ความคิดเห็นที่ 1 ถ้ามีแต่เมดิแคร์อย่างเดียวก็ต้องทำใจแบบนี้แหละค่ะ แต่ถ้าซื้อประกันเองก็ยังเลือกเอกชนได้ ดิฉันไม่ได้ซื้อประกันค่ะ ใช้เมดิแคร์อย่างเดียว แต่ถ้าต้องไปหาสเปเชี่ยลลิสต์ก็ต้องจ่ายเอง แต่ถ้ามีประกันก็ไม่เสีย ลูกชายไม่สบายตัวร้อนมาก ท้องเสียทั้งวัน เราก็รอจนถึงสามทุ่มคิดว่าต้องพาไปหาหมอแล้วล่ะ คือเป็นพ่อแม่มือใหม่ เลยกังวลมากหน่อย พอไปก็รอหมอนานมาก เราเลยบอกงั้นไม่รอแล้วล่ะ กลับบ้านดีกว่า หวังว่าลูกคงจะไม่เป็นไรมากถ้าผ่านคืนนี้ไป เจ้าหน้าที่(พยาบาลมั๊ง) ก็ให้เอกสารมาอ่านที่บ้าน เกี่ยวกับเวลาเด็กท้องเสีย ข้อควรปฎิบัติอะไรแบบนี้ บอกไม่ต้องมาหาหมอหรอก ให้อยู่บ้านแล้วปฎิบัติตามในคู่มือที่ให้มา ตัวร้อนก็กินพานาดอล เช็ดตัวไปเรื่อยๆ ท้องเสียสิบวันก็หาย หุหุ คุยกันว่า ต่อไปนี้ถ้าลูกไม่สบายก็จต้องหายากินเอง ดูแลกันเอง คงไม่ต้องไปหาหมออีกแล้ว ยกเว้นแต่ไปหาจีพี เช็คอัพธรรมดา แต่ตอนเคสของสามีนี่ เจ้าหน้าที่น่ารักมากค่ะ มีอยู่ครั้ง สามีเจ็บหน้าอก ดิฉันก็รีบบึ่งรถไปโรงพยาบาลตอนสี่ทุ่ม ห้องฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่รีบรับเข้าไปตรวจเช็คทันที เพราะสามีบอก เจ็บหน้าอก(เค้าคงกลัวจะหัวใจวาย) รอหมอ มาตรวจ ไม่นานเลยค่ะ เค้ารีบตรวจเช็คกันละเอียดมากๆ แล้วบอก คืนนี้ต้องนอนนี่ รอดูอาการ ถ้าไม่เป็นไรมาก พรุ่งนี้ค่อยกลับบ้าน ปรากฎว่าสามีต้องนอนโรงพยาบาลค่ะ เค้าก็ดูแลดี เช็คทุกอย่าง คือเรื่องเกี่ยวกับพวก โรคหัวใจนี่เค้าคงจะให้ความสำคัญมาก(เดาเอาจากที่เค้าใส่ใจมากเป็นพิเศษ) คลอดลูกก็ดีค่ะ เค้าดูแลดีมากๆ คลอดเสร็จไม่เสียเงินสักบาทแถวพยาบาลดูแลอย่างดี มันมีทั้งดีและไม่ดี เป็นเพราะ หมอกับพยาบาลไม่พอกับความต้องการของประชากรค่ะ ประเทศมันใหญ่ แต่คนมันน้อย และแต่ละเมืองก็ห่างไกลกันมาก ลองไปดูตามเมืองเล็กๆนะคะ หมอมาที่คลีนิคอาทิตย์ละวันสองวันเองค่ะ เล่าเรืองเด็กนิดหน่อย  คือเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วเห็นข่าวเกี่ยวกับเด็ก ที่ต้องเดินทางไปหลายเมืองเพื่อที่จะให้ได้รับการรักษาในโรงพยาบาล คือบางโรงพยาบาลไม่มีเตียงเด็ก ไม่รับเด็ก อะไรแบบนี้ ดิฉันก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละค่ะ  โรงพยาบาลนั้นใหญ่มากด้วย แต่ทำไมไม่มีเตียงเด็ก ต้องให้พ่อแม่ขับรถสองสามชั่วโมงเพื่อที่จะไปอีกโรงพยาบาลที่รับเด็ก เรื่องคลอดลูกก็เหมือนกัน บางคนต้องไปคลอดอีกโรงพยาบาลซึ่งไกลจากบ้านสี่ชั่วโมง แต่โรงพยาบาลซึ่งอยู่แถวบ้านไม่รับ อะไรแบบนี้ก็เห็นในข่าว อย่างไรก็ตาม ดิฉันยังคิดว่าการรักษาพยาบาลที่นี่ดีกว่า โรงพยาบาลรัฐในเมืองไทยนะ เมืองไทยไม่สบายไปหาหมอ ตรวจอะไรก็ไม่ตรวจ ถามสองสามคำ ให้ยาพารามากินซะงั้น ลองคิดดูว่าถ้าระบบโรงพยาบาลที่นี่ไม่ดีจริงๆ คนประเทศนี้คงจะไม่อายุยืนกันขนาดนี้ ฮาฮา จากคุณ : PoomPim..TMB เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 18:47:14

ความคิดเห็นที่ 2 อย่าเกลียดที่นี่เลยค่ะ เพราะถ้าเทียบกะเมืองไทย กะ ประเทศอื่นๆ อย่างเช่น อเมริกา ที่ออส ระบบเมดิแคร์ยังดีกว่าเลย อยู่เมืองไทยถ้าไม่ประกัน ก็ต้องรออยู่ดี แถมบางทีนัดเวลาไม่ได้ ต้องไปรอคิวแต่เช้าเลย เคยเห็นในทีวี อเมริกาถ้าไม่มีประกันเค้าไม่รับเลยนะค่ะ แถมใกล้จะตายยังไง ยังเอาไปทิ้งเลย เหมือนคุณปุ๋มตอนคลอดลูกดีมากๆ ไม่เสียสักบาท เพราะไม่มีประกันเหมือนกัน ตอนนี้ตั้งท้องอยู่ ไปหา obstetrician เพื่อผ่าคลอดก็ไม่ต้องเสียสักบาทเหมือนกันถ้าคลอดโรงพยาบาลรัฐ เสียแต่ค่าไปหาหมอตอนฝากครรถ์เท่านั้นแต่ก็เบิกกะเมดิแคร์ได้ ทำไมไม่เปลี่ยนหาหมอคนอื่นล่ะค่ะ ที่นัดง่ายๆ เพราะตอนแรกดิฉันก็มีหมอที่นัดยากเหมือนกัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาหาหมอที่อื่น แถมดีกว่าด้วย นัดวันเดียวยังได้เลยค่ะ เลือกเอาที่ที่หมอหลายคนสิค่ะ เผื่อหมอประจำเราไม่ว่าง หาหมอคนอื่นแทนเอาก็ได้ ถ้าจะเอาแต่ใบรับรองนะค่ะ เรายังโชคดีนะค่ะ มีเมดิแคร์ ไม่งั้นต้องซื้อประกันกันทุกคน ลำบากแน่เลยค่ะ จากคุณ : CHAOUI เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 10:34:33

ความคิดเห็นที่ 3 เมกาก็ใช่ย่อยนะคะ ต้องนัดเท่านั้นถึงจะได้เจอหมอ เคยโทรไปหาหมอเจ้าหน้าที่ตอบว่าต้องนัดไม่มีwalk in ทั้งๆที่เราก็หาหมอท่านนี้ประจำเป็นหมอประจำตัวว่างั้นเหอะ จะสะเออะไปหาหมอเฉพาะทางเนี่ยะเผลอๆประกันไม่จ่ายได้ค่ะ ต้องให้หมอประจำตัวส่งไป  มีเหตุการครั้งหนึ่ง จุกเสียดท้องน้อยร้าวตั้งแต่ซ้ายย้ายไปขวา โทรไปหาหมอ เจ้าหน้าที่บอกว่าอีก 5วันได้คิว โอ้วดิฉันบอกว่าเร็วกว่านั้นไม่มีหรือ รอไม่ไหว เค้าบอกให้ไป ER อืมม ไปที่นั่นคงไม่ได้เจอหมอเช่นกัน เพราะเพื่อนแพ้อะไรไม่ทราบสาเหตุถึงขั้นผื่นขึ้นทั้งตัว เริ่มหายใจติดขัด เรียกรถพยาบาลมารับยังต้องนอนรอพงาบๆ จนสามีทนไม่ไหวเพราะภรรยาเริ่มหายใจไม่ออก จากที่หายใจไม่ออกมาตั้งแต่เรียกรถพยาบาลมารับแล้ว  ก็เลยเออแล้วเราจะรอดหรือเนี่ยะ ก็เลยไปคลีนิคด่วน เจอพยาบาลมาตรวจ สั่งยาให้กิน แล้วให้ไปหาหมอซึ่งก็ต้องไปหาหมอประจำตัวอีก( ก็ยังดีให้ยาแก้อักเสบมากิน เพราะซื้อโดยไม่มีใบสั่งไม่ได้) เสร็จแล้วหมอประจำตัวเห็นผลการตรวจ ก็ส่งไปหาหมอเฉพาะทาง ฮ่วยยยย สรุป 3อาทิตย์กว่าจะได้หาหมอ แต่ก็ยังดีนะคะที่ตัดสินใจไปหาคลีนิคซึ่งจ่ายแพงกว่านิดหน่อย ก็ต้องยอมล่ะนะ นี่ดิฉันมีประกันสุขภาพของเอกชนนะคะ  แถมไอ้การปวดคราวนี้เนี่ยะทำให้ดิฉันต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่หลังจากที่ได้เจอแพทย์สูติ ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ก็หวังไว้ว่าไม่ต้องเข้ารพ.อีก มิน่า.....ล่ะ..... ตอนทำงานที่รพ.เมืองไทย ชาวต่างชาติที่เป็นลูกค้ารพ.บอกว่าบริการเป็นเลิศมากกกกกกกกกกก   แต่คนมารับบริการคนไทยด่าเป็นประจำบอกว่าช้าาาาาาาม๊ากกกกกกก จากคุณ : piggy&kermit เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 11:13:37

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าสามารถจ่ายได้ประกันสุขภาพน่าจะดีกว่านะค่ะ ไม่ต้องรอเลย ทีออสกับนิว ก็คงคล้ายๆกัย ดิฉันทำก็คุ้มมากค่ะ หาหมอค่ายา ไม่ต้องจ่ายแต่หมอพิเศษ จ่ายนิดหน่อยแต่มีวงเงินจำกัดว่า ปีหาได้กี่ครั้ง ดิฉันขอเพิ่มเติมนิดเกี่ยวกับแผนกฉุกเฉิน เรียนผช.พยาบาล ฝึกที่แผนกอื่นในรพ. แต่เคยพาลูกไป2ครั้ง พยาบาลเวรจะมารับกับรถฉุกเฉินเลย ถามประวัติกับพาราเมดิกที่นำส่ง แล้วพาไปที่เตียง หลังจากนั้นพยาบาลอีกคนก้มาถามอาการอีก กว่าจะเจอหมอก็นานพอสมควร แล้วทาง จนท ก็เอาเอกสารมาให้อ่าน คร่าวๆว่าจะรับดูแลเคสฉุกเฉินก่อนตามอาการ เพราหมอเวรมีจำกัด อันนี้น่าจะใช่เพราะเป็นช่วงบ่ายถึงค่ำ เนื่องจากว่าเราฝึกงานมานานกับรพ.เลยเข้าใจ ตอนแรกก็บ่นเหมือนกัน ตอนนี้เข้าใจมากเลยค่ะ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 54 14:58:50 จากคุณ : sascha เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 14:05:50

ความคิดเห็นที่ 5 ขอเคาะๆๆๆเพราะไม่เคยเจ็บป่วยร้ายแรงที่ต้องนอนโรงพยาบาลไม่ว่าที่นี้หรือที่เมืองไทย และจะบอกว่ามาอยู่ uk ได้เกือบ5ปีมั้ง ยังไม่เคยทำ register เลยอาจเพราะโยกย้ายกันทุกปีและทำแต่งานหรือช๊อบปิ้งเพลิน ก็รักษากันเองคะ ที่นี้ระบบไม่ต้องจ่ายเหมือนออสและนิว เพราะโดนหักเงินทุกเดือนถ้าทำงาน       ก็มีเพื่อนคนหนึ่งใช้ประจำก็ฟรีทุกอย่าง ไม่ว่าจะผ่าตัดต่างๆ พี่ว่าระบบที่นี้ต่างกับเมืองไทย เมืองไทยไป รพ.เอกชนถูกฟันค่ายาและค่าบริการเกือบ100% ถ้ามีเพื่อนๆญาติอยู่ใน รพ.ก็เร็งขึ้นมาหน่อย แต่บอกตรงๆ เรายังไม่ชอบเลยเพราะเป็นหมอธุระกิจเกินไป พอดีเราเคยทำอยู่บ้านนอกกับหมอบ้านนอกสมัย 20ปีก่อน ช่วงหลังๆพูดอยากค่ะ ไม่ชอบที่เอกชนคิดเงินจนเว่อและเอาเปรียบประชาชน เราเคยทำเรื่องซื้อยามาก่อนเลยรู้ราคายาแถมเค้าจะได้สวนลดมหาศาลแต่เค้ายังคิดเงินกับประชาชนราคาผิดปกติ        เมื่อปีก่อนเราป่วยด้วยโรคค่อนข้างร้ายแรงตั้งแต่อยู่ที่อังกฤษแต่วินิจฉัยตัวเองผิดเพราะกำลังจะกลับเมืองไทยพอดีใน 3 วันข้างหน้า จิตใจเลยจ่อแต่เรื่องกลับบ้าน ปวดหัวแทบระเบิด ก็ทานยาแก้ปวดอย่างแรงที่หาซื้อได้ตามซุปเบอร์ ครั้งนั้นต้องบินกลับคนเดียวด้วย อาการมาเป็นหนักมากที่สนามบินดูไบแบบเห็นแอร์โฮสฯ หัวกลับ พอวันรุ่งขึ้นเราก็ตัดสินใจไปหาหมอที่รพ. รังสิต และใช้นามสกุลไทย บอกเค้าลืมเอามา และขอพบหมอเฉพาะทางท่านใดก็ได้ น่าจะได้เจอหมอประกอบหรือเปล่า เลยบอกหมอว่าเคยทำงานด้านเดียวกันมาก่อน หมอถามประวัติ 2 นาทีท่านก็วิเคราะห์ถูกเลยค่ะ แถมไม่ต้องนอน รพ.และให้มาทำกายภาพบำบัดใบหน้าทุกวัน เพราะเรารู้ว่าโรคนี้ไม่ต้องนอนก็หายได้ แต่คนไข้ทั่วไปอาจอาจขอนอนเพราะไม่รู้เรื่องโรค ค่ายารวมกายภาพที่ทำทั้งเดือนแค่3000บาทเอง ถ้าไปนอนสมิติเวชหรือบำรุงราษฯก็ราวๆ30000-50000บาท และหมอประกอบคิดค่าหมอแค่150บาทต่อครั้ง แถมให้ยารักษางูสวัดที่ผลิตในไทยเอง หมอบอกน่าจะ2-3 เดือนอาการจะหายตามปกติ ขอแค่ออกกำลังกาย และบริหารใบหน้า. ตอนนี้เราก็หายเป็นปกติ ตอนที่ปวดหัวมากๆที่อังกฤษคือเรามีความดันสูงมากๆ โชคดีที่ไม่มีเส้นเลือดในสมองแตก ตอนนี้เลยทำงานน้อยงและนอนพักมากๆๆไม่อยากเป็นอีก. เพราะเชื้อไวรัสอยู่ในร่างกายคนเราเอง ถ้าเมื่อไหร่เราอ่อนแอเชื้อจะแสดงอาการออกมาทันที   ที่เล่ามาก็แค่อยากบอกว่า ระบบที่เมืองนอกก็มีส่วนดี ไม่มีระบบเส้นสาย มาตามนัด ถ้าเราใช้ประจำก็คงคุ้นเคย ส่วนที่บ้านเรามีให้เลือกมากมาย อยากได้บริการดีก็พกเงินไปเยอะๆๆ ค่าหมอมีตั้งแต่50บาทยัน1000บาท ราคาขึ้นกับหมอจะคิดเอง ถ้าเงินเดือนคนไข้น้อยก็คิดน้อย ถ้าเงินเดือนคนไข้มากก็คิดมาก แถมเวลาป่วยมาแล้วหายเร็วมากเนื่องจากคนไข้บอกเอายาแรงๆคะ ฉีดยาไปเลยจะได้หายสนิท แล้วมีใครรู้มั้งว่าหมอให้ยาอะไร เซลในร่างกายของคนเราที่กำลังผิดปกติกลับหายเป็นปิดทิ้ง ก็มียาเดียวที่ทำให้โรคต่างๆหายเร็วทันใจ ที่เราเรียกว่ายาผีบอก. ก็คือเสตียร์รอยนั้นเอง ข้อเสียตือไตพังถ้าใช้บ่อยเพราะยาจะไปกดภูมิคุ้มกันปกติในร่างกายใช้บ่อยๆนานๆไตก็ค่อยพัง และคนไข้จะเริ่มดื้อยาง่าย หมอต้องเปลี่ยนยาที่แรงขึ้น ตอนเราอยู่บริษัทเราจะแนะนำพนักงานให้ทานยาน้อยที่สุดแต่พนักงานบางคนไม่เอาขออย่างแรงจะได้กลับมาทำงานเร็วๆ บางคนก็ทำตามและหายเหมือนกันแต่อาจจะช้าๆ  ส่วนเมืองนอกหมอชอบวิเคราะห์และวิเคราะห์ก่อนให้ยา และจะ แนะนำการปฎิบัติตัวให้ถูกวิธี และอาจจะหายเอง นั้นคือ health promotion หรือการหายตามธรรมชาติ ตอนนี้พวกเราสามารถเปิดหาความรู้ในเนตได้ ขอให้รู้ว่าเป็นไวรัสไม่มียารักษาให้หายนะคะ นอกจากการพักผ่อนและออกกำลังกาย   ทานน้ำเยอะๆ ทำตัวให้อบอุ่น     ติดเชื้อแบคทีเรียต้องให้ Antibiotic จะทานได้เมื่อมีการอักเสบจริงๆคือมี4อย่างคือปวด บวมแดงร้อน ยิ่งมีลูกเล็กๆเด็กจะป่วยบ่อยๆจนเค้าเริ่มมีภูมิคุ้มกันตัวเองก็จะค่อยๆป่วยน้อยลงเช่นไข้หวัด หอบหืดบูชาๆๆ นอกเรื่องไปเลย ยังไง จขกท. พยายามรักษาตามธรรมชาติน่ะคะ ถ้ามีบาทแผลที่ฉีกขาด ถ้าไม่ถึงกับเส้นเลือดใหญ่ฉีกขาดก็ทำเองง่ายๆ ค่ะ ใช้ผ้าหรือกระดาษทิชชู่ที่สะอาดกดแผลนานๆซัก5-10 นาทีขึ้นกับสารแข็งตัวในเลือด ใช้ยาทาแผล betadine ขวดเหลืองๆ ที่เมืองไทย หยอดฆ่าเชื้อโรคหน่อยเพราะยาตัวนี้ใช้ทาก่อนลงมีดผ่าตัด ค่อยๆถอนมือออกเบาๆ แล้วใช้sterline strip ที่เป็นแผ่นติดตามขวางหรือตามยาวก็ได้เพื่อแผลจะได้ติดกันเร็วขึ้น และตามด้วยพลาสเตอร์ใส่กันน้ำให้ญาติที่ไทยส่งมาก็ได้ค่ะ. ควรจะมีอุปกรณ์เหล่านี้ติดบ้านโดยเฉพาะพลาสเตอร์กันน้ำ แผลที่ต่างประเทศจะหายช้ากว่าแผลที่เมืองไทยเพราะอากาศเย็นค่ะ ขอให้ทำใจให้ได้นะคะ.        น้าเราที่เวลล์ก็ใช้ประจำเพราะสามีป่วยและต้องนอนที่ รพ. มาหลายปี หมอยังเขียนใบให้น้าเราไปทำเพื่อที่จะได้นั่งรถฟรี เมล์ฟรีเพราะน้าเราก็ไม่ได้ทำงานมาหลายปี ก็คงต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบประเทศที่เราไป เราจะได้มีความสุข จากคุณ : โค้งหักศอก เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 18:50:47

ความคิดเห็นที่ 6 ยังไม่เคยเจอแย่ๆนะค่ะ เพราะถ้าลูกไม่สบายก็โทรไปนัดหมอก่อนอย่างน้อยก็โทรวันนี้ พรุ่งนี้ได้เจอ หรือถ้าด่วนจริงๆ เค้าก็จะหาเวลาที่ปลอดเด็กคนอื่นให้ กลัวไปติดเด็กคนอื่น ถ้าด่วนมากคนรับโทรศัพท์จะลัดคิวให้ก่อนตลอดเวลาเลยค่ะ มีอยู่ครั้งนึงตอนท้องตกเลือด สามีโทรไปถามหมอ หมอก็บอกให้มาหาได้เลย เพราะมันอันตรายรอนานไม่ได้ อันนี้ก็ลัดคิวให้เหมือนกัน แม่มาหัวเข่าอักเสบที่นี่ ก็พาไปหาหมอ เข้าฉุกเฉินเลย เพราะว่าบวมมากเดินไม่ได้ (เข้าเอกชน เพราะรัฐบาลคงจะรอนาน) เค้าก็รับเลยไม่มีปัญหาอะไร แล้วที่ประทับใจที่สุดก็คือ ไปเที่ยวอเมริกา แล้วลูกสาวคนเล็กคาดว่ากระเพาะติดเชื้อโรค ดื่มนม กินอาหารเสริมไม่ได้เลย อ้วกตลอดเวลา เพื่อนที่นั้นเค้าก็บอกว่าอยากมากกกกกกกกกกกกกที่จะได้พบหมอ แต่เค้าก็แนะนำให้ไปหาหมอที่โรงพยาบาล Kaiser (ถ้าจำชื่อไม่ผิดนะค่ะ) เป็นเอกชน เดินวุ่นวายไปหมด พอไปถึงแผนกเด็กแล้ว พยาบาลถามถึงจดหมายนัดหรือว่าคิวนี่แหละค่ะ เราไม่มีอะไรเลย  เพราะว่าเดินเข้าไป เราก็บอกว่าลูกเราขาดน้ำอย่างมาก อ้วกตลอดเวลา ตอนนั้นมีเลน่าอายุได้ 7 เดือนเองค่ะ ตัวซีดเซียว ไม่มีแรง เพราะว่าอ้วกทั้งคืน ดื่มอะไรก็ออกมาหมด แล้วพยาบาลเค้าก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้เลย จากนั้นหัวหน้าพยาบาลมาดูให้เลยค่ะ เค้าบอกว่าจะรับไว้ ให้ทำเอกสารทุกอย่างให้เรียบร้อย ต้องจ่ายเงินประกันการรักษา 150 เหรียญ เรารูดบัตรเอาค่ะ พอทำเอกสารคนไข้เสร็จ อีก 30 นาที หมอก็มาดูค่ะ เราร้องให้สงสารลูกมากๆตอนนั้นนะ คุณหมอก็ใจดี ทำเอกสารทุกอย่างให้หมด เพราะว่าต้องเดินทางกลับสวิสในวันรุ่งขี้น ได้เกลือแร่มาสองขวดเต็ม เผื่อบนเครื่องด้วย คิดว่าค่ารักษาน่าจะมากกว่า 150 เหรียญนะค่ะ แต่เค้าไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้มาให้เลยค่ะ สงสัยว่าคงจะได้จากประกันไปแล้วเรียบร้อย ที่โรงพยาบาลเมืองไทยอะไรก็ดีค่ะ เสียอย่างเดียวรอนานมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก มาเช้าได้เจอบ่าย มาบ่ายได้เจออีกวัน จากคุณ : bear hunt เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 19:30:12

ความคิดเห็นที่ 7 ดิฉัน มาอยู่เยอรมัน ดันมาป่วยบ่อยๆ ได้มีโอกาสไปหาหมอที่นี่ ระบบที่นี่ ดีพอสมควร ไปโดยไม่ได้นัดก็ได้ ขอนัดก่อนก็มี หมอส่วนมากที่ไปหา ไปหาที่คลีนิค มีเครื่องไม้เครื่องมือตรวจ ทันสมัย ยกเว้นกรณี พิเศษ ต้องไป โรงพยาบาล อย่าง ซีที แสกน หมอก็จะส่งไป หรือ ส่งต่อไปหาหมอเฉพาะทาง เป็นเรื่องๆ ไป ระบบที่นี่เป็นระบบประกันสุขภาพด้วย จ่ายเงินทุกเดือน อย่างหมอฟัน สามีโทรไปขอนัด เขาไม่มีคิวว่าง เขาบอกว่า ฟันหัก เป็นเคสฉุกเฉิน เขาก็บอกมาได้เลย ไปถึงก็ทำให้ โรงพยาบาลเมืองไทย ดิฉันก็ว่าดีมากเหมือนกัน กลับไปหนที่แล้ว ได้ไปโรงพยาบาลตอนเย็น เขาเปิดทำการ คลีนิคนอกเวลา ได้เห็น คนไข้ที่ไม่มีเวลา ไปตอนกลางวัน ไปรับบริการเยอะ พอสมควร และถ้าให้เลือก ดิฉันขอเลือก รักษาที่เมืองไทย ยังไงในความรู้สึก ก็ว่า จะดีกว่า จากคุณ : พิพพ์ เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 20:02:21

ความคิดเห็นที่ 8 ที่เนเธอร์แลนด์นี่ก็โอเคนะคะ ย้ายมาอยู่นี่ดีไหม อิๆๆ ที่นี่ดูเป็นกรณีไป ถ้าฉุกเฉินโทรหาจีพี เขาจะพิจารณาตามอาการก่อน ถ้าฟังแล้วดูแย่ อย่างอายุ 80 ปวดหัวมาก อาเจียนทั้งวันล่ะก็มาเลย แต่ถ้าอายุน้อยบ่นปวดหัวก็อาจให้กินยาแก้ปวดที่บ้านแล้วรอไปก่อน ตอนไปคลอดสมคิดที่ รพ. สมคิดไม่ดูดนมแม่เลยเพราะคลอดก่อนกำหนด ตัวเล็กมาก ต้องเข้าตู้อบแล้วให้นมทางสายยาง ดิฉันไม่อยากทิ้งลูกไว้ที่รพ.คนเดียว ทางรพ.มาคุยว่าให้อยู่ไม่ได้เพราะต้องการเตียงเก็บไว้ให้แม่ๆคนอื่น เราก็บอกว่าถ้าวันไหนเตียงไม่พอก็จะออก รพ.ก็จัดการย้ายคนโน้น คนนี้ให้เรา เพราะเขาก็เห็นใจเราแล้วทางประกันก็บอกว่าเขาจ่ายให้เต็มที่ 7 วัน ดิฉันเลยนอน รพ. 7วัน 7 คืน ทั้งๆที่ไม่ได้ป่วยอะไรเลย ปกติที่นี่คลอดปุ๊บถ้าแข็งแรงทั้งแม่ทั้งลูก เขาก็ให้กลับบ้านภายในวันนั้นได้ ทุกเช้าก็มาถามว่าเป็นไง โอเคไหม สบายดีไหม ไม่ชอบใจอย่างเดียวก็คือเห็นๆอยู่ว่ายังหลับ จะปลุกขึ้นมาถามทำไมฟะ ฮ่วย อีกเรื่องคือดิฉันเป็นต้อลม แล้วมันเริ่มลามเข้าตาดำ กว่าจะนัดหมอตาได้ก็ีอีกสองเดือน แต่ก็เข้าใจเพราะเรามันไม่ได้ถึงขนาดว่าถ้าไม่ได้ผ่าด่วนจะตาบอด เขาก็ดูเป็นรายๆไป ด่วนและสาหัสก็ให้คิวก่อน เส้นสาย พ่อใคร ลูกใครไม่มี จากคุณ : ZOMG เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 01:26:20

ความคิดเห็นที่ 9 ถ้าป่วยแบบไม่ใช่โรคเรื้อรัง ป่วยที่กรุงเทพสบายกว่าค่ะ เข้า รพ เอกชน เลยสะดวกรวดเร็วมากๆ เรานอนเฝ้าคนไข้ได้ด้วย เคยป่วยที่ออสนี่แบบต้องนอนค้างคืนที่ รพ พอสองทุ่มสามีก็โดนไล่กลับแล้ว ไม่ชอบเลย แต่ถ้าป่วยเป็นโรคอะไรร้ายแรงหรือเรื้อรังนานๆนี่ รพ รัฐที่ออสเตรเลียนี่โดยรวมแล้วดีกว่า รพ รัฐที่กรุงเทพนะคะ มีระบบระเบียบดีเราว่า เรื่องต้องรอเจอหมอGPเป็นวันๆนี่ คุณ จขกท ลองดูที่อื่นหรือยังคะ คงเป็นเพราะหมอมีคนไข้เยอะมากจริงๆ หมอของเรานี่ไม่เคยต้องรอข้ามวันค่ะ จากคุณ : ยุ้ยหัดเขียน เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 16:26:17

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ทราบระบบ Health Care ของออสเตรเลีย แต่คิดว่าคงคล้ายกับที่เดนมาร์ก คือส่วนมากจะเป็น รพ. รัฐ และการรักษาพยาบาลฟรี และ รพ. เอกชนก็จะมีแต่เฉพาะแผนกที่เค้าคิดว่าสามารถทำเงินได้ดี เช่นแผนกเฉพาะทางทางด้านหัวใจ ผ่าตัดเสริมสวย ศัลย์กระดูก ฯลฯ อะไรแบบนั้น เข้าใจความรู้สึกของคนป่วยว่าเวลาป่วยไข้ได้เจ็บ ก็อยากพบหมอไวๆ ว่าไปดิฉันชอบระบบนัดหมายนะคะ เพราะมันทำให้จัดสรรเวลาในชีวิตได้ ส่วนเรื่องการโทรไปนัดหมายขอเวลากับหมอ มันเป็นศิลป์และศาสตร์ค่ะ เพราะคนป่วยก็ต้องรู้ว่าตรงไหนสำคัญและควรบอกให้อีกฝ่ายรู้ ทางฝ่ายหมอจะได้ตัดสินใจถูกว่าอาการที่คุณว่ามานั้น ความด่วนมันมากแค่ไหน หากบอกไม่ละเอียดหรือไม่ครบถ้วน เพราะคิดว่าไม่สำคัญ อีกฝ่ายได้ข้อมูลไม่ครบ เค้าก็อาจตัดสินใจว่ามันไม่สำคัญมาก และคอยได้น่ะค่ะ ดิฉันเชื่อว่าหากคนไข้มีอาการป่วยแบบฉุกเฉินและต้องได้รับการรักษาพยาบาลแบบทันท่วงที เพื่อที่จะช่วยรักษาชีวิต หรือช่วยสกัดไม่ให้พิการมาก หากคนไข้คนนั้นติดต่อระบบทันท่วงทีและบอกข้อมูลที่สำคัญต่อการรักษาได้ หรืออาการมันเด่นชัดจนฝ่ายรักษาพยาบาลรู้ว่านี่มันอาการฉุกเฉิน คนนั้นก็จะได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วค่ะ ขอยกตัวอย่างให้ฟังสักเรื่อง ดิฉันเคยรับคนไข้ stroke ที่ GP ส่งตัวเข้ามารับการรักษาแบบด่วนจี๋ ก็แน่ค่ะว่าคนไข้ต้องผ่านการคัดและกลั่นกรองอย่างดีจากพาราเมดิคและแพทย์เฉพาะทาง (neurologist) ของที่วอร์ด และบอกได้เลยว่าจากเวลาที่คนไข้เริ่มมีอาการอัมพฤกษ์ชาครึ่งซีก จนบินกับ ฮ. มาเข้าแอดมิตที่วอร์ด หมอวินิจฉัยตรวจตราและพาไปทำ CT จนกลับมาที่วอร์ดให้ดิฉันให้ยาละลายลิ่มเลือด ทั้งหมดทั้งสิ้นใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง ทั้งนี้และทั้งนั้นก็เพราะอาการของคนไข้มันด่วนมาก และรอไม่ได้ คิดว่าที่ออสเตรเลียก็คงมีระบบ triage เหมือนที่เดนมาร์ก คือเค้าจะคัดเลือกให้ priority คนไข้ตามอาการ หากสาหัสมาก ก็ได้เจอหมอเร็ว หากอาการนิดหน่อยแค่เลือดตกยางออก แต่ห้ามเลือดแล้วก็หยุด อย่างอาการของลูกคุณ แบบนี้เค้าก็ถือว่าไม่หนักหนาสาหัส และปล่อยให้คอยได้ ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่นะคะ ว่ากังวลมากเวลาลูกป่วยหรือไม่สบาย และอยากเจอหมอเร็วๆ ดิฉันเองก็เคยพาลูกชายที่ตอนนั้นวัยสี่ขวบที่ประสบอุบัติเหตุที่เดย์แคร์ ลูกหกล้มคางแตก คิ้วแตกจนเลือดกลบหน้าไปนั่งคอยหมอที่แผนกฉุกเฉิน ดีว่าดิฉันเป็นพยาบาล พอดูอาการออกว่าอันไหนด่วน อันไหนไม่ด่วน ที่จริงจะไม่พาลูกไปหาหมอก็ได้ เพราะแผลมันไม่ลึกมาก ถึงเลือดจะออกเยอะ แต่ห้ามเลือดแล้วก็หยุด แต่ก็ยังพาลูกไปนั่งคอยหมออยู่ดี เพราะอยากให้หมอเช็คเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีอาการกระดูกร้าว(คางและแก้ม) และสมองไม่กระทบกระเทือน (brain concussion) เพราะทางเดย์แคร์เค้าบอกว่าลูกล้มจากกระไดลื่น กลิ้งหัวฟาดทั้งโครงเหล็กและของเล่นสารพัดสารพันที่วางเกลื่อนอยู่แถวนั้น  คอยนานแต่ก็เพื่อความแน่ใจ ก็เลยคอยได้ค่ะ อีกรอบก็ตอนลูกชายโดนเพื่อนผลักจักรยานเหล็กที่หนักมากใส่ (เด็กผู้ชายเค้าเล่นกันแรงผิดปกติค่ะ ดิฉันโทษทางเดย์แคร์ว่าดูแลเด็กไม่ดี เวลาเด็กมี conflict ก็ไม่รีบเข้ามาห้าม ปล่อยให้มันลุกลามจนเด็กเริ่มลงไม้ลงมือกัน) ปรากฏว่านิ้วแม่โป้งเท้าเยิน เลือดกลบ และเล็บหลุด ก็โดนโทรตามด่วนจี๋และดิฉันพาลูกไปนั่งคอยหมอที่ ER อีก อาการไม่หนักหนา ก็เลยได้คอยนานอีกเช่นเคย แต่ก็คอยได้เพราะอยากเห็นเอ็กซเรย์ว่าลูกกระดูกนิ้วแตกหรือเปล่า ก็โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องดามกระดูกหรืออะไรทั้งสิ้น ส่วนลูกสาวเคยหกล้มกระดูกเท้าหัก คนนี้เจอหมอไวมาก คงเพราะว่าหมอว่างช่วงนั้นพอดี หรือไม่ก็คงเพราะดิฉันรู้จักกับพยาบาลคนที่รับไข้ลูกสาว อันนี้ก็มีส่วนช่วยเร่งความไวของการรักษาพยาบาลค่ะ ต้องยอมรับความเป็นจริง แต่ดิฉันไม่ได้ใช้เส้นนะคะ ก็เข้า ER และนั่งคอยแบบคนไข้คนอื่น ไม่ได้ใส่เครื่องแบบด้วยซ้ำไป แต่พอดีว่าเคยทำงานกับพยาบาลคนนั้นมาก่อน เธอคงเห็นใจ เลยช่วยเร่งหมอให้... ส่วนเรื่องที่ว่าพาลูกไปหาหมอแล้วเค้าไม่รับเพราะเค้าไม่มีวอร์ดเด็ก เรื่องนี้ก็เข้าใจความรู้สึกนะคะว่าในความรู้สึกของคนทั่วไป รพ. ก็คือ รพ. หมอก็คือหมอ แต่หมอที่เรียนเฉพาะทางมา เค้าจะเก่งแต่สาขาเฉพาะทางของเขา แล้วเด็กนั้นจะพิเศษกว่าผู้ใหญ่ คือร่างกายและรบต่างๆในร่างกายจะไม่เหมือนกับผู้ใหญ่ หากจะเข้ารับการรักษาแบบที่ต้องเข้านอนรับการรักษา ก็ต้องให้หมอเฉพาะทาง คือ pediatrician รักษา เพราะเค้าจะชำนาญการรักษาเด็กทั้งเด็กอ่อนและเด็กโตค่ะ ดิฉันเคยไปฝึกงานที่ pediatric ward ที่ รพ. แห่งหนึ่งในเดนมาร์ก เห็นแล้วทึ่งมาก เพราะเค้ามี ER ให้คนไข้ตัวเล็กโดยเฉพาะ ไม่ต้องไปนั่งคอยรวมกับผู้ใหญ่ นอกจากนี้แล้วเค้าก็มีหมอเฉพาะทางของโรคต่างๆ ที่รู้เรื่องการรักษาเด็กด้วย อยากให้ทุก รพ. มีแบบนี้จัง เพราะเด็กๆ นั้นบางคนเค้าช็อคนะที่ต้องมานั่งรวมกับคนป่วยผู้ใหญ่ที่ป่วยด้วยอาการแปลกๆ เรื่อง รพ. เอกชนหรือ รพ. รัฐ อันไหนดีกว่ากันนี้ ส่วนตัวแล้วดิฉันสนับสนุน รพ. รัฐ เพราะดิฉันคิดว่า รพ. รัฐให้การรักษาแบบเท่าเทียมกันกับทุกคน  เท่าที่ดิฉันเห็นมาคุณภาพในการรักษาและพยาบาลของ รพ. รัฐ นี้ไม่ได้ด้อยกว่า รพ. เอกชนเลย บางทีจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะสามารถติดต่อขอ expertise help จาก รพ. อื่นๆ ทั้งในและนอกประเทศได้   ส่วนตัว(อีกเช่นกัน)ดิฉันไม่ชอบการทำงานของ รพ. เอกชนที่เดนมาร์ก เพราะเค้ารับรักษาแต่คนที่สุขภาพดีและมีเงินจ่าย หากคนไหนไม่มีเงินหรือมีโรคแทรกซ้อนนิดหน่อย เค้าจะไม่รับรักษานะคะ เพราะเค้าดีดลูกคิดแล้วเค้าว่ามันไม่คุ้ม ไหนจะทำให้สถิติเค้าเสียอีก แล้วคนที่ไปรับการรักษากับ รพ. เอกชน นั้น พอเกิด complications ขึ้นมา เค้าก็ไม่รับรักษาอีก เพราะเค้าไม่มีเตียงรับคนไข้ เค้ามีให้แค่คนไข้นอนพักฟื้นสองสามวันหลังผ่าตัด และเค้าจะรับแต่คนที่ช่วยตัวเองได้ หากคุณต้องมีคนช่วยเช็ดล้างความสะอาดเวลาอึ/ฉี่ อะไรเนี่ย เค้าก็ไม่รับอีก หากรับ ก็รับแบบ ambulant คือรักษาเฉพาะแต่โรค/อาการที่เป็น แล้วคุณก็กลับบ้านคุณไป ไม่ต้องมานอนให้เค้าต้องดูแลนะ แบบนี้ดิฉันว่ามันไม่ยุติธรรมค่ะ ดิฉันเคยรับคนไข้หญิงที่ผ่าตัดทำหน้าอกแล้วหน้าอกเป็นแผลเน่าเฟะมานอนให้หมอศัลย์ของ รพ. รัฐ ตัดเนื้อเน่านั้นทิ้ง ไม่ใช่แค่คนเดียวนะคะ หลายคนด้วย มากจนน่าแปลกใจ เรียกว่าเราหน่วยปัดกวาดเช็ดล้างตามหลัง รพ. เอกชนที่ทำงานชุ่ยแท้ๆ เลย และดิฉันก็เคยรับคนไข้ที่ไไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกสะโพกและเกิดมีอาการติดเชื้อ คนไข้อุตส่าห์นั่งรถไปหาหมอศัลย์ที่ รพ.เอกชนนั้นๆ แต่ทางโน้นเค้าไม่รับค่ะ เค้าบอกว่าเรื่องติดเชื้อไม่ใช่เรื่องของเค้า (แต่ไม่คืนเงินผ่าตัดนะคะ... หน้าด้านมากๆ) ตกลงว่าคนไข้ติดเชื้อจนมีอาการ sepsis ป่วยหนักจนทาง 112 (คล้าย 911 ของอเมริกา) ส่งมานอนรักษาที่ ICU ของรัฐ แล้วก็ส่งขึ้นมา rehab ที่วอร์ดศัลย์กระดูก นี่เรื่องจริงนะคะ คนไข้เล่าให้ฟังเองเลย ที่จริงมีตัวอย่างร้ายๆ จากบริการ(ไม่)ประทับใจของ รพ. เอกชน เยอะกว่านี้ แต่ขี้เกียจพิมพ์แล้วค่ะ ดิฉันว่าแทนที่จะเอาเวลามานั่งเกลียดระบบในประเทศที่คุณอยู่ คุณควรเอาเวลามาศึกษาระบบ Health Care ของเค้าดีกว่าว่าระบบมันเป็นอย่างไร พอรู้และเข้าใจระบบแล้ว ความหงุดหงิดก็จะลดลงไปค่ะ นอกจากนี้แล้วก็ช่วยทำให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วด้วยว่าเมื่อไรมีอาการด่วนและควรไปหาหมอ และเมื่อไรอาการนั้นๆ ยังคอยได้ จะให้ดีก็ควรเรียนรู้วิธีปฐมพยาบาลขั้นต้นด้วย เพราะอยู่ประเทศที่กว้างใหญ่ บางทีการช่วยเหลืออาจใช้เวลานานหน่อยกว่าจะมาถึง หากคุณรู้และระงับภัยและอาการฉุกเฉินขั้นต้นได้ ก็จะช่วยทุเลาอาการที่หนักให้เบาบางลงค่ะ *** ปล. เข้ามาแก้ไขข้อความที่เขียนตกค่ะ ไม่ทราบว่าแก้ไขหมดหรือเปล่า แต่นี่ก็เข้ามาสองรอบแล้ว ตอนนี้ขี้เกียจเช็คแล้วล่ะ :) แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 18:31:17 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 18:29:00 จากคุณ : Smilla เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 18:15:00

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อก่อน มาอยู่สเปนใหม่ ๆ ไม่เข้าใจระบบ หมอที่นี่ โอ้ยนั่งรอเป็นชั่วโมง ขนาดนัดไว้ล่วงหน้า  ถ้าไปเอกชน เสียค่าปรึกษาหมอ 50 ยูโร ก็้ต้องนั่งรอเป็น ชั่วโมงอยู่ดี ตอนหลังโอเคทำประกันเผื่อจะดีขึ้น  แต่เปล่าเลย ดีขึ้นเวลาเรากลับเมืองไทย รักษา โรงพยาบาลเอกชนได้ อิสระ เคยไม่สบายมากเมนส์มามากขนาดว่า ขยับเป็นไหลนองเลย ไปหาหมอ ๆ ให้นั่งรอ 5 ชม จนผ้าอนามัยสำหรับเปลี่ยนหมดไป 2 ห่อใหญ่ จนสามีว่า เปลี่ยนทำไม ให้ไหลนองพิ้นไปเลย ดูซิว่าจะมีใครมาดูแลไหม เราก็ลองทำดู ไหลนองพื้นจริง ๆ นะคะ พยาบาลมาว่าเราหาว่าเราสกปรกทำไมไม่ไปห้องน้ำ แฟนเลยว่าไป ไม่นานได้เจอหมอ และรักษา สุดเซ็งมาก จนทุกวันนี้จะสั่งแฟนเลยว่า ถ้าฉันไม่สบายนะ ปล่อยเลย เอาแบบว่าให้หนักแล้วเรียกรถพยาบาลมา  เพราะถ้าไม่เป็นหนักเรียกรถพยาบาลเราจะเสียเงินไง   เมืองไทย เดียวนี้โรงพยาบาลรัฐ ถึงจะรอยา แต่เราว่า รอน้อยกว่ารอที่เมืองนอกอีก จากคุณ : Kun Toom เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 17:04:57