ความคิดเห็นที่ 1 ควรสอบ IELTS หรือ TOEFL เริ่มจากสำรวจตัวเองก่อนค่ะ ว่าอยากจะไปเรียนที่ไหน ถ้าสนใจอังกฤษ ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ก็สอบ IELTS ถ้าคิดว่าอเมริกาคือจุดมุ่งหมาย สอบ TOEFL ค่ะ ในกรณีที่มีมหาวิทยาลัยในดวงใจแล้ว และมหาวิทยาลัยรับคะแนนทั้งสองตัว จะสอบอะไรดี? ช่วงเราสมัครเรียนปริญญาโท เราสอบทั้งสองอย่าง เพื่อดูว่าได้คะแนนอะไรมากกว่า จะได้ส่งอันนั้น ถ้าอยากเลือกสอบเพียงอย่างเดียว แนะนำว่าให้ลองสำรวจว่า ข้อสอบแบบไหนถูกจริตมากกว่า ทำได้ดีกว่า ด้วยการลองทำ Practice Test ของทั้งสองแบบนะคะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 07:40:55

ความคิดเห็นที่ 2 จะลงเรียนภาษาเพื่อเตรียมตัวสอบดี หรือจะอ่านเองดีล่ะ ค่าเรียนคอร์ส TOEFL กับ IELTS ก็โหดไม่ใช่น้อยนะคะ ล่าสุดน้องชายไปลงเรียนที่ British Council ก็เหยียบหมื่น TOEFL ในบางสถาบันก็ราคาแพงกว่านั้น แต่ถ้าคิดว่าอ่านเองคงเหลว ก็ควรเรียนก่อนสอบสัก 2 – 3 เดือน แล้วแต่ความยาวของคอร์สด้วย สำหรับคนเลือกสอบ IELTS อาจจะมีทางเลือกมากกว่า เราเคยลงเรียน Test Tips and Practice Course ของ IDP ใช้ระยะเวลาเรียนแค่ 2 อาทิตย์ (เสาร์-อาทิตย์รวมกัน 4 วัน) เพื่อให้ได้แนวข้อสอบ Tips และ Tricks ต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีสำหรับคนที่ไม่มีเวลาอ่านหนังสือเองค่ะ ข้อดีของการลงเรียนกับโรงเรียนภาษา คือมีคนให้ถาม มีอาจารย์ตรวจการเขียนและปรับการพูดให้ ดังนั้น เราไม่แนะนำคนที่อ่อนด้านการเขียนกับพูดให้อ่านหนังสือเองค่ะ -- แก้ไขชื่อคอร์สของ IDP ค่ะ -- แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 16:04:33 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 07:42:43

ความคิดเห็นที่ 3 ขอพูดถึงการสอบ TOEFL internet-based test (iBT) ก่อนนะคะ เราเคยสอบทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้วเพื่อใช้สมัครเรียนปริญญาโท และครั้งที่ 2 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สำหรับสมัครเรียนปริญญาเอก เราพบว่าข้อสอบทั้งสองครั้งมีความแตกต่างกันน้อยมากค่ะ (แต่คะแนนทั้งสองครั้งต่างกันเยอะอยู่ 555) ลักษณะข้อสอบ TOEFL ประกอบด้วยข้อสอบ 4 ส่วน เรียงตามลำดับการสอบ คือ Reading, Listening, Speaking, Writing Reading เป็นข้อสอบส่วนแรก ประกอบด้วยบทความ 3 – 5 บทความ (แล้วแต่ว่าจะเจอข้อสอบวิจัยในส่วนนี้หรือไม่ ถ้าไม่เจอ คือสอบแค่ 3 บทความ แต่ถ้าเจอก็ 5บทความ) แบ่งการสอบออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ส่วนแรกมี 1 บทความ ให้เวลา 20 นาที ส่วนที่ 2 มี 2 บทความ ให้เวลา 40 นาที ถ้ามีข้อสอบวิจัย จะมาเป็นส่วนที่ 3 มี 2 บทความ ให้เวลา 40 นาทีเหมือนส่วนที่ 2 รวมระยะเวลาในการสอบ reading 60 นาที (100 นาที ถ้ามีข้อสอบวิจัย) ตัวบทความ เป็นบทความเชิงวิชาการเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ตัวอย่างบทความที่เคยเจอ คือ ภูมิศาสตร์ (เรื่อง เปลือกโลก และแหล่งน้ำ) ดาราศาสตร์ (เรื่อง พระอาทิตย์ และต้นกำเนิดจักรวาล) ชีววิทยา (เรื่อง ไดโนเสาร์ และแมลงกินผลไม้) ประวัติศาสตร์ (เรื่อง การขนส่งในอเมริกายุคไอน้ำ) โบราณคดี จิตวิทยา วรรณกรรม สรุป มีทุกแนว และขึ้นอยู่กับดวง เราเรียนสายวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมตอนปริญญาตรี ได้ข้อสอบแนวดาราศาสตร์กับชีววิทยาเลยพอรอดตัวไปได้ ความยาวของบทความประมาณ 25 – 35 บรรทัด 5 – 6 ย่อหน้า ศัพท์ที่ใช้เป็นศัพท์ทั่วๆ ไป มีคำยากๆ หลงมาซึ่งจะใช้เป็นคำถามด้วย ย่อหน้าละ 3 - 5 คำ ลักษณะคำถาม ได้แก่ ใจความสำคัญของเรื่อง การตีความ ความหมายของศัพท์ การใช้สรรพนามว่า refer ถึงอะไร การเรียบเรียงประโยคใหม่ให้คงความหมายเดิม การแทรกประโยคลงในที่ที่เหมาะสม เป็นต้น หนึ่งบทความจะมีคำถาม 12 – 14 คำถาม คำตอบ เป็นแบบเลือกตอบทั้งหมด โดยมากข้อละ 1 คะแนน ยกเว้นข้อสุดท้าย ซึ่งถามใจความสำคัญทั้งหมดของบทความ มี 2 คะแนน ต้องเลือกตอบ 3 จาก 6 ตัวเลือกให้ถูกทั้งหมด ข้อสอบที่มี 2 คะแนนอีกแบบ อยู่ในบทความส่วนที่ 2 มักจะมีตัวเลือกให้ 6 – 10 ตัวเลือก ลักษณะคล้ายๆ ข้อสอบ Matching ต้องเลือกตอบให้ถูกทั้งหมดเช่นกัน ผิดแค่ตัวเลือกเดียวจะไม่ได้คะแนนเลย Tips สำหรับ Reading 1. ฝึกทำข้อสอบโดยการจับเวลา 2. เวลาทำข้อสอบ ให้ข้ามไปอ่านคำถามก่อน แล้วมาหาคำตอบจากบทความ ซึ่งในคอมพิวเตอร์จะแสดงอยู่ข้างๆ คำถามเลย เพราะข้อสอบจะเรียงตามเนื้อหาของบทความ ซึ่งแต่ละย่อหน้าจะมีคำถาม 1 – 3 คำถาม ใช้วิธีนี้จะทำข้อสอบได้เร็วกว่าการอ่านบทความก่อนแล้วไปตอบทีละข้อ เราใช้วิธีนี้ทำข้อสอบ ได้คะแนนส่วนนี้ 29/30 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 07:44:35

ความคิดเห็นที่ 4 Listening ประกอบด้วยข้อสอบ 2 ส่วนใหญ่ๆ (3 ส่วน ถ้าเจอข้อสอบวิจัยในส่วนนี้) แต่ละส่วนจะมีบทสนทนา 1 บท การบรรยายหรือเลกเชอร์ที่อาจารย์บรรยายอย่างเดียว 1 เลกเชอร์ และเลกเชอร์ที่อาจารย์กับนักเรียนมีการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน 1 เลกเชอร์ ระยะเวลาในแต่ละส่วนประมาณ 30 นาที รวมระยะเวลาสอบทั้งหมด 60 นาที (90 นาทีถ้ามีข้อสอบวิจัย) บทสนทนา มักจะเป็นบทสนทนาระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง ระหว่างนักเรียนกับเจ้าหน้ามหาวิทยาลัย หรือนักเรียนกับอาจารย์ มีคำถาม 5 – 6 ข้อ คำถามในส่วนนี้ไม่ค่อยมีคำถามประเภทท่องจำ ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่วัดความเข้าใจในบทสนทนาของผู้สอบ และอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึกของคนในบทสนทนานั้นๆ ด้วย การบรรยายทั้งสองตัว ไม่ค่อยต่างกันมากนัก และคำถามในส่วนนี้ มีคำถามวัดความจำบ้างแต่ไม่ละเอียดหรือลงลึกเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นคำถามที่วัดความเข้าใจในบทเรียน และการตีความคำพูดหรือปฏิกิริยาของอาจารย์/นักเรียนในห้องเรียนมากกว่า คะแนนของคำถามแต่ละข้อ โดยมากเป็นแบบ 1 คะแนน สำหรับคำถามข้อที่มี 2 คะแนนแบ่งเป็น 2 แบบ คือ แบบให้เลือกตอบมากกว่า 1 คำตอบ และแบบให้กาข้อถูกในตาราง ซึ่งต้องตอบถูกต้องทั้งหมดจึงจะได้คะแนน Tips สำหรับ Listening 1. ฝึกทำข้อสอบโดยการจับเวลา 2. ตั้งใจฟังให้มากที่สุด อย่าจดทุกอย่างที่ได้ยิน ให้จดเฉพาะที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น เพราะการฟังไปจดไปจะเป็นการแบ่งสมาธิของเราเอง เมื่อเริ่มจดจริงจัง จะทำให้ฟังไม่ทันและอาจจะพลาดส่วนที่สำคัญไป เราใช้วิธีนี้ คะแนนอยู่ที่ 26/30 ค่ะ จบจากสอบสองส่วนนี้ มีเบรกให้ 10 นาที เข้าห้องน้ำได้ แต่ใช้อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้นะคะ (ไปกินมื้อเช้าก่อน เดี๋ยวมาต่อ Speaking กับ Writing นะคะ) แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 10:07:43 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 07:48:14

ความคิดเห็นที่ 5 ปาดโลด  รออยูนะตะเองงง จากคุณ : HONEY VERTIGO เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 09:29:25

ความคิดเห็นที่ 6 มาต่อแล้วค่ะ คุณ  HONEY VERTIGO  ขอบคุณที่เข้ามาชม (ปาดได้ตามสบายค่ะ) Speaking มีทั้งหมด 6 คำถาม โดยเป็น Independent task 2 คำถาม และ Integrated task 4 คำถาม ดังนี้ ข้อ 1 เป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องรอบๆ ตัว เช่น ให้อธิบายคุณสมบัติของสิ่งต่างๆ โดยให้เวลาเตรียมตัว 15 วินาที และเวลาตอบ 45 วินาที ข้อ 2 เป็นคำถามให้แสดงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องรอบๆ ตัว เช่น ให้เลือกระหว่างการอ่านหนังสือพิมพ์กับการดูข่าวโทรทัศน์พร้อมเหตุผลประกอบ โดยให้เวลาเตรียมตัว 15 วินาที และเวลาตอบ 45 วินาที ข้อ 3 เป็นข้อสอบที่ใช้ทักษะการอ่านและการฟัง โดยให้เวลาอ่านเรื่อง 45 วินาที (ต้องทำโน้ตย่อ เพราะ text จะไม่กลับมาอีก) และฟังบทสนทนาสั้นๆ (ทำโน้ตย่อด้วย) คำถามจะเกี่ยวกับความเห็นของผู้พูดคนใดคนหนึ่งจากบทสนทนา โดยให้เวลาเตรียมตัว 30 วินาที และเวลาตอบ 60 วินาที ข้อ 4 เป็นข้อสอบที่ใช้ทักษะการอ่านและการฟัง โดยให้เวลาอ่านเรื่อง 45 วินาที (ต้องทำโน้ตย่อ เพราะ text จะไม่กลับมาอีก) และฟังการบรรยายสั้นๆ (ทำโน้ตย่อด้วย) คำถามจะให้บรรยายเกี่ยวกับข้อมูลจากทั้งบทความและการบรรยาย โดยให้เวลาเตรียมตัว 30 วินาที และเวลาตอบ 60 วินาที ข้อ 5 เป็นข้อสอบที่ใช้ทักษะการฟังเพียงอย่างเดียว โดยเป็นบทสนทนาระหว่างนักเรียนกับเพื่อน หรืออาจารย์ ซึ่งจะพูดถึงปัญหาและวิธีที่ผู้พูดคิดว่าจะใช้ในการแก้ปัญหา 2 วิธี คำถามจะให้บรรยายถึงปัญหา วิธีการแก้ไขทั้งสองแบบ ทางเลือกที่ผู้พูดเลือก พร้อมเหตุผลประกอบ โดยให้เวลาเตรียมตัว 20 วินาที และเวลาตอบ 60 วินาที ข้อ 6 เป็นข้อสอบที่ใช้ทักษะการฟังเพียงอย่างเดียว โดยเป็นการบรรยายในห้องเรียน ซึ่งจะพูดถึงเนื้อหาที่เรียนและตัวอย่าง/แนวทางในการเรียนการสอน คำถามจะให้บรรยายถึงใจความสำคัญของการบรรยาย และยกตัวอย่าง/ทางเลือกประกอบ โดยให้เวลาเตรียมตัว 20 วินาที และเวลาตอบ 60 วินาที รวมระยะเวลาในการสอบทั้งหมด 20 นาที Tips สำหรับ Speaking 1. ฝึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการอัดเสียงของตัวเองเวลาตอบเอาไว้ แล้วเปิดฟังเพื่อปรับปรุงการพูด โดยระหว่างเตรียมและตอบให้จับเวลาด้วย เนื่องจากมีโอกาสสูงมากที่จะพูดเกิน หรือพูดน้อยไป 2. เวลาสอบจริง อย่าตกใจถ้าได้ยินเสียงแทรกจากรอบตัว สนใจแต่ข้อสอบเท่านั้น ไม่ต้องรีบพูด พูดช้าๆ ชัดๆ ให้ถูกต้อง เราใช้วิธีนี้ คะแนนอยู่ที่ 23/30 ค่ะ (น้อยสุดใน 4 Part เลย คิดว่าเป็นส่วนที่ยากที่สุดแล้วหละ) แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 10:24:40 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 10:20:21

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนสุดท้าย (ซะที) Writing มีข้อสอบ 2 ข้อ ข้อแรกเป็น integrated task ให้เวลา 20 นาที ใช้ทักษะการอ่านและการฟัง โดยจะมี text ให้อ่านภายในระยะเวลา 3 นาที และฟังบรรยายสั้นๆ ซึ่งเป็นหัวข้อเดียวกันกับ text แต่จะมีความเห็นคนละแบบ (ส่วนมากถ้า text บอกว่าเชื่อถือได้ บทบรรยายจะหาเหตุผลมาหักล้าง) หลังจากฟังจบ text จะกลับมา และให้เราเริ่มเขียนได้ ความยาวของคำตอบควรอยู่ระหว่าง 150 – 225 คำ ข้อที่สองเป็น independent task ให้เวลา 30 นาที เป็นการแสดงความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว โดยมากคำถามจะให้มาสองทางเลือก (เช่น เห็นด้วยหรือไม่) เราเขียนตอบโดยเลือกทางเลือกใดทางเลือกหนึ่ง พร้อมยกเหตุผลประกอบ ความยาวของคำตอบควรอยู่ระหว่าง 300 – 350 คำ รวมระยะเวลาในการสอบ 50 นาที Tips สำหรับ Writing 1. ไม่ต้องใช้ tense เลิศเลอมาก แค่ Present Simple tense, Past Simple tense และ Present Perfect tense ก็พอแล้ว อย่าเยอะ 2. การทำข้อสอบข้อแรกในส่วนของการอ่าน text ไม่ต้องจดประเด็นครบ (เพราะ text จะกลับมาอีก) แต่ให้จดประเด็นใหญ่ๆที่คิดว่าจะโดนหักล้างแน่ๆ ไว้ เว้นที่ข้างๆ แต่ละประเด็นสำหรับเขียนประเด็นหักล้างในส่วนของบทบรรยาย วิธีนี้จะทำให้ไม่งงเวลาเขียนตอบและไม่เสียเวลาเรียบเรียงความคิดใหม่ด้วย 3. การทำข้อสอบข้อหลัง ต้องเลือกทางเลือกให้ชัดเจน เช่นถ้าโจทย์ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ ต้องตอบทางใดทางหนึ่ง อย่าตอบคลุมเครือ เหตุผลที่ยกมาประกอบควรมีไม่ต่ำกว่า 3 ข้อ และต้องเป็นเหตุผลที่หนักแน่น เชื่อถือได้ 4. อย่าเขียนเกินจำนวนคำที่กำหนด เยอะไปไม่ดี คนตรวจไม่ชอบ เราใช้วิธีนี้ คะแนนอยู่ที่ 29/30 ค่ะ (เดี๋ยวมาต่อเรื่องการสมัครสอบ TOEFL นะคะ) จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 10:22:56

ความคิดเห็นที่ 8 รออ่านค่ะ จากคุณ : หนูน้อยรักการอ่าน เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 11:53:09

ความคิดเห็นที่ 9 มารอค้าๆ เราจะสอบไอเอลเดือน มกรา เหมือนกัน แต่ไม่มีเวลาไปเรียนเพิ่มเลยค่ะ เพราะ ที่ ม เรากำลังจะสอบ มิดเทอม ไม่รู้ว่าไปแล้วจะเสียตังฟรีรึป่าว :((( เราต้องรีบสอบแล้วด้วย จากคุณ : Park Sang In เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:36:22

ความคิดเห็นที่ 10 ขอโทษที่ให้รอนะคะ คุณหนูน้อยรักการอ่าน, คุณ Park Sang In จบไปเรื่องรายละเอียดข้อสอบ มาต่อที่การสมัครสอบนะคะ เข้าไปที่ www.ets.org/toefl ถ้ายังไม่มี log in ก็สร้างขึ้นมาอันนึง ให้เริ่มจองสอบประมาณ 1 เดือนครึ่ง – 2 เดือนล่วงหน้า จะได้มีสถานที่สอบให้เลือกเยอะ สถานที่สอบที่เราเคยสอบ คือ อาคารมณียา และ American Way School of English (AWE) ใกล้ เมเจอร์รัชโยธิน ดีทั้งสองนะ แต่ส่วนตัวชอบ AWE มากกว่าเพราะว่ามีที่จอดรถ (มณียา นั่ง BTS จะดีกว่า) ที่นั่งรอสบายกว่า มีน้ำกับโอวัลตินให้กินด้วย แต่ว่าที่นั่งสอบของมณียาเป็นส่วนตัวมากกว่า ของ AWE เป็น partition ก็จริง แต่นั่งใกล้ชิดติดกันมากก ชนิดที่คนข้างๆ ทำ speaking อยู่ถ้าเราไม่ตั้งสติให้ดี ก็เสียศูนย์ไปเลย อุปกรณ์การสอบดีหมดทั้งสองที่ แต่ถ้าเป็นมณียาเชื่อได้ว่าไม่มีปัญหาเรื่องการโหลดข้อสอบ (เราเคยโดนเลื่อนสอบครั้งนึงที่จามจุรีสแควร์เพราะศูนย์สอบโหลดเทสต์ไม่ผ่าน) ส่วนที่ AWE มีคนสอบวันเดียวกันเครื่องคอมพ์มีปัญหาค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 14:04:34 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:58:16

ความคิดเห็นที่ 11 จองสอบและจ่ายเงินเรียบร้อย เตรียมตัวให้พร้อมนะคะ ก่อนวันสอบหนึ่งวัน ถ้าสอบเช้า คืนนั้นไม่ควรอ่านหนังสือหรือนอนดึก นอนน้อยสมองไม่แล่นนะคะ ต่อให้เตรียมตัวดีหรือเก่งขนาดไหนคะแนนก็ห่วยได้ค่ะ ถ้านอนไม่พอ อย่าลืม Passport หรือบัตรประชาชนที่มีชื่อภาษาอังกฤษ (แนะนำว่าควรใช้ Passport ค่ะ) ไปถึงที่สอบ ก่อนเวลาสอบอย่างน้อย 1 ชั่วโมง หาอะไรไปทำด้วยก็ดี ฆ่าเวลา เราแนะนำหนังสือพวกปริศนาลับสมองค่ะ ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองและความคิดดีมากๆ ทำไมต้องไปเร็ว? เพราะว่าไปเร็ว จะได้เข้าห้องสอบเร็ว สอบ reading กับ listening เสร็จก่อน และได้เริ่มทำ speaking ก่อนคนอื่นๆ อย่าให้เสียงคนอื่นมาป่วนเราค่ะ เราต้องเป็นฝ่ายป่วนเขา 555 วันสอบกินอะไรดี? ไม่แนะนำเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะจะทำให้อยากเข้าห้องน้ำบ่อยๆ กินพวกโปรตีนดีที่สุดค่ะ เสริมสร้างเซลล์สมองดีนักหละ พวกนม ขนมปัง ติดกระเป๋าไปด้วยนะคะ เผื่อหิวระหว่างเบรก หยิบมากินได้เลย เพิ่มเติมอีกอย่าง ควรเตรียมเสื้อกันหนาวไปเผื่อ ห้องสอบหนาวทุกที่เลยค่ะ ทำร่างกายให้อบอุ่นไว้จะได้ไม่เสียสมาธินะคะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 13:59:41

ความคิดเห็นที่ 12 ต่อด้วยเรื่องของคะแนน ซึ่งจะออกมาภายใน 2 อาทิตย์ กรณีที่มั่นใจว่าสอบรอบเดียวผ่าน พอจองสอบปุ๊บ ให้เข้าไปเลือกมหาวิทยาลัยที่จะส่งคะแนนได้เลยค่ะ ETS ส่งให้ฟรี 4 ที่ ถ้ารอให้สอบผ่านไปแล้วมาเลือก ไม่ฟรีแล้วนะคะ เสียเงินที่ละ $17 โหดใช่ย่อยเลย คะแนน iBT เท่าไหร่จึงจะเรียกว่าดี แล้วแต่มหาวิทยาลัยที่สมัครเรียนนะคะ ถ้าทั่วๆไป ควรจะมากกว่า 78 (550 pBT) มหาวิทยาลัยระดับดีก็ 90 ขึ้นไป แต่ถ้าเป็น Top 10 แนะนำว่าควรเกิน 100 (600 pBT) หมายเหตุ คะแนนตามที่ว่านี้ เป็นคะแนนระดับที่มหาวิทยาลัยเห็นแล้วไม่ reject ใบสมัครเรานะคะ ไม่ใช่ใบรับประกันว่าคุณจะได้เรียนแน่ๆ มันมีองค์ประกอบอีกหลายอย่างเชียวค่ะ หนังสือที่แนะนำให้อ่าน สำหรับคนที่จะอ่านหนังสือสอบเอง แนะนำสองเล่มนี้ค่ะ ถ้ามีเวลามาก (2 เดือนขึ้นไป) : Barron's TOEFL iBT with CD-ROM and 2 Audio CDs http://www.amazon.com/Barrons-TOEFL-CD-ROM-Audio-CD-Rom/dp/0764196987 หนังสือ TOEFL ของ ETS ก็ดีเหมือนกันค่ะ แต่ Model Test ให้มาน้อยกว่า ถ้ามีเวลาน้อย (1 เดือนหรือน้อยกว่านั้น) : Pass Key to the TOEFL iBT with Audio CDs http://www.amazon.com/Pass-TOEFL-Audio-Barrons-Toefl/dp/0764197010/ref=pd_sim_b_44 เล่มนี้เจิดมากสำหรับคนที่ไม่มีเวลา ตอนเราสอบก็ใช้เล่มนี้กับทำ Test เอาเป็นเอาตาย ช่วยได้จริงๆ ค่ะ จบแล้วสำหรับ TOEFL นะคะ ขาดตกบกพร่องยังไง ขออภัยด้วยค่ะ เขียนจากความทรงจำล้วนๆ เดี๋ยวมาต่อเรื่องการสอบ IELTS นะคะ -- แก้ไข Link หนังสือ ค่ะ -- แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 14:09:47 แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 14:03:28 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 14:02:55

ความคิดเห็นที่ 13 มาต่อเรื่อง IELTS ค่ะ IELTS (แบบ Academic Module) เป็นการสอบวัดความสามารถทางภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 4 ทักษะเช่นเดียวกับ TOEFL เรียงตามลำดับการสอบ คือ Listening,  Reading, Writing, และ Speaking ลักษณะคะแนน เริ่มจาก 0.0 – 9.0 มีคะแนนครึ่ง band คือ .5 ได้ ออกตัวก่อนว่า IELTS เขียนจากความทรงจำจริงๆ เพราะสอบพร้อมกับ TOEFL ครั้งแรก ประมาณ 3 - 4 ปีมาแล้วค่ะ แต่จากที่เช็คกับเพื่อนที่กำลังจะสอบ ลักษณะข้อสอบแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง เลยเหมาเอาว่าน่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:15:26

ความคิดเห็นที่ 14 Listening ระยะเวลาสอบ 30 นาที มีทั้งการฟังแบบในชีวิตประจำวัน (2 เรื่อง) และเชิงวิชาการ (อีก 2 เรื่อง) โดยข้อสอบเริ่มจากง่ายไปยาก เช่น บทสนทนาแรก เป็นการพูดโทรศัพท์ บทสนทนาที่สองเป็นการสั่งอาหาร ไปจนถึงท้ายๆ เป็นการบรรยายสั้นๆ ในห้องเรียน หรือการปรึกษางานกลุ่มระหว่างนักเรียน คำถาม มีได้ตั้งแต่ ถามเบอร์โทรศัพท์ เลขที่บ้าน ชื่อถนน เมนูอาหาร โดยเป็นการฟังไปด้วยตอบไปด้วย ไม่ใช่ฟังทั้งหมดแล้วมาตอบแบบ TOEFL คำตอบ เป็นแบบเขียนตอบทั้งหมด อาจจะมีเติมคำในรูปภาพหรือตาราง เติมคำในประโยค เรียงลำดับ หรือแบบปรนัยด้วย ข้อสอบ (ถ้าจำไม่ผิด) มี 40 ข้อ คะแนนเต็ม 9.0 Tips สำหรับ Listening 1. ฝึกทำข้อสอบโดยการจับเวลา 2. เวลาเขียนตอบ ใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ทั้งหมด เนื่องจากคำบางคำ เช่น Lakeview Street อาจจะเขียนว่า Lake View Street ได้ด้วย ซึ่งเราไม่มีวันรู้ว่า เขียนแบบไหนคือคำตอบที่ถูกต้อง ดังนั้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะทำให้ เราไม่ได้คะแนนทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบคืออะไร ดังนั้น เขียนตัวใหญ่ให้หมดค่ะ 3. เขียนคำตอบลงในกระดาษคำถามก่อน หลังจากฟังจบ จะมีเวลาให้กรอกคำตอบ ลงในกระดาษคำตอบค่ะ เราใช้วิธีนี้ คะแนนอยู่ที่ 8.0 ค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 ธ.ค. 54 17:17:52 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:17:24

ความคิดเห็นที่ 15 Reading ระยะเวลาสอบ 60 นาที เป็นข้อสอบที่มีทั้งบทความที่เป็นข่าวและบทความ เชิงวิชาการ จำได้ว่าตอนสอบมีทั้งข่าวสนุกๆ และบทความเรื่อง Solar Cell รวมทั้งหมด 3 – 4 เรื่อง/บทความ ข้อสอบทั้งหมด 40 ข้อ ลักษณะคำถามคำตอบ เป็นแบบเขียนตอบ เช่น เติมคำ ในประโยค Matching True/False/Not Given เรียงลำดับ หรือแบบปรนัยด้วย ซึ่งแบบที่ออกมาแน่ๆ คือ True/False/Not Given ส่วนนี้ควรฝึกอ่านและแปลความให้คล่องนะคะ Tips สำหรับ Reading 1. ฝึกทำข้อสอบโดยการจับเวลา 2. เวลาทำข้อสอบ ให้อ่านบทความแบบ Skim/Scan ก่อนหนึ่งรอบ เพื่อดูคร่าวๆ  ว่าเนื้อหาสาระมีอะไรบ้าง แล้วไปอ่านคำถาม จะได้กลับมาหาคำตอบได้ถูกจุด  เพราะคำถามของ IELTS จะไม่เรียงกันตามเนื้อหาอย่าง TOEFL ค่ะ 3. ข้อไหนทำไม่ได้ ข้ามไปก่อน กลับมาเก็บตกทีหลัง อย่าจมอยู่กับข้อใดข้อหนึ่ง นานเกินไป ไม่งั้นจะทำข้อสอบไม่ทัน คะแนนเราในส่วนนี้อยู่ที่ 7.5 ค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:19:41

ความคิดเห็นที่ 16 Writing มี 2 ข้อ ให้เวลารวมกัน 60 นาที Task 1 จะเป็นการเขียน response กับข้อมูลที่โจทย์ให้มา ซึ่งจะเป็น Diagram พวกกราฟแท่ง กราฟเส้น หรือวงกลม (pie chart) ต้องเขียนตอบไม่น้อยกว่า 150 คำ  ซึ่งส่วนนี้เราแนะนำว่าไม่ควรใช้เวลาเกิน 20 นาที Task 2 เป็นการเขียน response ในหัวข้อทั่วไป ซึ่งเปิดกว้างให้เราแสดงความคิดเห็น ของตัวเอง อาจจะเป็นการเสนอวิธีการแก้ปัญหา การเปรียบเทียบทางเลือก หรือ การโต้แย้งในประเด็นต่างๆ ต้องเขียนตอบไม่น้อยกว่า 250 คำ จึงไม่ควรใช้เวลา มากกว่า 40 นาที Tips สำหรับ Writing 1. ใช้ tense ธรรมดาสามัญ เช่นเดียวกัน Writing ของ TOEFL (Present Simple tense, Past Simple tense และ Present Perfect tense) รวมทั้งศึกษาและฝึกฝนการใช้  transition words, compare and contrast words ให้คล่องนะคะ 2. ต้องบริหารจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี ไม่ควรอ้อยอิ่งอยู่กับ Task แรกนานเกิน กว่า 20 นาทีไม่เช่นนั้นจะทำ Task 2 ไม่ทัน เราขอแนะนำให้ทำ Task 2 ก่อน โดยใช้เวลา 5 นาทีแรก เขียนไอเดียที่มีคร่าวๆ และ 30 นาทีในการเขียน response  เหลืออีก 5 นาทีสุดท้ายไว้ตรวจคำผิด เนื่องจาก Task 2 มีคะแนนมากกว่า Task 1 ถ้าเขียนตัวนี้ให้เสร็จสมบูรณ์จะโดนหักคะแนนน้อยกว่า 3. เขียนตอบแบบบรรทัดเว้นบรรทัด เวลาเขียนผิดไม่ต้องลบ (เสียเวลามาก แถมคนข้างๆ จะโกรธด้วยเพราะเวลาลบ โต๊ะมันสั่น >”<) ขีดฆ่าแล้วแก้ไว้ด้านบนแทน จะทำให้ข้อสอบดูโปร่ง อ่านง่าย 4. สำหรับคนเก่งขั้นเทพ เขียนเกินกว่า Word Limit ได้ค่ะ แต่ไม่ควรเกินมามาก เช่น กำหนด 150 คำ ไม่ควรเขียนเกิน 170 คำ อันนี้คนที่เป็น grader บอกเราเอง ว่า เยอะมากขี้เกียจอ่าน จะหักคะแนนเอาด้วย 5. วิธีนับจำนวนคำแบบคร่าวๆ ถ้าไม่เหลือเวลาแล้ว นับบรรทัดค่ะ ปกติเราจะ เขียนหนังสือบรรทัดละประมาณ 10 – 15 คำ แล้วแต่ความสั้นยาวของคำ Task 1  จึงควรมีความยาว 15 – 17 บรรทัด และ Task 2 ควรยาว 25 – 28 บรรทัด คะแนนเราในส่วนนี้อยู่ที่ 6.0 ค่ะ เป็นส่วนเราว่ายากที่สุดสำหรับ IELTS จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:22:05

ความคิดเห็นที่ 17 จบสอบ 3 ส่วนนี้ก็พักเที่ยงพอดีค่ะ ตอนเราสอบ สอบที่ปทุมวัน ปริ้นเซส เลยไปกินข้าว  และเดินเล่นที่มาบุญครอง รอเวลาสอบ Speaking ซึ่งทางผู้จัดสอบจะจัดตารางเวลา มาให้เรียบร้อย ว่าใครอยู่ที่ลำดับเท่าไหร่ สอบประมาณกี่โมง   Speaking มี 3 ส่วนใหญ่ๆ ส่วนที่ 1 เป็นส่วนที่ง่ายสุด Examiner จะคุยกับเราแบบสบายๆ หน่อย เช่นถามว่า ไปกินอะไรมาก ชอบทำงานอดิเรกอะไร และจะมี key question ที่นำไปสู่การสอบ ส่วนที่สอง ตอนเราสอบ (ชักจะเลือนๆ ละ) ถามว่าชอบไปเที่ยวมั้ย ชอบภูเขา หรือทะเล ส่วนนี้กินเวลาประมาณ 5 นาที ส่วนที่ 2 ยากขึ้นหน่อย เป็นการ์ดคำถาม ซึ่งต่อเนื่องจากคำถามท้ายๆ ของส่วนแรก คือ ให้บรรยายการไปเที่ยวที่ประทับใจ ไปกับใคร เมื่อไหร่ ให้เวลาคิด 1 นาที  และเวลาตอบประมาณ 2 นาที ส่วนที่ 3 ยากสุด เป็นการถกกันระหว่าง Examiner กับ ผู้เข้าสอบ เรื่องปัญหาก ารรักษาพื้นที่สงวน ไม่ให้ปลูกสร้างสิ่งก่อสร้าง เพราะมันจะไปทำลายธรรมชาติ  อะไรแบบนั้น ใช้เวลาประมาณ 5 นาที   Tips สำหรับ Speaking 1. ฝึกพูดให้มากๆ โดยเฉพาะส่วนที่ 2 และ 3 ซึ่งมีคะแนนเยอะ เวลาฝึก ก็อัดเสียงไว้ กลับมาเปิดฟังเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องค่ะ 2. ทำใจให้สบาย อย่าเครียด เวลาพูดตอบ ไม่ต้องรีบร้อน พูดช้าๆ ชัดๆ ค่ะ ไม่ต้องไปสนใจเจ้าเครื่องบันทึกเสียงบนโต๊ะนะคะ เขาอัดไว้ตามขั้นตอน การสอบเท่านั้นเอง 3. สังเกตท่าทีของ Examiner ไว้ด้วย ถ้าดูเป็นคน Friendly ก็จัดเต็ม ตอบไป แบบร่าเริงๆ ได้ แต่ถ้าดูซีเรียส ก็ตอบด้วยน้ำเสียงเป็นทางการนะคะ 4. ถ้าได้สอบเป็นลำดับท้ายๆ จะไปเดินเล่นแก้เซ็งก็ได้ แต่ต้องเปิดโทรศัพท์มือถือ และเอาไว้ใกล้ตลอดเวลา ถ้าเจ้าหน้าที่โทรมาตามแล้วไม่เจอ จะข้ามคิวไปเลย  ดังนั้น ไม่ควรไปไหนไกลจากที่สอบมากนะคะ คะแนนส่วนนี้ เราได้ 7.5 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:24:12

ความคิดเห็นที่ 18 เกือบจบแล้วค่ะ การสมัครสอบ IELTS ดาว์นโหลดใบสมัครได้ที่ http://www.britishcouncil.org/th/thailand-exams-ielts.htm    สถาบันที่รับสมัครสอบมี British Council, IDP, และ New Cambridge ซึ่งถ้าพูดถึงตัวข้อสอบ สอบที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอกค่ะ เพียงแต่มหาวิทยาลัยระดับดี ในอังกฤษหลายแห่งระบุชัดเจนว่า ต้องเป็นผลสอบที่ British Council เท่านั้น (ค่าสอบแพงที่สุดด้วย) ดังนั้นก็ตรวจสอบให้ดีนะคะ ว่ามหาวิทยาลัยที่จะสมัครเรียน กำหนดไว้ว่าอย่างไร ใบสมัครกรอกให้เรียบร้อย อย่าลืมอ่านคู่มือลงทะเบียนการสอบด้วยนะคะ รูปถ่ายที่ใช้ในการสมัคร แนะนำว่า 2x2 นิ้ว แบบเห็นหน้าเต็มๆ รูปค่ะ รุ่นพี่ที่ทำงาน เพิ่งไปสมัครสอบมาเมื่อวาน ใช้รูป 2 นิ้วธรรมดา เจ้าหน้าที่รับสมัครบอกว่ารูปเล็กไป >”< วันสอบ คล้ายๆ กับ TOEFL นะคะ คือไม่ควรนอนดึก ไปถึงที่สอบเร็วหน่อย (แม้ว่าจะไม่มีผล กับที่นั่งสอบก็ตาม) และอย่าลืมเสื้อกันหนาว บัตรสอบ และบัตรประชาชน/Passport ไปด้วยค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:26:00

ความคิดเห็นที่ 19 ควรได้คะแนนเท่าไหร่ ดูว่าเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยที่สนใจกำหนดไว้เท่าไหร่ค่ะ ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้ http://takeielts.britishcouncil.org/choose-ielts/who-accepts-ielts/recognising-organisations?keyword=&org=80141&state=&loc=189881&bandscore=All&limit=20&order=title&sort=asc ถ้ายังไม่มีมหาวิทยาลัยในดวงใจ เราคิดให้คร่าวๆ แบบนี้ค่ะ สำหรับมหาวิทยาลัยในอังกฤษ ขั้นต่ำ 6.0 มหาวิทยาลัยระดับดี (Durham, Warwick, Exeter, Nottingham) 6.5 มหาวิทยาลัยระดับเทพ (Oxford, Cambridge, University College London และ Imperial College London) 7.0 (All elements) ค่ะ   มหาวิทยาลัยในอเมริกา ระดับ Top 100 ควรได้ 6.5 ส่วน Top 50 ควรได้ 7.0 (All elements) ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ 6.0 – 6.5 ค่ะ ระดับคะแนนที่เขียนไว้ คือระดับคะแนนที่ “ถ้า” มหาวิทยาลัยตอบรับ จะไม่ต้อง เรียนภาษาเพิ่มนะคะ สำหรับมหาวิทยาลัยในอเมริกาจะพิเศษตรงที่ว่า ยังไงก็ ต้องไปสอบวัดระดับภาษาใหม่อยู่ดี (ไม่ว่าจะสอบ TOEFL หรือ IELTS ก็ตาม) และถ้าได้ไม่ถึงเกณฑ์ จะต้องเรียนภาษาเพิ่มจากการเรียนปกติในแต่ละเทอมด้วย ยกเว้น ได้ TOEFL เกิน 100 (มหาลัยเราโหดมาก ต้องได้เกิน 115) ไม่ต้องสอบวัดระดับค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:28:11

ความคิดเห็นที่ 20 การส่งคะแนนไปมหาวิทยาลัย เมื่อคะแนนออก เราจะได้ใบแสดงผลคะแนนมาหนึ่งใบ เก็บให้ดีๆ นะคะ เพราะถ้าหาย ก็ต้องไปขอใบใหม่ เมื่อจะส่งคะแนนไปมหาวิทยาลัย ให้กรอกใบคำขอที่สถานบัน ที่เราสอบ ราคาชุดละ 500 บาท  แล้วรับคะแนนมาส่งให้มหาวิทยาลัยเอง   หนังสือที่แนะนำ ตอนเราสอบ ใช้หนังสือ Cambridge IELTS 6 Student's Book with answers: Examination papers from University of Cambridge ESOL Examinations (IELTS Practice Tests) http://www.amazon.com/Cambridge-IELTS-Students-Book-answers/dp/0521693071/ref=pd_sim_b_3 ซึ่งเป็นหนังสือของพี่สาว ตอนนั้น Listening ยังเป็นเทปคาสเซ็ทอยู่เลย ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา เราแนะนำให้เพื่อนเราใช้ Barron's IELTS with Audio CD  http://www.amazon.com/Barrons-IELTS-Audio-CD-International/dp/0764179357 และเพื่อนเราได้คะแนนดีมาก (8.0 Over all) มันบอกว่าหนังสือดีจริง เราอ่านแล้ว ก็เห็นด้วยเหมือนกัน ดังนั้น เล่มใดเล่มหนึ่งก็ได้ค่ะ ดีทั้งคู่ (ใช้ทั้งสองเล่มเลยไม่ไหวนะ เยอะไป หนังสือแพงด้วย) จบเรื่องเกี่ยวกับ IELTS นะคะ ขอพักก่อน พรุ่งนี้จะมาต่อเรื่องการสมัครเรียนต่างประเทศค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 17:31:04

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามารออ่านค่ะ ขอบคุณมาก เป็นประโยชน์มากค่ะ :) จากคุณ : BIGBLACKBEAR เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 19:23:00

ความคิดเห็นที่ 22 เป็นประโยชน์มากๆค่ะ ขอเก็บเข้าคลังกระทู้ไว้นะ ^_^ จากคุณ : โดราเอมี่ เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 21:08:44

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่ได้สอบแต่เข้ามาให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ค่ะ จากคุณ : นะมี เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 21:39:01

ความคิดเห็นที่ 24 กระทู้นี้ราวกับแม่พระมาโปรดเลยค่ะ โหวตๆๆๆ จากคุณ : ChiBoo เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 22:33:12

ความคิดเห็นที่ 25 ผมว่า Barron ง่ายเกินไปครับ มีให้ทำแค่ 4 ชุด ของ Cambridge เล่มหลังๆ ยากกว่าข้อสอบจริงอีกครับ ป.ล. มหาลัย top5 ของอังกฤษ เขาเอา 7.5 ทุก band 7 กันเกือบหมดละครับ Oxford เพิ่งยกระดับปีนี้เอง ตึงมือพอสมควรเลย จากคุณ : sappaloz เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 02:11:08

ความคิดเห็นที่ 26 ดีมากๆ เลยครับ  ละเอียดและครอบคลุมดี  มาเขียนบ่อยๆ นะครับ ขอเพิ่มเติมในส่วนรายละเอียดตรงนี้ "สำหรับมหาวิทยาลัยในอเมริกาจะพิเศษตรงที่ว่า ยังไงก็ ต้องไปสอบวัดระดับภาษาใหม่อยู่ดี (ไม่ว่าจะสอบ TOEFL หรือ IELTS ก็ตาม)และถ้าได้ไม่ถึงเกณฑ์ จะต้องเรียนภาษาเพิ่มจากการเรียนปกติในแต่ละเทอมด้วย ยกเว้น ได้ TOEFL เกิน 100 (มหาลัยเราโหดมาก ต้องได้เกิน 115)ไม่ต้องสอบวัดระดับค่ะ" ผมว่าแล้วแต่คณะที่จะเข้านะครับ  ทางสายวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรรมจะต้องการคะแนน TOEFL ขั้นต่ำประมาณ 80-100 และโดยทั่วไปไม่มีการเรียนภาษาเพิ่มหรือให้ conditional offer ครับ  สมัย iBT ออกมาใหม่ๆ จะให้ 600PBT = 100iBT  แต่ตอนนี้หลายๆ ที่ปรับคะแนนขั้นต่ำลงจาก 100 เหลือ 80-90 เพราะว่า iBT ค่อนข้างยากกว่า PBT มาก สำหรับเรื่องหนังสือของ TOEFL เห็นด้วยตามคุณ sappaloz ครับ  ผมชอบชุดข้อสอบของ Cambridge  คะแนนออกมาใกล้เคียงตอนสอบจริงเลย จากคุณ : Ariete (en ligne) เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 08:19:48

ความคิดเห็นที่ 27 ว้าววว ขอบคุณ คุณเจ้าของกระทู้นะคะ ที่เสียสละเวลามาเขียนให้ จากคุณ : lady gale gale เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 09:35:37

ความคิดเห็นที่ 28 ขอ bookmark ไว้ก่อน จะสอบ toefl ปีหน้า ขอบคุณจขกท มากคับ จากคุณ : tubic เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 10:49:56

ความคิดเห็นที่ 29 ้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มากๆครับ ขอเก็บเข้าคลังก่อนนะ อิอิอิ จากคุณ : Lastchristmas_โอ๋ เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 11:56:41

ความคิดเห็นที่ 30 กลับมาอีกที เป็นกระทู้แนะนำแล้ว ดีใจมากๆ ค่ะ ที่เป็นประโยชน์กับหลายๆ คน ขอบคุณคุณ sappaloz และคุณ Ariete (en ligne) มากๆ ค่ะ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของ IELTS ยอมรับว่าเราห่างจากการเรียนและการสอบของอังกฤษมานานพอสมควรแล้ว ข้อมูลที่มีจึงไม่ค่อยเป็นปัจจุบัน ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เดี๋ยวจะลงเรื่องการสมัครเรียนต่อนะคะ ขอเรียบเรียงให้ครบสมบูรณ์อีกนิดหนึ่ง จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 17:22:31

ความคิดเห็นที่ 31 ต่อไปเป็นขั้นตอนการสมัครเรียนนะคะ 1. อยากเรียนต่อที่ไหน พิจารณาว่าตัวเองเหมาะกับประเทศไหนค่ะ ตอนแรกเรากระ:-)กระสนอยากไป อังกฤษมากๆ แต่ทุนเรียนมีน้อยยิ่งกว่าน้อย (ไว้วันหลังจะมาเล่าประสบการณ์ ล่าทุนให้ฟังนะคะ) พอดีได้รับทุนรัฐบาลซึ่งระบุเฉพาะเจาะจงว่า สหรัฐอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน หรือ ญี่ปุ่น อดไปอังกฤษเลย สำหรับเรา เลือกได้ 5 ประเทศก็เหมือนเลือกได้ 2 เพราะไม่คิดจะไปประเทศที่ไม่ ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ เลยสมัครอเมริกาและแคนาดาไปค่ะ   ออกทะเลไปไกลละ ที่อยากจะแชร์คือ สาเหตุที่คนไปเรียนอังกฤษ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์กัน เพราะ 1. สอบภาษาอย่างเดียว (เรียนอเมริกาต้องสอบ GMAT/GRE ด้วย)  2. คนไทยใน UK กับออสเยอะดี 3. ชอบวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ในทางกลับกัน เลือกเรียนอเมริกากันเพราะอะไร 1. มหาลัยดังๆ เยอะ และคุณภาพดีจริง (UK มีมหาวิทยาลัย rank ดีๆ ในระดับโลก ประมาณ 10 แห่ง USA มีหลายสิบ) 2. ค่าครองชีพถูกกว่า (แต่ค่าเทอมโหดกว่า) 3. ชอบวัฒนธรรมอเมริกัน 4. ไม่มีทางเลือก ทุนมันบังคับ (เราเองแหละ) เลือกประเทศได้แล้ว ไปต่อข้อ 2 กันค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 17:56:42

ความคิดเห็นที่ 32 2. เรียนอะไรดี เท่าที่สังเกต การเรียนต่อโทมี 3 รูปแบบหลักๆ ค่ะ 1. เรียนต่อจากสายเดิม หรือสายใกล้เคียง เช่น ตรีวิศวะ โทวิศวะ หรือ ตรีบัญชี โทการเงิน 2. เรียน MBA หรือสายบริหารและการจัดการ 3. ฉีกแนว อยากเรียนอะไรใหม่ๆ เช่น เพื่อนเราจบตรีวิศวะไฟฟ้า ต่อโทโลจิสติกส์ หรือรุ่นน้อง จบตรีการจัดการวิศวกรรม ต่อโท Brand Management ดังนั้น เลือกตามความพอใจค่ะ ชอบทางไหน ไปทางนั้น จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 17:58:31

ความคิดเห็นที่ 33 3. มหาวิทยาลัยที่เหมาะกับตัวเอง การเลือกมหาวิทยาลัยที่จะสมัครเรียน ควรเริ่มต้นจากการหาข้อมูล Ranking ของมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในสาขาที่เราสนใจ เช่น Supply Chain Management/Logistics ในสหรัฐอเมริกา มี MIT มาเป็นที่หนึ่ง ตามด้วย Michigan State เป็นต้น สามารถดู Ranking ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาได้ที่นี่ค่ะ http://grad-schools.usnews.rankingsandreviews.com/best-graduate-schools และสำหรับ UK ก็ที่นี่ค่ะ http://www.thecompleteuniversityguide.co.uk/league-tables/rankings   เมื่อได้รายชื่อมหาวิทยาลัยมาอยู่ในมือแล้ว ก็ไล่ไปตามลำดับค่ะ เทียบ requirement ของมหาวิทยาลัยกับความสามารถของตัวเอง ดังนี้ - เกรดเฉลี่ย สำหรับมหาวิทยาลัยระดับดีถึงเทพ เรียนต่อปริญญาโท ไม่ควรต่ำกว่า 3.00 สำหรับสายสังคมศาสตร์ และ 2.75 สำหรับสายวิทยาศาสตร์ เรียนต่อปริญญาเอก เกรดเฉลี่ยปริญญาโทไม่ควรต่ำกว่า 3.50 - คะแนนสอบภาษา  - คะแนน GMAT/GRE สำหรับคนที่เลือกเรียนอเมริกา - ประสบการณ์ทำงาน สำหรับคนที่สนใจเรียน MBA ในอเมริกา ขั้นต่ำ 2 ปี (แต่เฉลี่ยทั่วไปของโปรแกรมประมาณ 3 - 5 ปีค่ะ) - คุณสมบัติอื่นๆ ที่มหาวิทยาลัยระบุ เลือกมา 4 – 5 ที่ที่สนใจจริงๆ และคิดว่าน่าจะเข้าเรียนได้ จากนั้นก็เริ่มกรอกใบสมัครได้เลยค่ะ หมายเหตุ – ในส่วนของคะแนน GMAT/GRE มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไม่กำหนดขั้นต่ำนะคะ แต่เรามีเกณฑ์คร่าวๆ ให้ดังนี้ค่ะ GMAT สำหรับ Business Program Top 20 ของ USA ควรจะมากกกว่า 650 Top 50 ของ USA ควรจะมากกกว่า 600 GRE คะแนนรวม 2 ส่วน (Verbal + Quantitative) สำหรับ Engineering/Sciences Program Top 20 ไม่ควรต่ำกว่า 1200 (Quantitative 750+) และ Top 50 ไม่ควรต่ำกว่า 1100 (Quantitative 700+) คะแนนที่ให้ไว้เป็นคะแนนคร่าวๆ ถ้าต้องการ range แบบจริงจัง ลองเข้าไปหา ในเว็บของมหาวิทยาลัยที่จะสมัครเรียนค่ะ ส่วนใหญ่จะมีบอกไว้ และคะแนนข้างต้น ไม่ใช่ตัวรับประกันว่าได้เท่านั้นเท่านี้แล้วมหาวิทยาลัยจะรับเข้าเรียนค่ะ ขึ้นอยู่กับ เกรดเฉลี่ย คะแนนสอบภาษา และ 2 ข้อถัดไปด้วย -- แก้ไขคำผิดค่ะ -- แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 18:04:49 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 18:03:22

ความคิดเห็นที่ 34 ขอแทรกนิดนึงค่ะ จขกท อย่าลืมเล่าประสบการณ์ตามล่าทุนด้วยนะคะ ^^ ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่มีประโยชน์มากๆเลยค่ะ เก็บเข้าคลังกระทู้และโหวตเรียบร้อย จากคุณ : Kuromiko เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 19:42:08

ความคิดเห็นที่ 35 4. Statement of Purpose/Statement of Intent/Essay/Bibliography ไม่ว่าแต่ละมหาวิทยาลันจะเรียกว่าอะไรก็ตาม เราขอเรียกสั้นๆว่า SOP นะคะ เป็นเรียงความเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายในการเรียนปริญญาโท/เอกของเรา บางมหาวิทยาลัยจะกำหนดมาให้ ว่าความยาวไม่เกินกี่หน้า (ส่วนใหญ่จะ 3 หน้า) หรือกำหนด word limit มาให้ และบางที่ก็บอกเสร็จสรรพว่าจะให้เขียนอะไรบ้าง ก็เขียนไปตาม requirement ของมหาวิทยาลัยค่ะ   กรณีมหาวิทยาลัยไม่กำหนดอะไรมาเลย จะเขียนอะไรดีล่ะ? เรามีคำแนะนำ (ที่ได้รับฟังมาจากอาจารย์สมัยเรียนปริญญาโท ซึ่งเป็นกรรมการคัดเลือกนักศึกษาเข้าเรียน) ดังนี้ สิ่งที่ต้องเขียน - การเรียนและประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมา (ถ้ามี) (Academic Background and Experiences) หรือจะเป็นประสบการณ์ทำ Project ช่วงเรียน ประสบการณ์ฝึกงานก็ได้ เขียนเฉพาะที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่สมัครเรียน - แรงจูงใจ (Motivation) อะไรที่ทำให้อยากเรียนสาขาวิชานี้ ที่มหาวิทยาลัยนี้  (ส่วนนี้เยินยอสาขาวิชา คณะและมหาวิทยาลัยได้พองาม แต่อย่าเยอะ เช่น ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยลำดับที่ 20 ของประเทศก็อย่าไพล่ไปบอกว่าเขาเป็นอันดับหนึ่ง) - จุดมุ่งหมาย (Goal) เรียนจบแล้วจะเอาไปทำอะไร จะทำงานที่ไหน จะใช้ความรู้ที่เรียนมาได้อย่างไร - อยากได้ทุนของมหาวิทยาลัย ก็บอกไปตรงนี้ด้วยเลย ความยาว: ไม่ควรเกิน 1,000 คำ หรือ 3 หน้ากระดาษ A4 อาจารย์บอกว่ายาวไปขี้เกียจอ่าน ยกเว้นมีประสบการณ์แน่นปึ้กน่าสนใจ หรือมีความมหัศจรรย์พันลึกจริงๆ ถึงจะอยากอ่าน Font ที่ใช้ สำคัญมากนะคะ อย่าใช้ font คิกขุหรือพิสดารจนอ่านไม่เป็นตัว ใช้ font มาตรฐานพวก Times New Roman, AngsanaNew, CordiaNew, และ TH SarabunPSK ดีที่สุดค่ะ ขนาด 12 – 14 point แล้วแต่ตัวอักษร ที่สำคัญ ควรพิมพ์แบบ Double Space อาจารย์บอกว่ามันโปร่งโล่ง อ่านง่ายดี สุดท้าย เขียนจบแล้ว หาคนที่เก่งภาษาอังกฤษมากๆ มาอ่านแก้ให้ เพราะส่วนนี้ เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเข้าเรียน ถ้าไวยากรณ์ผิด สะกดคำพลาดก็ไม่ดีแน่ สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง 1. ลอก SOP ของคนอื่นมาแก้เป็นของตัวเอง ถ้าคิดจะเรียนต่อปริญญาโท/เอกในต่างประเทศ ต้องเขียนเองให้ได้ค่ะ จะเขียนเป็นภาษาไทยแล้วหาคนมาช่วยแปลให้ยังดีกว่าการลอก เพราะมันจะไม่เป็นตัวเองเลยแม้แต่น้อย เราเคยให้ SOP ของตัวเองกับรุ่นน้องไปเป็นตัวอย่าง และน้องคนนั้นส่ง SOP ของเขากลับมาให้เราปรับภาษาให้ เราอ่านไปก็อึ้งไปว่า  บางประโยคก็ลอกของเรามา และไอ้ประโยคที่ลอกมาเหล่านั้นมันก็ทะ:-)ๆ ไม่กลมกลืนกับประโยคอื่นๆ เลย 2. เขียน SOP แค่แบบเดียวแล้วส่งไปทุกมหาวิทยาลัย เพราะแต่ละมหาวิทยาลัย มี requirement ไม่เหมือนกัน สภาวะแวดล้อมและชื่อเสียงต่างกัน ดูให้ดีๆ ก่อนนะคะ ว่ามหาวิทยาลัยต้องการอะไรจากเราบ้าง และขอกลับไปพูดถึงกรณีที่มหาวิทยาลัย ไม่กำหนด requirement อะไรมาเลย ค่อยเอา SOP ที่มีอยู่มาปรับแก้ให้เข้ากับแต่ละมหาวิทยาลัย อย่าส่งแบบเดียวกันไป 5 ที่ 10 ที่เลยค่ะ ข้อสำคัญ เวลาปรับแก้แล้ว save ชื่อไฟล์ใหม่ ไว้เป็นไฟล์ SOP เฉพาะมหาวิทยาลัยนั้นๆ ตรวจชื่อโปรแกรมเรียนและชื่อมหาวิทยาลัย ใน SOP ให้รอบคอบ ถ้าพลาดส่งสลับที่กันไป คงไม่ต้องบอกนะคะว่าจะเกิดอะไรขึ้น -- แก้ไขคำผิดและวรรคตอน -- แก้ไขเมื่อ 10 ธ.ค. 54 19:49:46 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 19:47:17

ความคิดเห็นที่ 36 คุณ Kuromiko ถ้ามีโอกาสจะมาเขียนส่วนของทุนนะคะ ต่อเลยนะคะ 5. Letters of Recommendation ส่วนนี้สำคัญไม่แพ้ SOP เลยค่ะ เพราะมันหมายความถึงสิ่งที่อาจารย์/เจ้านาย มองเห็นในตัวเรา ดังนั้น เรามีข้อแนะนำอยู่ข้อเดียว คือ คนที่จะเขียนจดหมายแนะนำให้ ควรเป็นคนที่รู้จักเราเป็นอย่างดี เช่น อาจารย์ที่ปรึกษา หรือเจ้านายโดยตรง และควรเข้าถึงง่าย ติดต่อง่ายด้วย (เพื่อความสะดวกในการตามเอกสาร) - สำหรับ อเมริกา ใช้ Letters of Recommendation อย่างน้อย 3 ฉบับ - ประเทศอื่นๆ ใช้ 2 ฉบับค่ะ   6. ประวัติส่วนตัว (Curriculum Vitae: CV/Resume) เป็นสิ่งที่ต้องมีนอกเหนือจาก SOP ค่ะ เพราะ SOP จะบอกจุดมุ่งหมายในการเรียน แต่ CV จะบอกถึงตัวตนของเราตั้งแต่เรียนระดับปริญญาค่ะ ดังนั้น เคยทำงานอะไร ฝึกงานที่ไหน ทำกิจกรรมอะไรบ้าง ใส่ไปให้หมด เรามีตัวอย่าง CV ให้ตามลิ้งค์ด้านล่างนี้นะคะ สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบได้เลย จะเขียน Objective หรือไม่ก็ได้ ตัวเราไม่ได้เขียนหรอกค่ะ เพราะถือว่าไม่ได้สมัครงาน http://www.google.co.th/imgres?q=resume+sample&hl=th&sa=X&rlz=1G1GGLQ_THTH273&biw=1600&bih=698&tbm=isch&prmd=imvns&tbnid=7k9hjzRkGlig_M:&imgrefurl=http://www.resumewritingservice.biz/resume-and-cv-samples/electrical-engineering-apprentice-resume-sample/&docid=YVuIYQCkS0Cj3M&imgurl=http://www.resumewritingservice.biz/wp-content/uploads/2010/12/Electrical-Engineering-Apprentice-Resume-Sample.jpg&w=732&h=926&ei=5MHhTrbHKYLOrQfUt8nYAQ&zoom=1&iact=hc&vpx=297&vpy=318&dur=655&hovh=253&hovw=200&tx=138&ty=138&sig=100250399536098930362&page=1&tbnh=146&tbnw=112&start=0&ndsp=33&ved=1t:429,r:12,s:0 ข้อควรจำเกี่ยวกับการเขียน CV ให้เรียงลำดับวันเวลาของกิจกรรม/วุฒิการศึกษา/ประวัติการทำงาน จากปัจจุบันไปอดีตนะคะ ใส่ไว้บนสุดเป็นสิ่งแรกที่คนอ่านจะเห็นเลยค่ะ ว่าเรากำลังทำงานที่ไหน วุฒิที่จบสูงสุดคือวุฒิอะไร Font ที่ใช้ในการเขียน CV ควรใช้ให้เหมือนของ SOP ค่ะ จะได้ดูเป็นระเบียบและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 19:52:48

ความคิดเห็นที่ 37 7. การส่งเอกสารสมัครเรียน บางคนอยากใช้บริการของ agency ซึ่งก็สะดวกดีค่ะ ของอังกฤษไม่มีค่าใช้จ่ายด้วย แต่เราเป็นพวกจิตนิดๆ คือ ทำเองส่งเองสบายใจกว่า คนที่สนใจใช้บริการ agency ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีข้อมูลให้เพราะไม่เคยใช้ แต่คนที่จะดำเนินเรื่องเอง ตามมาเลยค่ะ - ใบสมัคร เดี๋ยวนี้กรอกและส่งออนไลน์ได้หมดแล้ว ตรวจดูอย่าให้พลาดหรือหลงลืมตรงไหนไปนะคะ - ค่าสมัคร ที่อังกฤษส่วนใหญ่ไม่เสียค่าสมัครเรียน (เมื่อ 4 ปีก่อนนะคะ ถ้าเป็นตอนนี้ ก็เช็คให้รอบคอบด้วย ว่าต้องจ่ายหรือเปล่า) อเมริกาเสียค่าสมัครทุกมหาวิทยาลัยค่ะ ราคาแล้วแต่ความดัง 555 ประมาณ $60 – $100 สำหรับนักเรียนต่างชาติ วิธีการจ่ายก็ง่ายมากค่ะ จ่ายผ่านบัตรเครดิตได้เหมือนตอนสมัคร TOEFL/GMAT/GRE ถ้าไม่มีบัตร ส่ง Cashier check หรือ Money order ได้ค่ะ - CV ตามข้อ 6 ตรวจการสะกดคำอย่าให้ผิดนะคะ - SOP ถ้าส่งใบสมัครออนไลน์ได้ มักจะให้ส่ง SOP แบบออนไลน์เช่นกัน กรณีที่ต้องส่ง SOP แบบ hard copy ก็จัดการพิมพ์ให้สวยงาม มีสีนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรค่ะ - Letters of Recommendation สำหรับอเมริกา เชื่อว่าสามารถกรอกออนไลน์ได้แล้วทุกมหาวิทยาลัย ดังนั้น ถ้าอาจารย์/เจ้านายใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงาน ให้กรอกออนไลน์ดีกว่ามากๆ ค่ะ ไม่ต้องกลัวเอกสารหายด้วย สำหรับอังกฤษ เราสมัครนานแล้ว ตอนนั้นไม่มีให้กรอกออนไลน์ แต่ตอนนี้คิดว่ามีเกือบทุกมหาวิทยาลัย ถ้าอาจารย์/เจ้านายต้องการเขียนเป็นจดหมายพิมพ์ลงกระดาษ ต้องใส่จดหมายใส่ซอง เซ็นปิดซองบริเวณปากซอง แล้วปิดทับด้วยเทปใสนะคะ จ่าหน้าซองถึงมหาวิทยาลัยที่จะส่งไปด้วย - ผลคะแนน TOEFL/GMAT/GRE ให้ทาง ETS หรือ GMAC ส่งให้เท่านั้น เข้าไป order additional score report ได้ในเว็บไซด์ เสียค่าส่ง $17/แห่ง สำหรับ TOEFL $23/แห่ง สำหรับ GRE และ $28/แห่ง สำหรับ GMAT ผลคะแนน IELTS ตามที่เขียนไว้ในหัวข้อ IELTS ค่ะ - Transcript และใบปริญญา (ถ้ามี) ต้องเป็น Official/Certified Copy คือออกและประทับตราโดยมหาวิทยาลัยเท่านั้น มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจจะไม่เคร่งครัดมาก สามารถส่ง Transcript ลุ่นๆ ไปได้เลย แต่แนะนำว่า ควรกันเหนียวด้วยการให้มหาวิทยาลัย ออก Transcript แบบใส่ซอง และผู้มีอำนาจลงนามของมหาวิทยาลัยเซ็นปิดซอง แล้วผนึกปากซองอีกชั้นหนึ่ง จ่าหน้าถึงมหาวิทยาลัยที่จะส่งไปค่ะ - (Optional) เราส่งสำเนาหน้า Passport ไปด้วยทุกครั้งค่ะ เป็นการยืนยันตัวตนของเราเอง เมื่อเอกสารครบทุกสิ่งอย่าง พร้อมส่ง จับทุกอย่างใส่ซอง หาตัวหนีบมาหนีบเอกสาร เข้าด้วยกันเป็นปึกเดียวนะคะ จะเรียงเอกสารยังไงก็ได้ แต่ควรให้ SOP อยู่บนๆ หน่อย ข้อแนะนำ 1. การสมัครเรียนหลายๆ มหาวิทยาลัยพร้อมกัน ควรมีการบริหารจัดการทั้งเวลา ในการเขียน SOP และเตรียมเอกสารให้ดี โดยการทำตารางสรุปไว้ชัดๆ ว่าสมัคร มหาวิทยาลัยไหน โปรแกรมอะไร มีเอกสารอะไรที่ใช้บ้าง Minimum requirement ของ TOEFL/IELTS เป็นเท่าไหร่ และ Deadline การส่ง application และเอกสาร คือวันที่เท่าไหร่ ถ้าเตรียมทุกอย่างพร้อมแต่มาพลาดเรื่องส่งเอกสารไม่ครบหรือ ไม่ทันนี่ จุกเลยนะคะ มหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงจะไม่ยอมรับใบสมัครและเอกสาร ที่ส่งล่าช้าโดยเด็ดขาด 2. การเตรียมพร้อมในการสมัครเรียน โดยเฉพาะอเมริกาที่ deadline เร็วกว่า มหาวิทยาลัยในอังกฤษ แนะนำว่าควรสอบภาษาให้เรียบร้อย มีคะแนนพร้อมส่ง ภายในเดือนตุลาคม (มหาวิทยาลัยบางที่ปิดรับสมัคร 1 ธ.ค.) ควรเริ่มกรอกใบสมัคร ทันทีที่ระบบเปิดให้กรอก และส่งเอกสารที่จำเป็นอย่างน้อย 1 เดือนก่อน deadline ทั้งนี้ เพื่อเป็นป้องกันว่า หากเอกสารส่งไม่ถึง เรายังมีเวลาพอที่จะทำเอกสารใหม่ และส่งไปให้มหาวิทยาลัยได้ทันกำหนดเวลานะคะ 3. กรณีส่งเอกสารหลายชิ้น (ชิ้นเดียวก็ด้วยแหละ) ให้เขียน Cover Letter ด้วยค่ะ เป็นจดหมายนำส่งเอกสาร บอกว่าเราชื่ออะไร จบจากที่ไหน สมัครเรียน โปรแกรมอะไร และส่งเอกสารอะไรมาด้วยบ้าง เป็นการตรวจสอบตัวเองไปด้วย ว่าเตรียมเอกสารครบจริงหรือเปล่า ตัวอย่าง Cover Letter ซึ่งเป็นการสมัคร internship สามารถนำมาปรับแก้ เป็นจดหมายสมัครเรียนได้เลยค่ะ http://www.bestcoverletters.com/sample-cover-letter/Student/Sample-Internship-Cover-Letter.html จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 19:57:50

ความคิดเห็นที่ 38 8. ส่งใบสมัครแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ? รอค่ะ คอยเข้าไปตรวจสอบในหน้าเว็บบ่อยๆ กรณีสมัครออนไลน์ ว่าเอกสาร ไปถึงหรือไม่ ยังมีอะไรที่มหาวิทยาลัยต้องการเพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าอาจารย์/เจ้านาย กรอก recommendation แบบออนไลน์ให้ คอยดูด้วยนะคะ ว่าส่งให้ก่อน deadline หรือเปล่า เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตามเองค่ะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนเลยกำหนดเวลาส่งเอกสารนะคะ โดยมาก มหาวิทยาลัยจะใช้เวลา review เอกสารประมาณ 8 อาทิตย์ อาจจะเร็ว หรือช้ากว่านั้นได้อีก ถ้าสมัครช่วงปลายปีนี้ – ต้นปีหน้า (ธ.ค. – ก.พ.) ผลการสมัครเรียนไม่ควรช้ากว่าเดือน พ.ค. ค่ะ   จบละค่ะ ขอให้ทุกคนที่สมัครเรียนปีนี้และปีต่อๆ ไปโชคดีกันถ้วนหน้า ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องการนะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ   โอกาสหน้าจะมาเขียนต่อเรื่องการล่าทุนเรียนต่อต่างประเทศค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 20:00:12

ความคิดเห็นที่ 39 เอ ชื่อนี้ท่านได้จากใดมา สงสัยจากเรื่อง สองนรี ใช่ป่ะ ... คุณมุตตาเก่งมากค่ะ  แค่มานั่งเขียนข้อความเป็นพรืด เรียบเรียงเนื้อหา วิชาการนี่ อิฉันยกนิ้วให้ความขยันและการแบ่งปันความรู้เป็นวิทยาทาน you've done a great job!!   จากคุณ : ก๋าสะลองเงิน เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 21:04:15

ความคิดเห็นที่ 40 อยากถามว่าเวลากรอกใบสมัคร เค้าจะมีให้เลือกว่าอยากจะขอทุนรึเปล่า อยากทราบว่าถ้าไม่เลือกขอทุนไปโอกาสจะได้มากขึ้นรึเปล่าครับ? หรือว่าไม่ต่างกัน? (ถ้าเป็นอย่างนั้นทุกคนก็น่าจะเลือกขอทุนหมดสิ ผมคิดงี้อะคับ) จากคุณ : Weeed เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 23:10:58 A:58.8.138.245 X: TicketID:277025

ความคิดเห็นที่ 41 ขอบคุณจขกท.มากๆเลยค่ะสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เขียนได้ละเอียดและเข้าใจง่ายมากๆเลยค่ะ (แอบคลิกเข้าไปดูบล็อกเห็นว่าเขียนนิยายอยู่ด้วย ถึงว่าจขกท.สามารถเขียนเรียบเรียงภาษาได้ดีมากๆ) เราเป็นคนหนึ่งที่กำลังเตรียมตัวสมัครเรียนต่อ แต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักทีว่าจะ UK หรือ US ดี ทั้งๆที่อุตส่าห์ไปสอบ IELTS มาและได้คะแนนมาเป็นที่อุ่นใจไว้แล้ว ตอนนี้เริ่มมาคิดว่าหรือจะเบนเข็มไปทาง US แล้วเริ่มเตรียมตัวสอบ TOEFL, GMAT ดี จริงๆเราค่อนข้างชอบทางฝั่ง UK มากกว่า แต่ก็ติดเรื่องหาทุนยากอย่างที่คุณจขกท.ว่าไว้ และอีกอย่างหนึ่งคือสังเกตจากเพื่อนๆที่จบมา ทาง US จะค่อนข้างได้ cultural exposure ที่หลากหลายกว่า ทาง UK จะแวดล้อมไปด้วยคนไทยและชาติเอเชียด้วยกันเองเสียมากกว่า (ความเห็นส่วนตัวนะคะ) ตอนนี้เลยยังสับสนไม่รู้จะไปทางไหนดี ขอเกาะขอบจอรอจขกท.มาเขียนเรื่องการหาทุนต่อนะคะ รอติดตามอยู่ค่ะ จากคุณ : Happy-go-lucky เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 54 23:44:56 A:27.130.121.46 X: TicketID:310644

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณพี่จขกท มากๆค่ะ  :D   เป็นประโยชน์แก่อนาคตหนูมากๆเลย >< จากคุณ : Apple_Head (Apple_Head) เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 06:03:14

ความคิดเห็นที่ 43 ตอนนี้กำลังสมัครครับ ส่วนที่ยากที่สุดคือ letter of recommendation เพราะต้องตามอาจารย์ตลอด ใกล้จะถึง  deadline 15 นี้แล้ว แต่อาจารย์ยังไม่ส่งเลย T_T ก็ตามกันไป จากคุณ : system idle เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 21:30:52

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณด้วยคนค่ะ เป็นประโยชน์สำหรับเรามากๆ เลยค่ะ รอติดตามตอนล่าทุนอยู่นะคะ :) จากคุณ : demonrain เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 22:50:06

ความคิดเห็นที่ 45 จขกท ใจดีมาก ๆ ค่ะ สมควรปักหมุดไว้ให้คนที่จะไปเรียนมาอ่านจริง ๆ ไม่อย่างนั้นมีกระทู้ใหม่รายวันเรื่องเดิม ๆ เป็นเราคงขี้เกียจเกินไปจะเขียนทุกอย่างแบบนี้ โดยเฉพาะการเลือกมหาวิทยาลัย ตัวเราเองก็อยากไปอเมริกามากตอนแรก สุดท้ายก็ไปอังกฤษเพราะว่าค่าเทอมถูกกว่าเนี่ยล่ะ แต่อยู่ในลอนดอนก็แพงเหมือนกันตกลงแล้ว ขอเสริมเรื่องสมัครยูที่อังกฤษ อย่างที่ คห บน ๆว่า ตอนนี้ยูระดับดีถึงเทพ IELTS เป็น 7.5 แล้วค่ะ อย่างน้อยก็สาขาที่ต้องใช้ภาษา ใช้การเขียนเยอะนะคะ บางมหาวิทยาลัยมีคอร์สpre-sessional ให้เรียนถ้าคะแนนไม่ถึง บางมหาวิทยาลัยไม่มี ก็ต้องศึกษาข้อมูลด้วย บางที่ให้ยื่นคะแนนภาษาตามมาทีหลังหลังจากได้ conditional offer แล้วก็มีค่ะ แต่ทางที่ดีก็ควรสอบเตรียมให้ได้คะแนนที่ต้องการไว้ให้พร้อม ถ้าไม่เก่งภาษาก็ควรจะสอบไว้ก่อนนานหน่อย เผื่อเวลาสอบใหม่ จะได้มีเวลาเตรียมตัว เรื่อง SOP ก็ควรเขียนให้unique เข้าไว้ค่ะ อย่างที่ จขกท ว่า ประโยคไหนดูดี เอามาใส่กับของเรามันอาจจะไม่เข้ากันก็ได้ ระดับของภาษาที่ใช้ทั้งฉบับมันก็ควรจะparallel กัน ไม่ใช่ ดีโดด ๆ แค่บางประโยคแล้วมันจะดูออกว่าอันนี้ไปเอาของใครมาหรือเปล่า แล้วก็เขียนให้ตัวเองดูดีได้แต่อย่าโกหก แล้วก็ควรจะใส่เรื่องว่าเรียนแล้วจะไปทำอะไร เรามีแผนอนาคตไว้อย่างไร เราจะทำประโยชน์อะไรให้ส่วนรวมได้บ้างมั้ย เป็นต้น แล้วการมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเค้าจะช่วยได้อย่างไร อะไรประมาณนี้ค่ะ อย่าทำให้มันน่าเบื่อ เหมือนอ่านเรียงความชีวิตคนปกติ อย่างของเรา เราเล่าตั้งแต่เหตุการณ์วิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี 1997 ที่ inspire ให้เราเรียน law แล้วระบบกฎหมายไทย ระบบศาลเราแตกต่างกับเค้ายังไงมีข้อดียังไง แล้วมีข้อเสียยังไงที่การไปเรียนกับเค้าจะเอามาปรับปรุงได้บ้าง recommendation letter ก็เหมือนกัน พยายามเลือกอาจารย์และเจ้านายที่โปรไฟล์ดีที่สุด อย่างฉบับที่ส่งจากเจ้านายที่ทำงาน เราก็เลือกพาร์ทเนอร์ฝรั่งที่เคยจบที่นั่นมาแทนที่จะเลือกพาร์ทเนอร์คนไทย แต่เราก็ทำงานกับเค้าจริง ๆ มากพอที่เค้าจะเขียนให้ได้ ถึงเราจะสนิทกับพาร์ทเนอร์คนไทยมากกว่าก็ตาม เราให้คณบดี แล้วก็อาจารย์พิเศษที่มาสอนที่คณะสองท่านที่มีตำแหน่งใหญ่ในด้านที่เราสนใจเรียนด้วยเขียนให้ (อดีตประธานศาลฎีกา และ อดีตเลขาฯ กลต) เพราะว่าเราเคยเรียนกับท่าน แต่ต้องใช้เวลาในการตามจริง ๆ คุยโทรศัพท์กับผู้ช่วยท่าน แก้ดราฟท์ตัว จม กันไปมา ปรินท์เอาไปให้ รอกลับไปรับเอากลับมา ใช้เวลาร่วมเดือน แต่การเลือกอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ก็ต้องดูด้วยว่า ท่านมีวี่แววเขียนให้หรือไม่ ถ้าไม่ก็อย่ากวนท่านเลย ขึ้นอยู่กับตัวอาจารย์ด้วยค่ะ แต่สองอย่างนี้ได้ผลจริงๆ ลองคิดดูว่าสองคนที่โปรไฟล์ทุกๆ อย่างดีเหมือนกัน แต่ว่า SOP กับ recommendation letter ต่างกัน แล้วทางมหาวิทยาลัยจะเลือกใคร เรื่องบางอย่างอาจจะเล็กน้อยแต่ก็อาจจะสร้างความแตกต่างได้นะคะ :) จากคุณ : PuppyPower เขียนเมื่อ : 11 ธ.ค. 54 23:29:03

ความคิดเห็นที่ 46 เยี่ยมเลยครับ ผมเพิ่งไปสอบ โทเฟิลครั้งแรกมาpart speaking ลนมากๆๆๆ โดยเฉพาะเราเข้าไปคนหลังๆด้วย ทำให้ระหว่างสอบจะได้ยินเสียงอื่นพูดไปก่อนตลอด รำคาญและกดดันมากๆ(เพราะเสียงบางคนจะแบบ เห้ย!! เป็นฝรั่งป่าววะพาลมากดดันตัวเอง ถ้าจิตไม่นิ่งก็คงต้องฝึก หรืออีกทีต้องรีบไปเร็วๆจะได้สอบก่อนชาวบ้าน) part readind manage time ดีๆนะครับยอมรับว่าค่อนข้างประมาทมากก่อนสอบเอาเวลาไปเตรียมพวก writing มากเกินไปทำให้เวลาสอบจริง part ที่ปกติถนัดที่สุดทำไม่ทัน(3 ข้อหลังทิ้งดิ่งไปแล้วครับเสียดายมากๆ) สู้ๆ อยากถามนิดนึงครับ ปกติ toefl ลงสอบแก้มือได้ห่างกันกี่วันครับ จากคุณ : bbee_blue เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 20:39:45

ความคิดเห็นที่ 47 ขอถามหน่อยค่ะ  คือเราสนใจจะไปเรียนต่อ ป.เอก ที่อเมริกา  แต่ยังงงอยู่ว่า เราควรสอบโทเฟิลก่อนสมัครมหาวิทยาลัย  หรือว่าสอบก่อนแล้วค่อยสมัครคะ  เพราะว่าตอนที่ต้องกรอกว่าจะให้เราส่งคะแนนไปที่ไหนบ้าง  นั่นแสดงว่าเราต้องสมัครไปกับมหาลัยที่โน่นเรียบร้อยแล้วหรือปล่าวคะ???  ไม่งั้นเราจะรู้ได้ยังงัย ว่าเราจะให้เค้าส่งคะแนนไปที่ไหนบ้าง อ่ะค่ะ จากคุณ : ~~ช้างน้อยร้อยโล~~ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 22:35:13

ความคิดเห็นที่ 48 ตอบ คห บน สอบก่อนค่ะ ถ้าไม่มั่นใจว่าคะแนนสอบครั้งแรกจะผ่านฉลุย เทพมากสุดยอด เข้าเกณฑ์ที่เค้าต้องการ ยังไม่ต้องบอก แล้วถ้าผลออกแล้ว ชัวร์แล้ว ค่อยจ่ายเงินส่งต่างหากค่ะ เพราะว่าถ้าคะแนนออกมาไม่ดี ไม่ถึงเกณฑ์ ทาง ETS เค้าก็จะส่งไปเลย ไม่ได้มาถามเราอีกว่าจะส่งมั้ย ส่วนเรื่องมหาลัยรับคะแนนได้กี่ครั้ง จะถือครั้งไหนเป็นที่สุด รับหลายครั้งหรือไม่ ลองเช็คกับทางมหาลัยดูนะคะ อีเมล์ไปคุย แต่ตอนเรา ๆ ก็ส่งทีหลัง จากคุณ : PuppyPower เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 00:18:10

ความคิดเห็นที่ 49 เพิ่งได้เข้ามาดูค่ะ แว้บไปเที่ยวมาสองวัน คุณกำสะลองเงิน...ขอบคุณมากๆ ค่ะ ชื่อล๊อคอินไม่ได้เอามาจากละคร แต่ชอบเพราะมีความหมายเดียวกับชื่อเล่น ^ ^ คุณ Weeed...เราว่าขอหรือไม่ ไม่มีผลนะคะ แต่บางที่จะมีให้กรอกว่า ถ้าไม่ได้ทุน จะยังมาเรียนหรือเปล่า ส่วนนี้มีผลแน่ๆ ค่ะ คุณ Apple_Head , demonrain...ดีใจที่เป็นประโยชน์ได้ค่ะ เรื่องทุนขอเวลาเขียนก่อนนะคะ คุณ system idle...ถูกต้องแล้วค่ะ ตามกันต่อไป โชคดีนะคะ ขอให้ได้เอกสารทันเวลา คุณ PuppyPower...ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของมหาวิทยาลัยในอังกฤษค่ะ คุณ bbee_blue...สามารถสมัครสอบใหม่ได้เรื่อยๆ ค่ะ (อ้างอิงจาก http://www.ets.org/toefl/ibt/faq ในส่วนของ About the test) คุณ~~ช้างน้อยร้อยโล~~...ตามคำตอบของคุณ PuppyPower เลยค่ะ เพิ่มเติมนิดนึงว่าส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยจะถือคะแนนสูงสุดที่ยังไม่หมดอายุนะคะ แต่ตอนเราก็ส่งทีหลังเหมือนกัน เพราะอยากให้มหาวิทยาลัยเห็นคะแนนที่ดีที่สุดเพียงครั้งเดียว ^ ^ เรื่องทุนขอติดไว้ก่อนนะคะ อีกสองสามวันจะกลับมาลงให้ค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 07:38:14

ความคิดเห็นที่ 50 ... ครั้งนะครับว่า ช่วยๆๆ กันกด VOTE ก็ดีนะครับ เพี่อที่ กระทู้จะได้อยู่ได้นานๆ นะครับ จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 13:58:07

ความคิดเห็นที่ 51 อีกคำถามยอดฮิตก็คือคะแนนขาดไปนิดเดียว (1-3 คะแนน) จะยื่นดีมั๊ย ? โดยส่วนตัว ผมคิดว่ายื่นไปเลยครับ เพื่อแลกกับโอกาสที่มีค่ามากกว่าเงินจำนวนนี้ เพราะสิ่งที่คุณเสียมีเพียงเงินครับ (เต็มที่เลย ฿5,000 รวมค่าส่งเอกสารด้วยครับ ส่วนใหญ่มักไม่เกินนี้) กฎบางอย่างไม่ได้เป็นจริงตลอดเวลาครับ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา คณะที่เรียนและบุคคลที่พิจารณา พูดง่าย ๆ ว่าบางทีก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาเหมือนกัน บางคนบอกว่าต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารด้วย แต่ผมว่ามันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรมากมาย อย่าง sop คุณก็ copy เนื้อหามาจาก sop ของมหาลัยอื่น ๆ ที่คุณเตรียมอยู่แล้ว เขียนเพิ่มเฉพาะคำถามที่แตกต่างจากมหาลัยอื่น ๆ ถึงต้องเขียนใหม่หมด ก็ถือว่าเขียนเยอะ ๆ จะได้เก่ง ๆ :-) จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 17:40:10 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 52 เรื่องส่งคะแนน ผมเห็นด้วยกับคุณ PuppyPower ครับ บางทีส่งคะแนนทีหลังจะดีกว่าครับ ถึงแม้จะต้องเสียเงินเพิ่มก็ตาม เพราะหากคุณสอบมากกว่า 3 ครั้งขี้นไป และส่งคะแนนไปให้มหาลัยเดิมทุกครั้ง ทางมหาลัยจะเริ่มรู้แล้วว่า คุณอาจจะมีปัญหากับภาษาอังกฤษ เพราะคุณต้องใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัสถึงจะผ่านเกณฑ์ที่ทางมหาลัยกำหนด จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 17:48:38 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 53 นอกจากนั้นยังเป็นการป้องกันปัญหา บางมหาลัยนำคะแนนมาเฉลี่ยกันด้วยครับ บางคนอาจแย้งว่า มหาลัยของฉันบอกชัดเจนแล้วว่าเอาคะแนนครั้งที่ดีที่สุด แต่อย่าลืมนะครับว่า การเตรียมสอบไปเรียนต่อนั้นบางคนใช้เวลาเป็นปี หรือ หลายปี เกิดทางมหาลัยเปลี่ยนกฎกะทันหันในปีที่คุณสมัคร ก็ยุ่งเลยนะครับ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 17:52:45 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 54 เพิ่มเติมคำถามของคุณช้างน้อยร้อยโลครับ [47] ขอถามหน่อยค่ะ คือเราสนใจจะไปเรียนต่อ ป.เอก ที่อเมริกา แต่ยังงงอยู่ว่า เราควรสอบโทเฟิลก่อนสมัครมหาวิทยาลัย หรือว่าสอบก่อนแล้วค่อยสมัครคะ เพราะว่าตอนที่ต้องกรอกว่าจะให้เราส่งคะแนนไปที่ไหนบ้าง นั่นแสดงว่าเราต้องสมัครไปกับมหาลัยที่โน่นเรียบร้อยแล้วหรือปล่าวคะ??? ไม่งั้นเราจะรู้ได้ยังงัย ว่าเราจะให้เค้าส่งคะแนนไปที่ไหนบ้าง อ่ะค่ะ ควรสอบก่อนแล้วค่อยส่งใบสมัครไปที่มหาลัยครับ เพราะการส่งใบสมัครเรียนคุณต้องเสียค่าสมัครด้วย หากคุณทำคะแนนสอบได้ไม่ดี ก็เท่ากับเสียเงินค่าสมัครทิ้งครับ ตอนที่คุณกรอกชื่อมหาลัยที่ต้องการให้ ETS ส่งคะแนนไป คุณยังไม่จำเป็นต้องสมัครไปที่มหาลัยก่อนครับ พอคุณส่งใบสมัครไปเมื่อไร ทางมหาลัยจะไปจับคู่ใบสมัครของคุณกับฐานข้อมูลคะแนนสอบที่เค้าได้รับจาก ETS เองครับ เราจะรู้ได้ยังงัย ว่าเราจะให้เค้าส่งคะแนนไปที่ไหนบ้าง? ก็รู้ได้โดยตัวคุณเองครับ ว่าอยากเรียนที่ไหน จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 18:01:34 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 55 อีกจุดหนึ่ง ผมได้ยินคนพูดหลายทีแล้ว ก็คือ เวลาสอบได้คะแนนไม่ถึงเกณฑ์ ควรสอบใหม่ติด ๆ กันไปเลย หรือเว้นช่วงห่างดี อันนี้ผมว่า หากคุณสอบมา 2 ครั้งติด ๆ กัน ได้ข้อสอบคล้ายของเดิม บาง section เหมือนเดิมเป๊ะ แต่ก็ยังได้คะแนนเท่า ๆ เดิม เป็นไปได้ว่า ข้อไหนที่คุณเคยผิด คุณก็ผิดซ้ำครับ หากเป็นแบบนี้การทิ้งช่วงให้ข้อสอบเปลี่ยนใหม่จะดีกว่าครับ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 18:08:53 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 56 บางคน ฟังประโยคเดิม ๆ ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้ง ก็เข้าใจว่าแบบนี้ และก็มั่นใจว่าตัวเองน่าจะเข้าใจถูกแล้ว แต่ความจริงก็คือมันผิด หากเป็นแบบนี้แก้ยากครับ ต้องรอให้ข้อสอบเปลี่ยนไปเลย จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 18:16:00 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 57 ความเห็นที่ 46 ผมมีวิธีแก้ 2 วิธีครับ 1. ทำข้อสอบให้เร็ว เพื่อที่คุณจะได้พูดก่อนคนอื่น 2. ทำให้ช้า เพื่อที่คุณจะได้พูดหลังจากที่คนอื่นพูดเสร็จแล้ว ส่วนตัวผมชอบดึงให้ช้ามากกว่า เทคนิคดึงให้ช้าก็คือ เข้าห้องสอบเป็นคนสุดท้าย เวลาคอมมันอ่าน instruction อะไรให้ฟัง ก็ปล่อยให้มันอ่านจนจบ ส่วนตัวคุณก็นั่งพักสายตา ทำสติให้มั่น เพิ่มพลังสมาธิ อยากจะสวดมนต์นะโม 3 จบ เพื่อกำหนดจิตให้ตั้งมั่น ก็ไม่ผิดกติกา กลยุทธ์นี้เรียกว่าดึงให้ช้าสุด ๆ ไปเลย จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 18:27:08 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 58 สิ่งสำคัญก็คือ ท้องต้องไม่หิวนะครับ ไม่ใช่ดึงช้าจนช่วงท้าย ๆ ตัวเองหิว พาลสมาธิจะเสียได้ง่าย ๆ เสบียงต้องพร้อม หนมจีบ ซาลาเปา อย่าไปปฎิเสธน้องพนักงาน 7-11 บอกไปเลย จีบ 1 เปา 2 หมูสับล้วน เตรียมไว้ทานช่วงพัก break ก่อนเข้าห้องสอบดูให้แน่ใจด้วยว่าห้องน้ำอยู่ทางไหน หากต้องเข้าห้องน้ำกะทันหันระหว่างสอบ และต้องมาเสียเวลาเดินวนหาห้องน้ำ เสียดายเวลาแย่ คุณสาว ๆ ที่รู้ตัวว่าตัวเองสวย วันสอบควรสวยให้น้อยหน่อย เพื่อไม่ให้เพื่อน ๆ ผู้ชายเสียสมาธิ และไม่ควรใส่ส้นสูงวันสอบด้วยนะครับ เกิดรถติดไปสาย ทำให้ต้องวิ่ง เกิดส้นหักข้อเท้าแพลง จะเป็นเรื่องครับ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 18:45:36 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 59 เรื่องจดหมายจากอาจารย์ก็ยุ่งเหมือนกันนะครับ ตอนแรกผมร่างจดหมายขอความเมตตาเรื่อง recommendation ส่งไปทางอีเมลให้อาจารย์แต่ก็เงียบ ผมคิดว่าอาจารย์คงจะไม่ได้เช็คเมล ที่นี้ก็เลยส่งเป็นจดหมายจริง ๆ เลยครับ แต่ก็เงียบอีก (ตอนนั้นผมคิดว่าโทรศัพท์ไป มันดูไม่สุภาพ) ผมก็เลยเปลี่ยนอาจารย์ แต่อาจารย์รายนี้ก็แนะนำว่า น่าจะให้หัวหน้าภาควิชาเขียนให้จะดีกว่า ( ผมก็เคยเรียนกับท่านเหมือนกัน แต่เกรดไม่ค่อยดี) ผมก็เลยเปลี่ยนมาหาหัวหน้าภาควิชา ท่านก็มีเมตตา ท่านบอกว่าจะช่วย ผมก็ดีใจมากครับ แต่ผ่านไปอาทิตย์ก็แล้ว 2 อาทิตย์ก็แล้ว ผมก็เมลไปบอกหัวหน้าภาคว่า deadline ใบสมัครกำลังใกล้เข้ามาแล้วนะครับ เหลือเวลาอีก 2 อาทิตย์เท่านั้น (รวมเวลาทั้งหมด 1 เดือนและผมร่างทุกอย่างให้หมดแล้ว) ท่านก็ตอบมาประมาณว่าไม่ต้องห่วง จะดูให้ ผมรอจนเหลือเวลาอีก 3-4 วันจะถึง deadline ผมก็ยังไม่ได้จดหมายจากอาจารย์ ผมก็เลยไม่เอาแล้วครับ ไม่ตามแล้ว สงสัยท่านจะไม่มีเวลาจนลืมไปแล้ว จะมาวิ่งเปลี่ยนอาจารย์ตอนนี้ก็ไม่สมควรแล้วเพราะอาจารย์ใหม่จะมีเวลาน้อยเกินไป สรุป ผมอดยื่น Texas at Arlington พร้อมเสียเงินค่าใบสมัครทิ้งไปประมาณ $70 พร้อมกับบทเรียนว่า เกินดีกว่าขาดครับ หากทางมหาลัยต้องการ 1 ฉบับ ให้เพื่อน ๆ หาอาจารย์ 2 คนเขียนให้ เซ็นให้ เลยครับ หากต้องการ 2 ฉบับก็ให้อาจารย์ 3 ท่านช่วยทำให้เลยครับ เผื่อมีอาจารย์บางท่านไม่ว่างทำให้ สุดท้ายสำหรับเพื่อน ๆ ก็อย่าให้เป็นเหมือนผมก็แล้วกัน และสำหรับน้อง ๆ ที่ยังเรียนมหาลัยอยู่ ก็ควรจะสนิทกับอาจารย์ไว้อย่างน้อยซัก 2-3 ท่านด้วยครับ เผื่ออนาคตอยากเรียนต่อ จะได้มีที่พึ่ง จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 19:30:06 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 60 เพิ่งเห็นความเห็นที่ 43 ครับ ใช่ครับ ผมก็ว่าส่วนนี้ยากสุด จะตามมากก็เกรงว่าจะดูไม่สุภาพ ผมอยากให้เพื่อน ๆ เผื่อเวลาให้ดีนะครับ บางคนไปเสียเวลากับการเตรียมสอบ การเขียนใบสมัครเยอะไปหน่อย จนมองข้ามเรื่องนี้ กว่าจะมารู้ตัวก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว อาจารย์บางท่านถามก่อนเลยนะครับว่ามีเวลาให้เค้าถึงเมื่อไร หากมีเวลาให้น้อยเกินไป เค้าก็ไม่ดูให้ครับ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 19:38:38 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 61 ตอบความเห็น 40 ผมคิดว่าเราก็ต้องดูตัวเองด้วยครับ ว่าสมควรได้ทุนนั้นหรือไม่ เป็นทุนประเภทไหน เข้าข่ายมากน้อยแค่ไหน ถึงแม้ตามทฤษฎีไม่น่าจะมีผลกับใบสมัคร แต่ก็ไม่มีใครรับรองได้ว่า มันจะไม่มีผลกับทุกมหาลัย ทุกคณะ ทุกช่วงเวลา จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 19:46:29 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 62 โทษทีนะครับ พอเริ่มลงมือเขียนแล้ว มันก็เหมือนจะติดลม นึกถึงข้อมูลเรื่องโน้น เรื่องนี้แล้วก็อยากจะแบ่งปัน แลกเปลี่ยนกัน จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 19:52:08 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 63 ขอบคุณจริงๆ ครับเป็นกระทู้สรุป TOEFL IELTS ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมา จากคุณ : Esprite เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 20:01:28

ความคิดเห็นที่ 64 รับแล้วไม่เขียนให้นี่ แย่กว่าที่ผมเจออีกนะครับ คือ ไปขอรบกวนให้เขียน แต่ไม่เขียนให้ อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่เขียนให้ จะได้ไม่ต้องรอ แต่หน้าแตกแทนครับ จากคุณ : Juneboyz เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 20:59:42

ความคิดเห็นที่ 65 อยากให้กิ๊ฟคุณ Phurich มากๆ แต่ให้ไม่ได้ ขอบคุณนะคะที่เข้ามาเสริมในหลายๆ จุด ที่เราลืมเขียนไป เห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องของ Letters of Recommendation ที่ควรขอไว้ เกินกว่าที่ต้องการ 1 ฉบับค่ะ กันเหนียวและเกินดีกว่าขาด และเวลาขอให้อาจารย์ช่วย เขียนให้ ถามความสะดวกของอาจารย์ก่อน ถ้าอาจารย์สะดวก ก็บอกวันที่ต้องการ เอกสารไปเลยก็ดีค่ะ ว่าไม่เกินวันนี้ๆ นะ (ควรเผื่อเวลาให้อาจารย์ไม่น้อยกว่า 2 อาทิตย์ เพราะงานอาจารย์ก็ยุ่งเหมือนกัน ทั้งสอน ตรวจการบ้าน ไหนจะงานวิจัยอีก) แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 54 21:11:38 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 21:09:10

ความคิดเห็นที่ 66 กิ๊ฟของคุณมุตตา ขอรับด้วยใจก็แล้วกันครับ แค่รู้ว่าอยากให้ ก็รู้สึกว่าได้แล้วครับ ไม่ต้องได้จริง ๆ ก็ได้ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 22:00:29 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 67 อยากให้เหมือนกันค่ะ  ยังงัยขอขอบคุณ คุณ Phurich ด้วยนะคะ เราก็กลัวเรื่อง Letter of recommendation เหมือนกันค่ะ  อาจารย์ที่ปรึกษาเรา เหมือนท่านไม่ค่อยสนใจเราเท่าไหร่ มันเป็นปัญหาตั้งแต่เรียนเลยค่ะ  กลัวเหมือนกันว่าถึงเวลาขอท่านเขียนให้ ท่านจะไม่ยอมเขียน จากคุณ : ~~ช้างน้อยร้อยโล~~ เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 23:02:05

ความคิดเห็นที่ 68 Letter of Recommendation เรียบร้อยแล้วครับ ก็เกือบไม่ทัน อาจารย์คนแรก ติดต่อทางโทรศัพท์ครับ อาจารย์ก็ยินดี และยังโทรกลับด้วย บอกว่า submit ไปแล้ว อาจารย์คนที่สอง ติดต่อทาง facebook ครับ เพราะสนิทกัน เป็นที่ปรึกษาโปรเจ็ค อาจารย์คนที่สาม ท่านดีมาก ติดต่อทางอีเมลล์ เพราะท่าศึกษาต่ออยู่ต่างประเทศ แต่ก็ส่งเป็นท่านแรกเลย จริงๆ การเลือกอาจารย์ก็มีผลสำคัญมากครับ รวมถึงการเจรจา ที่สำคัญต้องส่ง statement of purpose, GPA, CV และคะแนนสอบให้อาจารย์ดูด้วยครับ จากคุณ : system idle เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 03:36:49

ความคิดเห็นที่ 69 มาเขียนต่อเรื่องทุนตามที่สัญญาค่ะ เรามีประสบการณ์ล่าทุนเพื่อเรียนต่อระดับปริญญาโทในต่างประเทศพอสมควร ไม่ถือว่าโชกโชน แต่ก็หลากหลายอยู่นะคะ โดยทุนที่เราเคยสมัครมีดังนี้ค่ะ 1. ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น หรือทุนมงบุโช (Monbukagakusho Scholarship) 2. ทุนอีราสมุส (Erasmus Mundus Scholarship) 3. ทุนเชลล์ (Royal Dutch/Shell Centenary Scholarship) 4. ทุนรัฐบาลออสเตรเลีย (Endeavor Award) 5. ทุน Asian Youth Fellowship (AYF) 6. ทุนธนาคารกรุงไทย (KTB) 7. ทุนธนาคารกสิกรไทย (KBank) 8. ทุนมูลนิธิอานันทมหิดล (Anandamahidol Foundation Scholarship) 9. ทุนรัฐบาล สำนักงาน ก.พ. (Royal Thai Government Scholarship) แน่นอนว่า...ประสบความสำเร็จกับทุนสุดท้าย มีโอกาสได้ไปเรียนต่อปริญญาโทที่อเมริกา ปัจจุบันกลับมารับราชการและชดใช้ทุนในกรุงเทพฯ ขอไม่บอกชื่อที่ทำงานนะคะ เดี๋ยวตามตัวเจอ ^ ^ --  แก้ไขชื่อทุนที่ 5 ค่ะ -- แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 54 14:48:09 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 11:40:24

ความคิดเห็นที่ 70 1. ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น หรือทุนมงบุโช (Monbukagakusho Scholarship) ให้ทุนการศึกษาระดับปริญญา และเป็นทุนให้เปล่า ไม่ต้องชดใช้ แต่รัฐบาลญี่ปุ่น ต้องการให้ผู้จบการศึกษากลับมาทำงานในประเทศไทย เท่านั้นเองค่ะ ทุนนี้เป็นทุนแรกสุดที่สมัคร และเป็นทุนที่ใช้ความพยายามอย่างมาก สมัคร 3 ปีซ้อน แต่ก็ไม่สำเร็จ >_< เหตุที่ไม่สำเร็จ กว่าเราจะคิดทบทวนหาสาเหตุออกมาได้ ก็ตอนสอบรอบสุดท้ายนั่นแหละค่ะ ทุนมงบุโชของทุกปี ให้ทุนในส่วนของปริญญาตรี/โท/เอก ในสายสังคมศาสตร์ และสายวิทยาศาสตร์ เปิดรับสมัครประมาณเดือนพ.ค. – มิ.ย. เกณฑ์กำหนด ขั้นต่ำคือ ทุนเรียนปริญญาตรี เกรดเฉลี่ยมัธยมปลายไม่ต่ำกว่า 3.80  ทุนเรียนปริญญาโท เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.25 ทุนเรียนปริญญาเอก เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.25 และเกรดเฉลี่ย ปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.50 (สาขา Pharmacy เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.25 และเกรดเฉลี่ยปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.30) ข้อยกเว้นในกรณีมีความรู้ภาษาญี่ปุ่น (สำหรับคนที่มีผลสอบวัดระดับความรู้ ภาษาญี่ปุ่นมาแล้ว) ระดับปริญญาตรี ผลสอบระดับ Level 1-2 หรือ N1/N2 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.30 ผลสอบระดับ Level 3 หรือ N3/N4 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.50 ระดับปริญญาโท ผลสอบระดับ Level 1 หรือ N1 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 2.80 ผลสอบระดับ Level 2 หรือ N2 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบระดับ Level 3 หรือ N3/N4 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.15 ระดับปริญญาเอก ต้องมีเกรดเฉลี่ยปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.50 (เกรดเฉลี่ยปริญญาโทไม่ต่ำกว่า 3.30 สำหรับสาขา Pharmacy) และ ผลสอบระดับ Level 1 หรือ N1 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 2.80 ผลสอบระดับ Level 2 หรือ N2 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.00 ผลสอบระดับ Level 3 หรือ N3/N4 เกรดเฉลี่ยปริญญาตรีไม่ต่ำกว่า 3.15 (มีต่อค่ะ) จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 11:44:07

ความคิดเห็นที่ 71 การสมัครสอบ - Download ใบสมัครจากในเว็บของสถานทูตญี่ปุ่น ที่ http://www.th.emb-japan.go.jp/en/jis/study.htm กรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษหรือญี่ปุ่นให้ครบถ้วนทุกช่อง ทุนนี้ถามละเอียดมากๆ เรื่องเรียนต้องเขียนตั้งแต่โรงเรียนประถมยันมหาวิทยาลัย เกรดได้เท่าไหร่ (ดีว่าไม่ถามตั้งแต่อนุบาล) และส่วนสำคัญคือ สาขาวิชาที่และมหาวิทยาลัยที่จะไปเข้าเรียน และชื่ออาจารย์ ที่สนใจจะทำวิจัยด้วย ต้องหามาเขียนให้ครบ ไม่อย่างนั้นเจ้าหน้าที่รับสมัคร จะเชิญไปหาข้อมูลและกลับมายื่นใบสมัครใหม่ทีหลัง - ยื่นใบสมัครที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย (ถนนวิทยุ) หรือ สถานกงสุลญี่ปุ่นที่เชียงใหม่ เท่านั้น - การสอบ จัดสอบที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 11:45:25

ความคิดเห็นที่ 72 ข้อสอบข้อเขียน แต่ก่อนมีแค่สาย Social Sciences/Humanities กับ Natural Sciences แต่ตั้งแต่ปี 2009 Social Sciences/Humanities ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ สายสังคมศาสตร์ และสายบริหาร (เศรษฐศาสตร์ พาณิชย์ และบริหารธุรกิจ) ซึ่งการแบ่ง Social Science และ Natural Science อย่างชัดเจนนี้แหละ เ ป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่ได้ทุน ข้อสอบส่วนของ Social Science /Humanities สายสังคมศาสตร์ สอบภาษาอังกฤษ อย่างเดียว (สมัยเราสอบครั้งแรกในปี 2007 มีข้อสอบประวัติศาสตร์โลกและ คณิตศาสตร์ด้วย) ข้อสอบส่วนของ Social Science /Humanities สายบริหาร สอบภาษาอังกฤษและ คณิตศาสตร์ A (แบบง่าย) ข้อสอบส่วนของ Natural Sciences สอบภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ B (แบบยาก) เคมี และฟิสิกส์หรือชีววิทยา รายละเอียดข้อสอบ ขอไม่พูดถึงนะคะ ช่วงใกล้สอบของปีหน้า ใครอยากได้ ตัวอย่างข้อสอบก็หลังไมค์มาได้ค่ะ การสอบทั้ง 3 ครั้ง เราสอบผ่านข้อเขียนใน 2 ครั้งแรก และไม่ผ่านข้อเขียน ในปีสุดท้าย จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 11:47:04

ความคิดเห็นที่ 73 การสอบสัมภาษณ์ แบบ 3 รุม 1 เอ้ยย ไม่ใช่ 3 ต่อ 1 ค่ะ กรรมการ 3 ท่านถามเราเพียงคนเดียว การสอบในปีแรก เราเลือกสอบข้อสอบ สายSocial Science /Humanities เพราะ อยากเรียน Business Admin. ผ่านข้อเขียนได้เพราะข้อสอบประวัติศาสตร์กับภาษาอังกฤษ (ไม่เก่งเลขค่ะ) ส่วนการสัมภาษณ์ เป็นการสัมภาษณ์ทุนครั้งแรกในชีวิต ประหม่ามาก สั่นมาก และที่สำคัญ ป่วยมากค่ะ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลได้วันเดียว และมีสอบกลางภาคต่อช่วงบ่าย (เวลาสัมภาษณ์ราวๆ 11 โมง) ผล...กรรมการยิงคำถามมา เราตอบไปแบบเบลอ ไร้ที่มาที่ไป ไร้สติโดยสิ้นเชิง ส่วนที่แย่ที่สุดของการสัมภาษณ์ในครั้งนั้นคือ ไม่สามารถโต้แย้งได้ว่าทำไมถึง อยากเรียน business ที่ญี่ปุ่น ไปฝึกงานกับบริษัทญี่ปุ่นเพื่อให้ได้ประสบการณ์ไม่ดีกว่าหรือ อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่ผ่านสัมภาษณ์ น่าจะเป็นเพราะเราได้ปริญญา B.Sc. (วท.บ.) และวิชาเรียนส่วนใหญ่เป็นคอมพิวเตอร์หรือไม่ก็วิศวกรรมอุตสาหการ เลยไม่เข้า หมวดสายสังคมศาสตร์ น่าจะถือว่าสอบผิดกลุ่ม   การสอบในปีที่ 2 เตรียมตัวพร้อมมาก และเลือกสอบของสายวิทย์ตามปริญญา ที่ได้ ให้เพื่อนติวฟิสิกส์กับเคมีให้ และในที่สุดก็ผ่านข้อเขียนแบบงงๆ พอถึงรอลบสัมภาษณ์ ก็ฟิตอีก อะไรที่ปีที่แล้วตอบไม่ได้ เราจำได้หมด เก็บทุกเม็ด ทุกประเด็นมาใส่ใจ หาคำตอบเลิศหรูเตรียมไว้พร้อม ปิดจุดอ่อนตัวเองให้มากที่สุด และเมื่อถึงวันสัมภาษณ์ เราไม่ผิดหวังเลยค่ะ กรรมการยิงคำถามแบบที่เราเตรียมไป ตอบได้ทุกข้อ เรามั่นใจมากว่าเราต้องได้ทุนแน่ แต่เมื่อประกาศคะแนน เราไม่อยู่ในรายชื่อผู้ผ่านค่ะ ไม่...แม้แต่จะอยู่ในรายชื่อสำรอง เพราะตอนสัมภาษณ์เราโกหกไปข้อเดียวเท่านั้น ว่าเราไม่เคยไปอเมริกา สาเหตุที่โกหก มันเนื่องมาจากการสอบสัมภาษณ์ในปีแรก กรรมการชมว่าเราพูด ภาษาอังกฤษได้ดีมาก เคยไปเรียนอเมริกาหรือเปล่า เราตอบว่าเคยไปแลกเปลี่ยน กรรมการเลยถามต่อว่าทำไมถึงไม่ไปเรียนอเมริกา เราตอบไม่ได้ (เพราะมึน นึกอะไรไม่ออก) ปีถัดมา เรากลัวว่าถ้าตอบว่าเคย จะโดนต้อนแบบเดิมอีก เลยโกหกไป เราไม่นึกไม่ฝันเลยว่า หนึ่งในกรรมการจะจำเราได้กระทั่งว่า เราเคยตอบว่าอะไร หรือที่จริงแล้ว เราคงดูถูกวิจารณญาณและความสามารถ ของกรรมการมากเกินไป ว่าท่านๆ จะดูไม่ออกเลยเชียวหรือ ว่าการพูดภาษา อังกฤษแบบเรา เป็นแบบคนที่เคยผ่านการเรียนในต่างประเทศมาหรือไม่   แน่ใจว่านั่นเป็นสาเหตุที่เราสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่านในครั้งที่ 2 ส่วนการสอบครั้งที่ 3 เราสมัครสอบ Social Science /Humanities สายบริหาร และไม่ได้อ่านหนังสือไปสอบเลย เพราะตอนนั้นทำงานและงานที่บริษัทยุ่งมาก เลิกเที่ยงคืนแทบทุกวัน เราไปสอบ แบบสะโหลสะเหล รู้ตัวว่าคงไม่ผ่านแน่ๆ   ข้อควรจำ ใครจะสอบสัมภาษณ์ไม่ว่าจะทุนอะไรก็ตาม อย่าทำแบบเรานะคะ อย่าโกหกเลย  แต่ถ้าริจะโกหก อย่าให้โดนจับได้อย่างน่าเกลียดที่สุดแบบเรา 555   จบไปแล้วหนึ่งทุน เราหนีงานมาโพสต์ ขอกลับไปทำงานนิดนะคะ เดี๋ยวเจ้านายอัด  ไว้จะมาลงต่อเรื่อยๆ ค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 11:52:13

ความคิดเห็นที่ 74 รอติดตามค่ะ ขอบคุณทุกท่านมากๆเลยนะคะสำหรับการแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ^/\^ จากคุณ : immeasurable191 (immeasurable191) เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 18:43:18

ความคิดเห็นที่ 75 สำหรับคนที่หาทุนไม่ได้ หรือเกรดไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสมัคร ก็อย่าเพิ่งหมดหวังนะครับ คุณยังมีทางออกเหมือนกัน ผมตั้งใจเขียนส่วนนี้ เพื่อให้กำลังใจคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินโดยเฉพาะ 1. ต้องวางแผนตั้งแต่เนิ่น ยิ่งรู้ว่าตัวเองอยากไปเรียนต่างประเทศเร็ว เท่าไรยิ่งดี เพราะคุณจะมีเวลาเตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้าน 2. พยายามฝึกภาษาอังกฤษเข้าไว้ เพราะภาษาอังกฤษจะทำให้คุณได้งานที่มีผลตอบแทนสูง 3. ทำงานเก็บเงินเองจนได้ประมาณล้านบาทเป็นอย่างน้อย เงินล้านฟังดูเยอะนะครับ แต่ถ้าคุณตั้งใจเก็บโดยเริ่มตั้งแต่เรียนจบ ไม่เอาเงินไปซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็น และมีกลยุทธ์ที่เหมาะสม เป็นไปได้แน่นอนครับ ที่คุณจะได้ไปเรียนต่างประเทศตอนอายุ 20 ปลาย ๆ ถึง 30 ต้น ๆ เราลองมาคำนวณเล่น ๆ ดูนะครับ หากคุณเก็บให้ได้เดือนละ 10,000 บาท ปีหนึ่งคุณจะได้ แสนสอง 10 ปี คุณได้ล้านสอง แต่เนื่องจากหากคุณตั้งใจเก็บจริงโดยรวมโบนัสสิ้นปีตลอด 10 ปีเข้าไปด้วย ประกอบกับเงินเดือนคุณสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนบางทีคุณอาจจะเก็บได้ถึงเดือนละ 20,000 บาท คุณเก็บเงินล้านได้เร็วกว่า 10 ปีแน่นอนครับ 4. การเก็บเงินเองอย่างเดียว เป็นอะไรที่เหนื่อยและน่าเบื่อ อีกทั้งบางทีคุณอาจมีความจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้เงิน ดังนั้นคุณต้องหาตัวช่วยครับ (ผมนึกถึงอาคิมิดิสขึ้นมาทันที) คุณต้องหาคานมางัดครับ เพื่อให้คุณออกแรงน้อยลง ในการยกภาระที่หนัก คานที่ว่าก็เช่น กองทุนรวมนั้นเอง ระยะเวลา 10 ปีที่คุณมุ่งมั่นจะเก็บเงิน มันนานพอที่จะขจัดความผันผวนในระยะสั้นได้พอสมควรครับ อีกอย่างหากเป็นกองทุน LTF ก็จะช่วยให้คุณประหยัดภาษี มีเงินเก็บมากขึ้นได้ แต่อย่าลืมนะครับ การลงทุนมีความเสี่ยง แต่คุณสามารถเลือกได้ว่าจะเสี่ยงแค่ไหน ผมแนะนำให้คุณหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนมาอ่านครับ มีหลายเล่มอ่านเข้าใจง่าย อีกอย่างคุณก็ไม่จำเป็นต้องซื้อด้วย ว่าง ๆ ก็ลองนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปสถานีศูนย์สิริกิต์ เดินไปตึกตลาดหลักทรัพย์ เพื่อไปใช้บริการห้องสมุดของตลาดหลักทรัพย์ดูนะครับ 5. คานอีกประเภทก็คือ รายได้เสริมครับ พยายามเริ่มธุรกิจออนไลน์ให้ได้ เพราะธุรกิจออนไลน์ส่วนใหญ่ ใช้เงินลงทุนต่ำ แต่ใช้ความอดทนสูง ผมคิดว่าคนที่ตั้งใจเก็บเงินอย่างคุณ ความอดทนเป็นเลิศอยู่แล้วครับ และข้อดีของธุรกิจออนไลน์คือ คุณจะทำที่ไหนก็ได้ในโลกใบนี้ ถึงคุณไปอยู่ต่างประเทศคุณก็ทำได้ และธุรกิจตัวนี้นี่แหละ ที่จะทำให้คุณมีเงินจับจ่ายใช้สอยเพิ่มเติมตอนที่คุณอยู่ต่างประเทศ และหากจะให้ดีที่สุดควรเป็นประเภทบริการ เพราะงานบริการคุณไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้า ลองคิดดูว่าใครจะเป็นคนส่งสินค้าให้ลูกค้า หากคุณไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ถึงไม่ใช่งานบริการ อย่างน้อยมันก็ทำให้คุณเก็บเงินได้เร็วขึ้น ถูกมั๊ยครับ? แต่งานบริการบางทีก็มีข้อเสีย เช่น การบริการบางอย่างมันผูกติดกับความสามารถของตัวคุณ หาคนมาทำแทนก็ยาก จะทำให้คุณมีรายได้ที่จำกัด เนื่องจากคุณจะทำเยอะก็ทำไม่ไหว จะเสียเงินจ้างคนก็จ้างไม่ไหว หรือไม่ก็กลัวว่าคนที่จ้างมาจะทำได้ไม่ดีเท่าคุณ 6. พอถึงเวลาที่คุณคิดว่า อืมฉันอายุมากแล้ว เงินก็พอมี ฉันคงต้องไปเรียนแล้วหล่ะ คุณอาจจะพบว่าเงินคุณขาดอยู่อีกนิดหน่อย คุณก็อาจใช้การกู้เงินจากธนาคารเข้าช่วยครับ เดี๋ยวนี้แทบทุกธนาคารมีเงินกู้เพื่อศีกษาต่อต่างประเทศ ลองคุยกับธนาคารใกล้บ้านดูครับ อีกอย่างคุณเองก็ควรเลือกมหาลัยและรัฐที่มีค่าใช้จ่ายเหมาะสมกับเงินที่คุณมีครับ มีหลาย ๆ เว็บที่ทำดัชนีชิ้วัดค่าครองชีพในแต่ละรัฐไว้ให้คุณเปรียบเทียบ 7. พอคุณมาเรียนแล้ว อย่าลืมนะครับ F-1 Visa ทำงาน on-campus ได้ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยเฉลี่ยแล้วค่าแรงคุณจะได้ $7 - $10 ต่อชั่วโมงขึ้นอยู่กับประเภทของงาน หากคุณทำซัก 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คุณจะมีเงินประมาณ $500 - $600 ต่อเดือน ซึ่งมันก็พอ หรือ เกือบจะพอ กับค่าที่พักรายเดือนของคุณ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐที่คุณอยู่ 8. หากพ่อแม่คุณมีรายได้บ้าง มีเงินเก็บบ้าง ท่านอาจจะช่วยคุณสมทบอีกนิดหน่อย สุดท้ายขอฝากว่า อย่าพยายามใช้เงินให้หมดไปกับ gadget ไฮเทคให้มากครับ มีอย่างละ 1 ชิ้นก็พอ และก็อย่าเปลี่ยนให้บ่อยครับ เพราะทุก ๆ เงิน 10,000 ที่คุณใช้จ่ายในวันนี้ มันไม่ใช่เงินหมื่นใน 10 ปีข้างหน้า หากคุณนำเงินหมื่นในวันนี้ ไปทำให้ได้ผลตอบแทน 3% แบบทบต้น ตลอด 10 ปีมันจะเป็นเงิน 13,340 บาทครับ จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณหมดกับ gadget ไปเป็นแสน คุณทำเงินในอีก 10 ปีข้างหน้าหายไป 33,400 บาทครับ (อันนี้คิดที่ 3% เองนะครับ หากเป็น 5% เงินจะหายไป 62,890 บาท) อีกความเสี่ยงก็คือเงินเฟ้อและการเพิ่มของค่าเรียนที่มหาลัยมักปรับขึ้นทุกปี ยังไงก็ขอให้สู้ ๆ เข้าไว้ครับ ตั้งใจมุ่งมั่น ทำได้แน่นอน ถึงเต่าจะคลานช้า แต่ขอให้คลานทุกวัน ถึงเส้นชัยแน่นอนครับ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 23:43:25 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 76 และบางทีการที่เราใช้เวลาถึง 10 ปีในการเก็บเงิน มันอาจจะช่วยให้คุณค้นพบตัวเองว่า จริง ๆ แล้วคุณอาจจะไม่ได้อยากไปเรียนต่างประเทศ ตอนนั้นอยากไปเพราะเห็นคนอื่นเค้าไปกันเยอะ จริง ๆ แล้วฉันสนุกกับธุรกิจที่ฉันสร้างเองกับมือ ฉันมีอย่างอื่นที่อยากทำ และ สนุกกับมันมากกว่า จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 23:54:38 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 77 อีกอย่างหากคุณไปเรียนด้าน MBA ด้วยแล้ว การลงทุนที่คุณเคยอ่าน เคยศึกษา เคยลงมือปฏิบัติ ธุรกิจที่คุณสร้างมาเองกับมือ และปัญหาต่าง ๆ ที่คุณเคยพบ เคยแก้ไข การกำหนดราคาและโปรโมชั่นที่คุณเคยทำ การใช้แคลคูลัสที่เรียนใน ม.ปลาย หาต้นทุนต่ำสุด กำไรสูงสุด การใช้สถิติที่คุณเคยเรียนในมหาลัย มาสร้าง Regression model เพื่อคาดคะเนต้นทุนหรือกำไร ทุก ๆ อย่างมันจะกลายเป็นทรัพยากรและประสบการณ์ชั้นยอด ให้คุณนำไปโม้ใน class ครับ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 03:55:21 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 78 โดนคุณ Phurich ตัดหน้าซะแล้ว ตั้งใจจะเขียนเรื่องการเก็บเงินเพื่อเรียนต่อต่างประเทศ ต่อจากเรื่องทุน ^ ^ ดีค่ะ ช่วยๆ กันเขียน แชร์ข้อมูลกัน -- แก้ไขข้อความนิดหน่อย -- แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 10:02:19 จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 07:58:28

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณมากค่ะ ข้อมูลเป็นประโยชน์มาก รอติดตามอ่านเรื่องการล่าทุนการศึกษานะคะ จากคุณ : SK_TL เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 14:28:33

ความคิดเห็นที่ 80 ติดตามอ่าเรื่องทุนอื่นๆนะคะ จากคุณ : หนูน้อยรักการอ่าน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 18:17:22

ความคิดเห็นที่ 81 ผมสงสัยว่าเวลาสมัครเรียนบางแห่ง จะมีการให้กรอกว่าเราสมัครที่ไหนบ้าง ข้อมูลส่วนนี้มีนัยสำคัญต่อการสมัครอย่างไรเหรอครับ? แล้วเราควรกรอกเช่นไร? แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 19:32:28 จากคุณ : system idle เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 19:32:06

ความคิดเห็นที่ 82 คุณมุตตาก็เขียนเวอร์ชั่นของคุณมุตตาเถอะครับ อย่าให้เสียความตั้งใจเลย ยังไงรูปแบบและการใช้ภาษาก็คนละสไตล์อยู่แล้ว ผู้อ่านอาจจะชอบของคุณมากกว่า ================ ตอบคุณ system idle กรอกไปตามความจริงเลยครับ ข้อมูลส่วนนี้ทางมหาลัยได้ประโยชน์เต็ม ๆ ครับ ส่วนตัวคุณจะได้อะไร ผมก็นึกไม่ออกเหมือนกัน 1. ทางมหาลัยจะทราบว่าคู่แข่งมีใครบ้าง 2. ทาง admission commitee จะประเมินได้ว่า ถ้าเค้ารับคุณ มีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่คุณจะมา 3. เก็บเป็นข้อมูลทางสถิติแล้วนำมาวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ว่า ทำไมเด็กชอบเลือกที่นี่ที่นั้น ที่นั้นดีกว่ามหาลัยเรายังไง อันนี้เป็นความคิดผมเองครับ ความจริงเป็นยังไง ไม่ทราบเหมือนกัน แต่คิดว่าก็น่าจะประมาณนี้ จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 20:46:28 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 83 admission committee --ผมแก้คำผิดที่โพสไปแล้วไม่ได้อะ-- จากคุณ : Phurich เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 20:48:37 A:38.101.126.133 X: TicketID:083381

ความคิดเห็นที่ 84 ขอบคุณครับ จากคุณ : system idle เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 07:21:18

ความคิดเห็นที่ 85 เห็นด้วยกับคุณ Phurich ค่ะ เราว่ามหาวิทยาลัยอยากประเมินด้วยว่าคู่แข่งของเขามีใครบ้าง อ้อ เพิ่มเติมไปเลยแล้วกันค่ะ ถ้าได้รับ offer เกินกว่า 1 แห่ง ควรแจ้งให้มหาวิทยาลัย ที่เราตัดสินใจว่าจะไม่ไปเข้าเรียนทราบด้วยนะคะ อย่างของเราก็แจ้งให้มหาวิทยาลัยอีกแห่ง ทราบว่าจะเลือกอีกที่นึง เขาก็ถามค่ะ ว่าเราเลือกที่ไหนเหรอ เป็นทำนองว่าจะเก็บไว้เป็นข้อมูล ในการพัฒนาหลักสูตรและคุณภาพของมหาวิทยาลัยต่อไป ซึ่งถ้าไม่ไปเรียนแล้วไม่บอกก็ไม่ดีหรอกค่ะ มหาวิทยาลัยรอเก้อเปล่าๆ เปลืองที่คนอื่นที่อยากเข้ามากกว่าเราด้วย จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:08:09

ความคิดเห็นที่ 86 ลงเรื่องทุนต่อเลยนะคะ 2. ทุนอีราสมุส (Erasmus Mundus Scholarship) เป็นทุนเรียนระดับปริญญาโทสำหรับประเทศในสหภาพยุโรปและอังกฤษ โดยทุนที่ให้เป็นทุนค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน และค่าใช้จ่ายรายเดือน และไม่ต้องทำงานชดใช้ทุนค่ะ ลักษณะทั่วไปของทุนนี้ 1. ระดับปริญญาโทเท่านั้น 2. เรียนในมหาวิทยาลัย 2 แห่งหรือมากกว่าในประเทศในสหภาพยุโรป อังกฤษ และออสเตรเลีย เรียกมหาวิทยาลัยที่ให้ความร่วมมือในการจัดทำหลักสูตรว่า Consortium รายชื่อทุนในปี 2012 ดูได้ที่นี่ค่ะ http://eacea.ec.europa.eu/erasmus_mundus/results_compendia/selected_projects_action_1_master_courses_en.php ทุนนี้เราสมัครไปทั้งหมด 2 ครั้ง กับ 3 มหาวิทยาลัย คือ ปี 2008 เซลฟ์มาก สมัครแค่ทุนเดียวคือ International Master in Industrial Management (IMIM) ที่ Universidad Politécnica de Madrid (UPM), Politecnico di Milano (Polimi) และ Kungliga Tekniska Högskolan (KTH) ปี 2009 (เนื่องจากปี 2008 แห้วทุนนี้ไป เพราะส่งเอกสารช้า เซ็งมาก) เลยสมัคร 2 ทุน คือ IMIM อันเดิม (อยากเรียนมากๆ เราจบการจัดการวิศวกรรมมา เลยอยากเรียนต่อยอดด้านนี้) และ Global Innovation Management (GIM) ที่ University of Strathclyde (Scotland), Aalborg University (Denmark), Hamburg University of Technology (Germany) และ Swinburne University of Technology (Australia) ซึ่งตัวหลังเราคาดหวังมากเหมือนกัน เนื่องจากเป็น Consortium ใหม่ของทุนอีราสมุส ปัจจุบัน IMIM ไม่อยู่ในระบบทุนอีราสมุสแล้ว (หลักสูตรเปิดรับสมัครตามปกติทุกปี แต่ไม่มีทุนของอีราสมุสให้) แต่ GIM ยังอยู่ค่ะ   การสมัคร เหมือนสมัครเรียนกับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศตามปกติ โดยเข้าไปที่เว็บของ Host University ของแต่ละโปรแกรม แล้วสมัครโดยตรง ปกติแล้วหลักสูตรที่อยู่ในทุนอีราสมุสจะรับ ทั้งนักเรียนทุนและนักเรียนที่จ่ายค่าเล่าเรียนตามปกติ ทุนอีราสมุสจะพิจารณาจาก 1. เกรดเฉลี่ย 2. คะแนนสอบภาษา (บางที่รับ TOEFL บางที่รับ IELTS ดูดีๆ นะคะ) และบางที่ จะ strongly recommend ให้ส่ง คะแนน GMAT หรือ GRE ด้วย (โดนกับตัวมาแล้ว  ตอนนั้นไม่ยอมสอบส่งไปเพราะค่าสอบแพงมาก เลยไม่ได้ทุนในการสมัครครั้งแรกค่ะ) 3. Essay หรือ SOP 4. สัญชาติ ส่วนนี้มีผลค่ะ เพราะทุนจะให้กระจายไปตามโควตาของแต่ละประเทศ ประเทศใหญ่เช่นจีนหรืออินเดียจะได้มากหน่อย สำหรับคนไทย แล้วแต่หลักสูตร จะพิจารณา แล้วก็โปรไฟล์ของตัวผู้สมัครก็มีส่วนด้วย โดยมากให้คนไทยไม่เกิน หลักสูตรละ 2 คนค่ะ 5. Letters of Recommendation   อย่างที่บอกไปข้างต้น ปีแรกเราประมาทเอง ส่งเอกสารช้า (มาก) ลืมนั่นลืมนี่ และไม่ได้ส่งคะแนน GMAT ให้ เลยรับประทานแห้ว ปีที่สอง ส่งครบ ทุกอย่างรวดเร็วตรงเวลาหมด พลาดตรงไหน ?? เหนือฟ้ายังมีฟ้าค่ะ เรา (เคย) คิดว่าตัวเองเก่งมาก เกรดเฉลี่ยดี คะแนนภาษาดี  เขียน SOP ได้สวยหรู แต่คนเก่งกว่าเรามีอีกเยอะ ทั้งสองโปรแกรมที่สมัครไป เราติด Wait List ทั้งสองโปรแกรม และไม่มีใครสละสิทธิ์ค่ะ เลยรับประทานแห้วรอบสอง   คำแนะนำในการสมัครทุนนี้ 1. อ่านข้อกำหนดของแต่ละหลักสูตรให้ละเอียด ว่ามหาวิทยาลัยต้องการอะไรบ้าง บางที่กำหนดว่าต้องมีประสบการณ์ บางที่ต้องจบปริญญาตรีในหลักสูตรใกล้เคียงกัน 2. ทุนนี้ไม่มีเส้น แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า ของฟรีดีๆ ในโลกไม่มีค่ะ ต้องใช้ความพยายาม ทุ่มเทในทุกๆ ด้านให้ได้มา และสำหรับเรา มาถึงตอนนี้เรามองย้อนกลับไป เรายังทุ่มเทไม่มากพอค่ะ   จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:36:05

ความคิดเห็นที่ 87 3. ทุนเชลล์ (Royal Dutch/Shell Centenary Scholarship) เป็นทุนให้เปล่าเหมือนกับทุนอีราสมุส ได้รับค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน และค่าใช้จ่ายรายเดือน ทุนนี้เราสมัครไปทั้งหมด 2 ครั้ง กับ 7 มหาวิทยาลัย คือ ปี 2008 Delft University of Technology (TU Delft) ที่เดียวเท่านั้น เซลฟ์มาก (ปี 2008 เป็นปีที่เซลฟ์แล้วแป้กตลอดงาน หลังจากนั้นเสียศูนย์ไปพักใหญ่เลย) ปี 2009 1. Delft University of Technology (TU Delft) 2. Imperial College London 3. Durham University 4. University College London 5. University of Twente 6. University of Edinburgh และ 7. Eindhoven University of Technology ปีนั้นเป็นปีที่เราทุ่มมากให้กับทุนในยุโรป ขวนขวายไปสอบภาษาใหม่หมด และ สอบทุกตัว (TOEFL/IELTS/GMAT/GRE) ถึงกับลาออกจากงานมาเพื่ออ่าน หนังสือสอบ GMAT รอบนั้นเราได้ IELTS 7.5 เลยคิดว่าน่าจะได้มาสักทุนน่ะแหละ   การสมัครทุน สมัครโดยระบุไปในใบสมัครของมหาวิทยาลัย ว่าต้องการได้รับทุนตัวนี้ โดยต้องส่ง ใบสมัครและเอกสารให้ทันกำหนดเวลา ไม่มีการสัมภาษณ์ เกณฑ์ในการพิจารณา ก็คล้ายๆ กับทุนอีราสมุส แต่น่าจะเข้มข้นกว่าเพราะจำนวนทุนที่ให้ต่อมหาวิทยาลัย ค่อนข้างน้อย (2 – 6 ทุน/ปี)   ทำไมไม่ได้ทุน เป็นคำถามโลกแตกที่ตอนนั้นเราถามตัวเองอยู่เหมือนกัน ปี 2008 เข้าใจว่าไม่ได้ทุน เพราะส่งเอกสารช้า (ช้าทุกทุน เลยไม่ได้รับพิจารณาเลยสักทุนเดียว) ส่วนปี 2009 เราได้รับ offer แบบ unconditional จาก TU Delft, ICL, Durham, Twente, และ Edinburgh รวมทั้งได้ offer ที่ให้เรียนแบบชำระค่าเทอมของทุนอีราสมุสทั้งสองทุน แต่ไม่มีที่ไหนให้ทุนเราเลย เพราะ...เหนือฟ้ายังมีฟ้า อย่างในทุนอีราสมุสนั่นแหละค่ะ เราเคยเข้าใจว่าตัวเอง สามารถหาทุนเรียนต่อเองได้แน่นอน แต่เรามั่นใจเกินไป คิดว่า GPA ดีพอแล้ว  IELTS สูงพอแล้ว แต่ว่ากันตามจริง รุ่นพี่เราที่ได้ทุนอีราสมุสหรือทุนเชลล์กัน  เขาได้เกรดเฉลี่ย 3.8+ IELST 7.5 แบบ all element ไม่ใช่ 7 บ้าง 6 บ้างแบบเรา   ปัจจุบัน เราไม่แน่ใจว่าทุนเชลล์ยังมีอยู่หรือไม่ (ตอนนี้เราเข้าเว็บของทุนไม่ได้ค่ะ) ไว้หาข้อมูลในส่วนนี้ได้เมื่อไหร่จะมาเพิ่มเติมนะคะ -- ค่ำๆ จะมาลงต่อค่ะ -- จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 12:50:13

ความคิดเห็นที่ 88 มาปูเสื่อรอต่อนะคะ ทั้งคุณมุตตาและคุณPhurichค่ะ เรื่องการเก็บเงินเพื่อเรียนต่อต่างประเทศ เราเชื่อว่าหลายๆคนยังไม่มีความคิดด้านนี้จริงๆนะคะ ถ้าเกิดคุณมุตตาจะมีเวลาก็เขียนเพิ่มเถอะนะคะ ขอบคุณทั้งสองคนนะคะ เรากำลังเตรียมหาทุนอยู่เหมือนกันค่ะ  ^^ จากคุณ : avadar เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 16:56:34

ความคิดเห็นที่ 89 มาต่อแล้วค่ะ วันนี้อาจจะยาวหน่อยนะคะ 4. ทุนรัฐบาลออสเตรเลีย (Endeavor Award) เป็นทุนให้เปล่าเช่นกันค่ะ และได้รับค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน และค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยผู้สมัครต้องได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยในออสเตรเลียก่อนจึงจะสมัครทุนนี้ได้ ซึ่งเราได้สมัครไปมหาวิทยาลัยเดียว คือ University of Sydney และได้รับ offer แบบ unconditional เลยยื่นใบสมัคร Endeavour Postgraduate and Postdoctoral Awards ต่อ สนใจก็ตามลิ้งค์นี้ไปค่ะ http://www.deewr.gov.au/International/EndeavourAwards/Pages/Home.aspx สมัครทุน Endeavour Postgraduate and Postdoctoral Awards ปี 2013 (ปี 2012 Main round ปิดการพิจารณาแล้วนะคะ) ไปที่นี่ค่ะ http://www.deewr.gov.au/International/EndeavourAwards/Pages/Apply.aspx ทุนนี้ปิดรับสมัครการพิจารณาประมาณเดือนกรกฎาคมของทุกปี แต่ไปไงมาไงไม่รู้ เราส่งเอกสารไปแล้วเงียบหาย เราไม่ได้ตาม ลืมไปจนกระทั่งเกิน deadline ปรากฏว่าเอกสารตกหล่น ไปไม่ถึงปลายทาง เราโกรธไปรษณีย์มากจริงๆ ที่ทำเอกสารเราหาย และส่วนหนึ่งคือโกรธตัวเองด้วย ที่ส่งเอกสารไปแล้วไม่ตาม ทั้งๆ ที่ส่งล่วงหน้านานเป็นเดือน เลยกินแห้วอีกลูกนึง ข้อแนะนำที่เราได้จากการสมัครทุนนี้ 1. ส่งเอกสารไปแล้วต้องตามด้วยว่าไปถึงมือทางโน้นแน่ๆ ไม่งั้นจะเสียใจแบบเราค่ะ 2. เผื่อเวลาส่งเอกสารล่วงหน้านานๆ กรณีหาย จะได้ส่งใหม่ได้ทัน deadline จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 15:03:49

ความคิดเห็นที่ 90 5. ทุน Asian Youth Fellowship (AYF) ทุนนี้เป็นทุนของรัฐบาลญี่ปุ่นเช่นกัน แต่มีความพิเศษกว่าทุนอื่นคือ ไม่เปิดรับสมัครทางตรง แต่ทางสถานทูตจะคัดจากผู้สอบผ่านข้อเขียนทุนมงบุโช แต่ไม่ผ่านสัมภาษณ์ จำนวน 4 – 6 คน มาสัมภาษณ์ทุนนี้โดยไม่ต้องสอบข้อเขียนใหม่อีก ซึ่งเราได้รับโอกาสนั้น หลังจากแห้วจากการสอบทุนมงบุโชในปีที่ 2 ซึ่งทุนนี้จะให้ไปเรียนภาษาที่ศูนย์ AYF ในเมืองโอซาก้าเป็นเวลา 7 เดือน และหลังจากนั้นถ้าอยากจะเรียนปริญญาโทต่อสามารถยื่นขอทุน Research Student กับทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ โดยต้องมีมหาวิทยาลัยตอบรับเข้าเรียน   สำหรับการสอบสัมภาษณ์ของเราคงไม่ต้องบรรยายมากค่ะ กรรมการเห็นหน้าเรา คงนึกว่า ยายนี่มาอีกแล้ว และอาจจะทิ้งใบสมัครเราลงถังขยะไปเลย เห็นไหมคะ โกหกแบบไม่เนียนแค่ครั้งเดียว ซวยไปอีกเป็นปี ปัจจุบัน ไม่มีทุนนี้แล้วนะคะ หลังจากให้ทุนไปทั้งหมด 15 ปี รัฐบาลญี่ปุ่นยุติการให้ทุนนี้ในปี 2010 ค่ะ   ผ่านไป 5 ทุน ซึ่งเป็นทุนให้เปล่าของต่างประเทศทั้งหมด ตอนที่รู้ว่าคงไม่ได้สักทุนเดียว ก็เสียความมั่นใจไปมาก และคิดว่าด้วยความสามารถที่ตัวเองมี คงหาทุนเรียน แบบไม่ต้องใช้ทุนคืนไม่ได้หรอก เราเลยเบนเข็มไปที่ทุนเรียนโทขององค์กรในประเทศไทยแทน   สืบเนื่องจากการลาออกจากที่ทำงานแรกเพื่อสอบ GMAT หลังสอบเสร็จก็หาที่ทำงานใหม่ ได้เป็นนักวิเคราะห์ทางการเงินอยู่พักหนึ่ง และเกิดความสนใจจะเรียนต่อด้าน Financial Engineering เลยเป็นที่มาของการสมัครทุน 2 ที่ถัดไปค่ะ จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 15:08:24

ความคิดเห็นที่ 91 6. ทุนธนาคารกรุงไทย (KTB) เป็นทุนให้เรียนต่อในระดับปริญญาโทตามสาขาที่ธนาคารกำหนด ได้แก่ การเงิน วิศวกรรมการเงิน (Financial Engineering) บัญชี การตลาด Operation Research กฎหมายธุรกิจ และทรัพยากรบุคคล โดยในแต่ละปีจะมีทุนแตกต่างกันไป ทุนที่ให้ครอบคลุมค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนและค่าใช้จ่ายรายเดือน (แว่วๆ มาว่า เงินเดือนได้มากกว่านักเรียนทุนรัฐบาลไทย แต่ไม่แน่ใจว่าต่างกันมากหรือไม่) สนใจติดตามทุนธนาคารกรุงไทย เข้าไปดูได้ที่นี่ค่ะ http://www.ktb.co.th/th/career/main_work_ktb.jsp ทุนนี้เปิดรับสมัครช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. (ใครสนใจเฝ้าดูกันไว้ดีๆ นะคะ ใกล้เข้ามาแล้ว) ผู้สมัครจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือพนักงานของธนาคารก็ได้ โดยมีเงื่อนไขว่าเมื่อรับทุนแล้ว ต้องเรียนให้จบและกลับมาใช้ทุนไม่น้อยกว่า 2 เท่าของเวลาที่เรียน แต่ต้องไม่น้อยกว่า 4 ปี ธนาคารกำหนดคุณสมบัติผู้สมัครทุนไว้ 3 ประเภทคือ ประเภทที่ 1 สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาระดับปริญญาโท หรือผู้ที่ได้รับทุนการศึกษา ในระดับปริญญาโทจากหน่วยงานอื่นในสาขาที่ธนาคารให้ทุน และประสงค์จะรับ ทุนการศึกษาของธนาคารฯ และเข้ามาปฏิบัติงานร่วมกับธนาคารภายหลังสำเร็จ การศึกษาแล้ว โดยต้องศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ธนาคารกำหนด (ตามข้อ 2 ด้านล่าง)   ประเภทที่ 2 สำหรับผู้ได้รับการตอบรับเข้าเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ในสาขาวิชาและมหาวิทยาลัยที่ธนาคารกำหนด โดยสำหรับมหาวิทยาลัยในอเมริกา ต้องอยู่ใน Top 20 ของสาขาวิชานั้นๆ (Harvard, Stanford, Columbia, U. Penn (Wharton), MIT, UC Berkeley) มหาวิทยาลัยในอังกฤษ 3 แห่ง คือ London Business School, Cambridge และ Oxford มหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส 1 แห่ง คือ INSEAD มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น 1 แห่ง คือ โตได (มหาวิทยาลัยแห่งโตเกียว) และ มหาวิทยาลัยในจีน  1 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง   ประเภทที่ 3 สำหรับผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เกรดเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3.00 โดยต้องมีผลสอบ GMAT ไม่ต่ำกว่า 600/GRE Quantitative ไม่ต่ำกว่า 750/ TOEFL iBT ไม่ต่ำกว่า 100/IELTS ไม่ต่ำกว่า 7.0 (ตอนนี้น่าจะปรับเป็น 7.5) ถ้าไม่ได้ตามนี้ต้องสอบข้อสอบกลางของธนาคาร   โดยผู้สมัครทุกประเภทต้องมีคุณสมบัติทั่วไป คือ อายุไม่เกิน 35 ปีบริบูรณ์ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราพลาดกับทุนนี้ คือคะแนน GMAT ไม่ถึง 600 เราขาดไปนิดเดียวจริงๆ แต่ธนาคารไม่อนุโลมให้ ซึ่งเราเข้าใจว่ากฎต้องเป็นกฎ สรุปว่าต้องสอบเลขด้วย แต่เราได้รับการยกเว้นไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษเพราะตอนนั้นคะแนนเกินเกณฑ์ทั้ง TOEFL และ IELTS   วิชาที่สอบ (คะแนนเต็มวิชาละ 100 คะแนน) 1. วิเคราะห์ปัญหาธุรกิจ 2. คณิตศาสตร์ 3. ภาษาอังกฤษ 4. วัดคุณลักษณะ โดยผู้สมัครที่อยู่ในประเภทที่ 1 และ 2 ไม่ต้องสอบข้อเขียน 3 วิชาแรก จำนวนคนสมัครสอบทั้งหมดในปีนั้นประมาณ 200 คน ทุนที่ให้รวมทุกสาขาทั้งหมด 12 ทุน เราสมัครสอบสาขา Financial Engineering ไป เพราะรู้สึกว่าน่าสนใจมากที่สุด แต่ผลปรากฏว่าเราไม่ผ่านข้อเขียนค่ะ ก็รับประทานแห้วไปอีกลูก ความมั่นใจในตัวเองลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ >"< จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 15:11:42

ความคิดเห็นที่ 92 7. ทุนธนาคารกสิกรไทย (KBank) ให้ทุนเหมือนกับทุนธนาคารกรุงไทยค่ะ แต่ส่วนใหญ่จะเน้นที่ Financial Engineering มากกว่า มีมาปีละ 2 – 3 ทุน ลักษณะทุนก็เหมือนกันคือ ครอบคลุมค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน และค่าใช้จ่ายรายเดือน ผู้สมัครจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือพนักงานของธนาคารก็ได้ กรณีเป็นพนักงานธนาคารและทำงานมากกว่า 2 ปี ระหว่างเรียนจะได้เงินเดือน ทั้งในส่วนของพนักงานและนักเรียนทุน และนับอายุงานต่อเนื่องด้วย ถ้าทำงาน น้อยกว่า 2 ปี ได้นับอายุงานอย่างเดียว   ข้อมูลเกี่ยวกับทุน ตามนี้ค่ะ http://www.kasikornbank.com/TH/CareersScholarship/Scholarship/Pages/FAQs.aspx ทุนเปิดรับสมัครช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. ใกล้ๆ กับทุนกรุงไทยเลยค่ะ ตอนเราสมัคร ก็สมัครทั้งสองทุน ปรากฏว่ามีคนคิดแบบเราเพียบเลยค่ะ วันสอบข้อเขียนของทุนกรุงไทย ช้ากว่าทุนกสิกรไทย 1 อาทิตย์ เจอแต่คนสอบหน้าเดิมๆ 555 คุณสมบัติทั่วไป คือ เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 และอายุไม่เกิน 28 ปีบริบูรณ์ คุณสมบัติด้านภาษาของทุนกสิกรไทย (ในปี 2008) จะต่ำกว่าทุนธนาคารกรุงไทย คือ GMAT ไม่ต่ำกว่า 550 และ TOEFL iBT ไม่ต่ำกว่า 80 และเนื่องจากให้ทุนเรียน เฉพาะในอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน จึงไม่รับผลสอบ IELTS โดยทุนของอเมริกา มีข้อกำหนดว่า ต้องมีผล GMAT และ TOEFL มายื่น ไม่งั้นไม่รับสมัครสอบค่ะ และเนื่องจากเราสมัครสอบทุนเรียนในอเมริกา จึงขอไม่พูดถึงทุนเรียนญี่ปุ่นกับจีนนะคะ   วิชาที่สอบข้อเขียนจึงมีวิชาเดียวคือ วิเคราะห์ปัญหาธุรกิจ จำนวนคนสอบ ประมาณเกือบๆ ร้อยคน ต่อทุน 3 ทุน >”< ผลออกมาปรากฏว่าเราสอบผ่านข้อเขียน มีคนผ่านทั้งหมด 11 คน สละสิทธิ์ไป 1 คน เพราะได้ทุนธนาคารแห่งประเทศไทยไปแล้ว เหลือ 10 คน 3 ทุน ก็ ประมาณ 3 ต่อ 1 ตอนนั้นก็คิดว่า เอาวะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องทำให้ได้   หมายเหตุ - คนที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ ธนาคารจะส่งจดหมายถึงเป็นรายบุคคลนะคะ ถ้าอยู่ในรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์แล้วไม่ได้จดหมาย ตามด่วน   จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 15:14:23

ความคิดเห็นที่ 93 ขั้นตอนก่อนการสอบสัมภาษณ์ 1. ทำแบบทดสอบของธนาคารที่ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ธ.กสิกรไทย สำนักงานใหญ่ (1 วัน) 2. ตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลบางปะกอก 1 (ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เปลี่ยนที่หรือยังนะคะ) ช่วงเช้า และนำใบรับรองแพทย์ไปยื่นที่ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ก่อนทำแบบทดสอบ ประเมินบุคลิกภาพในวันเดียวกัน (ข้อนี้ มีพรายกระซิบมาว่าไม่ต้องกังวลค่ะ แค่ตรวจว่าจิตเราปกติหรือเปล่าเท่านั้นเอง) 3. วันเชือด...เอ้ยยย สอบสัมภาษณ์   สิ่งที่เราสังเกตได้อย่างหนึ่งของกสิกรไทย คือธนาคารให้ความสำคัญกับบุคลิกภาพ และทัศนคติของผู้สมัครมาก (น่าจะมากกว่าคะแนนสอบอีกมั้ง) ซึ่งเราเข้าใจว่า ธนาคารต้องการคนที่สามารถเข้ากับวัฒนธรรมองค์กรของธนาคารได้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นอาจจะมีปัญหาในการเก็บรักษานักเรียนทุนและพนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง ไว้ในองค์กรได้   วันสอบสัมภาษณ์ แต่งตัวเรียบร้อยสุดขีด สูทดำ กระโปรงยาวถึงเข่า รวบผมเปิดเหม่ง อิอิ เปิดให้ออร่าและแสงเฮ้ากวงกระจายน่ะค่ะ ในวันนั้นเองที่เราได้เจอกับผู้สอบแข่งกับเราทั้งหมด เป็นผู้ชาย 3 คน ผู้หญิงอีก 6 คน (รวมเราด้วยเป็น 7) จากการตีสนิทและสอบถามได้ความว่า ส่วนใหญ่เรียนจบหลักสูตรภาษาอังกฤษ คือ BBA จุฬา/ธรรมศาสตร์ BE ธรรมศาสตร์ ไม่ก็วิศวะเกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาทั้งนั้น มีเราโผล่มาจาก SIIT ธรรมศาสตร์คนเดียวโดดๆ 555 หลายคนได้ตอบรับจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาแล้ว (เท่าที่จำได้มี Columbia, U. Penn. (Wharton), UC Berkeley) อีกหลายคนรวมทั้งเราเราด้วย ยังไม่ได้สมัครเรียน   สรุปคุณสมบัติผู้สมัครที่เราไปแข่งกะเค้าด้วย รู้สึกเหมือนจะแพ้หลุดลุ่ยยังไงอยู่ แต่ละคนถ้าไม่จบด้วยเกรดเฉลี่ยสูงๆ ก็คะแนน GMAT สุดเทพ มีคนนึงได้ 770/800 (ทำได้ไงหว่า สอบรอบเดียวด้วย) หรือไม่ก็ทำงานในต่างประเทศ เช่น PricewaterhouseCoopers ในสิงคโปร์   การสอบสัมภาษณ์เป็นแบบ 3 รุม 1 น่าจะเป็นพิมพ์นิยมของการสัมภาษณ์ทุนแหละนะ และจากการสัมภาษณ์วันนั้น โดนต้อนไปเยอะเหมือนกันค่ะ เพราะมีแต่คนโปรไฟล์ดีๆ ทางคณะกรรมการย่อมต้องการคนที่ดีที่สุด   คำถามในสัมภาษณ์มีตั้งแต่ อยากเรียนมหาวิทยาลัยไหน เพราะอะไร คิดว่าจะเรียนได้ไหม Financial Engineering คืออะไร รวมทั้งความรู้รอบตัวเกี่ยวกับสถานการณ์การเงินในตอนนั้น เราเจอคำถามเรื่อง subprime mortgage crisis เล่นเอามึนไปเลย แต่สิ่งที่เราพลาด ในการสัมภาษณ์คือเราแสดงความทะเยอทะยานในการก้าวหน้าในหน้าที่การงานน้อยเกินไป เนื่องจากกรรมการถามว่า ในระดับ 1 – 12 เป็นระดับของพนักงาน โดย 12 คือระดับสูงสุด ถามว่าเราอยากก้าวหน้าระดับไหน เราตอบว่า 9 กรรมการก็ย้อนว่า 9 เองหรอ ทำไมล่ะ (เรานึกในใจตอนนั้น พลาดละ)   ผลสรุปอย่างที่คาดไว้ คือไม่ได้ทุนค่ะ คนที่ได้คือ 1. คนที่ได้ offer จาก Columbia 2. คนที่ได้ offer จาก U. Penn (Wharton) และ 3. คนที่ทำงาน PricewaterhouseCoopers ในสิงคโปร์   ข้อแนะนำที่ได้จากทุนธนาคารกรุงไทยและกสิกรไทย 1. ข้อสอบการวิเคราะห์ปัญหาธุรกิจไม่ใช่ข้อสอบยาก แต่เป็นข้อสอบแบบอัตนัย ซึ่งคนที่ชินกับการทำข้อสอบแบบปรนัยจะมึนมาก ไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรยังไงดี และเป็นข้อสอบเชิงวิเคราะห์ เอาข้อเท็จจริงมาตอบอย่างเดียวไม่ได้ 2. ควรสอบ GMAT/TOEFL ไว้ล่วงหน้า ยิ่งถ้ามี offer อยู่ในมือแล้วจะยิ่งทำให้ได้เปรียบ (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้ทุนชัวร์ เพราะขนาดคนได้ offer จาก UC Berkeley ยังไม่ได้ทุนเลย) 3. การสอบสัมภาษณ์ ให้เตรียมตัวด้านเหตุการณ์ปัจจุบันไปเยอะๆ โดยเฉพาะ ข้อมูลด้านวิกฤตการณ์ทางการเงินของโลกที่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย หมดสต๊อกที่เขียนไว้แล้วค่ะ เหลือทุนมูลนิธิอานันทมดิดลกับทุนก.พ. ซึ่งยาวทั้งคู่  แล้วจะรีบกลับมาลงต่อนะคะ  จากคุณ : มุตตา เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 15:18:46

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณ คุณมุตตา มากนะครับ ที่เอาความรู้ดีดีมาแชร์กัน ผมเดาว่าคุณมุตตาต้องได้ทุนของ กพ. แน่นอน ใช่ไหมครับ? แล้วไปเรียนโทที่ไหนมาครับ ขอเดาว่า เป็นอเมริกา อีกเช่นกัน ....................... มาอ้าปากรองับข้อมูลเรื่องสอบ กพ. ครับ จากคุณ : toulovepak1 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 17:14:28

ความคิดเห็นที่ 95 เหลือทุนรัฐบาลสินะ รออ่านเช่นเคยค่ะ ^^ จากคุณ : SK_TL เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 17:54:50

ความคิดเห็นที่ 96 กำลังรวบรวมข้อมูลสมัครเรียนต่อพอดีเลยค่ะ มีประโยชน์มากๆ เลย  รบกวนถามคุณมุตตา คุณ Phurich และผู้มีประสบการณ์ท่านอื่นๆ เกี่ยวกับการส่งคะแนน GRE ด้วยเลยนะคะ ถ้า deadline สมัครเรียนคือวันที่ 1 Feb แต่เราแพลนสอบ GRE ประมาณวันที่ 25 Jan แล้วให้ทาง ETS ส่งคะแนนตามไป (ใช้เวลาประมาณ 10-15 วัน) คะแนนน่าจะถึงมหาลัยไม่เกินกลางเดือน Feb อย่างนี้ทางมหาลัยเค้าจะยังพิจารณาใบสมัครของเรารึเปล่าคะ หรือเค้าถือว่าเราส่งเกิน deadline แล้วตัดสิทธิ์โยนใบสมัครเราลงถังไปเลย จริงๆ  GRE เราสอบแล้วครั้งหนึ่งค่ะ คะแนนน้อยมากๆ ประมาณ 900  - -" เองค่ะ ส่วนคะแนนภาษาเราสอบ IELTS ผ่านแล้วค่ะอยู่ที่ 7 ตั้งใจกรอกใบสมัครออนไลน์กะส่งเอกสารตัวจริงไปนอนรอก่อนค่ะ แต่ขาดคะแนน GRE ตั้งใจเรียนต่อโททางด้าน human resource management ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ตอนนี้เครียดๆ ไฟลนก้นยังไงก็ไม่รู้  - -" แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 21:45:49 แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 54 21:36:48 จากคุณ : White River เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 21:35:56

ความคิดเห็นที่ 97 เป็นกระทู้ที่เป็นประโยชน์สุดๆเลยค่ะ ได้ข้อมูลหลายๆทุนที่ไม่เคยรู้จักเลย ขอเพิ่มเติมตรงทุน Endeavour Awards นิดนึงค่ะว่าสามารถส่งเอกสารต่างๆได้ทางอินเทอร์เนต เราสามารถตรวจสอบได้ว่าส่งเอกสารครบหรือยัง ถึงกดส่งน่ะค่ะ จากคุณ : หนูน้อยรักการอ่าน เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 22:39:51

ความคิดเห็นที่ 98 ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ และชอบมากกับคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เราเองก็ผ่านการฝ่าฟันมามากโขกว่าจะได้ทุน แต่ถ้าเปรียบกับ จขกท แล้วก็เด็กๆไปเลยค่ะ ตอนนี้กำลังจะเริ่มเตรียมตัวสอบ IELTS  เพื่อเริ่มต้นในอีกด้านของชีวิตค่ะ จากคุณ : minkcheerful เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 01:08:22

ความคิดเห็นที่ 99 คุณมุตตา น่ารักมากๆ กระทู้นี้เป็นวิทยาทานสำหรับคนที่ต้องการไปเรียนต่อเป็นอย่างมาก ขอให้สิ่งนี้เป็นผลบุญส่งให้คุณเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปด้วยค่ะ ขอบพระคุณจากใจจริง จากคุณ : Blue_cAraMel เขียนเมื่อ : 19 ธ.ค. 54 01:16:58