ความคิดเห็นที่ 1 ขอให้ลูกคุณฮานะ ประสพความสำเร็จสอบเข้า ม.4 ได้ดั่งใจปรารถนานะคะ ยินดีล่วงหน้าค่ะ ชอบประเทศญี่ปุ่นตรงนี้ค่ะ ตั้งแต่เด็กจนโต ต้องมีผู้ปกครองไปด้วย ( 15,16 ปี ไปเที่ยวกับเพื่อนก็ได้แล้วค่ะ) ถ้าใส่ชุดยูนิฟอร์มถึงจะไปไหน มาไหนคนเดียวได้ แต่เท่าที่เห็นคืออยู่ชั้นประถมไปแล้ว สำคัญที่สัญญลักษณ์หมวกของโรงเรียน จะไม่เคยเห็นเด็ก 3 หรือ 4 ขวบขึ้นไปออกจากบ้านคนเดียวเหมือนเด็กในประเทศไทย ที่ญี่ปุ่นไปสวนสาธารณะผู้ปกครองก็ต้องดูแลกันตลอด ไม่เหมือนประเทศไทยนะ บอกผู้ปกครองอยู่บ้านว่าไปที่นั่น ที่นี่ ผู้ปกครองรับรู้ก็ให้ไปได้หรือจะว่าปล่อยไป ถ้าประเทศไทย เหมือนญี่ปุ่นก็จะดีขึ้น ปัญหาเด็กเร่รอน, เด็กขอทาน, เด็กแรงงาน, เด็กถูกขโมย จะลดน้อยลง เห็นด้วยไหมคะ? นั่งคิดอยู่คนเดียวเอง ความเห็นอื่นว่าไงคะ? หากนอกเรื่อง ขออภัยเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ จากคุณ : ป้าซิ่ง (Naomichan) เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 14:19:25

ความคิดเห็นที่ 2 ก็เป็นห่วงน่ะเนอะ  แต่ถ้าม.6แล้ว  ส่วนใหญ่ก็เห็นเขาไปสอบมหาวิทยาลัยกันเองนะคะ เช่ารร.อยู่เอง   แต่ยังไงวันย้ายหอ  พ่อแม่เต็มทางด่วนเลยค่ะ เคยเห็นเหมือนกัน ผ้าห่ม ที่นอนเต็มรถทีเดียว ขอให้ได้ยินข่าวดีเร็วๆนี้นะคะ อยากรู้จัง ว่าทำไมถึงเปลี่ยนที่เรียนตอนม.ปลายคะ   โรงเรียนใหม่ี้นี้ เรียนเข้มขึ้นหรือเปล่าคะ  หรือเด็กเอ็นท์ติดเยอะกว่าหรือเปล่า เคยเห็นญาติแฟน ม.ปลายก็เปลี่ยนที่เรียน เพื่อเตรียมสอบเข้าแพทย์ค่ะ เขาบอกว่า มัธยมที่นั่นสอนเข้มกว่าที่เดิม แล้วเด็กก็สอบติดเยอะน่ะค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 15:14:59

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นถนนที่แม่ๆที่รักลูกต้องผ่านค่ะ   รักษาสุขภาพทั้งแม่และน้องนะคะ จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 15:39:41

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่โอ๋เลยคร้า....เพราะตัวเองก็ทำเหมือนกัน  สำหรับตัวเองแล้ว ถึงลูกไม่ให้ไป ก็ขอตามไปทุกคราวในช่วงนั้น  เพราะคิดว่า....เด็กเพิ่งอยู่ม.3 อายุแค่นี้ เค้าอาจจะตัดสินอะไรแบบง่าย ๆ บางทีก็ตามเพื่อน โดยไม่ได้ดูอะไรให้ละเอียด แม่ขอไปดูสถานที่  การเดินทาง ความปลอดภัย ฯลฯ ให้เห็นกะตา จะได้มั่นใจ   ส่วนตอนที่ไปสมัครสอบ...บางแห่งก็ไปกะเค้า (ถ้าไม่ติดงานสำคัญ)   แต่ไม่ได้เข้าไปกับเค้า อยากให้เค้าลองจัดการเรื่องด้วยตัวเอง  จะนั่งรอตามร้านกาแฟ ที่ใกล้ ๆ เผื่อฉุกเฉินจะได้เข้าไปได้ทันทีเหมือนกันค่ะ   ขอให้น้อง ประสพความสำเร็จสอบเข้า ม.4 ได้อย่างที่ใจคิดไว้นะคะ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 17:11:23

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่งนึกได้ว่าจะถามนานแล้วค่ะ  ว่าทำไมที่ญี่ปุ่น โรงเรียนม.ต้น และ ม.ปลายเขาถึงแยกกันไม่เหมือนของไทยคะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 28 ม.ค. 55 20:37:38

ความคิดเห็นที่ 6 ↑　 การศึกษาร.ร.ประถมถึงม.ต้นเป็นการศึกษาภาคบังคับ 　 ม.ปลายไม่ใช่ จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 07:52:50

ความคิดเห็นที่ 7 เติมอีกนิด (หลายท่านอาจทราบอยู่แล้ว) ร.ร.ที่มีจากประถม ม.ต้น ถึงม.ปลาย (บางแห่งม.ต้น บวกม.ปลาย บางแห่งก็บวก มหาวิทยาลัย) เป็นร.ร.เอกชน   (ค่าเทอมแพงงงง  ที่ดังๆก็แย่งกันเข้า กลายเป็นเศรษฐกิจการศึกษาฝั่งรากครบวงจร) คนเอาไปใช้เป็นเรื่องทำมาหากินถาวร เช่น พวกร.ร.สอนพิเศษ  ยันไปถึงพวกแฟชั่น ขายแฟชั่น ขายนิตยสาร ขายคู่มือให้คุณแม่คุณลูกเวลาไปสอบสัมภาษณ์...ตกขอบ) ร.รแบบนี้ญี่ปุ่นเรียกให้สนุกว่า "การศึกษา" แบบขึ้นบันไดเลื่อน "エスカレ-タ教育" เรียกอีกแบบให้เข้าเท่กว่าว่า "一貫教育"  "การศึกษาครบชุดจากต้นยันปลาย" แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 08:07:43 จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 08:03:34

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าอย่างนั้น ค่าเรียนของม.ต้น และม.ปลายก็คงแตกต่างมากใช่หรือเปล่าคะ กรณีที่เป็นรร.ของรัฐบาลเหมือนกัน   ถึงว่า  หลายคนเห็นหน้าตาวัยรุ่นอยู่ แต่เป็นคนทำงานเยอะแยะเลยค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 08:13:12

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ Mnki.... ที่เค้าแยกโรงเรียน ม.ปลาย จาก โรงเรียนประถม และ ม. ต้น เฉพาะรร. ของรัฐ ก็เพราะเมื่อก่อนการศึกษาภาคบังคับ รัฐช่วยจ่ายค่าเล่าเรียนให้ถึงแค่นั้น  แต่กฏหมายใหม่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว (ตอนที่ลูกกำลังจะเข้าพอดี) เพิ่งเปลี่ยนให้การศึกษาภาคบังคับมีผลต่อไปถึง ม. ปลาย ถ้าเข้าเรียนในรร. ของรัฐ ก็จะไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียนแล้ว แต่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นค่าชุดฟอร์ม , ตำรา ก็ยังต้องจ่ายเอง แต่โดยรวมแล้ว ถูกกว่าของเอกชนมากกกก  อย่างของที่บ้าน... ตอนเปิดเทอมครั้งแรกซื้อหนังสือเรียนของลูกเรา จ่ายไป 2 หมื่นกว่าเยน  แต่เพื่อนที่ลูกเค้าเรียนรร. รัฐ จ่ายแค่ 5 พันกว่าเยนเอง  เอาลิสต์รายการหนังสือมาเทียบกัน ของรร.เอกชน จะมีตำรามากกว่าเยอะ  ตอนม.5 นึกว่าจะไม่ต้องซื้อหนังสือเรียนเยอะแล้ว เพราะเห็นของม.4 บางเล่มก็ใช้ยาว ถึง ม.6 แต่ที่ไหนได้ ยังโดนตอนเปิดเทอมไปอีก หมื่นเยนจิ๊ด ๆ สำหรับเงินช่วย...ถ้าเรียนในรร. เอกชน ทางรัฐ จะใช้วิธีคำนวณรายได้ของแต่ละครอบครัว (เหมือนตอนอนุบาล) ....ให้สูงสุดแค่ปีละ 180,000 เยนเท่านั้น โดยทางรัฐ จะโอนเงินจำนวนนี้ ตรงไปยังรร. ที่เด็กเรียน (อันนี้...ไม่รู้เหมือนกันว่ารัฐโอนเต็มจำนวนทีเดียว หรือ แบ่ง 3 งวด)   เราจะต้องเตรียมเอกสาร (ตอนนั้น...เยอะมากกก) กรอกแบบฟอร์ม พอดีตอนนั้น (2 ปีที่แล้ว) ...เป็นปีแรก ที่เริ่มเปลี่ยนกม.  รร. ก็ยังไม่ค่อยรู้ ค่อนข้างฉุกละหุกพอควร  ผลก็คือ...เค้าให้จ่ายค่าเทอมเต็มจำนวนจริงไปก่อน  พอเคลียร์เรียบร้อย ค่อยนำส่วนที่จะได้ชดเชย มาหักค่าเทอมในเทอมถัดไปแทน   ส่วนร.ร.ที่มียาว ตามที่พี่  akebi1 ในคห. 7  บอกไว้เลยค่ะ แค่เห็นตัวเลขตอนที่กะว่าจะลองให้ลูกไปสอบตอนม.1 ก็ถอยหลังกลับมาแล้วแระคร้า จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 09:00:03

ความคิดเห็นที่ 10 ค่าเรียนของม.ต้น และม.ปลาย ณ วันนี้ ถ้าเป็นรร. ของรัฐ ในส่วนค่าเล่าเรียน ไม่เสียแล้ว เราจ่ายแต่ ค่าหนังสือ ชุดฟอร์ม ค่าใช้จ่ายจิปาถะ  แต่คำนวณแล้วก็ไม่มากเท่า รร. เอกชน  เพราะแค่พาไปทัศนศึกษา...ราคาก็แตกต่างกันมากเชียวค่ะ   รร. ม. ปลาย ส่วนใหญ่ ทางรร. จะไม่มีโรงครัวทำอาหารให้เด็กแบบประถม มัธยม แล้วนะคะ  แต่จะมีโรงอาหารให้เด็ก ๆ ไปเข้าคิวซื้อ  เจ้าตัวดีที่บ้าน...ตอนเปิดเทอมแรก ๆ (เรียนครึ่งวัน) บอกว่า...แค่แวะไปเมียง ๆ มอง ๆ  เห็นรุ่นพี่ แล้วไม่กล้าเข้าไปแย่งกะเค้าแน่นอน แล้วก็เสียเวลา  ผลสุดท้าย กรรมตกที่แม่ เพราะต้องทำเบนโตให้เค้าทุกวัน จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 09:08:44

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณสำหรับคำอวยพรจากทุกท่านค่ะ -ป้าซิ่ง เรื่องเด็กเร่รอน เด็กขอทาน หรือเเรงงานเด็ก ถ้ากฏหมายดีน่าจะทำให้เรื่องนี้หมดไปได้บ้างนะคะ  ที่ญี่ปุ่น ไม่กล้าให้ลูกไปเล่นไหนคนเดียว ไปไหนก็ต้องตามไปด้วย เนื่องจากกลัวลูกหายหรือกลัวลูกได้รับอันตราย กลัวจริงๆ  โตเเล้วก็ยังกลัวค่ะ เเฮ่ๆ คุณakebi1 เป็นถนนที่ต้องผ่านทุกคนจริงๆ เพราะสมัยนี้จบม.3เเล้วไม่ต่อม.ปลายมีน้อยมาก คงเป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดีด้วยนะคะ คุณเต่าญี่ปุ่น ค่อยโล่งอก นึกว่าเราจะโอ๋ลูกคนเดียวซะเเล้ว ของคุณเต่าญี่ปุ่นขนาดหล่อเล็ก คุณเเม่ยังตามไปด้วย จริงๆเขาก็ยังเด็กอยู่ เเค่15ปีเอง การตัดสินใจอะไรพ่อเเม่ร่วมฟังร่วมคิดด้วยคงดีกว่าให้เขาคิดเองตัดสินใจเองนะคะ^_^ คุณMnki  เอกชนจะสอบ10ก.พนี้ ประกาศผล14ก.พค่ะ ลูกสมัครในส่วนของ併願 ก่อนจะไปสมัครครูประจำชั้นก็ต้องเอาผลคะเเนนการเรียนของลูก การทำกิจกรรมในโรงเรียนของลูกไปสอบถามกับทางโรงเรียนม.ปลายว่าเด็กคนนี้จะมาสอบเข้าที่นี่ พอจะมีโอกาสสอบเข้าได้ไหม ทางโรงเรียนบอกมีโอกาสสอบเข้าได้สูง จึงสมัครได้ เเต่ถ้าไปอีกโรงเรียน(เเต่ไกลบ้านไปหน่อย)พอเอาคะเเนนไปให้ดูบอกเลยว่าถ้ามาสอบจะบวกให้อีก10คะเเนนทุกวิชา โรงเรียนญี่ปุ่นของรัฐ(เทศบาล)จะเเยก ประถม, ม.ต้น, ม.ปลายออกจากกัน อย่างที่คุณakebi1(คคห. 6,7)เเละคุณเต่าญี่ปุ่น(คคห.9)อธิบายไว้ค่ะ -โรงเรียนรัฐที่มีตั้งเเต่ประถม ม.ต้น ม.ปลายก็มีเเต่น้อยมาก เช่นโรงเรียนสาธิตในเเต่ละจังหวัด เเต่ก็จะมีการคัดเด็ก(เก่า)ออกเเละรับเด็กใหม่เข้าไปด้วย ซึ่งการสอบเข้าในช่วงประถม(ยากสุด) ม.ต้น(ยากหน่อย) ม.ปลายนี่ไม่ค่อยยากนักค่ะ (เคยเเนะนำให้ลูกไปสอบ ลูกไม่เอาค่ะ) -โรงเรียนเอกชนหลายที่มีตั้งเเต่ประถม ม.ต้น ม.ปลายเเละมหาลัยในตัวด้วย อย่างโรงเรียนเอกชนที่ลูกจะไปสอบก็มีตั้งเเต่ระดับประถมถึงมหาลัย การเรียนการสอนของเอกชนค่อนข้างเข้ม(ฟังเขามา)จะเรียนเร็วกว่าของรัฐประมาณ1ปีการศึกษา อย่างเช่นม.3เอกชน น่าจะเรียนวิชาของม.4ไปเเล้วบ้าง พอม.6ก็อัดเตรียมสอบเข้ามหาลัยกัน1ปีเต็มๆ  อย่างกรณีลูกสาว จะให้เรียนเอกชนเลยกลัวตามนักเรียนเก่าที่เขาเรียนกันมาตั้งเเต่ม.1ไม่ทัน เเต่เห็นทางโรงเรียนนี้เขาเเยกเด็กเก่าเด็กใหม่ออกจากกัน ถ้าต้องไปเรียนจริงๆการเเยกเด็กก็น่าจะช่วยให้ลูกปรับตัวรับการเรียนการสอนได้บ้าง  จะเห็นว่าเอกชนค่อนข้างได้เปรียบเเต่ก็เสียค่าเรียนเเพงทีเดียว  อย่างลูกสาว ถ้าสอบเข้าได้ เเล้วตัดสินใจไปเรียนจะต้องเสียค่าเรียนปีละประมาณ565,000เยน+ค่าเเรกเข้า200,000เยนรวมเป็น765,000เยน (ส่วนของรัฐเสียประมาณ14,000เยน) จากที่ทราบกันเเล้วว่าตั้งเเต่ปีการศึกษา平成22年ม.ปลายของรัฐหรือเทศบาลเรียนฟรี โอซาก้าพิเศษกว่าจังหวัดอื่นหน่อยตรงที่เอกชนก็เรียนฟรีได้(คือฟรีในส่วนของค่าเล่าเรียน ค่าอื่นๆไม่ฟรี)ถ้าพ่อเเม่มีรายได้น้อยกว่า850มังต่อปีค่ะ ปีนี้เด็กเลยไหลไปสู่เอกชนกันเยอะทีเดียว สำหรับลูกสาวจุดหมายหลักคือรัฐหรือเทศบาล เนื่องจากอยากสอบเข้าเคียวได เห็นโรงเรียนเทศบาลเเห่งหนึ่งสอบเข้าเคียวไดได้เยอะ ลูกเลยอยากเข้าไปเรียนบ้าง ข้อเสียของรัฐหรือเทศบาลคือถ้าเด็กไม่สนใจทางโรงเรียนก็ไม่สนใจเเละต้องเสียค่ากวดวิชา การศึกษาในญี่ปุ่นเป็นการลงทุน ลงทุนมากจ่ายเเพงก็ย่อมมีโอกาสได้รับกำไร(เข้าเรียนมหาลัยดี คณะดี)มากกว่าคนที่จ่ายน้อยค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 11:52:34 แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 11:49:41 แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 55 11:29:58 จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 11:26:52

ความคิดเห็นที่ 12 เหนื่อยทั้งกาย เหนื่อยทั้งใจจริงๆนะคะ  เลี้ยงลูกที่ญี่ปุ่น ยากกว่าไทยมากเลย  ที่ไทยมหาวิทยาลัยให้เข้าเยอะแยะเต็มไปหมด   แต่ที่นี่ตัวเลือกน้อย....เพราะเป๋าไม่หนักพอจริงๆ   ตอนนี้ลูกชายประถมหนึ่ง....ต้องติวการบ้าน แบบฝึกหัดเองเหมือนกันค่ะ  ช่วยกันสองคนพ่อแม่  เพราะว่าเราอยากให้เขาเรียนได้สูงที่สุด...ตามกำลังสมองเขา  ต่อไปอาจจะใช้ตังค์เยอะ  ตอนนี้เลยพยายามทำช่วงที่เราทำได้ไปก่อน   ความรู้ระดับประถมยังพอถูไถสอนได้บ้างค่ะ     แบบฝึกหัดข้างนอกที่ซื้อมาให้เขาทำ.....บอกได้เลยว่าแตกต่างกับที่โรงเรียนจริงๆค่ะ   แฟนบอกว่า  เอกชนเขาเรียนแบบนี้แหล่ะ เหมือนที่คุณ Hana*พูดเลยค่ะ   ถึงว่า เด็กจากเอกชนสอบเข้าเรียนได้เยอะกว่าจริงๆ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 17:32:11

ความคิดเห็นที่ 13 ขอให้ลูกคุณฮานะสอบผ่านฉลุยเลยนะคะ เอาใจช่วย จะได้เป็นรุ่นพี่ให้ปรึกษาตอนลูกโตมั่ง แถวบ้านมีโรงเรียนเอกชนที่สอนตั้งแต่ชั้นประถมถึงระดับมหาวิทยาลัย　 ชื่อ shukutoku　เฉพาะค่าใช้จ่ายระดับประถม แค่เห็นก็สยองแล้ว ปีแรก        初年度合計　　　1,111,900 เยน ปี 2 ขึ้นไป 2年目以降合計　　721,900 เยน ระดับมัธยมต้น 3 ปี ประมาณ     2,626,000 เยน ระดับมัธยมปลาย 3 ปี ประมาณ  2,310,000 เยน ระดับมหาวิทยาลัย  แตกต่างกันตามคณะ แต่ก็แพงระยับ พ่อแม่ต้องปั๊มเงินเก่งมากๆ http://passnavi.evidus.com/search_univ/2140/expense.html ส่วนลูกตัวเอง 2 คน ยังอยู่ชั้นประถม ก็เรียน ร.ร.รัฐ+เรียนพิเศษ+สอนเองไปก่อนละกัน แม่สู้ไม่ไหว จากคุณ : Kitakaze เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 18:34:20

ความคิดเห็นที่ 14 แหม   ผมไปกลับโรงเรียนเองตั้งกะ ป.3 จากคุณ : Witna เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 21:07:44

ความคิดเห็นที่ 15 เสริมนิด  โรงเรียน กับบ้าน ห่างกันราวๆ 20 กิโล  นั่งรถเมย์ 2 ต่อ ราวๆ ชม - ชม ครึ่ง หุหุ จากคุณ : Witna เขียนเมื่อ : 29 ม.ค. 55 21:08:40

ความคิดเห็นที่ 16 โอ๊วววว...เห็นค่าใช้จ่ายของรร. เอกชนแล้ว อยากย้ายบ้านไปอยู่โอซาก้าเชียว  แถวบ้าน ไซตะมะ  ค่าแรกเข้าก็แพงกว่าพอควร  ค่าเล่าเรียน+จิปาถะ (ค่า PTA , เงินสะสมทัศนศึกษา) ปี ๆ อย่างน้อยก็เกือบ 5 - 60 มัง อันที่จริง...รร. ของรัฐ ที่ดี ๆ แบบจริง ๆ เปอร์เซ็นต์ที่เด็กสอบเข้า ม. ดี ๆ  ก็มี แต่ก็น้อยมาก  ต้องเป็นเด็กขั้นหัวกะทิถึงจะสอบเข้าได้     สำหรับลูกชาย...ณ วันนี้ ถือว่าการลงทุนให้เค้า คุ้มค่ากับที่จ่ายไป  เพราะจากที่ผ่านมา เค้าไม่ค่อยจะชอบเรียน ไม่ตั้งใจเอาเสียเลย แต่พอมาเรียนรร. นี้  เค้าตั้งใจเรียนมากขึ้น  คะแนนในแต่ละวิชาก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ทันตา   ครูประจำชั้น รวมถึงเพื่อน ๆ มีส่วนผลักดันมากด้วยเช่นกัน  ไม่ต้องไปเสียค่ากวดวิชาเพิ่มเติม เพราะครู จะดูว่าเด็กอ่อนวิชาไหน หรือไม่ก็พวกเด็ก ๆ เค้าจะนัดจัดกลุ่มไปติวกันเองที่รร. เรียกว่า...วันหยุดแทบไม่ได้หยุดกะเค้าเลยละคร้า ที่ตกใจมากที่สุดก็คือ....ตอนอยู่ม.4 เปิดเทอมมาได้แค่เดือนเดียว ทางรร. จัดพาเด็ก ๆ ไปสัมมนาแนะแนวทางการสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลับกันแระ   แล้วก็มีต่อเรื่อย ๆ บางแห่ง ก็จับเด็กใส่รถบัส ยกกันไปทั้งชั้น  บางแห่ง...ก็ให้แนวทางให้เด็กเลือก ถ้าสนใจก็นัดกันไปกับเพื่อน ๆ ถึงวันนี้...พวกตระเวณไปดูมาหลายที่แล้ว  ทำให้เค้าตั้งใจเรียนมากขึ้น ถ้าคะแนนยังไม่ถึง สำหรับม. และคณะที่อยากเข้า อีกเรื่องก็คือ....เวลามีการจัดสอบวัดระดับต่าง ๆ พวก คันจิคันเตนชิเง็น , เอเง็น , ซือเง็น ฯลฯ  ทางรร. จะแจ้งให้เด็กทราบ และถ้าเด็กในรร. ลงสมัครสอบกันเยอะ ก็ใช้รร. เป็นสนามสอบกันเลยค่ะ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 06:00:53

ความคิดเห็นที่ 17 ม.ปลายแล้ว  ต้องเรียนกวดวิชาอะไรบ้างคะพี่เต่า   เห็นวิชาหลักๆที่เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันก็ คณิตศาสตร์  วิชาภาษาญี่ปุ่น  วิชาสังคม   ภาษาอังกฤษ..มีทั้งการฟังและการเขียน จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 06:38:02

ความคิดเห็นที่ 18 คคห.14-15 เก่งมาก ลูกสาวทำอย่างนั้นไม่ได้เเน่ๆ เเฮ่ๆ^_^ คุณMnki คุณKitakaze อยู่ญี่ปุ่น คงหนีการกวดวิชาไม่ได้ค่ะ จะช้าหรือเร็วเท่านั้น อย่างตัวเองนี่วิชาคณิตศาสตร์ม.ต้นก็ลืมไปหมดเเล้ว สอนลูกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการหาค่าในสมการเชิงเดี่ยว การหาพื้นที่ในเรขาคณิต ขนาดการบวกลบคูณหารของรากที่2ก็ทำไม่ได้ เข้าหม้อเข้าไห ขุดหาไม่เจอเลยจริงๆ วิชา国語ยิ่งไปกันใหญ่ บอกสอนลูกไม่ได้ จึงต้องพึ่งโรงเรียนกวดวิชา เด็กเก่งเรียนกวดวิชาจะทำให้เก่งมากขึ้น เด็กไม่เก่งกวดวิชาเเล้วทำให้เด็กเรียนรู้ได้มากกว่าเก่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่กับตัวเด็กเอง เรียนจบในเเต่ละช่วงทางโรงเรียนกวดวิชาก็จะมี公開テスト ผลส่งมาให้พ่อเเม่ดูด้วยว่าลูกทำคะเเนนได้เท่าไหร่ได้อันดับที่เท่าไหร่ของโรงเรียนกวดวิชา คุ้มค่ากับเงินที่เสียไปไหม มีลูกก็ต้องคิดเเล้วจะเรียนเอกชนหรือรัฐหรือเทศบาล ส่วนตัวเอกชนนี่ไม่ค่อยจะไหว เเต่ถ้ามันบังคับอย่างม.ปลาย มหาลัย ไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะถ้าไม่ไหวลูกก็จะไม่ได้เรียน ในส่วนของรัฐหรือเทศบาล公立学校　การเข้าสอบเข้าม.ปลายจะเอาผลการเรียนในชั้นม.3มาคิดด้วย(ไม่ว่ารู้เหมือนกันทั่วประเทศญี่ปุ่นหรือเปล่า) โอซาก้า -文理科 คะเเนนสอบจริง70:ผลการเรียน30 -普通科　คะเเนนสอบจริง60:ผลการเรียน40 ที่ลูกสมัคร -ม.ปลายโรงเรียนเอกชน四天王寺高等学校【女子　私立） 英数ค่าสมัครสอบ15000เยน -ม.ปลายรัฐ天王寺高等学校【公立】　文理科　ค่าสมัคร2000เยน -ม.ปลายรัฐ天王寺高等学校【公立】　普通科 แก้ไขเมื่อ 30 ม.ค. 55 07:25:03 จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 07:10:30

ความคิดเห็นที่ 19 เห็นค่าใช้จ่ายแล้วอยากเป็นลมสองตลบจริงๆค่ะ....มากมายมหาศาลเหลือเกิน  อย่า่งนี้สามีทำงานคนเดียว ท่าจะส่งไม่ไหว   เรามีเพื่อนสนิทรุ่นแม่คนนึง  ส่งลูกเรียนที่โทได....ต้องส่งค่าใช้จ่ายต่อเดือน ค่าหอพัก ค่าอยู่ ค่าจิปาถาะร่วมๆแล้ว เดือนละสองแสนเยนค่ะ  ....แต่จบมาแล้ว น่าชื่นใจค่ะ  ลูกได้งานที่ดีจริงๆค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 07:27:41

ความคิดเห็นที่ 20 ครูแนะแนว...มีส่วนร่วมตัดสินใจ วางแผนอนาคตจริงๆนะคะ...เวลาเรียนมัธยมแค่หกปี  แต่ผลการเรียน มีผลกับการเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย   อัพเดทข่าวคราวมาให้ฟังเรื่อยๆนะคะ คุณ Hana*    ขอบคุณที่มาแชร์ค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 07:29:55

ความคิดเห็นที่ 21 จริงๆ ที่บ้านนี่ส่งลูกสาวกวดวิชาตั้งแต่ ป.2 แล้วค่ะ (ตอนนี้อยู่ ป.3) เพราะตามอ่านกระทู้คุณฮานะและคุณเต่าญี่ปุ่นนี่แหละ กลัวเรียน ร.ร.รัฐบาลแล้วสอนเอื่อยเกิน  ตอนจะสอบเข้าจริงๆ กวดไม่ทัน เพราะลูกที่บ้านก็หัวธรรมดา  แถมขี้เกียจหน่อยๆ ด้วย ตอนนี้บริเวณแถวบ้าน  มินิมาร์ทหรือร้านอะไรเจ๊ง ก็เปลี่ยนเป็น ร.ร.กวดวิชาหมด แสดงว่าเด็กมาเรียนกันเพียบ แต่ ร.ร.กวดวิชาที่มีโฆษณาออกสื่อจะแพงเกิน..จ่ายไม่ไหว ตัวเองเอาเข้าที่กวดวิชา  ที่ครูสอนซ่อนๆ ในแมนชั่น ถูกหน่อย  แต่สอนมานานกว่า 15 ปีแล้ว มีเด็กเก่งสอบเข้าโทได, วาเซดะได้เหมือนกัน แต่คาดว่าเด็กที่สอบได้ต้องขยันและหัวดีมากๆ ด้วยแหละ ก็กวดไปเรื่อยๆ ที่กวดวิชาจะสอนล่วงหน้ากว่า ร.ร.ประมาณเทอมนึง ลูกสาวก็เริ่มเรียนดีขึ้นเรื่อยๆ ที่บ้านรับ チャレンジ　มาสอนเองเหมือนกัน สามีเป็นคนสอน  เค้าสอนเองหมด แม่สอนได้ถึงแค่ 5 ขวบ(หมดความสามารถ 555) แต่ チャレンジ จะส่งหนังสือมาให้สอดคล้องกับหลักสูตรของ ร.ร.ที่ลูกเรียนอยู่ ถ้า ร.ร.ช้าก็จะช้าด้วยกัน ส่วนลูกชายเป็นเด็กพิเศษ  คงต้องหันไปเรียนทางสายอาชีพ ซึ่งค่าใช้จ่ายทางนี้ก็เยอะเหมือนกัน   คห.14-15 คุณ Witna เรียนที่ไหนคะ  ถ้าเรียนที่ญี่ปุ่นจะรู้ระบบ ว่าที่นี่จะให้เด็กเรียนที่ ร.ร.ใกล้บ้านก่อนอันดับแรก เด็กส่วนมากเลยเดินไป ร.ร.กัน   โตหน่อยแหละ  ถึงจะขึ้นรถเมล์หรือรถไฟไป ร.ร. ลูกชายที่เป็นเด็กพิเศษ  ร.ร.ใกล้บ้านไม่มีห้องเรียนเด็กพิเศษ ต้องไปเรียน ร.ร.ไกลบ้าน(ห่างไป 4 ป้ายรถเมล์)   ก็ขึ้นรถเมล์ไป-กลับคนเดียว ตั้งแต่ ป.2 ค่ะ แต่ก่อนที่จะไปคนเดียว แม่ก็ฝึกขึ้นรถเมล์ไป-กลับด้วย 1 เดือน เอาจนแน่ใจแล้วว่าลูกจะไม่พลาด ซึ่งรถเมล์สายนี้  เป็นสายเดียวกับ ร.ร.เอกชน shukutoku (ถึงก่อน ร.ร.ลูกชายป้ายนึง) ก็เลยเคยได้เห็นบรรยากาศเด็ก+ผู้ปกครอง ร.ร.เอกชน จากคุณ : Kitakaze เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 08:25:04

ความคิดเห็นที่ 22 คุณเต่าญี่ปุ่น  เอกชนนั้นยังไม่ได้ถามรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายมากนักค่ะ เอาเเค่หลักๆก่อน เเถมต้องมีการบริจาคเงินด้วย บังคับด้วยว่าต้อง1ทุน(10มัง)ขึ้นไป ลูกสาวมาบอกเเล้วถ้าเข้าม.ปลายจะไปสอบ ซือเง็น  เอเง็น เเต่ไม่คิดจะสอบคันจิเง็น(สงสัยต้องบังคับให้ไป) เอกชนก็ไว้ใจได้ที่ไม่ต้องส่งลูกไปกวดวิชาค่ะ คุณMnki ถ้าสามีรายได้สูงก็ไหวค่ะ ถ้าไม่สูงก็ต้องช่วยกันหา เข้าม.ปลายรัฐ จะเจอเเน่ๆคือค่ากวดวิชา(ยกเว้นเด็กที่หัวไบร์ทมากอาจจะไม่ต้องติว) อย่างลูกสาวนี่ถ้าจะให้สอบเข้ามหาลัยได้หลังจบทันที(現役)ก็ต้องกวดวิชาเเน่นอน ที่คิดไว้ก็เริ่มตั้งเเต่ม.4เลยเดือนละประมาณ3มัง (กวดวิชาจะไปเเพงเอามากคือตอนม.6) คุณKitakaze ให้กวดวิชาตั้งเเต่เนินๆดีเเล้วค่ะ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ จะสอบอะไรถือเป็นวิชาหลักที่ต้องสอบด้วย  ถ้ามีพื้นฐานดีจะทำให้เรียนรู้ได้ไม่ยาก ของลูกสาวมาเรียนเอาตอนม.2 วิชาคณิตศาสตร์อ่อนพอสมควร เคยลองสอบมักจะทำได้ไม่ค่อยดี เรียนกวดวิชาอย่างเดียวไม่ได้ต้องมาให้นั่งทำโจทย์ด้วย เมื่อก่อนทำวันละ5ข้อ สอบออกมาไม่เคยเกิน50-60คะเเนน ตอนนี้ให้เพิ่มทำวันละ10ข้อ สอบได้คะเเนนดีขึ้นมาหน่อย คือ70-80คะเเนน เเต่ก็ยังสู้เด็กคนอื่นๆไม่ได้ คนเก่งๆสอบทีก็มักจะได้90คะเเนนทุกวิชาเสียด้วย ของลูกสาวอังกฤษนี่พอได้90 วิทย์พอได้80-90 เเต่มักจะไปเสียคณิตบางทีได้70บางทีได้80  国語กับ社会เป็นตัวฉุดคะเเนนทำได้เเค่60-70คะเเนน ซึ่งจริงๆเเล้ว2วิชานี้น่าจะทำได้ดี เเต่ลูกทำไม่ได้ สงสัยเพราะเเม่ไม่ค่อยรู้ภาษาญี่ปุ่นกับสังคมญี่ปุ่นค่ะ　ขนาดกวดวิชาเเล้วก็ยังทำ2วิชานี่ได้ไม่ดี กลุ้มเหมือนกันจะสอบไม่ผ่านก็เพราะ2วิชานี้เเหละค่ะ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 10:55:00

ความคิดเห็นที่ 23 ขอถามได้ไหมคะ  วิชาภาษาอังกฤษ เริ่มเรียนตั้งแต่ป.ไหนคะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 12:45:57

ความคิดเห็นที่ 24 ^ ^ 英語ภาษาอังกฤษเริ่มเรียนตอนไหนน๊า  ถามลูกเขาบอกเริ่มเรียมตอนม.1ค่ะ อธิบายเรื่องวิชาที่ใช้สอบเข้าม.ปลาย จะเเตกต่างกันบ้างนิดหน่อยตามสายที่เด็กจะสอบ ในโอซาก้า -เอกชนเท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก็จะสอบ5วิชาคือ 数学　英語　　国語　社会　理科 -文理科 จะสอบ3วิชาคือ 数学　英語(มีสอบฟังด้วย)　　国語+小論文(20นาทีต้องเขียนให้ได้600字ขึ้นไป) -普通科　จะสอบ5วิชาคือ 数学　英語(มีสอบฟังด้วย)　　国語+作文300字ขึ้นไป　社会　理科 ส่วนระดับมหาลัยยังไม่รู้ค่ะ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 16:08:49

ความคิดเห็นที่ 25 ไม่รู้ว่าจะเขียนบรรยายได้หมดหรือเปล่า? เพราะใกล้เวลาสวมวิญญาณแจ๋วแระ คุณ Mnki ...ที่ถามไว้ว่า ม.ปลาย ต้องเรียนกวดวิชาอะไรบ้างนั้น มันขึ้นอยู่กับเด็กว่าเค้าอ่อนวิชาไหน จำเป็นต้องไปเรียนกวดวิชาเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า  แต่สนนราคาค่าเรียนกวดวิชาสำหรับเด็กม. ปลาย ค่อนข้างโหดพอควร (จากที่เคยถามเมื่อ 2 ปีที่แล้ว)  เพราะจะไม่มีคลาสแบบห้องรวม เรียนแบบตัวต่อตัว หรือดีหน่อย ก็ครูหนึ่งคนต่อเด็ก 2 คน สนนราคาแต่ละวิชา 16,000 เยน / อาทิตย์  อยากเรียนกี่วิชา ก็คูณเข้าไปจ้า ส่วนวิชาหลักที่จำเป็นตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่ต้องสอบกันแน่ ๆ คือ ภาษาญี่ปุ่น  กับ ภาษาอังกฤษ (ทั้งฟังและเขียน)  ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับคณะ และสายที่ตัวเองเลือก อย่างน้อย ๆ  ไม่ต่ำกว่า 3 วิชาขึ้นไป  (รวมวิชาหลักแล้ว)   สำหรับวิชาภาษาอังกฤษ เริ่มเรียนตั้งแต่ป.ไหน? .... คงขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละรร. อย่างตอนลูกพี่จะเข้าป.1  ข่าวประกาศออกมาว่าจะเริ่ม แต่ผลสุดท้าย ครูที่มีความพร้อมที่จะสอนไม่มี  ทำให้รร. ไม่สามารถทำได้ ทำได้แค่เพียงจัดเป็นคลับเล็ก ๆ หลังเลิกเรียน แล้วรับเด็กได้มากสุดแค่ 30 คน ลูกพี่ก็ไม่ได้เรียนจนจบป.6 มาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษจริง ๆ ก็ตอนม.1 เห็นแล้วสงสารเชียว ยังจำตัวอักษรไม่ได้ ก็เข้ารูปประโยคแระ คำศัพท์เพียบ  อันนี้แระ...ที่ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เกลียดภาษาอังกฤษ  ตอนนั้น...ก็ต้องให้ลูกไปเรียนเพิ่มเติมข้างนอกเอาเอง (ตั้งแต่ ม.1-ม.3)  เพราะถ้าแม่สอน คงมีการพะบู้กระจายกันไปข้าง ๆ จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 16:19:37

ความคิดเห็นที่ 26 ถามลูกสาวให้ค่ะ ร.ร.ประถมที่เรียนอยู่ปัจจุบัน สอนภาษาอังกฤษให้บ้างแต่น้อย  และไม่ค่อยเน้น ตอน ป.1 เดือนนึงสอน 2 - 3 ครั้ง ให้ฝรั่งมาสอนให้จำแบบนกแก้วนกขุนทองไปก่อน เช่น ประโยคทักทาย, ฉันชื่อ...เธอชื่อ..., เล่นเกมการ์ดคำ, ดูทีวีแล้วเต้นไปกับเพลง ป.2 เดือนนึงประมาณ 3 ครั้ง คล้ายๆ กับ ป.1 ป.3 สอนน้อยลงเพราะเอาเวลาไปเรียนวิชาหลักหมด ประมาณเดือนละครั้ง เริ่มสอนตัวอักษร  ลากเส้นตัวอักษรตามรอยประ แต่ที่กวดวิชาสอนภาษาอังกฤษให้เร็วกว่า ร.ร.ตอนนี้เยอะเลย คงจะกวดที่นี่ไปเรื่อยๆ ค่ะ   เพราะที่นี่มีระบบอุปถัมป์ในแบบที่เราทำเองไม่ได้ เช่น ถ้าสอบเข้า ร.ร.ที่ต้องการไม่ได้ ตกไปไม่กี่คะแนน      ครูสอนพิเศษยินดีจะไปเจรจากับทางโรงเรียนให้รับลูกเรา      โดยครูจะรับปากกับทาง ร.ร.ว่าจะกวดวิชาที่อ่อนให้เอง      เรียนจบ+ต้องการหางานทำ        ครูมีระบบแนะนำ  ให้ไปสมัครงานในบริษัทที่มีเส้นสายโดยตรงได้เลย      ไม่ต้องฝ่าฝันกับผู้สมัครอื่นๆ แม่ก็ไม่อยากให้ลูกเหนื่อยมาก   ถ้าส่งลูกถึงหางานทำดีๆ ได้ก็คงดี...เฮ้อ.... จากคุณ : Kitakaze เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 18:47:34

ความคิดเห็นที่ 27 ^ ^ จุดหมายหลักเลยค่ะ ส่งลูกจนถึงที่เขาสามารถทำงานดีหาเลี้ยงตัวเองได้ ในชีวิตนี้ก็คงจะถือว่าประสบความสำเร็จเเล้ว ^_^ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 06:17:20

ความคิดเห็นที่ 28 ทู้นี้...ต้องเก็บเข้าคลัง  เพราะอาจจะไม่มีเวลามาเขียนเล่าแระ ^o^ คุณฮานะ....คนเป็นพ่อเป็นแม่ ก็คงมีความหวังและจุดมุ่งหมายเดียวกันนะคะ พยายาม (กัดฟัน) ส่งลูกให้ขึ้นฝั่ง หาเลี้ยงตัวเอง (ถ้ารวมพ่อแม่ได้ด้วยก็จะยิ่งดี คริๆๆๆ)   และเป็นคนที่ดี ไม่เป็นภาระต่อสังคม ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตาม  กรี๊ดดดด....เอกชนที่โอซาก้า มีเรียกเก็บเงินบริจาคด้วย แหม...ทำเหมือนเมืองไทยเชียวนะคะ  ส่วนเรื่องการไปสอบวัดระดับต่าง ๆ รร. ม.ปลายภาครัฐไม่ทราบเหมือนกัน แต่ภาคเอกชนที่ลูกเรียน เค้าจะบังคับเอาไว้เลยว่า แต่ละชั้นปี ต้องผ่านระดับไหน   คุณ Kitakaze .... นับถือจริง ๆ ขนาดลูกยังเล็ก ก็หาสิ่งที่ดี ๆ ให้กับลูก มานึกถึงตัวเอง ในวัยที่ลูกอายุเท่านั้น ไม่ได้เข้มงวดกะเค้ามาก ปล่อยให้เค้าเล่นสนุกกับสิ่งที่เค้าชอบ (กีฬา)   ขอต่อเรื่องการเรียนของเด็กม. ปลาย ซึ่งสามารถตอบได้สำหรับสายสามัญ (普通科) ตามที่ลูกเรียนได้เท่านั้น ส่วนสายอาชีวะ ไม่มีทราบเพราะไม่มีข้อมูล  ที่ญี่ปุ่นในชั้นม.4 จะยังไม่แยกสาย จะมาเริ่มแยกสายให้เด็กเลือกก็ตอนขึ้น ม.5  คือ สายศิลป์ (文系) กับ สายวิทย์ (理系) สำหรับที่รร.ลูกเรียนนั้น สายสามัญมีทั้งหมด 10 ห้อง แต่เฉพาะห้อง 1 และ 2 เท่านั้น ที่ตอนที่เด็กจะสอบเข้าระบุเอาไว้ว่าต้องการจะเรียนต่อขั้นมหาวิทยาลัย จำนวนเด็กห้องละประมาณ 30 คน  (ยกชั้นขึ้นมาทั้งห้อง)  เลยไม่ได้แยกห้องเรียนกันเป็นกิจลักษณะ สำหรับวิชาภาคบังคับก็เรียนรวมกัน เฉพาะในวิชาที่แยกสาย ก็ค่อยแยกย้ายกันไปเรียนในห้องนั้น ๆ แทน ลูกชายเลือกเรียนสายวิทย์....แต่กลับกลายเป็นว่าคณะที่พวกจะไปสอบเรียนนั้น ไม่ได้ใช้คำนวณเลยคร้า เล่นเอาแม่มานงงไปเหมือนกาน ถามถึงเหตุผล....ก็บอกว่าเรียนคำนวณมาพอแล้ว  ขอเปลี่ยนแนวหน่อย เอิ๊กกกกก         　 จากคุณ : เต่าญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 07:25:50

ความคิดเห็นที่ 29 คุณเต่าญี่ปุ่น ถ้าเขาสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้เเถมพ่วงพ่อเเม่ด้วยนี่คงจะดีไม่น้อยนะคะ^_^ เรื่องการสอบวัดระดับนี่สงสัยรัฐจะไม่บังคับค่ะ เนื่องจากเสียเงิน อย่างม.3ที่เขามีสอบวัดระดับความสามารถนั้น ทางโรงเรียนก็ไม่ได้บอกกล่าวอะไรเลย ที่ทราบก็ทราบมาจากโรงเรียนกวดวิชา ลูกสาวเคยไปสอบ偏差値5วิชารวมอยู่68-70 คนสมัครราวๆ5หมื่นคน ลูกสาวก็เปลี่ยน ตอนอยู่ป.6-ม.1 บอกชอบเลข พอม.3บอกชอบเคมี ก็มาถามเเม่ชอบเคมี เลือกเรียนอะไรดี เข้าคณะอะไรดี เเม่ยังตอบไม่ได้เลย เเฮ่ๆ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 11:06:15 จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 10:28:21

ความคิดเห็นที่ 30 ขออนุญาตตอบคุณ Hana* นะคะ ชอบเคมี ลองดูด้านวิศวะเคมีนะคะ...เคยเห็นคนใกล้ตัว จบด้านนี้มาแล้ว บริษัทรองรับดีมากค่ะ  บริษัทเกี่ยวกับ ทำ LED.... เงินเดือนดี โบนัสเยอะดีค่ะ  หรือพวกการทำอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆเกี่ยวกับไฟค่ะ จากคุณ : Mnki เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 13:23:23

ความคิดเห็นที่ 31 ^ ^ ขอบคุณค่ะ ลองเปิดเกี่ยวกับคณะนี้ให้เขาได้อ่านบ้างเเล้ว ไม่รู้ว่าจะถูกใจเขาหรือเปล่าคะ^_^ จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : 31 ม.ค. 55 20:53:58

ความคิดเห็นที่ 32 เข้ามาแอบอ่านบรรดาแม่ๆคุยกันครับ   จากคุณ : กุ้งบก เขียนเมื่อ : 1 ก.พ. 55 20:33:52

ความคิดเห็นที่ 33 เเจ้งข่าวค่ะ สนามเเรกโรงเรียนเอกชน ลูกสาวสอบผ่านเเล้วค่ะ สนามต่อไปคือโรงเรียนเทศบาล^_^ ผลเขาส่งมาทางไปรษณีย์วันนี้ เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย วันนี้ตื่นมาก็นั่งรอจดหมายทั้งวัน ลุ้นเเบบอกสั่นขวัญเเขวน มาส่งได้รับตอน6โมงเย็น เฮ้ออออออ โล่งอก จากคุณ : Hana* เขียนเมื่อ : วันวาเลนไทน์ 55 16:14:32