ความคิดเห็นที่ 1 มีส่วนจริงอยู่เยอะค่ะ ส่วนคนจนไม่มีประกันรัฐจะจ่ายค่าประกันให้ จะไปหาหมอไม่สบายเดินเข้าไปเฉยๆไม่ได้เหมือนเมืองไทย ต้องโทรไปนัดหมอก่อนค่ะ ถ้าจะเดินเข้าห้องฉุกเฉินเสียอย่างต่ำ 200ดอล แพงมาก ยกตัวอย่างเรื่องจริงว่า มีเพื่อนเราคนนึงคนอเมริกันนี่แหละ ทำงานโดนเครื่องหั่นเนื้อตัดปลายนิ้วขาด ต้องผ่าตัดสามครั้งเพราะแผลอักเสบบ้างอะไรบ้าง ไม่มีประกันสุขภาพ ส่วนใหญ่ที่นี่หาหมอก่อนแล้วค่อยส่งบิลมาให้ทีหลัง เจอบิลไปหกหมื่นดอล เค้าฟ้องล้มละลายค่ะ ไม่มีเงินจ่าย เครดิตเสียหมดต้องเริ่มต้นใหม่หมดเลย บริษัทประกันอยากได้เงินเราทุกเดือนๆ แต่พอถึงเวลาที่เค้าต้องจ่ายกลับไม่อยากจะยอมควัก ส่วนนึงที่ทำให้ค่ารักษาพยายาลแพงเพราะการฟ้องร้องกันเยอะมาก หมอต้องมีประกันไม่งั้นโดนฟ้องทีหมดตัว แล้วค่าประกันของหมอนั้นก็แพงมากๆเช่นกันค่ะ เราว่าคนโลภมากเยอะ อะไรๆก็ฟ้อง คิดถึงเมืองไทยไม่สบายก็แค่ไปหาหมอไม่ต้องกลัวว่าค่ารักษาพยาบาลจะแพงซะต้องขายบ้าน อยู่นี่ไม่สบายทีเศร้าเลย จากคุณ : OtteR เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:38:45

ความคิดเห็นที่ 2 เมืองไทย ต้องขายบ้าน ก็มีเหมือนกัน ถ้าไปเจอยาพวกคืโมรักษามะเร็ง หรือ ล้างไต ที่บัตรทอง ๓๐ บาท ไม่คุ้มครอง จากคุณ : ธนิตา เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 17:06:03

ความคิดเห็นที่ 3 ในหนังเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องจริงครับ เพียงแต่คนสร้างเอาเรื่องที่ตัวเองเลือกๆมา มาใส่เพื่อสนับสนุนความเห็นของตัวเอง แต่จะว่าไปแล้วค่ารักษาพยาบาลที่นี่ก็แพงจริงๆ ถ้ามีประกันสุขภาพ (จากที่ทำงาน หรือ ซื้อเอง) ก็ดีไป คนที่ไม่มีงานทำ ไม่มีสวัสดิการณ์ ไม่มีประกัน ก็ต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าคนเยอะขนาดไหน อีกอย่างคนอเมริกันหาหมอเยอะมาก นิดหน่อยก็หาหมอ ผมเองมีประกันจากที่ทำงาน ซึ่งฟรี (เลือกแบบไม่ต้องเสียเงินเลย แต่ต้องเลือกหมอใน list ของเค้าเท่านั้น) ปีที่แล้วต้องนอนโรงพยาบาล ผ่าตัด 2 ครั้ง ในอาทิตย์เดียว อยู่โรงพยาบาล 16 วัน  รพบ ส่ง statement มาให้ว่า ค่าหมอเท่านี้ ค่าห้องเท่านี้ ค่ายา ค่านู่น นี่ รวมแล้ว 135,000 เหรียญ แต่ผมจ่ายแค่ 100 เหรียญ ที่เหลือเค้าไปเก็บกับบริษัทประกัน ถ้าคนไม่มีประกันก็ต้องเป็นหนี้ระยะยาว หรือบางคนก็เบี้ยว หรือไม่ก็ แจ้งล้มละลาย (แจ้งเอง แต่พิจารณาโดยศาล ไม่ได้ถูกฟ้อง) เพื่อปลดหนี้ทั้งหมดที่ตัวเองมี แค่เครดิตเสียอย่างเดียว แต่ไม่ต้องจ่ายเงินใช้หนี้อะไรเลย คนทำกันเยอะ แต่ส่วนมากทำเพราะจำเป็น คิดแล้วคิดอีก บอกก่อนว่าคนอเมริกันส่วนมากมีความรับผิดชอบสูง (ความเห็นส่วนตัว) ที่นี้ ค่ารักษาที่ถูกเบี้ยวไป ใครจะรับผิดชอบล่ะ เพราะงั้นค่ารักษาถึงได้แพง เพราะส่วนที่เก็บไม่ได้ ก็จะถูกถัวเฉลี่ยไปให้กับคนที่จ่ายได้ ก็คือบริษัทประกันนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ค่าประกันก็แพง ค่ารักษาก็แพง เป็นลูกโซ่ไป ส่วนที่ว่าโรงพยาบาลโหด ผมว่าเมืองไทยโหดกว่า ถ้าไม่มีเงินจ่าย ไม่ให้ออก ที่อเมริกา รักษาก่อน หายแล้ว ถึงส่งบิลมาให้ จ่ายหรือไม่จ่ายก็อีกเรื่องนึง ตั้งแต่อยู่อเมริกามาจะสามสิบปี ไม่เคยได้ยินว่ามีคนไข้ถูกเอาไปทิ้งเพราะไม่มีเงิน หรือไม่รับรักษาเพราะไม่มีเงิน ที่นี่ชีวิตคนมีค่ามาก ช่วยไว้ก่อน เรื่องเงินไว้ทีหลัง ให้แผนกเก็บเงินตามเก็บเอาเอง แต่เค้าก็มีถามก่อนเลยว่า มีประกันมั้ย ถ้าไม่มีแล้วใครเป็นคนรับผิดชอบค่ารักษา ถ้ามีบัตรเครดิตก็เอาบัตรมาเลย อย่างกรณีหลานผมมาเรียนต่อ ก็ไม่มีประกันอะไร นอกจากเรื่องเล็กๆน้อยๆผ่านทางมหาลัย เค้าไปเล่นสกี แล้วล้ม แขนหักสามที่ ต้องผ่าตัด ดามเหล็ก เค้าก็เอาบัตรเครดิตไว้ แต่เป็นบัตรที่วงเงินน้อยมาก นอนโรงพยาบาลสามวัน บิลมา 30,000 กว่าเหรียญ ก็ประมาณล้านบาท จ่ายในบัตรไปตามวงเงินที่มี ไม่กี่หมื่น ที่เหลือก็ผ่อนเอา แต่คิดว่าพอเรียนจบ กลับไทย เค้าคงหยุดผ่อน ถึงเครดิตเสียก็ไม่เป็นไร เพราะเค้าไม่ได้คิดจะอยู่อเมริกาหลังเรียนจบ (อย่าเอะอะไป อิอิ) เขียนมาซะยืดยาว หวังว่าคงได้รู้อะไรเพิ่มบ้าง หนังสารคดี บางครั้งก็เชื่อไม่ได้หมด มันขึ้นอยู่กับว่าคนสร้างอยากให้เราเห็นอะไรบ้าง จากคุณ : LeePablo773 เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 17:21:47

ความคิดเห็นที่ 4 แต่เราเชื่อเกือบหมดนะที่เล่าๆมา นอกจากเรื่องที่ทิ้งคนไข้ อันนี้ไม่เคยได้ยิน แต่บ้านเรา เสียค่าประกันเดือนนึงเกือบพันเหรียญ นี่ขนาดบริษัทจ่ายให้ครึ่งนึงแล้วนะ แถมบ้านเราก็ยังสุขภาพดีกันทุกคน ลูกสองคนอย่างมากก็เป็นหวัด นานๆฉีดวัคซีน ส่วนเรากับสามีนี่แทบไม่เคยป่่วยถึงขั้นต้องไปหาหมอเลย คนอเมริกันก็บ่นกันเยอะมากกกกกก แต่คนจนหรือคนอยู่ผิดกฎหมายก็รักษาฟรีนะ นี่ก็คงเป็นเหตุนึงที่คนเสียภาษีก็ต้องรับกรรมจ่ายค่ารักษาแพงๆกันไป พี่ที่เป็นพยาบาลแกเหมือนไม่ชอบคนที่ไม่ยอมซื้อประกันมาก(คนไทยหลายๆคนมีตังซื้อได้นะ แต่ไม่ซื้อ เพราะคิดว่าตัวเองหนีได้) เพราะแกบอกพอพวกนี้ป่วย ค่ารักษาพยาบาลไม่จ่าย โรงพยาบาลก็ต้องคิดคนที่ยอมจ่ายเพิ่มมาโปะพวกนี้แหล่ะ ข้อดีอย่างคือ รักษาก่อนจ่ายทีหลัง ไม่ปฎิเสธคนไข้เหมือนโรงพยาบาลเอกชนของไทย จากคุณ : คนไทยต่างแดน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 20:49:38 A:74.110.139.162 X: TicketID:306602

ความคิดเห็นที่ 5 อาชีพเขาทำหนังขาย จะต้องทำให้เว่อเกินความจริงนะ คนจนไม่ว่าประเทศไหนๆก็ลำบากกว่าคนรวย คนรวยอยู่เมืองไทยเข้าโรงพยาบาลเอกชน ได้รับบริการดีสดวกสบายมาก คนรวยอเมริกาเข้าโรงพยาบาลเอากชนก็สดวกสบายเหมือนกันแต่แพงมากๆ คนระดับปานกลางต้องซื้อประกันสุขภาพเพื่อจะได้ ลดความเสี่ยงเรื่องการเงินเท่านั้นเอง เพราะค่ารักษาพยาบาลแพงถึงต้องมีอินชัวรัน อยู่เมืองไทยเป็นแค่เบาหวานต้องล้างไตทุกๆ๓วัน จนมีแค่บัตร๓๐บาท ตายครับ คล้ายๆกับซื้อประกันชีวิต เพื่อลดความเสี่ยงด้านการเงินถ้าคนตายเป็นคนทำงานเลี้ยงครอบครัว คนมีครอบครัวมีลูกหลายคนควรจะซื้อ ถ้าคนแก่อายุ๘๐แล้วไม่รู้จะซื้อไปทำอะไร จากคุณ : joe (aircraftdesigner) เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:07:50

ความคิดเห็นที่ 6 ที่อเมริกาไม่ว่าจะจนหรือรวยก็ต้องมีประกันกันทั้งนั้นแหล่ะค่ะ อยู่ที่ว่าจะครอบคลุมการรักษาขนาดไหน หรือถ้าจนจริงๆถึงขนาดไม่มีเงินซื้อประกันนั่นก็อีกเรื่องนึง แต่ถ้าจะให้รวยถึงขั้นไม่ต้องซื้อประกันนี่ คงต้องขั้นมหาเศรษฐี เพราะเคยอ่านเเมกกาซีนที่นี่ ขนาดคนที่รายได้ปีละแสนกว่าเหรียญ พอแก่เข้าป่วยทำงานไม่ได้ ประกันจ่ายไม่หมด ยังต้องขายสมบัติ มาอยู่บ้านแบบที่คล้ายๆตู้คอนเทรลเลอร์ แต่อย่าลืมว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ รายได้ต่อปีไม่ถึงแสนนะคะ โรงพยาบาลที่นี่ส่วนใหญ่เป็นของเอกชน หรือบางที่มีรัฐบาลเป็นหุ้นส่วน แต่ค่ารักษาก็ใช่ว่าจะถูกกว่าเหมือนบ้านเรานะคะ การทำประกันสุขภาพที่นี่ก็เป็นเรื่องจำเป็น ไม่ได้เหมือนเมืองไทยที่คนมีรายได้ดีหน่อยจะซื้อประกัน เผื่อเจ็บป่วยได้เงินชดเชยด้วย ที่นี่จ่ายแล้วไม่ป่วยคุณก็ไม่มีสิทธิ์ได้อะไรคืน แล้วก็จ่ายเฉพาะค่ารักษาพยาบาลเท่านั้นด้วย ถ้าจะเอาแบบมีเงินชดเชยก็ต้องจ่ายเพิ่ม แพงค่ะ เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมรัฐบาลประเทศนี้ไม่ดูแลเรื่องนี้ก่อนเป็นอันดับแรกๆ ตอนนี้มันแก้ยากแล้ว เพราะบริษัทประกันมันคุมเรื่องนี้ไปแล้ว คิดว่านะ แล้วรัฐบาลก็ใช้เงินจำนวนมหาศาลในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลของคนแก่ที่เกษียร แทนที่จะเอาเงินงบประมาณมาตั้งโรงพยาบาลรัฐรักษาคนเหล่านี้ เราว่ามันเป็นเรื่องของผลประโยชน์ไปแล้วล่ะค่ะ จากคุณ : คนไทยต่างแดน เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:26:49 A:74.110.139.162 X: TicketID:306602

ความคิดเห็นที่ 7 - ถ้าไม่มีเงิน โรงพยาบาลไม่รับรักษา เอาตัวคนไข้ไปทิ้งนอกโรงพยาบาล *อันนี้อาจจะยังไม่เคยได้ยินนะคะ ข้ออื่นๆเชื่อเกือบหมด เราไม่มีประกัน คออักเสบ รอหมอ 3 ชม เต็มๆ แทบสลบเลย เพราะมันเจ็บคอมากดีที่ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย ได้พบพยาบาล 5 นาที เสียไป 150 ดอลล์ ได้ใบสั่งยา มา 1 ชนิดแค่นั้นจริงๆ เข้า รพ. เขาคิดคนไม่มีประกัน ครั้งละ สามถึงสี่ร้อยดอลล์ แทบจนไปเลยทีเดียว จะไม่พยายามป่วยและซื้อประกันหลังจากนั้นมาเลยค่ะ คิดถึงไทยมากนะ ป่วยก็ไปหาหมอ ที่นี่โทรนัดก่อน อยู่ที่นี่ไม่กล้าป่วย ชนชั้นกลางลำบากโครตเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 11 ก.ย. 54 21:49:11 จากคุณ : MajestyLove เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 21:47:54

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าเป็นคนไข้ฉุกเฉิน เขามีกม.กำหนดไว้ว่าต้องรักษาก่อน ให้พ้นขีดอันตราย โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพ และความสามารถในการจ่ายค่ารักษาของคนไข้ ถ้ารพ. ไม่ทำตามนี้ คนไข้สามารถฟ้องได้ และผลเสียจะเกิดกับ รพ. เคยเห็นคนไข้ 2-3 คน ที่อยู่อย่างผิด กม. มีปัญหา เรื่องไตวาย จึงไม่สามารถไปรับการล้างไตที่คลินิค ต่าง ๆ ได้ ต้องเข้าไปล้างไตที่ รพ. ตลอดไป โดยไม่ต้องจ่ายอะไรเลย เราดู ๆ พวกนี้ ก็น่าจะมีเงิน แต่ ไม่อยากจะจ่าย และ รพ.เก็บเงินไม่ได้ ผลก็ไปตกอยู่กับพวกมีประกัน และที่จ่ายได้ จะตั้งราคาไว้สูง ๆ จะได้ไปถัวกับที่เก็บไม่ได้ บางครั้งถึงมีประกัน ก็ไม่ช่วยอะไรมาก เงื่อนไขการประกันมีปลีกย่อยมากมาย ต้องทำความเข้าใจให้ดี คนไม่มีประกันบางที่จ่ายน้อยกว่าก็มี ถ้ารู้ว่าจะทำอย่างไร หรือ ไปที่ไหน ทางที่ดีอย่านอน รพ โดยไม่จำเป็น หรือ อยู่น้อยที่สุด หมูในอวย เขาจะชาร์ตอย่างไร คุมไม่ได้ และอาจได้โรคหมอทำ รพ.แถม อีกด้วย   จากคุณ : กนกณัฐ เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:39:39

ความคิดเห็นที่ 9 เฮ้ออออ ตกลงว่าสารคดี Sicko ส่วนใหญ่เป็นเรื่องจริงเหรอ ไม่น่าเชื่อ เพราะผมนึกว่า ประเทศใหญ่ๆ อย่างอเมริกาน่าจะมีระบบรักษาโรคที่ดีมากๆ เรื่องที่ว่ามีการทิ้งคนไข้ (ในสารคดีที่ผมดูนะครับ ไม่เคยเห็นเองเหมือนกัน) คนไข้บอกว่า โรงพยาบาลจับใส่รถแท็กซี่ ซึ่งแท็กซี่รับเงินโรงพยาบาลมาอีกทีหนึ่ง แล้วคนขับรถ ก็พาคนไข้ไปทิ้งเอาไว้ที่อื่นๆ ตามริมถนน ฟังแล้วก็อึ้งว่าตกลงมันเกิดขึ้นจริงๆ เหรอเนี่ย (o___O!!) ในสารคดี มีตอนหนึ่ง ผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่งที่ต้องกินยาอยู่ประจำ เค้าไปหาซื้อยาชนิดเดียวกันที่คิวบา เค้าบอกว่า ที่อเมริกา ยาขวดนั้นราคา 120$ แต่ที่คิวบาราคาประมาณ 5-10 cents ฟังแล้วขำไม่ออก เพราะบริษัทยายักษ์ใหญ่ ก็อยู่อเมริกาทั้งนั้น แต่กลายเป็นว่าคนอเมริกาต้องซื้อยาราคาแพงมาก แต่ที่ผมสงสัยมากกกกก คือ แล้วที่อเมริกา ทำไมรัฐไม่สร้างโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มจำนวนแพทย์ พยาบาลให้เยอะๆ กว่านี้ เพราะอเมริกาน่าจะมีศักยภาพ มีงบประมาณในการผลิตบุคคลากร และซื้อเครื่องมือต่างๆ อยู่แล้ว จากคุณ : seabreeze_psu เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 23:08:35

ความคิดเห็นที่ 10 โรงพยาบาลไม่รับคนไข้  ทิ้งคนไข้ให้ตายเพราะไม่มีประกัน......เหตุเกิดชึ้นที่ชิคาโกหลายปีมา แล้วจำไม่ได้   ตอนนี้มีกฏหมาย รพ จะต้องรับคนไข้ที่ป่วยมากๆไม่ว่าจะมีประกันสุขภาพหรือไม่ จะไปพบหมอเอกชนเขาจะถามว่ามีประกันหรือเปล่า  ไม่มีส่วนมากเขาไม่รับ แต่ละรัฐกฏหมายอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ละรํฐในสหรัฐเดี๋ยวนี้กำลังล้มละลายนะครับ  ไม่มีเงินสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม มีอย่างเดียวคือเก็บภาษีมากขึ้น.... จากคุณ : Poor2go เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:17:48

ความคิดเห็นที่ 11 ........คนจนๆที่ไม่มีประกัน เขาอยู่กันได้อย่างไร........ รัฐที่เราอยู่  เขาจะไปรักษาตามโรงพยาบาลของรํฐที่เลือกหมอไม่ได้  บางครั้งต้องนั่งรอนานๆ และมี รพ อย่างนี้น้อยมาก ยาแพงเพราะบริษัทผลิดยาต้องขายแพงเมื่อถูกฟ้องจะได้มีเงินสู้คดี เหมือนหมอเรียกเก็บค่ารักษาแพงๆ  ให้ยาผิดถูกฟ้องก็แย่เหมือนกัน นานทีหลายปีจะเห็น  คือ หมอและพยาบาล ตรวจรักษาฟรี  ตามที่ต่างๆ บางคนไปรอแต่เช้าตู่ ผลสุดท้าย  คนจนๆก็แย่  ไม่ถึงตายก็ไม่ไปหาหมอ จากคุณ : Poor2go เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:35:11

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่มีเงินจ่ายค่าหมอแต่ละรัฐจะมีคลีนิคที่รักษาฟรีนะ http://www.freeclinics.com/ จากคุณ : Poor2go เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:50:09

ความคิดเห็นที่ 13 - ถ้าไม่มีเงิน โรงพยาบาลไม่รับรักษา เอาตัวคนไข้ไปทิ้งนอกโรงพยาบาล  --> ไม่จริงค่ะ โรงพยาบาลยังไงก็ต้องรักษาก่อน เรื่องเงินเอาไว้ทีหลัง... - บริษัทประกันไม่รับทำประกัน ด้วยเหตุผลว่า อ้วนไป ผอมไป ฯลฯ --> ไม่เคยได้ยินนะคะ - ซื้อประกันแล้ว ก็อาจเคลมไม่ได้ เพราะนโยบายของบริษัทคือ ต้องปฏิเสธให้มากที่สุด --> ต้องดูด้วยว่าซื้อประกันครอบคลุมแค่ไหน? ถ้าซื้อแบบ HMO ก็ต้องทำตามข้อตกลงนั้น - หน้าที่ของ Medical Reviewers คือต้องทำยอด ปฏิเสธผู้ทำประกันให้ได้มากที่สุด --> ต้องดูกรมธรรม์ก่อน - บางคนผ่าตัดทีหนึ่ง ต้องขายบ้าน ขายรถ เงินหมดตัวเลย --> ถ้าไม่มีประกันหรือประกันครอบคลุมไม่หมด ก็คงต้องอย่างนั้น - ถ้าจะไปโรงพยาบาล ต้องติดต่อของอนุญาตจากบริษัทประกันก่อน --> ถ้าไปหาหมอแบบ routine check up หรือเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มากก็ไม่ต้องแจ้งประกัน แต่ถ้าจะทำการผ่าตัดหรือเป็นโรคร้ายแรง ก็ต้องมาดูในรายละเอียดก่อนว่าประกันครอบคลุมอะไรแค่ไหน เช่น ถ้าจะผ่าตัดก็ต้องมาดูก่อนว่าเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคหรือ cosmetic surgery เป็นต้น - ต้องรอที่โรงพยาบาล 5-6 ชม อย่างต่ำๆ - ปกติการไปหาหมอในอเมริกาจะไปที่ Medical Clinic ยกเว้นฉุกเฉินถึงจะไปโรงพยาบาล ส่วนตัวแล้วมีประกันแบบ PPO จะไปหาหมอเมื่อไหร่ก็นัดได้ทันที ไม่เคยมีปัญหาอย่างที่ยกมานะคะ หรืออย่างเพื่่อนคนหนึ่งเขามีประกัน HMO ของ Kaiser นั่นก็โทรนัดหาหมอรับยาได้ตลอดไม่ต้องรอนานเลย - ค่ายาในอเมริกาแพงมหาโหดมาก จ่ายแพงกว่าประเทศอื่นๆ เป็นสิบเท่า - ใช่ ดูหนังอย่าเชื่่อทั้งหมด...ถ้าระบบของอเมริกาไม่ดีทำไมพวกพี่ Mexican ที่หลั่งไหลเข้ามาหาการรักษาพยาบาลที่นี่... ส่วนตัวแล้วอยู่อเมริกามาเกือบ 10 ปีไม่เคยเจออะไรแบบหนังเรื่องนี้เลย และไม่เคยมีปัญหากับระบบประกันสุขภาพของอเมริกา...แต่หนังเรื่องนี้เป็นการเอาเรื่องมา "clip" มาร้อยเรียงแล้วใส่คำพูดของตัวเอง... จากคุณ : BlackmagicW เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 02:27:13

ความคิดเห็นที่ 14 ^ ^ ตอนดูหนังเรื่องนี้ ผมก็สงสัยเหมือนกันหล่ะครับว่า จะจริงทั้งหมดเชียวเหรอ เพราะการกระทำบางอย่างดูจะโหดร้าย และขัดต่อจรรยาบรรณของแพทย์มั่กๆ เลยมาถามคนในพันทิป ที่อยู่ในอเมริกาในนี้หล่ะครับ จากคุณ : seabreeze_psu เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 03:03:10

ความคิดเห็นที่ 15 ขอตอบในบางข้อที่เคยมีประสบการณ์ด้วยตัวเองนะคะ - เรื่องการรอพบหมอนาน จริงค่ะ เคยต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ต้องรอหมอนานกว่า 3 ชม.ค่ะ  นึกว่าจะไม่รอดแล้ว เลยไม่เข้าใจว่าห้องฉุกเฉินน่ะมีไว้ทำไม - เคยป่วยไม่สบายเป็นไข้ คิดว่าแย่แน่ๆ เลยจำเป็นต้องไปโรงพยาบาล มีหมอมาถาม  อาการ 3-4 คน ถามโน่นถามนี่ (ก่อนเจอหมอก็เกือบๆ 2 ชั่วโมงค่ะ) ต้องนอนอยู่ใน  โรงพยาบาลประมาณ 5 ชั่วโมง สรุปได้ใบสั่งยามา 1 ใบ เป็นยาแก้ปวดลดไข้ธรรมดา  ทั่วไป ไม่ได้ไปซื้อค่ะ กินยาเดิมที่เคยกินก่อนไปหาหมอ (เป็นยาของไทย) กินไป 2  วัน อาการดีขึ้น บิลค่ารักษาพยาบาล ตามมาอีก 2 อาทิตย์ เค้าคิด 200 กว่าเหรียญ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันสมัยอยู่เมืองไทยไม่ค่อยป่วย พอมาอยู่อเมริกาไม่กี่ปี เข้าโรง พยาบาลหลายหน ตอนทำงานมีประกันไม่ป่วย พอตกงานไม่มีประกันดันป่วยเอาๆ อยู่ ที่นี่ไม่มีประกันลำบากค่ะ แต่ถึงไม่มีประกันเค้าก็รักษา แล้วแต่ว่าคุณจะขอเมดิเคทได้ เท่าไหร่ ครอบคลุมหรือไม่ จากคุณ : ตั๊กแตนตัวติ๊ด (ตั๊กแตนตัวติ๊ด) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 05:07:17

ความคิดเห็นที่ 16 ขอเเย้งข้อที่มีคนบอกว่าถ้า เมกาไม่ดีทำๆมเมกซิโกแห่มารักษา. เมกาการรักษาที่เขาแฟ่มารักษา เพราะเขาไม่ต้องมีประกันไง ไม่มีรายได้อะไร หลบหนีมาป่วยหนักก็ไปหาหมอ ท้องขึ้นมาก็ฟรี มันมาตกหนักกับคนที่รายได้ไม่มากเกินขีดยากจนขึ้นมาไม่กี่ร้อย ทำงานรายชั่วโมง ไม่มีประกัน คนพวกนี้สิลำบาก คนที่ไม่มีปัญหา เพราะคุณมีประกันที่ดีครอบคลุมมา และอาจจะยังไม่เคยต้แงเจ็บป่วยร้ายแรง และต้องการรักษาตัว คือมันเป็นอย่างที่หนังบอกจริงๆ ในหนังข้อความมันดังเพราะมันคือการเอาปัญหาของคนที่มี มารวมกัน บางการรักษา ประกันไม่จ่ายเพราะถือว่าเป็นการทดลองไม่ใช่การรักษาทั้งที่มันทำกันอยู่เป็นนอร์มอยู่เดล้ว คนที่มีปัญหากับการประกันตำ คือคนที่รายได้น้อย แต่ไม่น้อยเท่าพวกหลบหนีเข้าเมือง พวกนี้มีการช่วยเหลือทุกอย่างจากรัฐ คนที่ซวยคือคนที่เป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ ทำงานอิสระ ไม่มีเงินมาก เมียจะคลอด ผัวปวดฟัน ลำบากทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงโรคหนักหนาสาหัส ระบบประกันของประเทศนี้กับการรักษา มันเหมือนงูกินหาง ไม่มีใครต้องการเซฟคอร์ส เพราะคิดว่าประกันจ่าย รพ. ก็คิดราคาเต็มที่ คนที่ซวยคือคนที่ไม่ได้อยู่ในระบบ จากคุณ : ก เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 05:50:08 A:98.199.17.239 X: TicketID:000072

ความคิดเห็นที่ 17 It was true if you are over weight that the insurance company would deny you-it happened to me with one of the big health insurance company 3-4 yrs ago kha. จากคุณ : MCCGO เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 08:48:44

ความคิดเห็นที่ 18 คนชั้นกลางนี่แหละค่ะลำบากที่สุดในเมกา พวกหลบหนีเข้ามาประเทศได้สวัสดิการไปหมด แต่คนที่เสียภาษีก็จ่ายๆกันเข้าไป มีเด็กพนงฺที่ทำงานเก่าเค้าท้อง เค้าทำงานpart time อยู่บ้านกับพ่อแม่ ไม่ต้องเสียค่าเช่า พอออกลูก ไม่ต้องเสียซักบาท เป็นเด็กแมกซิกัน ท้องตอนอายุน้อย แต่เรานี่จะ35ยังไม่กล้าท้อง ไม่รู้จะมีปัญหาจ่ายค่าใช้จ่ายจิปาถะค่ารพ.รึเปล่า จากคุณ : โบอิ้ง (Oshiri) เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 14:20:47

ความคิดเห็นที่ 19 เรื่องนี้ไม่ใช่เค้าไม่รู้ว่าเป็นปัญหา ใครๆก็รู้หมดว่า มีปัญหาอะไรบ้าง แต่ที่ไม่รู้คือไม่รู้จะแก้ยังไง อีกอย่างเรื่องนี้มันซับซ้อน ไม่ได้ดูง่ายๆ Healthcare bill ของเพรสซิเด็นท์โอบามา อะไรเนี่ย ผมยังไม่เข้าใจเลย ไม่รู้มันดี ไม่ดียังไง แต่ก็ต้องโทษตัวเอง เพราะเบื่อกับเรื่องการเมือง เลยไม่ได้ไปสนใจ ฟังมาก็ผ่านๆ เอาเป็นว่าทางรัฐบาลก็พยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้ครับ คห ที่ 15 รอสามชั่วโมงยังเด็กๆครับ ผมเพิ่งไปห้องฉุกเฉินมา ไปตั้งแต่ 11 โมงเช้า นั่งรอถึงห้าโมงเย็นกว่าจะได้พบหมอ ไปถาม พนง ว่าเมื่อไหร่จะได้ตรวจ มารอตั้งนานแล้วนะ เค้าบอกว่า ต้องรับคนไข้ที่อาการหนักมากๆก่อน (คือรถพยาบาลมาส่ง) ถ้าหมอไม่ดูเดี๋ยวนั้น ตายแน่ แล้วนั่งรอทั้งวันอ่ะ รถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออกทั้งวันเหมือนกัน แล้วไม่ใช่รอคนเดี๋ยว คนมาก่อนหน้าเราอีกสิบกว่าคน ก็นั่งรอ นอนรอ หลับแล้วหลับอีก บิลมาเกือบพัน แต่ผมก็จ่ายร้อยเดียว ที่เหลือเค้าไปเก็บกับประกัน ตอนรอก็คิดว่า ห้องฉุกเฉินไม่เห็นมันจะฉุกเฉินตรงไหน แต่หมอประจำบอกว่ารอหกชั่วโมง เรื่องปรกติ ครั้งแรกที่ไป สาปส่งจริงๆ ถึงเราจะไม่ถึงตาย แต่มันก็ทรมานนะ ที่ไปห้องฉุกเฉินเพราะอยากให้เค้าบรรเทาความทรมานบ้าง แต่ก็ต้องมาทรมานต่ออีกครึ่งค่อนวันกว่าจะได้เจอหมอ สรุป ความไม่มีโรค เป็นลาปอันประเสิรฐ จากคุณ : LeePablo773 เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 19:39:53

ความคิดเห็นที่ 20 เห็นด้วยว่าห้องฉุกเฉินที่นี่ถ้าไม่ปางตายมารอนานมากกกก เพื่อนเราหัวแต่เข้าห้องฉุกเฉินรอตั้งแต่ห้าทุ่มเกือบเช้ากว่าจะได้ทำแผล นี่ถ้าเลือดไม่หยุดไหลคงตายไปละ อีกอย่างคือ ไม่เข้าใจทำไมรัฐไม่คิดช่วยคนของตัวเองก่อน คนชั้นกลางอย่างเราอยู่ลำบากมาก คนผิดกฎหมายถึงจะไปหาหมอรอนานเลือกหมอไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้เจอหมอ อย่างเรานี่ถ้าไม่จ่าย มีหวังโดนฟ้อง แถมมีปัญหากับบัตรเครดิตอีก ตอนเราท้อง หลายปีละ แฟนยังเรียนอยู่ ลองไปขอ เมดดิเคด ปรากฎไม่ได้ รายได้เกินสามหมื่น โห สามหมื่นนั่นทำตอนซัมเมอร์โดนหักภาษีไปหลายพันเลยนะ พอคนไทยที่ผิดกฎหมายไม่ต้องจ่ายเลย ลูกเกิดมามีประกันฟรีให้ ผ่าตัดพยาบาลหน้าห้องบอกให้กลับบ้านเลย ไม่ต้องจ่าย มันช่างต่างกันจริงๆ จากคุณ : คนไทยต่างแดน เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 21:35:04 A:74.110.139.162 X: TicketID:306602

ความคิดเห็นที่ 21 I did not watch this movie, but listened to Moore’s interviews.  He was quite vocal about the healthcare reform.   Of course, there are good points of America’s health care systems, but that’s not the point his documentary wanted to convey.   It, in essence, portrayed the flaws of the system that need be fixed.  One among many is the disparity between high cost healthcare plans –so called “Cadillac plans” that only the rich can afford and the subsistent or non-existent plans for the poor: the inequity of healthcare system.   I believe Moore used his documentary to be a voice for the “under covers” and the “non covers” who are mostly lower middle class and the poor.  To him and many, access to healthcare is a “right” not “privilege” that should be available to all citizens. From your post ..they are all true including ถ้าไม่มีเงิน โรงพยาบาลไม่รับรักษา เอาตัวคนไข้ไปทิ้งนอกโรงพยาบาล.  The Economist published a piece on this back in 2009 or 2010.  I read this article, but could not recall all details.  I believe it was a hospital in California; and those patients were mostly homeless, which hospital could not bill them, but –by law- had to provide necessary cares.   The article discussed on dilemmas that hospitals are facing e.g. not making money and lower subsidies from federal government. Insurance companies could deny you coverage if you had “pre-existing condition” or if they assessed that you posed a high cost.  Many individual health care seekers who had no benefit from employers were denied coverage because of “pre-existing condition”.   My friend was one of them.  However, this practice is no longer allowed.  Parts of the healthcare bill have been in effect since last year. If you are interested to further understanding issues of healthcare system, possible solutions and the new healthcare bill; visit below links: http://www.pbs.org/moyers/journal/07102009/profile.html http://www.washingtonpost.com/wp-dyn/content/article/2009/08/21/AR2009082101778.html http://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/sickaroundtheworld/ http://www.whyourhealthmatters.com/ http://www.huffingtonpost.com/2010/03/22/health-reform-bill-summary_n_508315.html#s75147&title=An_End_To People who are under-covered or have no coverage can go to RAMusa if it sets up in your area.  You can check the schedule and venue at its site: http://www.ramusa.org/ จากคุณ : Thai Woman (ณารา) เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 01:03:26

ความคิดเห็นที่ 22 It's been a while since I watched that movie/documentary. So without Googling (which I'm sure you could do it on your own) to fact check what Moore presented in his piece, I'd like to give you my opinions on the issue. - ถ้าไม่มีเงิน โรงพยาบาลไม่รับรักษา เอาตัวคนไข้ไปทิ้งนอกโรงพยาบาล --I believe it's true. How many cases? Maybe it's less than 10 or 5. However, if you see America as the greatest country in the world, i.e. you believe in American Exceptionalism, even one instance of a case like this is a disgrace. - บริษัทประกันไม่รับทำประกัน ด้วยเหตุผลว่า อ้วนไป ผอมไป ฯลฯ --I think the insurance companies would insure you but your premium might be higher. They used to reject some people because they had an "preexisting condition" though. Meaning, you are healthy and do not have a health insurance. Suddenly, you find out that you have diabetes. And now you want to get a plan that will help you with the medical costs. Before "Obamacare", the insurance companies might not accept you, so you're on your own. - ซื้อประกันแล้ว ก็อาจเคลมไม่ได้ เพราะนโยบายของบริษัทคือ ต้องปฏิเสธให้มากที่สุด --I remember in the film, this came from a woman who worked for an insurance company (Aetna?) and according to her words, that was her company's policy. - หน้าที่ของ Medical Reviewers คือต้องทำยอด ปฏิเสธผู้ทำประกันให้ได้มากที่สุด --Same as above. - บางคนผ่าตัดทีหนึ่ง ต้องขายบ้าน ขายรถ เงินหมดตัวเลย --Yes. - ถ้าจะไปโรงพยาบาล ต้องติดต่อของอนุญาตจากบริษัทประกันก่อน --You DON'T have to BUT you should. Since a policy has lots of rules, terms and conditions which you should familiarize yourself with. For example, there are things called a "in-network" and an "out-of-network" provider. Your policy may pay most of the charges when you visit an "in-network" provider/facility and you may have to be responsible for all charges made at an "out-of-network" provider/facility. So, for someone to say that you "ต้องติดต่อของอนุญาตจากบริษัทประกันก่อน", that's is NOT exactly true. However, I think you can say that you are usually presented with limited options in terms of the doctors who you can see and be covered by your policy. (I'm assuming you would like to pay less in premium so you would likely have to go to the "in-network" providers/facilities.) What if it's not an emergency (but I believe many people would still feel like they want to see the doctor as fast as they can)? Looking at my policy, if it's not an emergency, my choice would be (1) go see my doctor--I'd have to make an appointment with him first and he may have an opening 3 days later and pay $25 co-pay, or (2) go to an Urgent care clinic--which I have to pay $100 out of my pocket but I don't have to make an appointment, and it's cheaper than going to (3) an emergency room and pay $100 but the waiting line maybe 3 hours. - ต้องรอที่โรงพยาบาล 5-6 ชม อย่างต่ำๆ --Fortunately, I myself have never experienced such a long wait. My longest wait to see a doctor was 1 hour. Ironically, I was at an "Urgent Care" facility!!! while my usual wait at my physician is about 20 minutes!!! - ค่ายาในอเมริกาแพงมหาโหดมาก จ่ายแพงกว่าประเทศอื่นๆ เป็นสิบเท่า --I agree. Fortunately (again), I have not received the bills that would bankrupt me. But I have heard from some of my co-workers and friends about their cancer-related bills and let me tell you--sometimes I think the bills are scarier than the cancer itself!!! I mean, imagine your doctor told you that you have the big C, then you got hit with these bills...$2K here, $5K there...wtf? One good thing about "Obamacare" is that the insurance companies cannot put a limit on how much they would pay for you in your lifetime. Before, my previous insurer (Blue Cross Blue Shield) had a limit of $1 million. จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 03:49:45

ความคิดเห็นที่ 23 คนอื่นตอบประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถามมาเยอะแล้ว น่าจะเคลียร์แล้วนะคะ ขอเล่าประสบการณ์ตัวเองให้ฟังบ้าง จ่ายค่าประกันสุขภาพของนักเรียนมาหกปี ไม่ค่อยได้ใช้อะไรหรอกเพราะไม่ป่วย เหมือนเสียเงินไปเปล่าๆ แต่มาคุ้มเอาปีสุดท้าย เหตุการณ์แรก รถชน รถพยาบาลมาไวมาก เจ้าหน้าที่ขนย้ายเราดีมาก ใส่ปลอกคอ หามใส่เปลแบบมืออาชีพ แต่ บิลมาเก็บทีหลังค่ะ ต้องจ่ายค่ารถพยาบาลเองหลายร้อยเพราะประกันนักเรียนไม่คุมหมด แล้วคิดหมดเลย ค่าผ้าก็อต ยาแดงในรถพยาบาล คิดยุบคิดยับ ตอนถึงโรงพยาบาล ได้เข้าห้องฉุกเฉินรอหมอไม่นาน สักยี่สิบนาที เพราะเค้าเห็นเลือดไหลออกหน้าผาก ใส่ปลอกคอ หามมา แต่พี่อีกคนมาด้วยกัน เลือดไม่ออกหน้า เจ้าหน้าที่ถามว่าเจ็บมากไหม หนึ่งถึงสิบ พี่แกบอกเจ็บสักเจ็ด เลยได้รอหลายชั่วโมง ตอนรอหมอมา พยาบาลมาดูแผลที่หน้าผากให้ แล้วบอกว่าลุกไหวไหม ให้ลุกไปล้างหน้าเอาเลือด เอากระจกออกเองนะ เพราะพยาบาลไม่กล้าทำให้กลัวเราเจ็บ อึ้งไปเลย ลุกไหวนะ แต่เราโดนรถชนมานะ มาโรงพยาบาลยังใส่ปลอกคอหามมา ห้ามขยับอยู่เลย อันนี้ชอตเด็ด พยาบาลมาชวนคุย แล้วถามว่าจะพาไปเอ็กเรย์ เธอมีโอกาสท้องไหม เลยบอกว่ามี พยาบลเลยสั่งตรวจฉี่ ตรวจเสร็จพยาบาลมาบอกว่าท้องนะ ไม่ทันตั้งตัว เลยถามไปสามรอบว่าจริงเหรอ พยาบาลทำหน้ากลุ้มใจบอกว่าอย่าลืมบอกแฟนนะว่าท้อง อีกชั่วโมง เพื่อนมาเยี่ยม คุยเล่นกับเพื่อนอยู่ พยาบาลโผล่หน้ามาถามว่าโทรบอกแฟนหรือยังว่าท้อง เพื่อนเลยรู้ก่อนแฟนเลยว่าท้อง จะเป็นห่วงอะไรมากมายเนี่ยะ คุณพยาบาล เรื่องนี้มันน่าจะเป็นข้อมูลส่วนตัวของคนไข้ไม่ใช่เหรอ ต่อไปก็เป็นเรื่องฝากท้อง คลอดบุตร ก็มีจ่ายเบี้ยรายทาง ยุบยิบ เพราะประกันนักเรียนไม่คลอบคลุมหมด แต่ประกันก็จ่ายเยอะกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์หล่ะ นับว่าโชคดีที่มีประกัน ไม่งั้นหมดตัว มีอีกอัน ฝากท้อง คลอดกับโรงพยาบาลและหมอสูตินารีในเครือ แต่ไม่ได้เชคว่าหมอดมยาผ่าคลอดในโรงพยาบาลนี้เป็นหมอในเครือหรือเปล่า  ก็คนไม่เคยผ่าคลอดนะ ไม่มีประสบการณ์  เลยโดนค่าหมอดมยานอกเครือข่ายอีก แถมตอนแรกบริษัทประกันมั่วด้วย คิดราคาผิดมา ต้องโทรไปบ่นกับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย ถึงได้ราคาที่ถูกต้องมา สรุป ไม่ประทับใจกับประกันสุขภาพของอเมริกา จ่ายแพง แต่บริการโรงพยาบาลเอกชนในไทยดีกว่า และบางทีบริษัทประกันกับโรงพยาบาลก็มั่วบ้าง อ่านตามกฎว่าเราไม่ต้องจ่าย บริษัทประกันก็บอกไม่ต้องจ่าย แต่โรงพยาบาลออกบิลมาเก็บเรา พอบอกไปว่าไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา เจ้าหน้าที่เก็บเงินดันบอกไม่รับรู้ เค้าเป็นบริษัทรับจ้างมาเก็บเงินอย่างเดียว สุดท้ายเมื่อเงินก้อนไม่ใหญ่ ก็จ่ายๆ ไป เพราะขี้เกียจไปเถียง ตามหาเอากับใคร  นานไปจะเสียเครดิตอีก ไม่คุ้ม แต่ยังไงก็ต้องซื้อประกันสุขภาพต่อไปตราบเท่าที่จ่ายได้ เพราะไม่งั้นเกิดเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมา จะสิ้นเนื้อปะดาตัวหมด จากคุณ : โตช้าแก่เร็ว เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 13:46:33

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณทุกๆ ความเห็นด้านบนนะครับ ที่เข้ามาอธิบายเรื่องระบบรักษาพยาบาลของอเมริกาให้ฟัง จากคุณ : seabreeze_psu เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 13:11:43

ความคิดเห็นที่ 25 ขออธิบายเพิ่มเติมนะคะ... ปกติแล้วเวลาไม่สบายก็ต้องไปหาหมอที่ clinic ยกเว้นกรณี clinic หยุดทำการ คุณหมอก็จะบอกคนไข้ว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ไป ER ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า "Emergency" ดังนั้นการไปหาหมอนอกเวลาทำการที่ ER นั้นเขาจะจัดลำดับความสำคัญของอาการผู้ป่วย เขาจะรักษาผู้ป่วยที่ emergency ก่อนนะคะ (พวก life-threatening) ถ้าคนไข้ยังรู้สึกตัวและสามารถเคลื่อนไหวได้ (จากการสอบถามคนไข้) ก็จะไม่เข้าข่าย emergency...ดังนั้น การที่ไปหาหมอที่ ER แล้วต้องรอนานก็ด้วยสาเหตุนี้นะคะ...โปรดเข้าใจด้วย... ส่วนที่ว่าพยาบาลถามว่า "ท้องหรือเปล่า?" นั้นเพราะการ x-ray นั้นจะมีผลกระทบต่อเด็กในท้อง ดังนั้นจะเป็นหน้าที่ของพยาบาลที่จะต้องถามผู้ป่วยในเรื่องนี้ ในเมื่อคนไข้ไม่แน่ใจเขาเลยตรวจปัสสาวะเพื่อเช็คว่าท้องหรือไม่? อืมมม...แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมพยาบาลถึงคอยย้ำเรื่องให้บอกแฟน (เขาอาจจะคิดไกลเกินไปก็ได้) ส่วนการเรียกเก็บเงินนั้น โดยปกติแล้วไม่ว่าโรงพยาบาลหรือ clinic เขาจะคิดเงินตาม universal coding ถ้ามีการระบุว่าได้ทำการรักษาอะไรบ้าง ก็จะมีการ coding และส่งให้กับบริษัทประกันซึ่งมีข้อตกลงกับ clinic หรือโรงพยาบาลนั้นๆ ค่ารักษาพยาบาลจะต่างกันตามพื้นที่...ประกัน cover เท่าไหร่, deductible เท่าไหร่, adjust เท่าไหร่ เป็นต้น เหลือส่วนต่างที่ไม่ครอบคลุมแล้วคนไข้ต้องรับผิดชอบเท่าไหร่....พวกนี้เขามี medical software คำนวณมาหมดค่ะ... เล่าสู่กันฟังนะคะ เผื่อว่าจะได้มองภาพรวมได้กว้างขึ้น... :D จากคุณ : BlackmagicW เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:21:48

ความคิดเห็นที่ 26 The ER policy/procedure is acknowledged.  But how does this solve the problem of long waiting line which obviously exists?   In some cases, the clinic is in operation, but due to tight schedule, doctor can not see patients who badly need care though it’s not life threatening on that day.   They too end up at ER.   And many uninsured patients have nowhere to go, but ER.  All this, can in effect overwhelm the hospital emergency unit.   Together with limited resources at the hospital can exacerbate the problem.  In addition, we all know that treatments at hospital ER can be very costly. This precisely needs fixing.   Perhaps, setting up more small emergency clinics for serious but not life-threatening patients can be an option.  Or to have doctors visit patients at home (it was practiced in the past).  If there aren’t sufficient primary care doctors to provide these cares, then use nurse practitioners.  This can reduce the influx of patients at ER unit; and it’s less costly. Number of primary care doctors when compared to demand is indeed low.  Majority of Med students become specialists which income is more lucrative.  This is too an issue.  Incentives for students to stay in primary care e.g.  student loan forgiveness has been discussed. Again, billing procedures explanation above does not help solving or decrease the problematic and cumbersome payment issues.  Health care administrative cost in the US is much higher than in other developed countries.   In average it costs 20 cents of every dollar in here while a mere 6 cents in Canada; 4 cents in France; and 2% in Taiwan.   Perhaps, simpler coverage policies can reduce the time wasted back-and-forth between patient and insurer.   Using new technology like “smart card” can definitely increase efficiency.   Many doctor offices still keep customer profiles in hard copies.  This is time consuming and takes more space for storage.  Instead, digitize them all in a single smart card for each patient.  When a patient visits his doctor, the doctor can see all information including latest health problems; medicines the patient is taking, allergy he has, etc.   Though the current health care system is ok for some, I strongly believe it needs improvements. จากคุณ : Thai Woman (ณารา) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 23:56:33

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคุณBlackmagicWค่ะที่มาอธิบายเพิ่มเติม เรื่องถามเรื่องท้องไม่ได้ติดใจหรอกค่ะ แต่ติดใจเรื่องมาถามย้ำเรื่องบอกแฟนต่อหน้าคนอื่น ถ้าเป็นเมืองไทยอาจจะไม่ติดใจเท่านี้ แปลกใจเพราะคิดว่าที่นี่เค้าจะถือเรื่องข้อมูลส่วนตัวคนไข้หน่ะคะ แต่ก็คิดว่าพยาบาลเค้าคงเป็นห่วง เพราะตอนเค้าแจ้งข่าว ดิฉันก็ออกอาการแปลกใจ ไม่คาดคิด ส่วนพยาบาลก็ทำหน้าแบบแอบกลุ้มใจด้วยอีกคน จากคุณ : โตช้าแก่เร็ว เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 15:52:19

ความคิดเห็นที่ 28 Something to think about... จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 09:31:58

ความคิดเห็นที่ 29 ... จากคุณ : Genuine XXX เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 09:33:25