PANTIP.COM : H11204943 สงสัยเรื่องงาน "เจ้าหน้าที่การทูต" []

ความคิดเห็นที่ 5

แวะผ่านมาแล้วเห็นกระทู้นี้พอดี เลยขอช่วยให้ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับประเด็นที่ จขกท. มีข้อสงสัยดังนี้ (ต้องขอโทษที่ตอบไม่ครบตามประเด็นที่ได้มีการยกไว้ข้างต้นแล้ว) ทั้งนี้ ต้องขอเรียนไว้ ณ ที่นี้ด้วยว่าความคิดเห็นต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวครับ

- เท่าที่เห็นการจบ IR หรือวิชาอื่นมิได้เป็นการตัดสินว่าใครจะมีภาษีในการทำข้อสอบของกระทรวงการต่างประเทศมากกว่ากัน เพราะในมุมมองของผม ปัจจัยที่เอื้อต่อการที่ใครจะผ่านข้อสอบของกระทรวงฯ คือ หนึ่งความรู้เท่าทันเหตุการณ์และพัฒนาการในด้านต่างๆ ไม่ว่าด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ และสองการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งหากพิจารณาจากปัจจัยทั้งสอง ผมคิดว่าคนที่จบ IR ก็ไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่จะได้เปรียบกว่าคนที่จบจากสาขาอื่นเท่าใดนัก

- ปกติจะจัดสอบเป็นประจำทุกปีในช่วงปลายปีครับ ทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับปีนี้ที่เปิดรับ 30 ที่ ในอดีต (ประมาณสิบปีที่แล้ว) มักจะเปิดรับสมัครประมาณ 10 - 20 ที่เท่านั้น

- ทราบว่ามีแค่สองรอบ โดยในรอบแรก ข้อเขียน แบ่งสอบเป็นสองวัน ถ้าจำไม่ผิดวันแรกเป็นการสอบความรู้ทั่วไป วันที่สองเป็นการสอบความรู้เฉพาะ (หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย) จากที่เห็นในวันสอบจริง จากรายชื่อผู้มีสิทธิสอบ 2 - 3000 คน คนที่มาสอบจริงในวันแรกอาจคิดเป็นเพียวร้อยละ 7-80 พอผ่านการสอบวันแรก คนที่มาสอบวันที่สอง อาจเหลือเพียงไม่ถึงครึ่ง ซึ่งถ้าถามผมว่าจำนวนคนที่หายไปเป็นเพราะความยากของข้อสอบหรือไม่ จากที่ผมได้กล่าวแล้วข้างต้น ผมคิดว่าสาเหตุหลักน่าเป็นเพราะการเตรียมตัวมาสอบของแต่ละคนไม่ตอบความต้องการตามที่กระทรวงฯ ต้องการ จำได้ว่าเคยเห็นจากห้องสอบที่ตามรายชื่อควรมีผู้มีสิทธิสอบ 40 คน เช้าวันแรกมีคนมาประมาณเกือบครบ แต่พอภาคบ่ายผู้มาสอบหายไปกว่าครึ่ง เช้าวันที่สองมีคนมาสอบแค่สิบกว่าคนเท่านั้นเอง เมื่อพูดถึงตอนนี้แล้ว ผมขอเสริมประเด็นนึงนะครับ ประเด็นนั้นก็คือ อย่ายอมแพ้ง่ายๆ ครับ เพราะการไม่ไปสอบเท่ากับการตัดอนาคตตัวเอง และเป็นการช่วยกำจัดคู่แข่งให้คู่แข่งของคุณในทางอ้อมนั่นเอง ดังนั้นไม่ว่าจะรู้สึกแย่อย่างไรก็ขอให้พยายามไปสอบให้ครบทั้งหมดตามวิชาที่กำหนดนะครับ

สำหรับรองสองนั้นเป็นการสอบนอกสถานที่ ซึ่งผู้จะมีสิทธิผ่านเข้ามาถึงรอบนี้ก็คือผู้ที่สอบรอบแรกได้คะแนนสูงที่สุดประมาณ 5-60 คน ซึ่งสิ่งการสอบรอบนี้ประสงค์ที่จะวัดก็คือลักษณะนิสัย บุคลิก การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ภาวะการเป็นผู้นำ ฯลฯ อนึ่ง ตามคำบอกเล่า การสอบในรอบนี้จะหินที่สุด เพราะแทบไม่สามารถเตรียมอะไรที่เป็นสารัตถะได้เลย โดยทั่วไปก็จะให้ความสำคัญกับ public speaking การใช้เหตุผล role playing จิตสำนึก ฯลฯ

- ประเด็นเรื่องนามสกุลเป็นประเด็นที่ได้ยินมากที่สุด โดยส่วนตัว ผมไม่คิดว่านามสกุลจะเป็นตัวตัดสินว่าใครจะเข้าทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศได้ ทั้งนี้ ในขณะเดียวกันผมไม่ปฏิเสธว่าการที่มีพ่อแม่เป็นนักการทูตเป็นปัจจัยบวกที่อาจเป็นตัวช่วยส่งเสริมให้เด็กคนหนึงสามารถเป็นนักการทูตดั่งพ่อแม่เขาได้ ซึ่งหากพิจารณาดูแล้วก็ค่อนข้างเป็นเรื่องธรรมดาที่ครอบครัวที่มีหมอ ผู้พิพากษา ทนาย ฯลฯ เป็นผู้ปกครองบุตรธิดาก็มักจะดำเนินตามรอยเท้าของผู้ปกครองของตน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วสำหรับครอบครัวนักการทูต ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกหลานจะได้รับรู้ถึงประเด็นที่พ่อแม่และญาติๆ ที่เป็นนักการทูตสนใจ และรับทราบถึงแนวทางในการใช้ความคิดสำหรับประเด็นต่างๆ ซึ่งหากเรามองเช่นนั้น ก็คงไม่แปลกว่าเยาวชนที่เติบโตมาในสภาวะแวดล้อมดังกล่าวอาจได้เปรียบคนอื่นบ้าง อย่างไรก็ตาม การที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีลักษณะเดียวกัน ก็อาจมีผลที่กลับกันโดยสิ้นเชิงกล่าวคือ เด็กอาจมองว่า พ่อแม่เสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวลาให้ วัน ๆ ก็ทำอะไรที่น่าเบื่อ พูดจาก็เข้าใจยาก ทำไมต้องย้ายบ้านบ่อยจัง เหงา ที่ไหนก็ไม่ fit in ซึ่งประเด็นต่างๆ ก็ทำให้ลูกหลานคนกระทรวงฯ มากมายที่ไม่ขอจะทำงานที่กระทรวงฯ

- ภาษาที่สำคัญที่สุด ผม่ว่าคงเป็นภาษาคนครับ ถ้าพูดภาษาคนไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องไปสอบครับ รองลงมาก็คือภาษาไทยครับ อีกภาษาสำคัญคือภาษาอังกฤษที่ต้องอยู่ในระดับใช้ได้ครับ สำหรับประเด็นภาษาอื่นๆ ผมคิดว่าความชำนาญภาษาอื่น ๆ เป็น icing on the cake แต่มิใช่ประเด็นที่จะบ่งชี้ว่าประสบความสำเร็จในการทำงาน นอกจากนั้นแล้ว แน่นอนครับ มีความเป็นไปได้ตลอดที่คุณต้องออกไปประจำการที่ประเทศที่คุณไม่รู้ภาษา

จากที่ผมก็ได้พูดไปเยอะแล้ว ผมอาจขอถาม จขกท. บ้างว่า ทำไมสนใจการเป็นนักการทูตครับ ในมุมมองของคุณภาพลักษณ์ของนักการทูตและจิตวิญญาณนักการทูตคืออะไร และทำไมคุณเหมาะสมกับการเป็นนักการทูตครับ นอกจากนี้แล้ว จุดเด่นของคุณคืออะไร และคุณจะ contribute อะไรให้กับกระทรวงฯ และประเทศได้บ้างครับ ถ้ารู้สึกกดดันส่งคำตอบมาทางหลังไมค์ก็ได้นะครับ
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 54 09:22:01

จากคุณ : Peking Man

เขียนเมื่อ : 18 ต.ค. 54 00:03:13