Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
การสัมภาษณ์ VISA ของคนที่ภาษาอังกฤษ"ห่วยขั้นเทพ"...พร้อมตัวอย่างคำถามมากมายเอามาฝากเพื่อนๆครับ… ติดต่อทีมงาน

สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ผมจะมาเล่าถึงการสัมภาษณ์ VISA ที่แสนวุ่นวายของผมนะครับ และผมก็ได้เอาตัวอย่างคำถามมาฝากให้เพื่อนๆด้วย เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่ยังไม่ได้สัมภาษณ์นะครับ    

เข้าเรื่องกันเลยนะครับ ก่อนสอบสัมภาษณ์ Visa หนึ่งเดือน ผมก็ศึกษาข้อมูลจากใน Pantip นี้แหละครับ รวมถึงเว็บอื่นๆเยอะแยะเลยล่ะ รวมทั้งถามพี่ๆที่โครงการด้วย เพราะกลัวจะไม่ผ่านเอามากๆ นอนแทบไม่หลับ กังวลสุดๆ เพราะภาษาอังกฤษของผมเข้าขั้นห่วยแตกได้ที่ และผมคิดว่าในเน็ตคงมีคำแนะนำดีๆจากคนที่เคยสัมภาษณ์มาแล้ว ซึ่งพอผมเข้ามาหาข้อมูลในเน็ต แทนที่จะทำให้เราอุ่นใจ กลายเป็นเครียดกว่าเดิม เพราะในเน็ตผมเจอคนที่ไม่ผ่านเยอะเลย คนที่ผ่านก็มีเยอะนะครับ จากการที่มีคนตกหลายคนเยี่ยงนี้และผมก็กลัวเป็นหนึ่งในนั้นด้วย ผมจึงได้รวบรวมข้อมูลของคนที่ตกทั้งปีนี้และปีก่อนๆ จากพี่ๆที่โครงการ ว่าสาเหตุใหญ่ๆที่ตกกันมีอะไรบ้าง ดังนี้

1. พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย หรือได้นิดหน่อย
2. ถามแล้วก็ไม่ยอมตอบ หรือตอบมั่ว ตอบไม่ตรงกับที่กรอกไปในเอกสารขอวีซ่า
3. ตกใจ ช็อก ตื่นเต้นเกินเหตุ ถาม-ตอบไม่รู้เรื่อง
4. เกรดเฉลี่ยในการเรียนต่ำมากๆ เช่นต่ำกว่า 1.80 เป็นต้น
5. มีญาติพี่น้องที่อยู่ในอเมริกาแบบผิดกฎหมาย หมายความว่า มีญาติพี่น้องที่โดดวีซ่าอยู่ก่อนแล้ว
6. เรียนเป็นปีสุดท้ายจะจบแล้ว (เขากลัวเราไปกระโดดร่มอยู่ที่นั่นเลย)
7. เรื่องเงินในบัญชีน้อย พี่ๆที่โครงการแนะนำว่าให้มีไม่ต่ำกว่า 100,000 บาทเป็นใช้ได้ (พอไปถึงสถานทูตเค้าไม่ดูเลยครับ)

หนึ่งอาทิตย์ก่อนสัมภาษณ์พี่ๆที่โครงการก็ส่งเอกสารซึ่งเป็นคำถามที่คาดว่าเขาน่าจะถามมาให้ผม เพื่อให้ผมเตรียมคำตอบไว้ในใจไว้ก่อน ซึ่งผมก็อ่านท่องมันทุกวัน และผมก็ได้เอามาฝากเพื่อนๆด้วยครับ ตัวอย่างคำถามมีดังนี้
- คุณเรียนคณะอะไร? (Which faculty are you studying now? / What major are you studying now?)
- พ่อ/แม่ทำงานอะไร? (What do your parents do for work? / What do your parents earn for living? / What are your parents jobs?)
- พ่อ/แม่ทำงานมากี่ปีแล้ว? (How long have your parents been working?)
- พ่อ/แม่อายุเท่าไหร่? (How old are your parents?)
- คุณมีพี่น้องกี่คน? (How many brothers and sisters do you have? / How many siblings do you have?)
- พี่/น้อง อายุเท่าไหร่? (How old are your brothers and sisters?)
- พี่/น้อง ทำงานอะไร? (What do your siblings earn for living? / What is your brother /sister doing now?)
- ใครเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสำหรับการเข้าร่วมโครงการให้คุณ? (Who is your sponsor for this trip?)
- คุณเคยไปต่างประเทศมาก่อนหรือไม่? (Have you ever been abroad?)
- ตอนนี้คุณเรียนอยู่ปีอะไร? (Which year are you studying now?)
- อีกกี่ปีจะเรียนจบ? (How many more years will you finish your degree?)
- เรียนจบแล้วคุณจะทำอะไร? (What is your future plan after graduation? / What will you do after finishing the degree?)
- คุณจะไปทำงานที่ไหน? (Where will you participate Work and Travel Program? / Where will you work in the United States?)
- งานที่จะไปทำเป็นงานอะไร? (What kind of job will you have to work there?)
- ได้ค่าแรงเท่าไหร่? (How much wage will you get per hour?)
- ทราบหรือไม่ว่าที่พักของคุณเป็นอย่างไร? (What kind of accommodation will you stay there?)
- ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นที่โน่นคุณจะทำอย่างไร? (What will you do if you have any problems over there?)

เอาล่ะครับ ถึงแม้ว่าผมจะมีข้อมูลพวกนี้อยู่ในกำมือ และได้ท่องจำมันจนขึ้นใจแล้ว แต่ว่าจะให้ผมรู้สึกมั่นใจในการสอบมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอย่างที่บอก ภาษาอังกฤษผมไม่เอาถ่านเลยจริงๆ จิตใจผมในตอนนั้นแทบหลุดออกมาดิ้นอยู่ข้างนอก ไม่เป็นอันกินอันนอนเลยล่ะ เพราะกังวลมากถึงมากที่สุด

และแล้วก็ถึงวันที่ผมต้องถูกประหาร..เอ้ย!!..วันที่ผมต้องถูกสัมภาษณ์วีซ่าก็มาเยือน กินข้าวก็ไม่ลง นอนก็ไม่หลับ คิดอยู่อย่างเดียวว่ารอบสองจะไปสัมภาษณ์ที่กรุงเทพดีไหม -*- (ผมได้สัมภาษณ์ที่เชียงใหม่นะครับ เพราะบ้านผมอยู่เชียงใหม่แต่เรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่งในเชียงราย) ผมนั่งลิสต์แต่คำถาม แล้วก็นั่งท่องๆ เหมือนกับตอนสอบภาษาอังกฤษที่มหาลัยเลย ซึ่งตอนนั้นเกรดผมได้ D (รอดมาได้เฉียดฉิว) แต่คราวนี้ไม่ใช่เป็นเกรด แต่เป็นผู้ลิขิตทางเดินชีวิตของผมเองตลอด 3-4 เดือนข้างหน้าว่าผมจะได้อยู่บ้านหายใจทิ้งไปวันๆ หรือได้ไปอเมริกาหาประสบการณ์ชีวิต

06.00 น. ของวันจันทร์ที่ 23 ม.ค. 2555 ณ บ้านผม อากาศหนาวมาก ผมตื่นนอนด้วยความง่วงและเพลีย ด้วยความที่นอนไม่เต็มอิ่ม เพราะตอนกลางคืนผมหลับไม่สนิท ในหัวผมมันแล่นไปมาด้วยคำถาม-คำตอบ สลับกับความฝัน ผมฝันว่าได้ไปสัมภาษณ์ผ่านแล้ว และไม่ผ่านบ้าง วนไปวนมา...โอ้ย!!...จะบ้าตาย หลังตั้งสติหลังตื่นนอนผมก็อาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแต่งตัวเสร็จ ก็เดินทางไปสถานกงสุลใหญ่จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที

07.05 น. ณ หน้าสถานกงสุลใหญ่จังหวัดเชียงใหม่ อากาศยังเย็น หนาว สั่น บวกด้วยความตื่นเต้น
ผมก็ยื่นรอพี่ที่โครงการอยู่ตรงข้างหน้าสถานกงสุล พี่เขานัดผมไว้ 07.15 น. ผมก็ยื่นหนาว สายตาก็มองไปมารอบๆ เห็นกำแพงสีขาวสูงล้อมรอบสถานกงสุลอยู่เบื้องหน้า แล้วมีลวดหนามกั้นข้างบนอีก มีกล้องวงจรปิดทุกๆร้อยเมตรติดบนกำแพง มีคนคุ้มกันหนาแน่น ผมรอประมาณ 40 นาที พี่เขาก็มาถึง ตอนนั้นเกือบ 8 โมงแล้ว ซึ่งเช้าวันนั้นคนที่มาสัมภาษณ์ไม่ค่อยเยอะเท่าไรประมาณ 10 กว่าคน จากนั้นพี่ที่โครงการก็พาผมเข้าไปในสถานกงสุล ซึ่งพอก้าวเข้าไปในเขตสถานกงสุล ผมก็รู้สึกถึงอำนาจและรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากประตูทางเข้าสถานทูต ใจผมเต้นตุ๊บๆ เหมือนพึ่งไปฆ่าคนตายมาร้อยศพแล้วกำลังหลบหนีคดี พอผมเดินเข้าไปในสถานกงสุล เจ้าหน้าที่ก็ให้ผมวางกระเป๋าสะพายในสายพาน และให้ถอดนาฬิกาข้อมือรวมถึงกระเป๋าตังค์ออกมาวางไว้ในตะกร้าที่เขาเตรียมไว้ให้ แล้วก็ให้ผมเดินผ่านเครื่องสแกนโลหะและวัตถุระเบิด พอก้าวเท้าผ่านไอ้เครื่องนี้เท่านั้นแหละครับ “ตี๊ดๆๆๆๆ” เสียงเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดดังลั่น เล่นเอาผมขนลุกซู่ พลางคิดในใจว่าเราจะถูกล็อกตัวไหมวะเนี่ย สุดท้ายเจ้าหน้าที่มาค้นตัวดู วัตถุที่เป็นสาเหตุนั้นคือพระเครื่องกับเครื่องรางที่ผมพกและห้อยนั่นเองครับ ฮี่ๆ เล่นเอาเหงื่อตกกันทีเดียว

08.30 น. ณ ข้างในสถานกงสุล หลังจากผ่านการตรวจความปลอดภัยแล้ว เราจะได้รับบัตรคิว ซึ่งผมได้ลำดับที่ 10 ก็มานั่งรอตรงเก้าอี้ที่เขาจัดให้ ตรงนั้นก็จะมีวีดีโอสาธิตการแสกนนิ้วให้ดู ก็นั่งดูกันไปจนจำที่เขาพูดได้หมดแล้ว นั่งรอไปสักพักเขาก็จะเรียกตามคิวให้เราเข้าไปแสกนนิ้วมือ 10 นิ้ว แล้วก็ออกมานั่งรอที่เดิมเพื่อรอคิวสัมภาษณ์อีกรอบ พอสแกนครบ 10 คน เขาก็จะเริ่มเรียกคนที่ได้คิวที่ 1 เข้าไปสัมภาษณ์

09.00 น. หลังจากสแกนนิ้วมือ ระหว่างนั่งรอคิวสัมภาษณ์ ผมนั่งตัวสั่นหัวใจเต้นแรงและเร็วยังกะกลองกีฬาสี นั่งโยกและสั่นไปมาอย่างกะโดนผีเข้า หากว่าผมเป็นโรคหัวใจผมคงชักตายเป็นข่าวหน้า 1 ไปแล้วก็ได้ พอเวลาผ่านไปสักพัก คนก่อนหน้าผม (คิวที่9) ก็ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ คนนั้นเขาอยู่โครงการเดียวกันกับผม แต่เขาไปอลาสก้า เขาถูกเรียกไปประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้น เร็วมากๆ พอเขากลับออกมาเขาบอกผมว่า ฝรั่งที่สัมภาษณ์ใจดีมากๆ เขาถามมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็ออๆไปเรื่อย เพราะหูของผมในตอนนั้นไม่ฟังไม่รู้เรื่องเลย มันอื้ออึงได้ยินแต่เสียงวิ้งๆๆในหัวเท่านั้น

09.20 น. ถึงคิวที่ 10 ซักที เขาเรียกตูแล้ววู้ย ตูต้องตายแน่ๆเลย!! คิดแล้วผมก็ค่อยๆก้าวท้าวเดินช้าๆเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ที่เดินช้าเพราะก้าวขาไม่ออก เหมือนแรงดึงดูดของโลกมีเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า พอเดินเข้าไปในห้องแล้ว มันช่างให้ความรู้สึกเงียบงัน ตัวชาและเกร็งไปหมด เหมือนจะถูกตำรวจสอบสวนคดีฆ่าคนตายร้อยศพ ผมเจอฝรั่งคนหนึ่งอยู่ช่องแรก (ที่เชียงใหม่มี 2 ช่อง) ช่องที่ 2 เป็นช่องสแกนลายนิ้วมือที่ได้ทำก่อนหน้านี้ ฝรั่งคนที่สัมภาษณ์เป็นฝรั่งคนเดียว ดูใจดีเหมือนกัน


ฝรั่ง: “Good morning.”
เรา: (สะดุ้งเฮือกเลย) “สวัสดีครับ”...เอ้ย!!...”Good morning.”

ฝรั่ง: “How are you?”
เรา: “I’m fine, thank you and you?” (คิดในใจสบายตูล่ะ ถูกชัวร์เคยเรียนมาแล้วตอนประถม)

ฝรั่ง: “O.K.”
เรา: “It a good day.” (โล่งใจไปหน่อย ไม่ยากเลยนี่หว่า)

ฝรั่ง: “$#&฿/?@$*%\(%+$#%&^,/$#*\$?:*?”
เรา: “ห๊ะ!!” (นั่นไงมันมาแล้ว อะไรวะ...จะรีบพูดไปไหนวะไม่รู้เรื่องโว้ย)

ฝรั่ง: “$#&฿/?@$*%\(%+$#%&^,/$#*\$?:*?” (คำเดิม)
เรา: What? (ตายห่าล่ะ ฟังไม่ออกเลย ซวยแล้วตู)

ฝรั่ง: “$#&฿/?@$*%\(%+$#%&^,/$#*\$?:*?” (คำเดิมอีกครั้งแต่ช้าลงนิดหนึ่ง)
เรา: “ห๊ะ!! again please.” (จะรอดไหมวะเนี่ย ไม่ได้ไปแน่ๆแล้ว อเมริกงอเมริกา)

ฝรั่ง: “เรียนอยู่ปีอะไรแล้ว?” (เจ้าหน้าที่สถานทูตถามเป็นภาษาไทย)
เรา:  “I'm the last year student.” (พูดไทยได้นี่หว่า ทำไมไม่พูดแต่แรกเนี่ย)

ฝรั่ง: “What major are you studying now?” (ผมได้ยินแต่คำว่า what…major…now)
เรา:  “My major School of law.”

ฝรั่ง: “Who is your sponsor for this trip?”  (ผมฟังออกแต่คำว่า “Who…sponsor…this…trip)
เรา: “My mother.”

ฝรั่ง: “#%&3$@%+-=^5$#@#$+7^%$%^&*($#@%?”
เรา: “Again please!!” (ให้ตายเถอะ อะไรว่ะ)

ฝรั่ง:  “แม่ทำอาชีพอะไร” (ถามภาษาไทยค่อยยังชั่วหน่อยวู้ย)
เรา: “My mother have restaurant.”

ฝรั่ง: “#6*(%@%^$%^*(&*)(_^&$#@^)!@($+” (อะไรอีกว่ะเนี่ย)
เรา: “ห๊ะ!!”

ฝรั่ง: “เกี่ยวกับอะไร” (ให้มันได้อย่างนี้สิ ตูชอบ)
เรา: “About restaurant and Beverage.”

ฝรั่ง: “Where will you work in the United States?” (ได้ยินแต่คำว่า Where…work.)
เรา: “Brett Robinson, Alabama.”

ฝรั่ง: “What kind of job will you have to work there?” (ฟังออกแต่ What…job…have…work)
เรา: “housekeeper” (ผมได้งานซักผ้าและปูที่นอนในโรงแรมครับ)

ฝรั่ง: “What kind of accommodation will you stay there?” (ฟังไม่ทันเลย อะไรว่ะเนี่ย ไม่รู้เรื่อง)
เรา: “I’m not sure.” (ผมเลยตอบมั่วๆซะเลย)

ฝรั่ง: “What do u plan when you come back?” (จับใจความได้ว่า What…plan…come…back)
เรา: “I will get degree next year, after I get degree I will continue master degree.” (ตอบแบบมั่วๆทำไม้ทำมือไปเรื่อย)

ฝรั่ง: “What About Master Degree.”
เรา: “Master Degree about Criminal law.”

ฝรั่ง: “Just a minute.” (แล้วก็เขาก็หันไปคุยกับคนข้างหลังที่เป็นคนไทยเรื่องอะไรไม่รู้ สงสัยธุระ)
เรา: “O.K.”

ฝรั่ง: (คุยเสร็จก็หันกลับมาแล้วก็มองหน้าผม แล้วก็พูดว่า) “Good luck in America.”
เรา: “Thank you very much.” (ใจหายสั่นรัวเลย แทบหยุดเต้นเพราะความดีใจ ยิ้มแทบไม่หุบ)

ฝรั่ง: (ยิ้มแล้วก็ผงกหัวทีหนึ่ง)
เรา: “ขอบคุณครับ” (พร้อมยกมือไหว้ที่งามที่สุดในชีวิตไปหนึ่งที)
เรา: รับเอกสารที่เขายื่นให้แล้วก็เดินออกมาแบบยิ้มไม่หุบเลยครับ ผมดีใจมาก มันช่างโล่งอกเหมือนได้ยกดอยอินทนนท์ออกจากอกผมเลย รู้สึกโล่งอย่างบอกไม่ถูกจริงๆครับ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ผมร้องเพลงตลอดทางเหมือนคนบ้าเลยครับ 55+ ไม่น่าเชื่อเลยครับ ว่าภาษาอังกฤษห่วยขั้นเทพอย่างผมก็ผ่านกับเขาเหมือนกัน อยู่ที่การเตรียมตัวและดวงด้วยจริงๆครับ…จบละครับ

ผมขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆที่กำลังจะไปสัมภาษณ์นะครับ ขอให้ได้ทุกคนนะครับผม ขอบคุณครับ

ปล.หากใช้คำไม่สุภาพ ผมก็ขออภัยม ณ ที่นีน้ด้วยนะครับผม ^_^

แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 55 00:48:02

จากคุณ : TeamRoster
เขียนเมื่อ : 30 ม.ค. 55 16:58:32




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com