PANTIP.COM : H11448117 *********ถามผู้รู้หรือพี่ๆที่มีประสบการณ์เรียน LLM ที่อังกฤษ เรียนที่ไหนดีระหว่าง.......... [ศึกษาต่อต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 5

โหย ขอบคุณค่ะ ไม่ได้เทพมากหรอก คนเทพกว่านี้มีเยอะ เข้าไปเรียนด้วยกันจะรู้เองว่าเราไม่ได้ฉลาดมาก ฮ่าๆ

จริง ๆ อย่างที่พี่ furtuneteller ว่ามามันก็มองโลกในแง่ร้ายไปนิดนึง พี่ไม่รู้ว่าคนนั้นเรียนที่ไหน เรียนกฎหมายอาญาหรือไงทำไมยากจัง แต่ว่าพี่พูดตามสภาวะที่เห็นมารอบ ๆ ตัว
เอาจริง ๆ เด็กนิติ จุฬา ธรรมศาสตร์ ABAC เป็น สามมหาลัยที่เข้าพวกท็อป ๆ ได้ ก็เรียนจบกันหมด ส่วนใหญ่ที่ตั้งใจเรียนนะนะ(ตอบตามที่เห็นนะคะ) เรื่องภาษา ยากก็จริงอยู่ ตอนอ่านหนังสือเรียนนะน้องเอ๋ย อ่านนานว่า text ภาษาไทย 10 เท่า ไม่ได้ขู่ ถึงบอกว่าต้องเอาความขยันเข้าสู้ พี่โชคดีด้วยที่ภาษาค่อนข้างดี (IELTS 8) แล้วก็ชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว เรื่องที่เรียนก็มีส่วนนะคะ พี่ชอบทาง financial law มาก อ่านแล้วถึงภาษามันจะยาก แต่ว่าเนื้อหามันทำให้เราสนุกตื่นเต้น รู้สึกดีที่ได้เรียนรู้ มันก็ทำให้มีกำลังใจอ่านต่อ

ตอบข้อ 1
King's เมื่อเทียบกับ Queen (ไม่นับ durham ตอบไม่ได้ อิอิ) Queen เรียนละเอียดกว่า เพื่อนพี่ปีที่แล้วพวกที่เรียน UCL and King's แอบไปเข้าเลกเชอร์ที่ Queen กันใหญ่เวลาเค้าพูดเรื่องพื้นฐาน การเรียนที่Queen อธิบายพื้นฐานละเอียดมาก แต่ก็แค่นั้น ไม่ได้ต่อยอดมากเท่าที่อื่น (เด็ก Queen มาอ่านขอโทษนะคะ เราเทียบกับ UCL และ LSE) King's ก็นับว่า lecture น้อยกว่าล่ะ แต่ seminar ไม่เยอะนะ น่าจะหลายสัปดาห์ครั้ง เท่าที่ฟังว่า ไม่บังคับตอบด้วย ไม่เช็คชื่อด้วย (ในขณะที่ LSE ชี้หน้าถามเลย เช็คชื่อด้วย เห็นมั้ยว่าทำไมพี่ถึงต้องอ่านเยอะขนาดเน้) เพื่อนส่วนมาก... ไม่เข้า แต่ก็จบกันดีนะคะ

ที่อังกฤษมีแต่ สอบปลายภาคอย่างเดียวค่ะ มันโหดมากตรงที่ต้นปีเราจะลัลล้ามาก (ยกเว้น LSE นะโดนบังคับเข้า Seminar ก็ต้องอ่าน แต่ว่าข้อดีก็คือ ปลายปีเราไม่ต้องอ่านเยอะ) แล้วพอใกล้ปลายปีเราก็จะไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากอ่านหนังสือ ตื่นมา อ่าน กิน อ่าน อ่าน อ่าน นอน แบบนี้จริง ๆ แล้วก็มี dissertation ปลายปีด้วย อันนี้ของ King's เค้าจะให้ส่งหัวข้อตั้งแต่ต้นปีหรือปลายปีเนี่ยล่ะจำไม่ผิด ต้องเอาโครงไปให้อาจารย์ดูด้วย ถ้าเราเตรียมตัวตลอดปี สอบเสร็จปุ๊บเราก็จะไม่ต้องปั่น 15,000 คำในสองเดือน (LSE 15,000 words, UCL 12,000, QMUL and Durham ไม่ทราบจริง ๆ จ้า) dissertation มันจะเท่ากับคะแนนสอบเราตัวนึงเลย แนะนำให้เลือกวิชายาก ๆ เป็น dissertation เพราะว่าเตรียมตัวง่ายกว่าสอบ เรากำหนดโจทย์เอง

ตอบข้อ 2.
โยงข้อแรกเรื่องไม่มั่นใจด้านภาษา ถ้ามาเรียน pre-sess เค้าก็จะสอน academic english including english for lawyers ให้อ่าน ย่อ สรุป เขียนรายงาน ให้มาพูดหน้าห้อง แล้วน้องก็จะได้มีเพื่อนจากคณะอื่น ชาติอื่นด้วย น่าจะได้จากตรงนี้เยอะนะ ที่ LSE ไม่มี pre-sess เลยไม่เคยเรียน แต่เพื่อนสนิทเรียนของ King's กันเยอะจ้า เอาการบ้านมาให้ตรวจอีกตะหาก

ปล เรื่อง take note ถ้าน้องอ่านมาก่อนบ้าง เวลาเค้าพูดเนี่ย จะเห็นภาพขึ้นมานิดนึง คำศัพท์ที่อาจจะฟังไม่ออก ถ้าเคยอ่านผ่านตามาแล้วก็อาจจะรู้ว่าเค้าพูดถึงอะไร ทำให้จดได้ไม่ติดขัด เพราะว่าถ้างงปุ๊บ มันจะหลุด ถ้าได้ offer ของ King's พี่ก็เชื่อว่า เค้าเลือกน้องแล้ว น้องเรียนได้อยู่แล้ว แต่ต้องขยันมาก ๆ ข้อสอบเค้าจะออกคล้าย ๆ ของเดิมนะคะ สมมติเรียน 10 เรื่อง ข้อสอบจะออก อาจจะ 10 เลย หรือ 5-6 เรื่อง ให้เลือกทำ2-3 ข้อแล้วแต่จำนวนยูนิตที่เรียนอะค่ะ เราก็อาจจะเตรียมไปโดยดูจากหัวข้อที่เราทำได้มากที่สุด หรือ หัวข้อที่ออกบ่อย ๆ อะไรยังงี้ แล้วก็ฝึกเขียนด้วย เวลาเป็นเรื่องสำคัญ เราอาจจะมีความรู้ในหัวแต่เขียนไม่ทัน อะไรยังงี้

เด็กไทยมาเรียน LLM ปีนึงเป็นร้อย จบกันเกือบหมด (อย่างที่บอก ยกเว้นพวกชิวจริง ๆ)อย่าไปกลัวนะคะ :)

แล้วก็ยืนยันคำเดิม ถ้าขยันไม่มีอะไรทำไม่ได้จริง ๆ สู้ ๆ จ้า

จากคุณ : PuppyPower

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 18:10:59

ความคิดเห็นที่ 6

ตอบ คุณ จขกท อย่าเพิ่งจิตตก เรื่องในทางตรงกันข้ามก็มี

คือเมื่อประมาณ 5-6 ปีมาแล้ว เราเห็นคนไทยคนหนึ่งมาเล่น pantip แล้วทำ link ไปที่ website เขา ซึ่งมันเป็น website ที่เขาใช้โฆษณาสอนภาษาอังกฤษ เราอ่านข้อมูลส่วนตัวเขาแล้วแปลกใจที่เขาบอกว่าเขาเรียนจบปริญญาตรีกฎหมายในไทย แล้วไปต่อปริญญาโทกฎหมายในประเทศอังกฤษ และจบมาแล้ว แต่ไม่ไปทำงาน international law firm แต่เขาพยายามประกอบอาชีพการสอนภาษาอังกฤษ

สิ่งที่ "สะดุดตามากๆ" ก็คือ เขาเขียน websites โฆษณาหลักสูตรภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยกับอังกฤษคู่กัน

แต่เราสังเกตเห็นว่า

"ภาษาอังกฤษที่เขาเขียน มันมี syntactic errors in the writing of second language learner (เขียนผิดธรรมชาติแบบคนเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2) เยอะมากๆ ถึงขนาดที่ว่า "เป็นครูสอนภาษาอังกฤษก็คงไม่ไหว" และ "ยิ่งไปว่าความแข่งกับนักกฎหมายที่เป็นฝรั่งเจ้าของภาษาในประเทศอังกฤษหรืออเมริกาก็ยิ่งตายสนิท" "

ข้อผิดพลาดทางด้านภาษาอังกฤที่คนๆนี้เขียนไว้ มันมีเยอะมากๆขนาดเขาใช้ He's interested in ... กับ He's interesting. ผิดสลับกัน นั่นก็แสดงว่า

1. ผู้ชายคนนี้ตอนเขาเรียนในมหาลัยอังกฤษเขาไม่โดนอาจารย์ตรวจ research paper โหดขนาด นักศึกษาผู้หญิงที่จ้างเราเขียน research paper นั่นก็แสดงว่า "แต่ละมหาลัยหรืออาจารย์แต่ละคนเข้มงวดไม่เท่ากัน"

2. วุฒิปริญญาโทของผู้ชายคนนี้ ใช้สมัครเป็นผู้พิพากษาในไทยได้เป็นอัยการได้ (โดยคงต้องไปสอบอะไรตามระบบของไทย) หรือเผลอๆอาจเป็นอาจารย์สอนมหาลัยในไทยได้ (ถ้ามหาลัยไม่เข้มงวดจะเอาปริญญาเอกนะ) แต่เราว่าทักษะภาษาอังกฤษเขาไม่มีทางที่จะได้งานใน international law firm และไม่มีทางไปทำงานเป็นนักกฎหมายหรือทนายว่าความแข่งกับนักกฎหมายฝรั่งเจ้าของภาษาในอังกฤษหรืออเมริกาได้อย่างเด็ดขาด เพราะดูๆแล้ว "เขาต้องแพ้ภาษาอังกฤษนักกฎหมายฝรั่งตั้งแต่อยู่ในมุ้งแล้ว!"

จริงๆแล้วในช่วงเวลาเดียวกัน มันก็มีนักศึกษามหาลัยปิดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เอาโจทย์วิชากฎหมายที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษมาแปะถามคนใน pantip โจทย์นี้เขียนโดยอาจารย์คนไทยที่จบกฎหมายระดับปริญญาเอกจากต่างประเทศ คืออาจารย์ชล่าใจมากๆ (เขาคงไม่รู้ตัวว่า writing เขาแย่มากๆ) จึงกล้าเขียนโจทย์วิชากฎหมายเป็นภาษาอังกฤษเอง แทนที่จะไปลอกของฝรั่งมา แล้วปรากฎว่า

"โจทย์ภาษาอังกฤษที่อาจารย์คนนี้เขียนมามี syntactic errors in the writing of second language learner เยอะมากๆถึงขึ้นที่อาจารย์ระดับปริญญาเอกคนนี้ ไม่มีทางที่จะทำงานกฎหมายหรือว่าความในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 แข่งกับนักกฎหมายฝรั่งเจ้าของภาษาได้เลย"

พอมีคนไปท้วงติงว่า "มันโจทย์ภาษาอังกฤษมันผิด grammar เยอะ" นักศึกษาก็โมโหมาก หาว่า "ดูถูกอาจารย์เขา เพราะอาจารย์เขามีชื่อเสียงมากๆ!"

^
สรุปแล้วมันก็ต้องมีคนไทยที่จบกฎหมายมาจากอังกฤษหรืออเมริกาได้อีกตั้งหลายคน ทั้งๆที่พวกเขายังเขียนภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นแบบคนไทยเขียน ไม่จำเป็นต้องเขียนภาษาอังกฤษเก่งเหมือนคนอังกฤษที่มีการศึกษาสูงๆแบบที่ท่านหม่อมเสนีย์ ปราโมช เขียนได้ ซึ่งท่านหม่อมเก่งภาษาอังกฤษมากขนาดนั้นก็เพราะว่าท่านไปเรียนที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ระดับมัธยมนั่นเอง

สรุปแล้วเรื่องลูกค้าผู้หญิงที่เราช่วยทำงานให้นั้น เธออาจเคราห์หามยามซวยไปเจอมหาลัยหรืออาจารย์เขี้ยวลากดินก็ได้ จขกท อาจไม่ซวยขนาดนั้นก็ได้

เมื่อ 7-8 ปีที่แล้วเราก็เคยเสวนาใน pantip กับคนไทยที่จบกฎหมายในเมืองไทยแล้วไปเรียนต่อเมืองนอก ที่เขียนภาษาอังกฤษได้เก่งไม่มีหลุด เขียนได้เหมือนนักกฎหมายฝรั่งตัวจริงเสียงจริงเลย ซึ่งเรารู้ว่าคนๆนี้ทำงานใน international law firm และเก่งพอที่จะไปว่าความแข่งกับนักกฎหมายฝรั่งเจ้าของภาษาในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 ได้สบายๆเลย แต่คุณรู้ไหมว่า

"กว่าเขาจะเก่งภาษาอังกฤษที่ใช้ในวิชากฎหมายและอังกฤษที่เป็นทางการมากๆ ได้ระดับเทพๆๆๆ แบบนั้น (แต่ก็ยังไม่เก่งเท่าท่านหม่อมเสนีย์ ปราโมช) คนๆนี้ก็อายุปาเข้าไปตั้ง 50 กว่าๆแล้ว นั่นก็แสดงว่าตอนเขาจบกฎหมายในเมืองนอก เขาอาจไม่ต้องเขียนภาษาอังกฤษเก่งมากมายอะไรขนาดนั้น ก็ได้ แต่มาเก่งอังกฤษระดับเทพเอาภายหลังจากประสบการณ์การทำงานจริงหลายสิบปี ก็เป็นไปได้!"

^
สรุปแล้ว

*****เราไม่ได้มองโลกในแง่ลบ*****

เราแค่เล่าเรื่องที่เราเจอมา "ทั้ง 2 ขั้ว" อย่างตรงไปตรงมา โดยมีประเด็นหลักว่า

"วิชากฎหมายไม่เหมือนวิชาคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์อะไรทำนองนั้นที่ถึงคนไทยจะแพ้ฝรั่งเจ้าของภาษาในเรื่องภาษาอังกฤษอยู่บ่าง แต่คนไทยก็ยังเก่งคอมพิวเตอร์หรือวิทยาศาสตร์เทียบเท่าหรือเก่งกว่าฝรั่งเจ้าของภาษาจนแข่งกันในตลาดงานได้สบายๆแล้ว แต่ในอาชีพนักกฎหมายแล้วมันไม่ใช่ยังงั้นมันแข่งยากกว่านั้นอีกหลายเท่า เพราะในการห้ำหั่นกันในศาลทักษะทางด้านภาษาเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ขนาดเราไม่ใช่ทนายเราแค่ไปเป็นล่ามในศาล เรายังต้องต่อสู้ให้พ้นจากความกดดันอันรุนแรงหลายๆอย่าง เช่นบางทีเราโดนทนายฝ่ายตรงกันข้ามพูดหลอก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เขา cross examined พยานฝ่ายเรา) แกล้งพูดวกๆวนๆ (มีเล่ห์กลสารพัดอย่าง) ให้เราแปลผิดก็มีบ่อยๆ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงและสมองไม่ไวก็ตายอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ"

จขกท ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องจิตตก ทำให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เราเอาใจช่วย

Nothing is impossible!
แก้ไขเมื่อ 14 ธ.ค. 54 00:05:32
แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 54 23:54:22

จากคุณ : fortuneteller

เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 23:39:02