|
ขออนุญาตตอบเผื่อผู้สนใจเรียนวิศวกรรมศาสตร์ที่ NUS ท่านอื่นด้วยนะครับ อาจตอบยาวสักหน่อยนะครับ (ผมไม่ได้เรียนที่ NUS หรอกนะครับ แต่เคยไปทำวิจัยที่นี่แป๊บๆ ครับ)
============================================================================================== หลักสูตรปริญญาโททางด้าน Engineering (สังกัด Faculty of Engineering) ของ National University of Singapore (NUS) จะมีอยู่ 2 แบบหลักๆ ดังนี้ ============================================================================================== [1] Coursework-based Degree / Coursework-based Programmes
ปริญญาจะเป็น Master of Science (M.Sc.) ทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาต่างๆ ที่เราเลือกเรียน โดยจะเน้นเรียนเฉพาะ coursework (วิชาเรียน) เท่านั้น ไม่เน้นการทำวิจัย (research) หรือ Thesis ถ้าจะมีทำวิจัยก็จะเป็นคล้ายๆ ปัญหาพิเศษเล็กๆ ครับ
ซึ่งหลักสูตร M.Sc. นี้ จะมีหลายสาขา ดังนี้ M.Sc. in Mechanical Engineering M.Sc. in Civil Engineering M.Sc. in Chemical Engineering M.Sc. in Electrical Engineering M.Sc. in Environmental Engineering M.Sc. in Systems Design and Management M.Sc. in Geotechnical Engineering M.Sc. in Transportation Systems & Management M.Sc. in Hydraulic Engineering and Water Resources Management M.Sc. in Intellectual Property Management M.Sc. in Management of Technology M.Sc. in Industrial & Systems Engineering M.Sc. in Materials Science & Engineering M.Sc. in Offshore Technology M.Sc. in Mechatronics M.Sc. in Safety, Health and Environmental Technology
หลักสูตรข้างต้นนี้จะเปิดรับปีละ 2 รอบ คือเดือน สิงหาคม และเดือนมกราคม ยกเว้นสาขา M.Sc.(Geotec), M.Sc.(Hydraulic Engineering & Water Resources Mgt), M.Sc.(IP Mgt), M.Sc.(Mgt of Technology), M.Sc.(Mechatronics), M.Sc (Offshore Technology) และ M.Sc.(Systems Design & Mgt) ที่จะรับเฉพาะเทอม August ครับ
สำหรับปริญญา M.Sc. in Mechanical Engineering นั้น จะมี 2 areas ให้ผู้สนใจเรียนเน้นด้านใดด้านหนึ่ง (specialization) ดังนี้ ครับ - Computation & Modelling - Manufacturing Technology & Automation
แต่ก็จะได้ปริญญาเป็น M.Sc. in Mechanical Engineering นี่ล่ะครับ
โดยตัวหลักสูตรนี้ จะต้องเรียนอย่างน้อย 40 Modular Credits (MC) (เทียบเท่า 40 หน่วยกิตนั่นแหล่ะครับ) โดย 1 วิชามักจะมีหน่วยกิตประมาณ 4 MC (หน่วยกิต) (เรียนประมาณ 39 ชั่วโมง/เทอม) เพราะฉะนั้น จะเรียนให้จบก็ต้องลงทะเบียนเรียนอย่างน้อย 10 โมดูล (10 วิชานั่นเอง)
จขกท. สามารถเข้าไปอ่านดูรายละเอียดวิชาเรียน (coursework) ที่มีในหลักสูตรนี้ได้ที่เวปไซต์ด้านล่างนี้ครับ อยู่ที่หน้า 31 นะครับ http://www.gse.nus.edu.sg/Application%20Booklet_Jan12.pdf
ทีนี้ จะเรียนให้จบเขามีเกณฑ์อยู่ว่าต้องเรียนให้ได้ Cumulative Average Point (CAP = หรือเกรดเฉลี่ยสะสม) อย่างน้อย 3.0 ครับ หรืออย่างน้อยต้องได้เกรด B- ขึ้นไป
เกรดของ NUS มีตั้งแต่ F จนถึง A+ ครับ
โดย F =0, D = 1, D+ = 1.5, C = 2, C+ = 2.5, B- = 3.0, B = 3.5, B+ = 4.0, A- = 4.5, A = 5.0, A+ 5.0 (ห้าจุดศูนย์เหมือนกับ A ครับ)
การให้ออก (Dismissal) และไม่รับเข้ามาเรียนอีก (re-admission) มีดังนี้ ถ้าเรียนไปแล้วเทอมแรกได้เกรด CAP น้อยกว่า 1.5 เขาจะให้ retire ออกไปเลยครับ ส่วนถ้าเรียนครบ 2 เทอม แล้วได้เกรดไม่ถึง 2.5 เขาก็จะให้ออกเช่นกัน และถ้าครบ 3 เทอม แล้วไม่ถึง 3.0 ก็จะให้ออกเช่นกันครับ
สรุปก็คือต้องเรียนให้ได้เกรดเฉลี่ยสะสม (CAP) อย่างน้อย 3.0 และเรียนอย่างน้อย 40 หน่วยกิตครับ (เรียนประมาณ 10 วิชา)
เกณฑ์การสมัครเข้าเรียน 1. Transcript ป.ตรี (บางทีเขาอาจขอหลักฐานการจบตอน ม.ปลายด้วย) 2. Degree certificate (ปริญญาบัตร) 3. Financial Statement ซึ่งนักเรียนต่างชาติต้องมีเงินในบัญชีแสดงให้เห็นเป็นอย่างน้อย 15,000 US Dollar หรือประมาณ 450,000 บาทขึ้น (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินไทยกับ US Dollar) หรือกรณีที่ได้ทุนจะใช้หลักฐานที่เป็นจดหมายรับรองจากทุน (letter from sponsorship) ก็ได้ครับ 4. ผลการสอบภาษาอังกฤษครับ ซึ่ง NUS รับ TOEFL หรือ IELTS ก็ได้ โดยผลคะแนนสอบจะต้องมีอายุไม่เกิน 2 ปี นะครับ 4.1 ถ้าสอบ TOEFL จะต้องได้คะแนน ดังนี้ - กรณีที่เป็น Paper-based Test (PBT จะต้องได้อย่างต่ำ 600 คะแนน - กรณีที่เป็น Computer-based Test (CBT) (ปัจจุบันมันไม่มีสอบแล้วครับ) จะต้องได้อย่างต่ำ 250 คะแนน - กรณีที่เป็น Internet-based Test (IBT) จะต้องได้อย่างต่ำ 92 คะแนน ครับ 4.2 ถ้าสอบ IELTS จะต้องได้คะแนนอย่างต่ำ 6.5 ครับ
ทีนีกรณีที่ผู้สมัคร Admission เข้าเรียนนี้ มีคะแนนภาษาอังกฤษไม่ถึงเกณฑ์ แต่ได้คะแนนใกล้เคียงกับที่เขาคาดไว้ข้างต้น ตามเกณฑ์ด้านล่างนี้
580 ≤ TOEFL paper-based test < 600 237 ≤ TOEFL computer-based test < 250 85 ≤ TOEFL internet-based test < 92 IELTS = 6.0
เขาอาจพิจารณารับเข้าเรียนครับ แต่ว่าเราจะต้องไปสอบ DET (Diagnostic English Test) ของสถาบันภาษาอังกฤษของ NUS เพื่อวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษของเราอีกครั้งครับ เข้าไปเรียนสัปดาห์แรกเขาจะจับเราไปสอบ DET นี่ล่ะครับ ซึ่งเขาจะประเมินผลออกมาเป็นเกรด ถ้าทำได้เกรดดีก็ไม่ต้องไปเรียน course ภาษาอังกฤษของโรงเรียนภาษาของเขาเพิ่มเติม แต่ถ้าได้เกรดออกมาไม่ดั่งใจเขา เขาก็จะจับให้เราไปเรียนภาษาอังกฤษสักคอร์สนะครับ ซึ่งก็อาจจะเรียนในช่วงเย็น สัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือหากเราไม่ว่างตอนเย็นเขาก็อาจจัดให้เราเรียนเวลาใดเวลาหนึ่ง อาจตอนบ่าย ตอนเช้า ก็แล้วแต่น่ะครับ ที่มันไม่ชนกับวิชาเรียน Coursework ปกติของเรา
5. ไม่จำเป็นต้องมีผลคะแนนสอบ GRE ก็ได้ครับ แต่ถ้ามีก็ดี เขาให้ GRE เป็น optional ครับ ไม่ได้บังคับว่าจะต้องสอบ
สำหรับค่าสมัคร ถ้าสมัครทางไปรษณีย์ คิด 40 เหรียญสหรัฐฯ ครับ แต่ถ้าสมัครออนไลน์คิด 20 เหรียญสหรัฐ ครับ อ้อ เขาไม่รับ External agency นะครับ ผมไม่มั่นใจว่าเขามี Agency ที่ได้เป็น representative agent ของมหาวิทยาลัยเขาไหมนะ แต่ผมว่าสมัครเองก็ไม่ได้ยากนะครับ รายละเอียดต่างๆ ของหลักสูตร M.Sc. สาขาวิศวกรรมศาสตร์ต่างๆ ของ NUS จขกท. สามารถเข้าไปอ่านดูในนี้ได้เลยนะครับ http://www.gse.nus.edu.sg/Application%20Booklet_Jan12.pdf วันเปิดปิด รับสมัคร ดูที่เวปนี้นะครับ http://www.gse.nus.edu.sg/applications.html#research
อ่านตามเวปเขาบอกว่าถ้าจะเข้าสิงหาคม 2012 ต้องส่งใบสมัครก่อน 2 March 2012 นะครับ ส่วนมกราคม 2012 นั้น ปิดรับสมัครไปแล้วครับ ถ้าจะรอเข้ามกราคม ก็ต้องเป็น January 2013 ครับ
============================================================================ [2] Research-based Degree หรือ Research-based Programmes
หลักสูตรนี้จะเน้นการทำวิจัย หรือหมายความว่าเราต้องทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) ครับ ชื่อปริญญาจะเป็น Master of Engineering (M.Eng.)
หลักสูตรนี้เหมาะสำหรับเราจะไปทำงานเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรือ เป็นนักวิจัยในสถาบันวิจัยต่างๆ รวมถึงอาจเป็นนักวิจัย R & D ในโรงงานอุตสาหกรรมหรือบริษัทต่างๆ (แต่น้อยคนที่อยากเข้าทำงานโรงงานอุตสาหรรมจะเรียนหลักสูตรนี้ครับ ส่วนใหญ่เขาจะไปเรียน coursework-based degree มากกว่า)
หลักสูตรนี้จะรับคนที่มีศักยภาพในการทำวิจัยได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องแสดง potential ที่ทำให้เขาเห็นว่าเราสามารถเข้าเรียน research-based programme ได้
โดยทั่วๆ ไปเขาจะรับคนที่จบปริญญาตรีที่มีเกรดเฉลี่ยสูง อย่างน้อยก็ได้ระดับเกียรตินิยมอันดับสองขึ้นไปน่ะครับ แต่ก็เคยมีคนรู้จักเขาได้ประมาณ 3.1 ก็เข้าได้ครับ แต่อาจเขียน Research proposal ให้น่าสนใจ และก็ถ้ามีผลงานวิจัยตอน ป.ตรี ที่ตีพิมพ์ (เป็นภาษาอังกฤษ) มาให้เขาดูด้วย ก็จะช่วยได้มากครับ หรืออาจลอง contact ไปหา Prof. ที่เราอยากทำวิจัยด้วยก่อน เพื่อว่าเขาจะได้มีส่วนช่วยผลักดันเราหรือรับรองเราว่ามี potential ดีพอที่เขาจะรับเข้ามาเรียนครับ
สำหรับคนที่มีเกรดเฉลี่ยสูงมากตั้งแต่ ป.ตรี สามารถสมัครเข้า PhD ได้โดยตรงเลยครับ โดยไม่ต้องผ่าน M.Eng. แต่ถ้าไม่อยากเข้า PhD ที่นี่ จะเรียนเฉพาะ M.Eng. ก่อนก็ได้ครับ
สำหรับหลักสูตร Research-based programmes นี้มีสาขามากมายให้เราเลือกเรียนครับ ปริญญาก็จะได้ในวงเล็บต่างกันไป ตามที่เราเลือกสนใจเรียนทำวิจัยด้วย
ตัวอย่างสาขาต่างๆ มีดังนี้ 1. Bioengineering ซึ่งจะมีสาขาย่อย ดังนี้ - Biomaterials / Tissue Engineering & Repair - Biosignal Processing / Bioimaging - Nanobioengineering - Biomechanics / Computational Bioengineering
2. Chemical & Biomolecular Engineeringซึ่งมีสาขาย่อยต่างๆ ดังนี้ - Chemical Engineering Sciences - Chemical & Biological Systems Engineering - Energy and Environmentally Sustainable Processes - Biomolecular and Biomedical Engineering - Functionalized and Nano-structured Materials & Devices
3. Civil Engineering ซึ่งมีสาขาย่อยต่างๆ ดังนี้ - Offshore Engineering - Protective Engineering - Hazards, Risks and Mitigation - Structural Engineering - Geotechnical Engineering - Hydrology and Hydraulic Engineering - Infrastructure Systems
ที่ภาควิชานี้นี่มีอาจารย์คนไทยท่านหนึ่งนะครับ Prof. Somsak Swaddiwudhipong, PhD Hong Kong, MEng AIT, BEng Chulalongkorn,
4. Environmental Engineering มีสาขาย่อยเยอะแยะมากมาย ทั้งด้านประยุกต์ไปทางการประเมินคุณภาพสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม ด้านเทคโนโลยีการบำบัดทางสิ่งแวดล้อม ด้านพลังงานทางเลือก ด้านมลภาวะสิ่งแวดล้อม ด้านโมเดลสิ่งแวดล้อม และด้านบูรณาการความรู้กับชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น
5. Electrical & Computer Engineering มีกลุ่มวิจัยย่อยมากมายครับ เช่น - Communications & Networks - Control, Intelligent Systems & Robotics - Integrated Circuits & Embedded Systems - Microelectronic Technologies & Devices - Microwave & RF - Power & Energy Systems - Signal Processing & New Media
ภาควิชานี้มีอาจารย์คนไทยท่านหนึ่งครับ Dr. Jirutitijaroen Panida, PhD Texas A&M Univ, BEng Chulalongkorn Univ
6. Engineering & Technology Management เน้นงานวิจัย 3 ด้าน คือ - Research in Technology Change - Research in Innovation Policy - Research in Innovation Strategy
7. Industrial & Systems Engineering จะมีงานวิจัยหลากหลายแนวครับ
8. Materials Science and Engineering มีงานวิจัยที่ focus อยู่ 4 ด้าน ดังนี้ - Infocom Technology - Sustainable Energy - Biotechnology ที่เน้นทาง Biomedical materials - Nanostructured Materials / Biomedical Materials
9. Mechanical Engineering ซึ่งเป็นสาขาที่ จขกท. ต้องการจะเรียนใช่ไหมครับ ก็จะมีสาขาย่อย ดังนี้ ครับ - Applied Mechanics - Control & Mechatronics - Fluid Mechanics - Energy & Bio-Thermal Systems - Manufacturing - Materials
ถ้า จขกท. อยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม อ่านที่ booklet นี้นะครับ ที่หน้า 28-30 เป็นของ Department of Mechanical Engineering http://www.gse.nus.edu.sg/RBookletAug12Jan13.pdf และก็จะมี information สำหรับดูรายชื่ออาจารย์ที่ทำงานวิจัยแต่ละด้าน รวมถึงมีที่อยู่หรืออีเมลล์สำหรับติดต่อ หรือจะเข้าไปอ่านที่เวปไซต์ของภาควิชาโดยตรงก็ได้ที่ http://www.me.nus.edu.sg/
สำหรับเกณฑ์การสำเร็จหลักสูตร Research-based Degree มีดังนี้ - ถ้าเรียน M.Eng. จะต้องเรียนวิชาเรียนอย่างน้อย 16 หน่วยกิต ซึ่งปกติแต่ละวิชาจะมี 4 หน่วยกิต เพราะฉะนั้นก็คือเรียนอย่างน้อย 4 โมดูล (วิชา) นั่นเอง โดยจะต้องเรียนวิชาในสาขาวิชาตัวเองอย่างน้อย 12 หน่วยกิต (3 วิชา) นะครับ อีก 4 หน่วยกิต (1 วิชา) อยากเรียนของสาขาวิชาอื่นหรือสาขาตัวเอง ก็ได้ครับ - วิชาหนึ่งมีหน่วยกิต 4 Modular credits (4 หน่วยกิต) ใช้เวลาเรียน 39 ชั่วโมง/ ภาคการศึกษา ครับ - ที่เหลือคือการลงทะเบียนเรียนวิทยานิพนธ์ (การทำวิจัย) ผู้เรียนจะต้องทำวิจัยงานวิทยานิพนธ์ให้ได้ตามเป้าและส่งวิทยานิพนธ์ภายในระยะเวลาที่กำหนดเรียน การทำวิจัยวิทยานิพนธ์ ก็จะมีอาจารย์ที่ปรึกษาที่เราเลือกไปเรียนด้วย คอยดูแลครับ - โดยระยะเวลาเรียน ป.โท ของ NUS จะต้องเรียนอย่าน้อย 1 ปี และมากสุดให้ได้ไม่เกิน 3 ปี - เงื่อนไขการจบ คือ ส่งวิทยานิพนธ์ตามกำหนด (เรียนไม่เกิน 3 ปี) และจะต้องได้เกรดเฉลี่ยของวิชาเรียน (CAP) จะต้องได้ไม่ต่ำว่า 3.0
- ถ้าเรียน PhD (แบบโทควบเอก) จะต้องเรียนอย่างน้อย 24 หน่วยกิต ซึ่งวิชาหนึ่งก็จะมี 4 หน่วยกิต เพราะฉะนั้นก็จะเรียนอย่างน้อย 6 วิชา ครับ - โดยจะต้องเรียนวิชาในสาขาวิชาตัวเองอย่างน้อย 18 หน่วยกิต (น่าจะ 5 วิชา) นะครับ และหน่วยกิตที่เหลืออยากเรียนของสาขาวิชาอื่นหรือสาขาตัวเองก็ได้ครับ แต่ต้องเรียนให้ครบอย่างน้อย 24 หน่วยกิตนะครับ - วิชาหนึ่งมีหน่วยกิต 4 Modular credits (4 หน่วยกิต) ใช้เวลาเรียน 39 ชั่วโมง/ ภาคการศึกษา ครับ - ที่เหลือคือการลงทะเบียนเรียนวิทยานิพนธ์นะครับ ซึ่งเราจะต้องทำวิจัยให้ได้เพียงพอสำหรับปริญญาเอก โดยมีอาจารย์ที่ปรึกษาดูแล - ส่วนระยะเวลาในการเรียน ป.เอก ของ NUS จะต้องเรียนอย่างต่ำ 2 ปี และให้เรียนมากสุดไม่เกิน 5 ปี ครับ - เกรดเฉลี่ยสะสมของวิชาเรียนต้องได้ไม่ต่ำกว่า 3.5 นะครับ ถึงจะจบ ป.เอก นอกจากนี้เงื่อนไขในการจบของ ป.เอก จะยุ่งยากกว่าของ ป.โท ครับ เช่น - สอบผ่าน Qualifying Examination (oral = สอบปากเปล่า) - สอบผ่าน Ph.D. thesis and Oral Examination - ได้เกรดวิชาสัมมนา (Seminar) เป็นที่พึงพอใจของคณะกรรมการภาควิชา - มีผลงานตีพิมพ์ลงในวารสารระดับนานาชาติ (international journal) เงื่อนไขนี้ขึ้นอยู่กับสาขาวิชา ครับ ว่าจะเอากี่ papers
======================================================================================================================= คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครเข้าเรียนหลักสูตร M.Eng. และ PhD ของ NUS มีดังนี้ - มีคะแนน GPA สะสมตอน ป.ตรี ระดับเกียรตินิยมหรือเทียบเท่า (เช่นได้ เกรด 3.3 แต่ไม่ได้เกียรตินิยม เพราะเคยติด F ก็ถือว่าคุณสมบัติเทียบเท่าครับ) หากไม่ได้เกียรตินิยม ก็ต้องลองส่งอีเมลล์ไปสอบถามกับทางผู้ดูแลหลักสูตรของแต่ละภาควิชาก่อนนะครับ (มันจะมีอีเมลล์ให้ส่งไปถามได้ ในแต่ละภาควิชา) ว่าเราได้เกรดเท่านี้เนี่ย จะสมัครได้ไหม หรือ อีกทางก็คือลองติดต่อ Prof. ที่เราสนใจจะไปทำวิจัยด้วยว่า เขาเห็นเกรดและ CV (ประวัติ) เราแล้ว เขาโอเคไหม สนใจในตัวเราไหม บางทีเราอาจมีผลงานตีพิมพ์งานวิจัยมาก่อน ถึงเกรดเราจะได้ไม่ตามเกณฑ์เขาอาจช่วยเราได้ครับ - คะแนนภาษาอังกฤษ ต้องได้ TOEFL หรือ IELTS ตามเกณฑ์เขา ซึ่งเกณฑ์ภาษาอังกฤษใช้เกณฑ์เดียวกับ Coursework-based Programmes ครับ (เลื่อนขึ้นไปอ่านอีกรอบนะครับ ^ ^) - * ต้องมีคะแนนสอบ GRE อันนี้จะต่างจากหลักสูตร Coursework-based Programmes ที่ไม่จำเป็นต้องสอบ GRE ก็ได้ คะแนน GRE ที่ดี จะเอาเท่าไหร่ ผมว่าต้องลองไปดูอีกทีครับ เพราะแต่ละภาควิชา/สาขาวิชาอาจกำหนดไม่เท่ากัน แต่โดยทั่วๆ ไปน่าจะสูงระดับหนึ่งนะครับ เพราะ NUS จัดเป็น U ระดับ TOP ของโลก อีกอย่างตอนนี้เขาเปลี่ยนแปลงวิธีการสอบ GRE จึงทำให้ผมไม่มั่นใจว่าทาง NUS เขาจะกำหนดเกณฑ์ของคะแนนตามข้อสอบแบบใหม่เท่าไหร่
เมื่อคุณสมบัติเราเข้าเกณฑ์ เราก็กรอกใบสมัคร และส่งหลักฐานต่างๆ เช่น ผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษ, คะแนน GRE, Transcript และปริญญาบัตร, financial statement หรือหลักฐานทางการเงิน (หรือจดหมายรับรองการเงินจากทุน ถ้าได้ทุน) อ้อ ต้องมี Referees report (2 copies) หรือ Recommendation letter จากอาจารย์ที่เคยสอนเรามาก่อนสัก 2 คน ครับ และจ่ายค่าธรรมเนียนการสมัคร ครับ ส่งแบบเป็นกระดาษไปทางไปรษณีย์จะคิด 40 US Dollar แต่ถ้าสมัครออนไลน์จะเพียง 20 US Dollar ครับ
การรับสมัครเข้าเรียน Research-based Degree เขาจะใช้เวลานานกว่า coursework-based degree นะครับ คือวันปิดรับสมัครจะห่างจากวันที่เราตั้งใจเข้าเรียนหลายเดือนครับ เพราะฉะนั้นต้องวางแผนการสมัครไว้ล่วงหน้าเกือบปีนะครับ ตอนนี้ถ้าจะเข้าเรียน August 2012 ปิดรับสมัครวันที่ 1 November 2011 (ปิดรับสมัครไปเรียบร้อยแล้วครับ) แต่ถ้าจะเข้า January 2013 ก็ยังทันนะครับ เขาจะปิดรับสมัครวันที่ 15 May 2012 ครับ
สงสัยอะไรเกี่ยวกับคุณสมบัติและหลักฐานการสมัคร วันปิดการรับสมัคร และทุนต่างๆ เข้าไปอ่านเพิ่มเติมใน booklet ด้านล่างนี้นะครับ http://www.gse.nus.edu.sg/RBookletAug12Jan13.pdf ===================================================================================== เกร็ดความรู้เสริม 1 ===================================================================================== การทำวิจัยระดับ ป.โท หรือ เอก นั้น มันมีอุปสรรคหลายอย่างครับ ทั้งปัญหาส่วนตัวเราเอง หรือ ปัญหาจากทางฝั่ง อ.ที่ปรึกษา (advisor หรือ supervisor) หรือปัญหาเราทำวิจัยแล้วผลไม่ออก มันไม่ work นอกจากนี้เราต้องมีความขยัน หมั่นเพียร ทำงานสม่ำเสมอ มันมีหลายปัจจัยจริงๆ ครับ เรื่องของอาจารย์ที่ปรึกษานี่นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ หากจะเลือกเรียนแบบ Research-based Degree ต้องเลือกอาจารย์ให้ดีครับ บางคนโชคร้ายได้อาจารย์ที่ปรึกษาไม่ค่อยเอาใจใส่เท่าไหร่ ก็อาจเรียนจบช้า หรือ เรียนไม่จบเลยก็มี บางคนได้อาจารย์ที่ปรึกษาเพี้ยนๆ ประสาทๆ ก็อาจประสาทและเพี้ยนไปตามอาจารย์ก็ได้ครับ หากเจอแบบนี้เราต้องตั้งสติครับ หาทางหนีที่ไล่ ถ้าดูแววแล้วว่าจะอดทนไม่ไหว อยู่ด้วยไม่ได้ (เช่น พวกเรียน PhD ต้องใช้เวลาอยู่กับอาจารย์ที่ปรึกษานานกว่าเรียน Master ก็ควรจะวางแผนให้ดีมากๆ) บางคนเรียนไม่จบเพราะอาจารย์ก็มีครับ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับคำชี้ขาดของอาจารย์ที่ปรึกษา บางคนอาจย้ายอาจารย์ที่ปรึกษากลางทาง ก็มีครับ ซึ่งก็ไม่แปลกหรือผิดอะไร หากเราจะมีทางหนี ทีไล่ เลือกทำสิ่งที่ดีให้กับตัวเอง ต้องมานั่งวิเคราะห์ก่อนนะครับว่าเราทำดีที่สุดหรือยัง ถ้าทำดีแล้ว เจออาจารย์บ้าๆ ก็ต้องถอยห่างแล้วนะครับ เพราะเคยมีนักเรียนไทยเจออาจารย์แปลกๆ ทำให้เรียนไม่จบก็มี หรือบางคนทนๆ จนสติแตก แทบจะเป็นบ้า ก็มีนะครับ เพราะฉะนั้น หากพิจารณาแล้วเรียนไปแล้วมันมีปัญหาใดๆ ก็ต้องมานั่งหาทางออกอีกที เรื่องการเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาก็เรื่องสำคัญ จขกท. ควรหาเวลาไปศึกษาหรือสอบถามกับคนที่เคยเรียนระดับ ป.โท และเอก เพิ่มเติมนะครับ อีกวิธีคือลองอีเมลล์คุยกับนักเรียนที่เรียนจบจากแลปนั้นๆ ดูว่าสมัยเขาเรียนเป็นยังไงบ้าง แต่ต้องมีศิลปะในการพูดคุยนะครับ ไม่ใช่จู่ๆ ไปอีเมลล์หาเขาถามเรื่องอาจารย์เขาโต้งๆ เขาจะหาว่าเราพยายามไปตัดสินอาจารย์เขานะครับ การฝึกสังเกตจากหลายๆ ปัจจัย ก็จะช่วยได้อีกทางครับ แต่อย่าไปคิดไกลเลยครับ เอาเรื่องสมัครเรียนให้ได้ก่อนจะดีกว่า เพราะยังไงก็ตาม ต่อให้เราได้อาจารย์ที่ปรึกษาดี และเอาใจใส่เรา แต่เราขี้เกียจ เราก็เรียนไม่จบนะครับ เรียนระดับ Postgradute เราต้องขยัน ตั้งใจ และอดทน ครับ
===================================================================================== เกร็ดความรู้เสริม 2 ===================================================================================== ชื่อปริญญาทาง Engineering ที่เป็น coursework-based degree กับ reserch-based degree ของสิงคโปร์จะตรงกันข้ามกับของทาง USA โดยทาง USA M.S. (Master of Science) จะหมายถึง Research-based degree ส่วน M.Eng. หรือ M.E. จะเป็น coursework-based degree
=====================================================================================
จบแล้วนะครับ ^ ^ อาจยาวสักหน่อย แต่ผมพิมพ์เผื่อคนที่สนใจเรียนวิศวะที่ NUS ท่านอื่นๆ ด้วยครับ ทั้ง ป.โท และ เอก
อ้อ ผมก็เห็นด้วยกับ คห.ที่ 1 นะครับ จขกท. น่าจะลองค้นข้อมูลบางอย่างในเวปไซต์มหาวิทยาลัยด้วยนะครับ เพราะต่อไปเราจะเรียนระดับ postgraduate จะต้องค้นคว้ามากๆ ครับ อีกอย่างอย่าเชื่อผมทั้งหมดเพียงอย่างเดียวนะครับ ^ ^เพราะผมก็อาจให้ข้อมูลผิดพลาดได้ จริงๆ ผมก็อ่านเอาจากใน booklet ที่ให้ไว้ข้างต้นนั่นแหล่ะครับ อีกอย่างระเบียบการสมัครในแต่ละปี อาจมีการเปลี่ยนแปลงนะครับ ยังไงก็ลองไปศึกษาข้อมูลที่ผมให้ไว้เพิ่มเติม หรือ จะเข้าไปเวปไซต์ของ U และภาควิชาที่เราสนใจเรียนโดยตรงก็ได้นะครับ
ขอให้โชคดีนะครับ
จากคุณ |
:
ภาพสะท้อนของกระจกเงา
|
เขียนเมื่อ |
:
1 ธ.ค. 54 00:28:25
|
|
|
|
|