ความคิดเห็นที่ 1 ใจเย็นๆก่อนตั้งสติให้มั่น ก่อนอื่นต้องดูว่า การที่เอาบัตรเขามาใช้นั้น เขายินยอมหรือรู้เห็นหรือไม่ หรือว่าแอบเอาเขามาใช้โดยเจ้าของบัตรไม่ยินยอม และเมื่อเขาฟ้องต้องดูว่าเขาฟ้องในข้อหาอะไร ถ้าเขาเรียกร้องค่าเสียหายก็เป็นความแพ่ง แต่หากฟ้องว่าแอบเอาของเขามาใช้ก็คงฟ้องเป็นอาญา ทีนี้ ถ้าในกรณีฟ้องเรียกค่าเสียหาย ต้องดูว่าตัวพี่สาวมีทรัพย์สินอะไรที่เป็นชื่อของตนให้เขาฟ้องบังคับคดีได้หรือไม่ หากไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยเขาฟ้องไปก็คงไม่ได้อะไร แต่เมื่อคำตัดสินออกมาแล้วจะมีผลกับการทำธุรกรรมทางการเงิน คืออาจจะโดน Collection by judgement ส่วนถ้าโดนฟ้องอาญาก็มีสิทธิ์ ติดคุก หรือถูกปรับ ทั้งนี้ต้องดูว่าเขาฟ้องมาในลักษณะไหน อย่างไรด้วย จากคุณ : Rapier เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 15:51:30

ความคิดเห็นที่ 2 การหย่าแล้วถือใบเขียวต่อไปคนเดียว ครบห้าปีเมื่อไหร่ก็สามารถสอบเป็นซิติเซ่นได้ แต่หากว่ามีคดีความโดนฟ้องทางอาญาอยู่เป็นเรคคอร์ด ก็ต้องดูว่าหลุดคดีโดยไม่มีความผิด หากผิดก็ติดข้อ Good moral charactor อาจจะสอบซิติเซ่นไม่ได้ การจะทำการหย่าเพื่อหลบหลีกการเรียกร้องทางแพ่งนั้น ต้องดูว่าก่อนจดทะเบียนสมรส ทรัพย์ของสามีมีการระบุไว้ชัดหรือไม่ว่า เป็นทรัพย์ของเขาก่อนสมรส ไม่ใช่สินสมรส ส่วนทรัพย์ที่หามาได้ในภายหลังจะมีสิทธิ์ร่วมกัน หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย ก็คงเรียกบังคับได้แค่ส่วนที่ตนพึงมีพึงได้เท่านั้น คงไม่ยุ่งเกี่ยวกับสามีไม่ได้ ข้อแนะนำคือ หาทางเจรจาประณีประนอมกับคู่กรณี จบลงด้วย Compensation ที่เขายอมรับแล้วเลิกลาต่อกัน ในเมกาสู้กันไปไม่มีใครได้มากเสียมากหรอก ได้เสียพอกันทั้งคู่ เพราะตัวเงินค่าเสียหายก็ไม่ใช่ว่าจะเรียกได้เยอะแยะ ส่วนผู้ถูกฟ้องก็ไม่ใช่จะมีทรัพย์สินมากมาย จากคุณ : Rapier เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 16:00:40

ความคิดเห็นที่ 3 แค่สงสัยว่าทำไมไม่ให้เขาซื้อในนามของเขาเองซึ่งจะผิดน้อยหน่อย ใช้บัตรลูกน้องแล้วปลอมลายเซ็นต์หรืออย่างไร ฟังดูแล้วไม่หมูนะนี่ จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 17:02:48 A:98.231.188.19 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่น่าจะต้องถึงกับหย่าสามี  ขึ้นอยู่กับรายละเอียดปลีกย่อยบางประการที่คุณไม่ได้บอกเอาไว้ เช่น มูลค่าของนั้นเท่าไหร่  บางรัฐมีข้อกำหนด เช่นถ้าเป็นจำนวนน้อยๆ จะถูกตั้งข้อหาเป็น misdemeanor เท่านั้น แต่หากมูลค่ามาก หลายร้อยขึ้นไป ก็จะถูกตั้งข้อหาเป็น felony ซึ่งเป็นคดีอาญา ตรงนี้จะมีผลกับสถานะทางอิมมิเกรชั่นคือ จะทำให้ทำซิติเซ่นไม่ผ่านง่ายๆ  คือทำได้แบบมีเงื่อนไขและใช้เวลานะคะ ส่วนเรื่องทรัพย์สินของสามีนั้น ไม่ต้องกังวลให้มากไป เพราะอะไรก็ตามที่เป็นสินส่วนตัวของเขา ก็ยังเป็นของเขา และสินสมรสส่วนที่เป็นของเขาก็ยังเป็นของเขา ถึงแม้ในเคสที่มีการฉ้อโกงมูลค่าเป็นล้านๆ หากถูกทางการยึดทรัพย์ เช่น IRS สามีก็ยังมีสิทธิยื่นเรื่องขอขัดทรัพย์ได้   ทางที่ดีคือรีบติดต่อทนายในท้องที่นั้นด่วนค่ะ..... อย่าหนีคดีเป็นอันขาด  ถ้าหนี.. จะโดนข้อหาสมทบหนักขึ้น ทางที่ดีคืออยู่สู้คดีจนจบอย่าไปไหน  ถ้าเป็นการทำผิดครั้งแรก และรับสารภาพ ศาลมักจะปราณี อย่างเก่งก็ลงโทษปรับและทัณฑ์บน หรืออาจจะมี community services ร่วมด้วยค่ะ  จากคุณ : Lawanwadee เขียนเมื่อ : 22 พ.ย. 54 23:10:01

ความคิดเห็นที่ 5 จากที่ผ่าน ผมเดาว่าบัตรที่ว่าไม่ใช่ credit card แต่เป็น employee card ที่ให้สิทธิ discount ได้ เพราะถ้าเป็น credit card บริษัทจะมาเกี่ยวไรด้วย จากคุณ : สามีนุ่น เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 02:24:19 A:140.119.143.52 X: TicketID:324122

ความคิดเห็นที่ 6 อ่านแล้วเข้าใจว่า... คือการยืมบัตรพนักงานมาใช้เพื่อเปอร์เซ็นต์ส่วนลดในการซื้อสินค้าสำหรับพนักงานใช่หรือไม่ ถ้าใช่...เป้นกฏของบริษัที่ทุกคนทราบดีหรือไม่ทราบ ถ้าใช่...แล้วเวลาขอยืมลูกน้องใช้บัตรพนักงานตอนนั้น ลูกน้องเขาตอบตกลงด้วยความสมัครใจ หรือไม่ ถ้าใช่...ก็เป็นความผิดทั้งคู่ สมยอม ไม่น่าที่จะเอาผิดอะไรได้ ตรงนี้ความคิดเห็นส่วนตัว จากคุณ : A|E เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 02:38:35

ความคิดเห็นที่ 7 เพื่อนคนนั้นเต็มใจให้ใช้บัตรค่ะ. แต่พอบริษัทจะเอาเรื่องเค้าบอกว่าพี่สาวใช้แต่พี่สาวเป็นหัวหน้างาน เลยบอกว่าเป็นการที่พี่สาวบังคับค่ะ พี่สาวโดนออกจากงาน เค้าก็โดนออกจากงาน แต่เค้าจะฟ้องเนื่องจากเค้่าถูกออกจากงานเลยเสียรายได้ค่ะ จากคุณ : Cartoon & Goethe เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 08:07:38

ความคิดเห็นที่ 8 พี่ทำงานห้างค่ะ สาเหตุที่ไม่ให้ใช้บัตรคนอื่นเพราะ ลูกน้องทุกคนได้สิทธิ็ Employee discount เท่าเทียมกันทุกคน ทึ่ต้องใช้บัตรใครบัตรมันเพราะว่าถ้าคุณอยู่ช่วงพัก แต่เพื่อนอยู่ช่วงทำงานแล้วคุณใช้บัตรเพื่อน ตามกฎของบริษัทคือ you can't shopping while you on the clock. ค่ะ อันนี้ผิดอย่างร้ายแรงและโทษคือไล่ออกค่ะ จากคุณ : applematrix เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 08:07:55

ความคิดเห็นที่ 9 เพื่อนคนนั้นเต็มใจให้ใช้บัตรค่ะ. แต่พอบริษัทจะเอาเรื่องเค้าบอกว่าพี่สาวใช้แต่พี่สาวเป็นหัวหน้างาน เลยบอกว่าเป็นการที่พี่สาวบังคับค่ะ พี่สาวโดนออกจากงาน เค้าก็โดนออกจากงาน แต่เค้าจะฟ้องเนื่องจากเค้่าถูกออกจากงานเลยเสียรายได้ค่ะ. รู้สึกว่าพี่สาวจะได้เป็นซิติเซ่นแล้วค่ะ ไม่ใช่ใบเขียวค่ะ ดังนั้นถ้าหย่าขาดจะเป็นซิติเซ่นดังเดิมใช่ไหมคะ จากคุณ : Cartoon & Goethe เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 08:09:05

ความคิดเห็นที่ 10 อ้างว่าพี่สาวบังคับ..แค่คำพูดใครๆก็พูดได้ครับ  ฟ้องกันจริงๆก็คงยาก   บังคับยังไง จะบีบคอหรือ  ถ้าขู่เรื่องเพราะเป็นหัวหน้าเขาก็มีสิทธิไม่ให้และไปแจ้งฝ่ายบุคคล  พูด มาลอยๆฟังขึ้นยากมาก  ใครๆก็มองออกว่าเป็นกรณี Money driven   ถ้าจะเอาคำพูดต่อคำพูดพี่สาวคุณก็สามารถพูดได้ว่าลูกน้อง Offer เพราะอยากทำอะไรให้ หัวหน้า จากคุณ : Techie เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 08:32:27

ความคิดเห็นที่ 11 เป็นซิติเซ่นต์แล้วถึงจะหย่าก็ไม่มีผลต่อสถานะอะไรอีกแล้ว ผู้ที่ Natualized เป็นซิติเซ่นจะถูกเพิกถอนได้ก็คือ มีการกระทำอันเป็นการทรยศต่อประเทศชาติ (ขายชาติ) หรือทำความผิดร้ายแรงต่อความมั่นคงของรัฐ เช่นการค้ายาเสพติดโดยเป็นผู้ค้ารายใหญ่ หรือมีการกระทำฟอกเงินรายใหญ่ก็เป็นความผิด เมื่อถูกศาลสูลตัดสินว่าผิดแล้ว ก็อาจจะถูกเพิกถอนสัญชาติได้ การที่พี่สาวอ้างว่าอีกฝ่ายยินยอมให้ใช้บัตร ก็ต้องสู้คดีโดยพิสูจน์ที่จุดนี้ว่า อีกฝ่ายยินยอมให้ใช้ไม่ได้ใช้กำลังบังคับหรือข่มขู่ใดๆให้ยินยอม ถ้าไม่ได้ขโมยหรือแอบเอาเขามาใช้โดยเจ้าของไม่ยินยอมหรือไม่รู้ไม่เห็นก็ฟ้องได้แค่ความแพ่ง ความอาญาคงฟ้องไม่ได้ หากฟ้องสุ่มสี่สุ่มห้าไป ถ้าพี่สาวสู้พิสูจน์ได้ว่ามีการรู้เห็นยินยอม ก็จะกลายเป็นฟ้องเท็จ ผู้ฟ้องมีความผิดหลายกระทงทางอาญา จากคุณ : Rapier เขียนเมื่อ : 23 พ.ย. 54 13:30:00

ความคิดเห็นที่ 12 เขาขู่จะฟ้องเพราะเขาอยากได้เงินsettle case หรือเปล่า เพราะเขาก็ไม่มีเงินจ้างทนายเหมือนที่พี่คุณไม่มีนั่นแหละ ทางที่ดี นัดไกล่เหลี่ยหัน จ่ายเงินให้เขาไปเสีย เพราะว่ากันตามจริงืพี่คุณก็ผิด ต้องรับผิดชอบ เขาก็ผิดตรงที่อยากช่วยพี่คุณ จ่ายเงินให้เขาไป จบ ก่อนจ่ายให้เขาเซ็นต์ว้าจะไม่เรียกร้องฟ้องร้องอะไรอีก หมดเรือง จากคุณ : ก เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 05:06:50 A:98.199.17.239 X: TicketID:000072

ความคิดเห็นที่ 13 คุณสามืนุ่น คคห.5 เดาถูกต้องแล้วครับ  เพราะ จขกท ก็บอกไว้ที่หัวกระทู้ว่าเป็นบัตร พนักงาน และถูกไล่ออกเพราะนายทราบเรื่องก็เลยบอกว่าทำผิดกฏของห้าง  จึงถูกไล่ ออกทั้งคู่ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนให้บัตรและมีการเซ็นและแสดงไอดีด้วยหรือเปล่า  ถ้าลูกน้อง เป็นฝ่ายทำเองหมดก็คงฟ้องยากครับ  ส่วนมากคดีแพ่งที่มีแต่คำพูดลอยๆโดยไม่สามารถ ยืนยันหรืออ้างอิงได้จะไม่ค่อยชนะครับ  ถ้าชนะก็ได้ค่าตอบแทนไม่มาก   words against words  เป็นเคสที่ Judge ไม่ค่อยอยากจะตัดสิน จากความคิดเห็นส่วนตัว ผมว่าคุณปล่อยให้เขาเริ่มไปก่อนเลย   คิดว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ราคาขู่เสียมาก   ไปจ้างทนายทนายก็ไม่ค่อยอยากจะรับหรอกเคสแบบนี้  เพราะชนะยาก และเสียไม่คุ้มได้   ไม่ก็ small claim แต่ก็ชนะยากครับ ..เพิ่มเติมหลังจากที่อ่านข้อความในหัวกระทู้   เผื่อ จขกท หรือพี่สาวได้กลับมาอ่าน อาจจะเป็นประโยชน์กับเจ้าตัว ข้อความที่ว่า "ลูกน้องที่โดนคดีเพราะนำบัตรมาซื้อของให้คนอื่น" ถ้าเป็นตามที่เขียนจริงก็เป็นคำตอบที่ผมถามไว้ข้างบน  คือเจ้าตัวสมัครใจเอง แต่ตอนนี้ประเด็นเริ่มจะเบี่ยงไปว่า การที่โดนไล่ออกนี่เป็นการทำเกินเหตุหรือโดยไม่มีความผิดหรือเปล่า  ใช้สิทธิพนักงานซื้อของได้ส่วนลด..ไม่จำเป็นหรือมีกฏของห้างที่ไหนระบุว่าจะต้องซื้อใช้เองเท่านั้น  ซื้อให้คนอื่นก็ได้..ในที่นี้ก็ซื้อให้พี่สาวคุณ  พี่สาว คุณควรจะไปอ่านข้อกล่าวหาที่เป็นเหตุของการ Termination ดูให้ดีว่าเขียนว่าอย่างไร  มีข้อหาอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่   เคสนี่อาจจะออกไปทาง wrongful termination ได้ แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 54 02:15:36 แก้ไขเมื่อ 26 พ.ย. 54 02:14:54 จากคุณ : Techie เขียนเมื่อ : 24 พ.ย. 54 07:12:38

ความคิดเห็นที่ 14 ลูกน้องก็ต้องรู้กฏบริษัทก่อนให้ยืมตั้งแต่แรก จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 28 พ.ย. 54 11:33:13