|
ขอแชร์ประสบการณ์ละกันครับ
1. การพิจารณาทุนจะดูหลายๆ เรื่องครับ แต่ด่านแรกสุดที่จะพิจารณาคือ เกรดเฉลี่ย ครับ ส่วนมากคนที่ได้ทุนโดยเฉพาะทุนที่ support เยอะๆ เพราะใครๆ ก็อยากได้ เลยมีการแข่งขันสูง เกรดที่จะพิจารณาคือ 3.00 ขึ้นไปครับ แต่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับด่านนี้คือ 3.30 ขึ้นไป แต่อย่าเพิ่งท้อครับ
2. ด่านต่อไปที่จะพิจารณาคือคะแนนสอบทั้งหลายแหล่ เช่น TOEFL, IELTS, GRE, GMAT etc. ส่วนนี้หากทำคะแนนได้ดีมากๆ เน้นครับว่าดีมากๆ ง่ายๆ ก็คือเกินค่าเฉลี่ยของสถาบันเค้านั้นแหละครับ ตรงนี้ก็พอจะทดแทนเรื่องเกรดเฉลี่ยได้บ้าง
3. ประสบการณ์ทำงานเต็มเวลาอย่างน้อย 2 ปี (แต่ถ้า 3 ปีขึ้นไปยิ่งดีกว่า)ยิ่งถ้าได้ทำงานองค์กรใหญ่ๆ หรือผ่านโปรเจ็คใหญ่ๆ มาก่อนยิ่งมีภาษีดี เพราะสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าอย่างน้อยถ้าจบไปในอนาคต เราก็สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้สถาบันเค้าได้ เป็น alumni เป็น connection ของเค้าได้
4. กิจกรรมพิเศษนอกเหนือจากการทำงานและการเรียน ตรงนี้เป็นโบนัสครับ บางคนเรียนทั้งชีวิตไม่สนใจกิจกรรม บางคนพอทำงานแล้วก็คิดว่าเรื่องพวกนี้เสียเวลา ตรงนี้เป็นความแตกต่างระหว่างเราและผู้สมัครคนอื่นๆ ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง Community Service, Global Warming และจิตอาสาต่างๆ ยุคนี้เรื่องนี้ทั่วโลกให้ความสำคัญมากครับ ถ้าใครมีตรงนี้ในประวัติการทำงานจะดูดีขึ้นมากครับ ยิ่งสืบย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยเรียนยิ่งดีครับ ไม่ใช่มาเร่งหาเอาตอนใกล้จะเรียน พวกกรรมการคัดเลือกเค้าดูออกครับ
5. Study Plan และ Statement of Purpose ตรงนี้ขึ้นอยู่กับสติปัญญาและความสามารถของแต่ละบุคคลว่าจะเขียนออกมาได้ดีขนาดไหน คำว่าดีไม่ได้หมายความว่าใช้ศัพท์หรูเลิศอลังการ แต่หมายถึงเขียนแล้วเป็นเอกลักษณ์ของเรา เป็นตัวเราจริงๆ มีจุดมุ่งหมายชัดเจนและเป็นไปได้ ไม่ได้ให้ใครเขียนให้ หรือลอกใครเค้ามา แต่ให้คนที่ภาษาดีๆ ตรวจแก้ภาษาหรือให้คำแนะนำได้ เพราะเวลาสัมภาษณ์หลายคำถามก็ดึงมาจากตรงนี้ครับ
6. อันนี้ผมแนะนำให้ทำ แต่คนไทยส่วนมากไม่ค่อยสนใจ คือ Personal Portfolio ครับ คนส่วนมากนึกว่าต้องเป็นสถาปนิก วิศวกร หรือ งานทางด้านออกแบบ สื่อสารมวลชน ที่มีผลงานเป็นชิ้นๆ จึงสามารถทำได้ แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะทุกสาขาอาชีพสามารถทำได้หมด Portfolio นี้จะรวบรวมผลงานต่างๆ ที่เราทำมาทั้งหมด โปรเจ็คต่างๆ ที่เคยทำ การอบรมสัมมนาต่างๆ รางวัลที่ได้รับ กิจกรรมที่เคยทำ อะไรก็ได้ครับที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ ฯลฯ เน้นรูปครับ ไม่ต้องบรรยายมาก เพราะรูปถ่ายนี่แหล่ะเป็นหลักฐานแน่นอนกว่าตัวอักษรอีก ยืนยันว่าที่เราพูดมาเนี่ยะทำจริงๆ นะ มีจริง และ Portfolio นี้ ลึกๆ แล้วสะท้อนถึงความใส่ใจของตัวเราต่ออาชีพและสิ่งที่เราเป็นว่าเคยทำอะไรมาบ้างและจะทำอะไรต่อไปให้ดีกว่านี้หรือไม่
เวลาหนึ่งปีสำหรับการเตรียมตัวผมถือว่าไม่มากนะครับ ไหนจะต้องแบ่งเวลาจากงานมาเตรียมสอบ สอบแล้วคะแนนน่าพอใจรึเปล่า ติดตามเอกสารต่างๆ แก้งานเขียนอีกเป็นสิบรอบ เยอะครับ เหนื่อยครับ ค่าสอบก็แพง รู้เลยครับว่ามนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างเราจะดิ้นรน(ขอทุน)ไปเรียนต่อเมืองนอกแต่ละครั้งมันช่างยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน แต่เอาใจช่วยครับเพราะผมเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
จากคุณ |
:
Mitsuaki
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ส.ค. 54 20:22:32
|
|
|
|
|