|
จริงๆ แล้วระบบการสอบวัดผลความรู้ภาษาอังกฤษแบบ IELTS นั้น โดยดั้งเดิมจะใช้กันแพร่หลายเฉพาะในประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีการสอบ 4 ทักษะ คือ Listening, Reading, Writing และ Speaking โดยแต่ละทักษะจะมีคะแนนเต็ม 9.0 (ต่ำสุดคือ 0) และเมื่อได้คะแนนสอบออกมา จะมีคะแนนในแต่ละทักษะ และค่าคะแนนเฉลี่ยจากทั้ง 4 ทักษะ ที่เรียกว่า overall score (เอาคะแนนที่ได้ในแต่ละทักษะ บวกกันแล้วหาร 4)
Requirement หรือเกณฑ์มาตรฐานคะแนนขั้นต่ำที่แต่ละ U จะรับนั้นอาจแตกต่างกันไปตาม
1. ระดับปริญญาที่จะเข้าเรียน 2. สาขาวิชา 3. ตาม U นั้นๆ กำหนด (ถ้า U ดังมากๆ มักกำหนดสูง)
เช่น
ถ้าจะเข้าเรียน ป.ตรี ก็มักกำหนดที่ขั้นต่ำที่ IELTS overall score 5.5 และแต่ละทักษะต้องได้ไม่ต่ำกว่า 5.0 band (คำว่า band แปลว่าคะแนนที่ได้แต่ละทักษะ)
แต่ ป.ตรี ในบางสาขา เช่น คณะแพทยศาสตร์ พยาบาลศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์การแพทย์ (บางสาขา), คณะศึกษาศาสตร์(ครุศาสตร์), คณะวิชาทางกฏหมาย หรือสาขาวิชาที่ต้องใช้ภาษาค่อนข้างมาก อาจกำหนด IELTS ขั้นต่ำที่ 6.0
แต่บาง U ที่ดังๆ เขาก็อาจกำหนด ป.ตรี ขั้นต่ำที่ 6.0 และสาขาที่ใช้ภาษามากๆ ก็อาจเป็น 6.5 ไปเลยก็มีเช่นกัน
สำหรับระดับ Postgraduate คือ ป.โท หรือ ป.เอก ก็จะมีคะแนนสูงขึ้นกว่าระดับปริญญาตรี โดยมาตรฐานมักจะกำหนดขั้นต่ำที่ 6.0 - 6.5 แต่บางสาขาที่ต้องใช้การสื่อสารหรือภาษาค่อนข้างมาก (คล้ายๆ ข้างต้น) ก็จะกำหนดสูงที่ 7.0 ขึ้นไป
นอกจากนี้บาง U ที่มีชื่อเสียงมากๆ อาจกำหนดขั้นต่ำที่ 7.0 เกือบทุกสาขา และบางสาขาที่เน้นใช้ภาษาในการสื่อสาร (อย่างที่กล่าวในข้างต้น) ก็อาจกำหนดไว้ที่ 7.5 ไปเลยก็มี
ดังนั้น เราต้องพิจารณาแยกไปเป็นกรณีๆ ไป ครับ เพราะแต่ละสาขาเขาจะมี requirement แตกต่างกันไป และถึงแม้จะเป็นสาขาเดียวกัน แต่ชื่อเสียงของ U ดังมากๆ ก็จะเอาสูงกว่าอีก U ที่มีชื่อเสียงระดับกลางๆ ลงมา
ตัวอย่างก็เช่น อย่าง Cambridge U กับ Oxford U ก็จะเอาคะแนน IELTS มักเริ่มที่ 7.0 และบางสาขาเริ่มที่ 7.5 เป็นต้น ในขณะที่สาขาเดียวกันใน U อื่นอาจรับที่ 6.5 เท่านั้น
(อันนี้ไม่ได้พูดถึงข้อยกเว้นที่บางสาขาที่ Cambridge U ก็อนุโลมรับ 6.5 ก็มี)
ดังนั้น เราจะเลือกสอบอะไร เราก็ต้องพิจารณาจากสาขาที่เราจะเลือกเข้าเรียนด้วยครับ รวมถึงมหาวิทยาลัยที่เราตั้งเป้าที่จะเข้าเรียน เพราะเกณฑ์ขั้นต่ำคะแนนภาษาอังกฤษ ของแต่ละ U จะแตกต่างกัน
===============================================
ทีนี้ ระบบการสอบ TOEFL นั้น โดยดั้งเดิมจะใช้กับการเข้าเรียนต่อที่ USA และ Canada เป็นหลักครับ
โดยดั้งเดิม TOEFL จะเป็นระบบการสอบที่ทำข้อสอบลงบนตัวกระดาษข้อสอบ จึงเรียก TOEFL แบบนี้ว่า Paper-based TOEFL (PBT) คือสมัยก่อนจะเรียกว่า TOEFL เฉยๆ ก็หมายถึงระบบนี้เลยครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว เพราะมันมีระบบอื่นด้วย ที่จะกล่าวถึงข้างล่าง
โดยระบบการสอบ TOEFL แบบ PBT จะมีทักษะสำคัญ ดังนี้ 1. Listening 2. Structure & Written Expression เน้น Grammar กับ Error analysis 3. Reading 4. Writing หรือ Test of Written English (TWE) ซึ่งเป็นการเขียน essay ตามโจทย์ที่กำหนดนั่นเอง
ระบบการสอบ PBT จะมีคะแนนเต็มคือ 677 คะแนน
และสมัยก่อนๆ U ต่างๆ ใน USA และ Canada มักกำหนดคะแนนสอบ PBT ที่ขั้นต่ำประมาณ 550 คะแนน แต่บาง U ที่ดังๆ เขาก็อาจจะกำหนดไว้ที่ 580 หรืออย่าง U ที่ดังระดับ TOP10 ของโลก เช่น Harvard U และ MIT ก็จะไปที่ 600 เลยครับ
อย่างไรก็ดี คะแนนในบางสาขาก็อาจยืดหยุ่นอย่างที่กล่าวในข้างต้น เพราะแต่ละสาขาเขาจะกำหนด Requirement ต่างกันครับ
================================================
ภายหลังระบบการสอบ TOEFL มีการเปลี่ยนแปลง เป็นแบบ Computer-based TOEFL หรือเรียกย่อๆ ว่า CBT ครับ ซึ่งระบบนี้จะเน้นการนำเอาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการทำข้อสอบ นั่นคือ ผู้สอบไม่ต้องทำข้อสอบลงไปในตัวกระดาษ (ไม่ต้องไปฝนคำตอบและเขียนด้วยดินสอแล้ว) แค่คลิกคำตอบที่ถูกต้องลงคอมพิวเตอร์ นั่นเอง
โดยระบบ CBT นั้นจะยังคงลักษณะข้อสอบคล้ายๆ กับระบบ PBT คือมี Listening, Structure & Writing (คะแนนส่วนนี้จะรวมกับการเขียน essay ด้วยนะครับ) และ Reading
โดยลักษณะข้อสอบไม่ได้ต่างกับ PBT มาก เพียงแต่ข้อสอบจะถูกสุ่มมาโดยคอมพิวเตอร์ และมันจะยากขึ้นเรื่อยๆ ตามความสามารถของเรา หากเราตอบถูก มันก็จะยากขึ้น คล้ายๆ เล่นเกมเศรษฐี) แต่หากเราตอบผิด คอมฯก็จะเอาข้อง่ายกว่ามาให้ แต่การตอบผิดบ่อยๆ ก็จะมีผลต่อคะแนน และหากเราตอบข้อยากๆ ได้ก็จะได้คะแนนดีกว่าครับ
โดยคะแนนเต็มของ CBT จะอยู่ที่ 300 คะแนน ครับ และมหาวิทยาลัยใน USA และ Canada ส่วนใหญ่ก็จะกำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 213 คะแนน (เทียบเท่า PBT 550 ครับ) แล้วบาง U หรือบางสาขาวิชาก็อาจกำหนดขั้นต่ำที่สูงกว่านี้ เช่น 237 คะแนน (เทียบเท่า PBT 580 คะแนน) หรืออาจสูงถึง 250 คะแนน นั่นคือเทียบเท่า PBT 600 คะแนน เป็นต้น
จริงๆ ระบบนี้ผมว่าสนุกนะ ในการทำข้อสอบ และก็ไม่ได้ยากหรือง่ายเกินไป คืออาจยากกว่า PBT สักหน่อย แต่จะไม่ยากเท่าระบบ IBT (ที่กำลังกล่าวถึง)
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ระบบนี้ ไม่มีสอบแล้วครับ ไม่ว่าในประเทศไทยหรือประเทศใดๆ
==========================================
สำหรับระบบสอบ TOEFL แบบปัจจุบัน ที่นำมาใช้แทนระบบเดิมอย่าแพร่หลาย คือระบบสอบแบบที่เรียกว่า Internet-based TOEFL เรียกย่อๆ ว่า IBT ครับ
ระบบนี้ IBT จะดูยากขึ้นสักหน่อย (สำหรับมุมมองผมนะ บางคนอาจไม่ยากก็ได้) ตรงที่จะเพิ่มทักษะการพูด (Speaking) เข้ามา และข้อสอบ IBT จะเน้นการบูรณาการทักษะต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะใน Part Speaking และ Writing
การสอบจะมี 4 Part เริ่มตั้งแต่ 1. Reading 2. Listening 3. Speaking 4. Writing
โดยแต่ละ Part มีคะแนนเต็ม 30 คะแนน ดังนั้น คะแนนเต็มก็คือ 120 คะแนน ครับ
Part Reading ก็จะยังคล้ายๆ กับระบบเดิมนะครับ โดยคอมพิวเตอร์อาจสุ่มเรื่องมาให้เราทำ 3-5 เรื่อง
ปกติถ้าได้ Reading 3 เรื่อง เราจะไปได้ Listening 9 เรื่อง, แต่ถ้าได้ Reading 5 เรื่องจะได้ทำ Listening 6 เรื่องครับ โดยปกติจะเป็นประมาณนี้ ยกเว้นมีการเปลี่ยนแปลง แต่เราจะไม่รู้นะครับว่าเราจะได้ Reading กี่เรื่อง เพราะคอมฯ มันจะสุ่มให้เราครับ
การอ่านก็ต้องเน้นอ่านให้เร็วและจับใจความให้ได้ และมักมีการถาม vocab ด้วยนะครับ ซึ่งตรงนี้ IELTS จะไม่มีครับ จริงๆ
สไตล์ข้อสอบ Reading ของ TOEFL IBT กับ IELST นั้นอาจต่างกันนะครับ แต่สิ่งที่ผู้สอบควรฝึกและจะทำให้เราทำข้อสอบได้ดี คือ ต้องอ่านให้เร็วเหมือนๆกันครับ เพราะมัน Passage มันเยอะหรือยาวมากครับ
แต่ของ IELTS นั้นจะตายตัวเลยครับ มีแค่ 3 เรื่อง จะสอบกี่รอบ กี่ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันก็ยังคงมี 3 เรื่อง (จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ในอนาคต) แต่ 3 เรื่องของคุณเธอก็ไม่ใช่หมูๆ นะครับ เพราะยาวมาก แต่ส่วนใหญ่เรื่องแรก กับ เรื่องที่ 2 จะไม่ค่อยยาก และคำถามก็จะค่อนข้างตรงๆ และหาคำตอบได้ไม่ยาก (ยกเว้นอ่านไม่ทันเวลา) แต่เรื่องที่ 3 นี่จะยากจริงๆ
คำถามของ IELTS มีหลากหลายมากครับ มีตั้งแต่หาคำมาเติมลง (เขาจะกำหนดจำนวนคำให้เติมนะครับ เช่น - เติมไม่เกิน 2 คำ ไม่เกิน 3 คำก็ว่ากันไป - มีการถามว่าจริงหรือเท็จ - มี paraphrase ให้เราไปจับคู่ หรือ หา topic sentence - มี choice ให้เลือกสิ่งที่ตรงกับที่เขาถาม เป็นต้น
แต่ของ IBT ก็จะมีทั้ง vocab, reference, comprehensive idea, paraphrase ก็มีครับ คือต้องไปดูแนวข้อสอบนะครับ เราถึงจะเห็นภาพนะครับ
สไตล์ข้อสอบของ IELTS มันจะไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จะคล้ายๆเดิม เช่นเดียวกันสไตล์ของ TOEFL เขาก็จะเป็นเอกลักษณ์ของเขา ก็จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก ดังนั้น การเอาแนวข้อสอบเดิมๆ มาดูก็จะเป็นไอเดียให้เราในการทำข้อสอบได้ดีขึ้นครับ
Part Listening ของ IBT ก็จะมีตั้งแต่ 6-9 เรื่อง อย่างที่บอกข้างต้นนะครับ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะได้ Reading มากี่เรื่อง (คอมฯสุ่มให้)
โดยใน Listening จะให้เราฟัง Lecture ค่อนข้างเยอะ และมี Conversation ทั่วไปด้วยครับ สมมติได้ Listening 9 เรื่อง นี่จะได้ฟัง Lecture สัก 6 เรื่องได้ ที่เหลือค่อยเป็น Conversation สไตล์อเมริกันครับ (อาจมีสำนวนอเมริกันบ้าง แต่ไม่มากครับ ไปฟังข้อสอบ TOEFL IBT บ่อยๆ จะรู้แนวครับ)
Part Speaking ของ IBT เอาไว้ฆ่านักเรียนไทยเลยครับ T_T เพราะว่าเราก็รู้ๆ กันเนอะ ว่าเราไม่ค่อยได้พูดภาษาอังกฤษกันสักเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่แค่พูดได้ทั่วๆ ไปน่ะสิครับ เพราะเราต้องเจอกับการวัดการพูด 2 แบบ คือ
1. Independent speaking task (2 เรื่อง) 2. Integrated speaking task (4 เรื่อง)
โดยแบบ Independent speaking นี่ก็จะมีหัวข้อมาให้เราพูด ก็มักเป็นแนวสนทนาในชีวิตประจำวันนะครับ
ส่วน Integrated speaking task นี่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า integrated (บูรณาการ) ก็คือเขาจะมีเรื่องมาให้เราฟัง และอ่าน และค่อยพูดสรุปออกไปครับ คือถ้าอ่านไม่เข้าใจและฟังไม่รู้เรื่องก็ discuss แสดงความคิดเห็นและสรุปออกไปไม่ได้นะ มันยากตรงนี้แหล่ะ
ส่วน IELTS เขาจะสอบ speaking เป็น part สุดท้ายครับ และสอบกับกรรมการสอบที่เป็น native English speaker แล้วเขาจะอัดเทปเราไว้ตอนเราสนทนาครับ คือก็จะแตกต่างจากการสอบแบบ IBT ตรงที่คุยกับคนจริงๆ นี่ล่ะครับ แต่บางคนก็ตื่นเต้นนะครับ เจอคนคุยกับเรา ก็ประหม่า บางคนก็เลยชอบ IBT เพราะอัดใส่เทป (สอบกับคอมฯ) แต่บางคนก็รู้สึกว่าคุยกับคนเป็นๆ เป็นธรรมชาติกว่าน่ะครับ ดังนั้น แล้วแต่คนนะครับ บางคนเคยตื่นเต้น แต่หากสอบบ่อยๆ จนชินก็จะไม่ตื่นเต้นแล้ว
Part Writing ของ IBT จะมี 2 task (2 เรื่องให้ทำ) ครับ
คือ Independent Writing task กับ Integrated Writing task
เราจะได้ทำส่วนที่เป็น Integrated Writing ก่อนครับ โดยส่วนนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องบูรณาการทักษะ ดังนั้น เราจะได้อ่าน Passage ก่อน 1 เรื่อง แล้วเราจะได้ฟัง lecture ที่ related เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านนะครับ แต่จะมี point ที่ต่างและ/เหมือนกัน แล้วเราก็จะต้องมาเขียนข้อแตกต่างหรือข้อคิดเห็นที่โจทย์เขาต้องการครับ ดังนั้น หากฟังไม่รู้เรื่องหรืออ่านไม่เข้าใจ ก็จะเขียนไม่ได้นะครับ
ส่วน Independent writing ก็จะคล้ายๆ กับ Essay แบบเดิม (คล้ายกับ Writing task 2 ของ IELTS) คือเขียนตามหัวข้อที่เขากำหนดมาให้
================================================= การเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในอเมริกา ก็จะรับคะแนน IBT ขั้นต่ำตั้งแต่ 79 คะแนน (เทียบเท่า PBT 500 คะแนน) ไปจนถึง 100 คะแนนขึ้นไป บางสาขาและบาง U อาจใช้ตั้งแต่ 105-110 คะแนน (เต็ม 120 คะแนน)
=================================================
ปัจจุบัน ระบบ TOEFL และ IELTS เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ไม่ค่อยเหมือนอดีตที่แบ่งขั้วชัดเจนว่า จะไปอเมริกาต้องสอบ TOEFL เท่านั้น จะไปอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ต้องสอบ ILETS เท่านั้น เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเป็นแบบนั้นเสียแล้วครับ เพราะมหาวิทยาลัยในอเมริกาส่วนใหญ่ ขนาด U ดังๆ อย่าง Harvard, MIT, CalTECH, Princeton, Cornell, และอื่นๆ ก็ให้เครดิตและยอมรับผลการสอบ IELTS และนำมาใช้เป็น requirement ที่เป็นอีกทางเลือก
ในทำนองเดียวกันที่อังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เขาก็รับคะแนน TOEFL เหมือนกันครับ และรับมานานแล้วด้วย เพียงแต่ว่าหลายๆ คนไม่ค่อยเลือกสอบสักเท่าไหร่
นั่นอาจเป็นเพราะ เขากำหนดคะแนน TOEFL ไว้สูงกว่าที่อเมริกากำหนดไว้สักหน่อย อืม จะพูดยังไงดี ประมาณว่า โดยปกติมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งในอเมริกา (ยกเว้น U ดังๆ หน่อย) จะเอา PBT เพียง 550 คะแนน (หรือ IBT ที่ 79/80 คะแนน) แต่ทางฝั่งประเทศอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เขาจะเอา PBT 580 คะแนน (หรือ IBT 92 คะแนน) เป็นขั้นต่ำเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการจะสอบ TOEFL ให้ให้เทียบเท่า 580 คะแนน หรือ IBT 92 คะแนนขึ้นไป มันก็ค่อนข้างยากอยู่นะครับ แต่ก็อย่างที่หลายๆ คนบอก มันก็ขึ้นอยู่กับความถนัดของบุคคลด้วยครับ คือ บางคนเคยสอบ IELTS ได้ 6.5 แต่ไปสอบ IBT อาจทำได้ไม่ดีก็มี
โดยปกติ หาก U ในอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ กำหนดคะแนนขั้นต่ำ IELTS ไว้ที่ 6.5 หากเราจะใช้คะแนน TOEFL แทน ก็ต้องได้คะแนน TOEFL ขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 580 (PBT) และได้ TWE ไม่ต่ำกว่า 4.5 คะแนน (จากเต็ม 6.0)
หรือได้ IBT ไม่ต่ำกว่า 92 คะแนน และได้คะแนนแต่ละทักษะตามที่เขากำหนด เช่นได้ Writing ไม่ต่ำกว่า 22 คะแนน และทักษะอื่นๆ ไม่ต่ำกว่า 20 คะแนน เป็นต้น
ดังนั้น เราต้องไปชั่งใจเองว่า เราชอบแนวข้อสอบแบบ TOEFL หรือ IELTS
ลองไปหาดูข้อสอบเก่าๆ ดู และหัดทำดูครับ ว่าเราชอบสไตล์แบบไหน
หากอยากสอบ PBT ยังมีการสอบในประเทศไทยอยู่บ้างครับ ปีละ 3-4 ครั้ง จะมีศูนย์สอบที่เชียงใหม่ พิษณุโลก และนครศรีธรรมราช แต่เข้าใจว่าตอนนี้อาจเหลือแค่ที่เชียงใหม่ (ศูนย์สอบ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่) แต่ที่นั่งจะเต็มเร็วมากๆ นะครับ บางทีต้องจอง (และจ่ายเงิน) ไว้ล่วงหน้าเกือบปีเลยครับ เพราะพอมีที่นั่งเปิดทีไร คนแห่ไปจองเต็มเลยครับ เพราะถ้าพูดกันตรงๆ หลายๆ คนจะชอบการสอบแบบนี้มากกว่า และถนัดมากกว่า (เพราะไม่มี integrated task ที่ต้องฟัง อ่าน พูดรวมกัน)
ส่วน IBT นั้นมีสอบเดือนละหลายครั้งครับ มีศูนย์สอบหลายแห่ง กรุงเทพก็หลายที่
ส่วน IELTS ก็มี 2 หน่วยงานจัดสอบคือ IDP กับ British Council และศูนย์สอบหลักๆ ก็จะอยู่ในกรุงเทพ ส่วนตามต่างจังหวัดก็มีครับ ที่ขอนแก่น สงขลา (หาดใหญ่) และเชียงใหม่ ครับ แต่ต่างจังหวัดจะเปิดสอบทุก 2-3 เดือนมั้งครับ ผมไม่จำไม่ได้ แต่กรุงเทพจะเปิดสอบทุกเดือน และเดือนละ 4 ครั้งเป็นอย่างน้อย
ดังนั้น ผมว่าลองเลือกศึกษาลักษณะข้อสอบของ IELTS และ TOEFL IBT (หรือ PBT) ไว้ก่อน แล้วค่อยตัดสินใจครับ คือ เลือกเอาอันใดอันหนึ่งไปเลย แล้วก็ลุยให้เต็มที่
เพราะปัจจุบันสามารถใช้คะแนนสอบทั้ง 2 อย่างแทนกันได้แล้ว แต่อย่างไรก็ดี ก็อย่าลืมเช็คว่า บาง U ในอเมริกาเขารับ IELTS แล้วหรือยัง (แต่ส่วนใหญ่ก็รับแล้วนะครับ ขนาด U ใหญ่ๆ ดังๆ ทั้งหลายเขาก็รับ IELTS แล้วครับ) แต่กันเหนียวไว้ก่อน ต้องหาข้อมูลเผื่อด้วย เดี๋ยวบาง U ที่คุณสนใจ ไม่รับ IELTS จะทำให้เตรียมตัวผิด
ส่วนที่ญี่ปุ่นบาง U เช่น U of Tokyo (ผมเคยสมัครเรียนที่นี่) ส่วนใหญ่เขารับ TOEFL ครับ อย่างสาขาที่ผมสมัครเขาไม่เอา IELTS เลย ดังนั้น เราต้องไปสอบ TOEFL หากจะเรียนที่นี่
ส่วนที่สิงคโปร์ ก็รับทั้ง 2 อย่างครับ ทั้ง TOEFL และ IELTS แต่อย่าง NUS เน้นรับ TOEFL เป็นหลักและก็ต้องสอบ GRE เพื่อนำมายื่น admission เหมือนกับ U ที่อเมริกาด้วยครับ
เพราะฉะนั้น ต้องอย่าลืมเรื่อง GRE ด้วยนะครับ หากจะไปเรียนที่อเมริกา
สรุปสั้นๆ คือ
1. ศึกษาแนวข้อสอบของ IELTS และ TOEFL ว่าคุณจะถนัดหรือชอบแบบไหน ลองหัดทำข้อสอบดูครับ
2. อ่าน requirement ของแต่ละ U ที่เราสนใจจะไปเรียนว่าเขากำหนดคะแนน TOEFL หรือ IELTS ไว้เท่าไหร่ครับ บาง U อาจต้องการ GRE (โดยเฉพาะฝั่งอเมริกา) และบางสาขาก็ต้องการ GMAT ด้วย หากเราเข้าใจ requirement แล้วเราจะเตรียมตัวได้ถูกครับ
ขอให้โชคดีนะครับ
จากคุณ |
:
ภาพสะท้อนของกระจกเงา
|
เขียนเมื่อ |
:
10 ส.ค. 54 19:16:33
|
|
|
|
|