเครื่องหมายสี่เหลี่ยมไหมคะ หรือใช้ระบบโทรศัพท์แบบไม่ใช่ปุ่มกดหรือเปล่า ผมก็บอกว่า ใช้แบบปุ่มกดและก็กดเครื่องหมายสี่เหลี่ยมอยู่นะ ทำไมไม่ได้
ปรากฏว่า พนักงานท่านนี้ก็เลยไปปรึกษาเพื่อนอีกคนบอกว่าผมทำแล้วก็ยังไม่ได้ เธอก็เลยให้ผมลองไม่กดไอ้ปุ่มสี่เหลี่ยมนี้ดู ปรากฏว่า "ทำรายการได้" ระบบบอกว่า ทำรายการถูกต้อง ก็เลยได้ข้อสรุปว่า ไอ้ระบบคอมพิวเตอร์ของธนาคารไทยพาณิชย์ นี่ เวลาให้เรากรอกตัวเลขรหัสอะไรเสร็จ ไม่ต้องไปกด # นี่ แต่ไอ้คอมฯ มันบอกให้กด พนักงานก็บอกให้กด แต่พอกด มันกลับกลายเป็นไม่ได้ หรือ เป็นทำรายการไม่ถูก
เพื่อนที่รู้จักคนหนึ่งก็เป็นปัญหาแบบผม (ตอนหลังมาคุยกัน) คือหากไปกด # แบบที่ธนาคารบอก ระบบมันดันไม่รับ (แล้วไอ้ระบบคอมฯ มันก็ยังบอกให้กดทุกครั้งนะ แต่กดแล้วไม่รับ 55) ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เขาจะปรับปรุงระบบซะทีเนี่ยย หรือ ว่าปรับปรุงไปแล้ว ผมก็ไม่รู้นะครับ ก็เอาเป็นว่าหากเจอปัญหานี้ ก็ลองไม่ต้องกดปุ่มสี่เหลี่ยมที่ว่านะครับ เผื่อมันจะ work และไม่โดนว่าเป็นมิจฉาชีพ หลอกลวง ด้วย 5555
สรุปว่าวันนั้น กว่าจะกดอีก 400 เหรียญ มารวมกับ 600 เหรียญที่กดมาก่อนหน้านี้ ผมเสียค่าธรรมเนียมไปหลายเหรียญเลยครับ T_T เซ็งมาก เพราะเอาบัตรเข้าๆ ออกๆ อยู่นั่นแหล่ะ เพราะคิดว่าธนาคารจะปรับวงเงินให้แล้ว ก็ต้องรออีก 15 นาที พอรอไปแล้ว ไปกดยังไม่ได้อีก ปรากฏว่าต้องรอถึง 30 นาที
ก็เลยเป็นที่มา ถึงอยากบอก คนที่จะไปกดเงินที่เมืองนอกเป็นเงินอะไรก็ตาม แต่ถ้าคำนวณกลับเป็นเงินไทยแล้วเกิน 20,000 บาท จะกดไม่ได้นะครับ แล้ววงเงินเราก็ต้องมีการคุยกับธนาคารไว้แล้วนะครับว่าจะเซตให้เราไว้ได้เท่าไหร่ เผื่อว่าเราอาจจะต้องการใช้เงินแบบฉุกเฉินหลายเหรียญ (คิดแล้วเกิน 20,000 บาท) ในวันนั้น
=================================================
เรื่อง ค่าอยู่กิน มันจะเสียไปกับค่าหอ เป็นส่วนใหญ่นะครับ จขกท. ต้องเลือกเองนะครับว่าจะอยู่หอแบบไหน หรือ บ้านพัก (บ้านเช่า) ยังไง คือ ถ้าอยู่แบบแชร์ก็จะถูกลงมาหน่อย คำว่าอยู่แชร์ ก็คือ ในบ้านหลังหนึ่งจะมีห้องสัก 3-4 ห้องหรืออาจมากกว่านี้ แต่เราก็จะได้นอนห้องเดี่ยวของเรา คนอื่นก็นอนห้องเขา แต่เรามาแชร์ครัว แชร์ห้องน้ำร่วมกัน ซึ่งห้องแชร์แบบนี้จะถูกกว่า ห้องที่มีห้องน้ำและครัวในตัว ถูกกว่ามากๆ เลยล่ะ
นักเรียนไทยหลายๆ คนก็อยู่แบบแชร์นะครับ เพราะประหยัดดี และก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ส่วนราคาจะถูกลงตามความเจริญรอบๆ 555 หมายความว่า ยิ่งออกนอกเมืองไปก็จะยิ่งถูกลงเหมือนบ้านเรานั่นแหล่ะครับ ถ้าในเมืองก็จะแพงกว่า
ค่าห้องเขาก็จะคิดเป็นรายสัปดาห์ (weeks) นะครับ เพราะถ้าคิดเป็นเดือนเขาก็ได้เงินน้อยกว่าไง เพราะบางเดือนนี่ก็มีแค่ 4 weeks บางเดือนก็มี 5 weeks ไงครับ
แล้วราคาต่อสัปดาห์ก็มีตั้งแต่ 200 เหรียญ/สัปดาห์ ไปจนถึง 300-380 /สัปดาห์ ไอ้ต่ำกว่า 200 เหรียญ/สัปดาห์ ก็มีนะครับ แต่จะออกไปนอกเมืองมากสักหน่อย แต่ต้องบอกว่าที่ Melbourne กับ Sydney ค่าที่พักจะแพงกว่าที่เมืองอื่นนะครับ
คุณต้องเลือกนะครับว่าจะอยู่แบบไหน ชอบแบบสะดวกในการเดินทางไหม แบบว่าพักใกล้ที่เรียนแล้วเดินมาเรียนหรือขึ้นรถรางหรือรถบัสแป๊บเดียว ก็มาถึง หรือ ถ้าสะดวกเดินทาง อยู่นอกเมืองหน่อยไม่มีปัญหา นั่งรถสัก 30 นาทีก็โอเค ก็อยู่นอกเมืองที่มันถูกๆ ก็ได้ครับ
ก็ต้องลองคำนวณว่า รายจ่ายค่าตั๋วรถมันคุ้มค่าไหม เมื่อเทียบกับไปอยู่ใกล้ที่เรียน
อย่างผมเรียน (ไม่ได้อยู่ Melbourne นะครับ) ผมก็เลือกอยู่ suburb ก็นั่งรถเข้าเมืองประมาณ 30 นาที แต่ผมก็โอเคนะ เพราะมันก็ประหยัดค่าใช้จ่าย ผมเลือกอยู่หอที่เสียค่าห้องเดือนละ 150 เหรียญ/สัปดาห์ ค่ารถบัสเข้าเมือง ก็ตกอาทิตย์ละ 15 เหรียญ ผมก็เลยเลือกอยู่แบบนี้ เพราะในเมืองที่ผมอยู่ค่าหอในเมืองก็แพงนะ ระดับ 300 เหรียญ/สัปดาห์เลยล่ะ คือแพงเท่าตัวกับที่ผมอยู่นอกเมืองไง ที่ถูกๆ ในเมืองก็มีแค่ 250-280 แต่มันก็หายากและเต็มเร็ว แล้วคิดว่าอยู่ที่นอกเมือง (ไม่ได้นอกมากเกินไป) มันก็โอเค ก็เลยอยู่แบบนี้ เสาร์ อาทิตย์ ถ้าไม่อยากไปไหนก็ไม่ต้องเสียเงินค่ารถ แต่ส่วนใหญ่ก็ไปทะเล ไปสวนสัตว์ ไปเล่นในเมืองผ่อนคลายบ้างน่ะครับ แหะๆๆ ก็ไม่ได้เปลืองค่ารถมาก
ทีนี้อยู่ Melbourne น่ะ ตั๋วรถมันจะเป็นแบบตั๋วเดียว ใช้ขึ้นรถบัส รถราง (tram) รถไฟรอบเมือง ได้น่ะครับ มันก็จะมีทั้งแบบรายวันและรายเดือน
ผมจำราคาตั๋วรายวันกับรายเดือนไม่ได้แล้ว ต้องขอโทษด้วยครับ แต่แน่นอนว่าตั๋วรายเดือนมันก็จะประหยัดกว่าอยู่แล้ว เราซื้อนี่บางวันอยากออกไปนอกเมือง หรือ จะไปเที่ยวตรงจุดไหนของเมือง ก็ใช้ตั๋วนี้ได้ เพราะมันมีอายุเป็นวันต่อการใช้ 1 ครั้ง
อย่างซื้อตั๋วรายวัน ก็ใช้ได้ทั้งวัน ดังนั้น ราคาของตั๋วจึงอาจแพงสักหน่อย แต่ก็คุ้มค่า หากเราไปนั่นไปนี่บ่อย
ทีนี้หากเราไปอยู่ใหม่ๆ ก็อย่าเพิ่งไปซื้อตั๋วรายเดือนครับ เพราะหากยังไม่แน่ใจว่าจะเดินทางไปนั่นมานี่บ่อยไหม ต้องไปอยู่นอกเมืองไกลหรือใกล้แค่ไหน หากอยู่ในเมืองแล้วไม่ค่อยได้เดินทาง ก็ควรซื้อตั๋วแบบรายวันเอาดีกว่า ซื้อตามที่อยากใช้ในแต่ละวัน แต่ถ้าคิดว่าจะอยู่นอกเมือง หรือคิดว่าต้องเดินทางไปนั่นมานี่ ขึ้นรถโดยสารบ่อยๆ ก็น่าจะซื้อแบบรายเดือนไว้ครับ
ไม่รู้ว่า จขกท. จะไปเรียนที่สถาบันไหน และสถาบันนี้อยู่ในเมืองหรือนอกเมือง ก็เลยต้องบอกกว้างๆ ไว้นะครับ ทำให้ไม่สามารถระบุค่าใช้จ่ายเรื่องค่าที่พัก และค่าเดินทาง ไว้ให้ได้นะครับ
แต่เอาเป็นว่า อยู่ไปสักพัก คุณจะชินและก็หาลู่ทางได้ครับ ว่าจะต้องทำยังไง หรือ ไปเลือกอยู่หอพัก ห้องพักที่ถูกหรือแพง แต่จะบอกว่า ห้องพักบางแห่งเขาจะมีค่ามัดจำ (bond) ไว้นะครับ (ส่วนใหญ่จะมี) ยกเว้นพวกบ้านแชร์บางแห่ง แล้วเราต้องอยู่ให้ครบตามจำนวนเดือนหรือจำนวนวันที่เขากำหนด เช่น 90 วัน 120 วัน ไม่งั้นเราก็จะไม่ได้เงินค่ามัดจำคืนครับ (หากย้ายออกไปก่อนครบเวลาที่กำหนดในสัญญา) อันนี้ก็ต้องศึกษาข้อมูลไว้นะครับ แต่พอไปอยู่เดี๋ยวก็จะเก่ง ดูออกเองครับ ว่าจะเลือกอยู่ตรงไหน และตรงไหนถูก ตรงไหนแพง ตรงไหนไม่คิดค่ามัดจำ หรือ ตรงไหนมัดจำน้อย มัดจำมาก อะไรก็ว่าไป
================================================
เรื่องอาหารการกิน ในตัวเมือง Melbourne มีอาหารให้กินเยอะมาก ร้านอาหารไทยก็มีหลายร้าน ร้านญี่ปุ่น ร้านจีนก็มี แต่การกินข้าวนอกบ้าน(นอกห้องเช่า) มันก็จะแพงนะครับ ตกจาน/ถ้วยละ 12-15 เหรียญ ถ้ากิน 3 มื้อ ใน 1 วันก็เกือบๆ 40-45 เหรียญ ต่อวัน(คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 1300-1400 บาท เลยนะครับ)
ดังนั้น คนไทยหรือแม้แต่นักเรียนเอเซียอย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอื่นๆ ที่มาอยู่ที่ออสเตรเลีย เขาก็จะใช้วิธีทำอาหารกินเองครับ ^_^
ทำไม่ยากหรอกครับ ก็หัดๆ เอา 555+ บางอย่างผมก็ไม่เคยทำเลยในชีวิตนี้ ผมก็ยังมาหัดทำครับ อย่างบางวันอยากกินผัดไทย ก็ไปซื้อชุด Kit 555+ เขาเรียกน้ำผัดไทยสำเร็จรูป (มีขายตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ) แล้วก็ไปซื้อเส้นที่ตลาดจีน ไปซื้อถั่วงอก ต้นหอม ผักอะไรที่อยากกิน ก็ซื้อที่ตลาดจีนน่ะครับ มีขายเกือบทุกอย่าง ทำผัดไทยนี่ผมทำครั้งแรกที่เมืองนอกนี่ล่ะครับ ผมก็หัดทำ ใหม่ๆ ก็ทำทีละน้อยๆ ก่อน พอทำคล่องๆ และอร่อยแล้ว ผมก็ผัดทีละเยอะๆ เลย เอาไปเผื่อคนอื่นกินด้วย หรือเก็บใส่ตู้เย็นไว้ แล้วจะเอามากินอีกทีก็ค่อยเอามาเวฟให้อุ่น บางทีผมก็ห่อไปกินตอนข้าวเที่ยง เพราะจะได้ประหยัดตังค์
อาหารพวกเมนูไข่ ก็ทำกินง่าย ไข่ดาว, ไข่ต้ม, ไข่ตุ๋น (อันนี้ก็ทำไม่ยาก จะเอาแบบเวฟเอาหรือจะใช้หม้อคั่วเอาก็ได้) แต่ผมจะชอบทำไข่เจียว ผมทอดแล้วฟูมากกกกกกก พูดแล้วอยากกินล่ะ ซี้ อิอิ ไข่เจียวทำแบบพลิกแพลงบ้างจะได้ไม่เบื่อนะครับ เช่น ไข่เจียวใส่ใบกะเพรา หอมๆ, ไข่เขียววุ้นเส้น หย่อยๆ, ไข่เจียวหมูสับ, ไข่เจียวมะเขือเทศ, ไข่เจียวหัวหอมแดงและกระเทียม, ไข่เจียวต้นหอม, ไข่เจียวผักกะหล่ำ, และอื่นๆ คือที่เมืองนอกมันหาชะอม, ยอดมะระ กับ ดอกขจร ไม่ได้น่ะครับ ไม่งั้นเอามาทอดใส่ไข่เจียวจะอร่อยมากๆ
ที่นี่ไข่ถูกนะครับ ซื้อทีละโหลก็จะถูก ไม่แพงหรอก 2-3 เหรียญ เอง ซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้
ส่วนอาหารอื่นๆ ที่ทำได้เอง ผมก็ทำต้มยำกุ้ง (อร่อยกว่ากินที่ร้านอาหารอีก 555 ยอตัวเองซะงั้นตู) เคยกินต้มยำที่ร้านอาหารไทยที่ Melbounre ร้านหนึ่ง ไม่ค่อยแซ่บเลยครับ ออกแนวหวานๆ และก็ไม่เหมือนต้มยำสักเท่าไหร่ ที่เมืองอื่นที่เคยกินก็เหมือนกัน บางร้านแปลกมากใส่ข้าวโพดอ่อน T_T ต้มยำอะไรหว่า
ดังนั้น หากเราฝึกทำอาหารกินเอง ก็จะประหยัดมากๆ เลยนะครับ
หม้อหุงข้าวนี่เอามาเลยครับ เอาใบเล็กๆ หรือกลางๆ มาก็ได้ ข้าวสารที่นี่มีขาย ซื้อถุงละ 10 เหรียญ กินคนเดียวได้ 2 อาทิตย์เลยล่ะ หรือถ้ากินกับเพื่อนก็ได้เป็นอาทิตย์ ประหยัดเลยล่ะ อย่างผมหุงหม้อหนึ่ง ก็เผื่อไว้ 2 มื้อเลย คือถ้าเหลือก็อาจเอาข้าวไปทำข้าวผัดหมูกิน
เคล็ดลับการทำข้าวผัดนะครับ ถ้าอยากให้ข้าวผัดไม่แฉะและอร่อย ควรใช้ข้าวเย็นนี่ล่ะครับ เพราะหากใช้ข้าวที่เพิ่งหุงเสร็จใหม่ๆ มันจะแฉะครับ และข้าวก็จะติดกันเป็นก้อนๆ
ควรใช้ข้าวที่หุงไว้แล้วทิ้งไว้จนเย็นสักอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงขึ้นไป อย่างบางทีผมหุงข้าวเย็นแล้วมันเหลือ ตอนเช้ามาผมก็เอามาทำข้าวผัด หรือจะทิ้งไว้ในตู้เย็นก็ได้ครับ คือหากไม่ชอบรอทิ้งไว้นานๆ ก็แบ่งข้าวไปใส่ตู้เย็นไว้ เอาข้าวจากตู้เย็นมาผัดจะทำให้ข้าวเป็นเม็ดสวยๆ และไม่แฉะไม่ติดกันด้วยครับ แต่ส่วนใหญ่ผมใช้วิธีทิ้งไว้ เพราะผมชอบหุงข้าวเหลือเยอะ
หากเราเรียนหนัก เราก็ควรทำกับข้าววันละครั้งตอนเย็นๆ ก็ได้นะครับ ทำไว้สัก 2 อย่าง (กันเบื่ออาหารซ้ำ) อย่างหนึ่งก็เอาไว้กินตอนเย็นหลังทำเสร็จใหม่ๆ แต่อีกอย่างอาจทำเผื่อไว้กินตอนเช้าหรือตอนเที่ยงของพรุ่งนี้ ทำเสร็จก็เอาไปแช่เย็นไว้ในตู้เย็น พอตอนเช้ามาเราก็เอามาอุ่นด้วยไมโครเวฟกิน ถ้าจะห่อไปตอนเที่ยงก็อุ่นแล้วใส่กล่อง เอาไปกินที่ที่เรียนก็จะได้ประหยัดสตางค์
อย่างผมตอนเช้าบางทีก็ทำอะไรไม่ทัน ต้องรีบไปเรียน ผมก็อาจกินคอร์นเฟลค หรือ ไอ้พวกทำนองโกโกครั้นซ์น่ะครับ ซื้อมาไว้เป็นกล่องๆ (ผมเรียกอาหารหมา 55 แล้วก่อนผมกินผมก็จะทำตัวเหมือนหมาน้อย แล้ว แหะๆๆๆๆ แลบลิ้น รอกินคอร์นเฟลค หย่อยๆ) มันถูกมากนะครับอยู่ที่ออสเตรเลียนี่ ไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ต ไม่แพงหรอกกล่องละ 5 เหรียญได้ กินได้หลายวัน ก็เอามาใส่นมสด (ซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็น) นมที่นี่ก็ถูกครับ 2 ลิตรนี่ก็แค่ 2-3 เหรียญเองครับ คือซื้อพวกนี้มาไว้กินเวลาฉุกเฉินก็ได้ แบบรีบๆ ก็เทๆ ใส่ถ้วยเติมนม แต่ถ้ามีเวลาจะทำอาหารเช้าเองก็ได้ครับ จะเอาขนมปังป้งใส่แฮมก็ได้ หรือทำไข่ดาว ไข่กะทะ ก็โอเคนะครับ ที่ออสเตร(คำหยาบที่ถูกนำมาใช้อย่างไร้สามัญสำนึก) นม กับอาหารทำนองคอนเฟลค มันถูกมากครับ
แต่ถ้าไม่ชอบคอนเฟลคก็อาจทำอย่างอื่นกินตอนเช้าก็ได้ครับ เช่น ทำไข่ดาว ขนมปังปิ้ง ทำขนมปังปิ้งทาแยม หรือจะทำไข่กะทะ ก็ได้ ซอสภูเขาทอง ซอสแม็กกี้ที่นี่ก็มีขายครับ ที่ตลาดจีนนี่เต็มๆ
เวลาจะซื้อของสด พวกผัก เนื้อสัตว์อะไร ก็ไปที่ตลาดสดประจำเมืองนะครับ อย่างที่ Melbourne ก็จะมีตลาดสด Queen Victoria Market (มีลักษณะเป็น Central Market) ขายผักสด ผลไม้ และเนื้อสัตว์ต่างๆ หลายอย่าง และรอบๆ ก็มีขายเสื้อผ้า ของใช้บางอย่าง (แต่ของแนวๆ ตลาดนัดบ้านเรา 55) ซื้อผักสด ผลไม้ที่ Queen Victoria Market มันจะถูกกว่าซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะครับ ยิ่งไปซื้อตอนตลาดใกล้วาย ก็จะถูกลง เพราะเขาจะลดราคาลง เพราะเขาเน้นขายของสดๆ วันต่อไปจะได้เอาของใหม่มาลง
ไปซื้อมาไว้ทำอาหาร คืออย่างผมถ้าไป Central Market ผมก็จะซื้อมาไว้เผื่อทำสัก 2-3 วัน เพราะไม่ได้อยากไปจ่ายตลาดทุกวัน เพราะเรามีเรียน มีทำการบ้านด้วยไงครับ เดี๋ยวจะเสียเวลาไปทุกๆ วัน ยกเว้น บางครั้งอยากได้อะไรเพิ่มก็แวะๆ ไปได้ ถ้าไม่เสียเวลามากนัก
แต่พวกเนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ผมจะชอบไปซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ตมากกว่าครับ เพราะมันจะสะดวกกว่า และเขาจะแพ็คใส่กล่องโฟมไว้ ราคาไม่ได้ต่างกับซื้อที่ตลาดสดมากนัก (แพงกว่านิดหน่อยคือ 1-1.5 หรียญ) แล้วผมชอบซื้อหมูสับไง เขาก็มีขายสับไว้ให้แล้ว ถ้าซื้อตลาดสดไม่ค่อยมีขาย ขี้เกียจสับเอง แต่ถ้าซื้อกุ้ง ก็จะซื้อที่ตลาดสดครับ เพราะถูกกว่าเยอะ
ดังนั้น หากยังทำอาหารไม่เป็นก็หัดทำอาหารครับ แต่ถ้าทำเป็นอยู่แล้วก็ดีเลยครับ ทำอาหารกินเองประหยัดได้มาก ตกอาทิตย์ละแค่ 50-60 เหรียญ ไม่เกินนี้ครับ
แต่ว่าบางครั้งเราก็อาจเบื่อๆ ฝีมือตัวเอง หรืออยากกินข้าวนอกบ้านบ้าง ก็กินๆ นอกบ้านบ้างก็ได้นะครับ มีร้านอาหารเยอะแยะครับ ทั้งตามห้าง หรือ เปิดเป็นร้านส่วนตัว ในตัวเมือง Melbourne มีเยอะครับ ประหยัดแต่พอดี อย่าให้ตัวเองต้องขาดสารอาหาร จนตัวฟีบนะครับ เดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่อง ขนมก็มีเยอะครับ พวกช็อกโกแลตก็อร่อย ไม่แพงมากหรอกครับ แต่ผมชอบ Tim Tam ขนมเคลือบรสช็อกโกแล็ต ของขึ้นชื่อของที่นี่ครับ อร่อยดี บางทีซูเปอร์มาร์เก็ตก็เอามาลดราคา 3 ซอง 5 เหรียญ ซื้อมาเก็บใส่ตัวเย็น กินแบบเย็นๆ แก้เครียดได้นะครับ แต่คนไหนกินมากไประวังอ้วนนา ^_^
================================================ ปล. อาจยาวไปหน่อย และหากไม่ตรงคำถามมากก็ไม่ว่ากันนะครับ ผมเล่าเผื่อคนไหนอยากไปอยู่แบบประหยัดๆ ที่ออสเตรเลียด้วยครับ
จากคุณ |
:
ภาพสะท้อนของกระจกเงา
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ส.ค. 54 03:08:16
|
|
|
|
|