Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แชร์ประสบการณ์หาหมอที่อังกฤษ (ออกจาก รพ แล้วค่ะ) ติดต่อทีมงาน

ขอเล่าประสบการณ์ต่อนะคะ

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์  ขับรถออกจากบ้าน (พร้อม น้ำ นม เสื้อผ้า กะว่าวันนี้ต้องโดน admit แน่ๆ)  ตาก็เคืองๆ พอถึงคลินิค เราก็ยื่นหน้าและโชว์ผื่นที่คอให้เจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่บอกว่าคิวเต็ม แต่ให้เรานั่งรอก่อน เพราะหมอจะมา 8.30am พอ 8.40am เราได้พบหมอสาวคนเดิมที่เราได้เจอเมื่อวันศุกร์ที่ 10 หมอสาวจำเราได้และบอกว่าอาการเราหนักกว่าเดิมมาก หมอสาวบอกว่าจะขอเชิญหมออีกท่านให้มาดูอาการ แล้วหมอชายก็เข้ามาดูพร้อมถามอาการ แล้วหมอชายก็พยายามอธิบายซึ่งเราฟังไม่เข้าใจ เราเลยถามกลับไปว่าใช่ Stevens- Johnson Syndrome (SJS) หรือเปล่า (จำมาจากกระทู้แรก) หมอบอกว่าใช่ หมอถามว่ารู้จักโรคนี้ใช่ไหม เราบอกว่าไม่รู้หรอก แต่โทรถามหมอที่เมืองไทย (จะบอกว่าเอามาจาก pantip ก็ขี้เกียจอธิบาย) เราก็ถามว่าโรคนี้มันอันตรายมากไหม หมอชายก็บอกว่ามาก ให้รีบไปที่โรงพยาบาลด่วน เดี่ยวหมอจะให้จดหมายไปด้วย  ซึ่งครั้งนี้ไม่ต้องไปที่ A&E แล้ว ให้ไปที่ Main Entrance แล้วยื่นจดหมายที่ Reception เดี่ยวหมอจะโทรไปแจ้งล่วงหน้า ระหว่างรอจดหมาย ก็มีหมออีกคนนึง ขอมาดูเรา เพราะเขาไม่เคยเจอเคสแบบเรามาก่อน

พอได้จดหมายจากหมอ เราก็ขับไปบ้านเพื่อนของเพื่อนสนิท และให้เขาขับไปส่งเราที่ รพ. ถึง รพ. 9โมงกว่าๆ ยื่นจดหมายเสร็จ เจ้าหน้าที่ชี้ให้ไปที่แผนก ผู้ป่วยภายนอก (ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่เรามาเมื่อวันศุกร์ที่ 10 ซึ่งเรานึกว่าเป็นแผนกโรคผิวหนัง) เราก็เดินไป พยาบาลเห็นเราก็บอกว่าหมอที่คลินิคโทรมาแล้ว และ ก็รีบเรียกให้เราไปที่ห้อง จับเราวัดความดัน เจาะเลือด ซึ่งต้องจิ้มถึง 3 ครั้ง กว่าจะได้เลือดออกมา แล้วเราก็นั่งรอหมอพร้อมคนไข้อื่นๆ กว่าหมอจะมาก็ 11โมงนิดๆ

หมอสาวแห้งคนที่เราเจอเมื่อวันศุกร์ ก็เชิญหมอโรคผิวหนังมาดูอาการเรา ซึ่งหมอโรคผิวหนังคิดว่าเป็น SJS และบอกว่าให้ admit เรา และบอกขั้นตอนการรักษาเรากับหมอสาวแห้ง แล้วเรากลับไปนั่งต่อ สักพักพยาบาลก็เอาน้ำเกลือมาให้ เรานั่งรอจนถึงสี่โมงเย็นกว่าๆ กว่าจะมีเจ้าหน้าที่เอารถเข็น มาพาเราไปที่ห้องพัก ได้เป็นห้องพักเดี่ยว ดูๆแล้ว วอร์ดนี้มีคนไข้หลายประเภท พอเข้าห้องพักได้สักพัก ก็มีหมอเด็กมาขอดูอาการเรา เขาบอกว่าไม่เคยเห็นแบบเรามาก่อน(อีกแล้ว) วันนี้เรายังเคี้ยวอะไรไม่ได้ ดื่มได้แต่ของเหลวนิดหน่อย พยาบาลเอาเครื่องดื่มคล้ายๆนม ยี่ห้อ Ensure มาให้เรา 2 ขวด แต่เราดื่มได้แค่ขวดเดียว ตกกลางคืน นอนก็ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร เพราะเวลาพลิกตัวจะเจ็บหลัง และกลัวหนองที่หลังแตกด้วย

ตื่นมาวันอังคารที่ 14 หน้าตา ปาก แขน มือ บวมไปหมด แต่คอเริ่มเจ็บน้อยลง สามารถดื่มของเหลวได้มากขึ้น ส่วนอาหารยังเคี้ยวไม่ได้ พอใกล้ๆ 10โมงเช้า เจ้าหน้าที่ก็มารับเพื่อไปทำ biopsy ที่แผนกโรคผิวหนัง  หมอโรคผิวหนังที่เราเจอเมื่อวานเป็นคนตัดแผลเราเพื่อส่งไปตรวจ เขาพยายามหาแผลที่เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ซึ่งอยู่ที่พุง หมอก็ฉีดยาชา พอฉีดได้สักไม่กี่วินาที เราก็เห็นหมอกับพยาบาลทำอะไรยุกๆยิกๆที่พุงเรา เราเลยบอกว่า เรายังไม่ชาเลย หมอบอกว่าตัดไปแล้วอันนึง ขออีกสักอันสองอัน แล้วหมอก็เย็บแผลไปสามเข็ม เราเลยถามเรื่องตา หมอคนนี้ก็เอาไฟฉายส่องที่ตาเราแล้วบอกว่าไม่เป็นไร แล้วเจ้าหน้าที่ก็มารับเรากลับไปพักต่อที่ห้องพัก พอช่วงบ่าย เราให้เพื่อนเราช่วยหาโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้ๆบ้าน ปรากฎว่า รพ. แถวบ้าน 2-3 แห่ง ไม่รับผู้ป่วย(ใน)โรคผิวหนัง เราเลยต้องพักที่นี่ต่อไป เราโทรหาเพื่อนเราที่เป็นหมออยู่ที่เมืองไทย เพื่อนบอกว่าต้องให้หมอตาตรวจตาด้วย จะมาแค่ส่องไฟฉายไม่ได้  พอตอนเย็น เราก็ทานได้แต่อาหารประเภท มันบด ปลาบด ประมาณว่ากลืนอย่างเดียว เพราะยังเคี้ยวไม่ได้

วันพุธที่ 15 ตอน 9โมงเช้า เราเดินไปบอกหมอที่วอร์ด (หมอโย่ง) ว่าเราขอให้หมอตาทำการตรวจตา เพราะเราโทรปรึกษา Consultant ที่เมืองไทย (เวอร์นิดหน่อย) แล้ว Consultant เราบอกว่า it is unacceptable ที่จะไม่ตรวจตาเรา หมอโย่งถามว่าตาเป็นอะไร เราก็บอกไปว่าเคืองตา มองไม่ชัด เป็นมาก่อนที่จะ admit เสียอีก หมอโย่งบอกว่าเดี่ยวขอเดินตรวจคนไข้ก่อนแล้วจะมาคุยกับเราที่ห้อง พอหมอโย่งเข้ามาที่ห้องเราพร้อมหมอสาวแห้ง หมอโย่งบอกว่าที่จริงเตรียมให้เราตรวจตาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเรายังไม่ได้ตรวจ แล้วกำชับให้หมอสาวแห้งตามเรื่องหมอตา แล้วหมอโย่งออกจดหมายให้เรา 1 ฉบับเพื่อให้เราเอาไปให้น้องชาย โดยระบุว่าสงสัยจะเป็น SJS

พอบ่ายแก่ๆ ก็มีหมอตาเดินมาหาเราที่ห้อง เอาน้ำยาส้มๆมาหยอดตาแล้วหมอก็ให้เราเหลือกตาไปมา หมอตาก็บอกว่าคิดว่าตาเราอักเสบ และสั่งให้พยาบาลไปเอายาหยอดตามาให้เราหยอดทุก 2 ชั่วโมง พอเราหยอดแล้วตาเราดีขึ้นนิดนึง จ้องมองได้นานขึ้นโดยไม่เคืองตามากเท่าไร แล้วหมอตาบอกว่าจะนัดให้เราไปที่แผนกตาวันพฤหัส

วันพฤหัสที่ 16 หน้าตาและตัวบวมน้อยลงนิดนึง หมอโย่งมาแจ้งว่าหมอโรคผิวหนังออกจดหมายให้เราย้าย รพ จาก Bolton ไปที่ Salford เนื่องจากที่ Salford เป็นศูนย์โรคผิวหนังที่ใหญ่กว่า หมอโย่งบอกว่าต้องรอทาง Salford ตอบรับมาก่อน ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ย้ายวันไหน

พอบ่ายๆ หมอโรคผิวหนังมาที่วอร์ดและแจ้งเราว่าวันพรุ่งนี้เราจะได้ย้ายไปที่ Salford จะมีรถพยาบาลมารับแต่ยังไม่แน่ใจว่ากี่โมง แต่คาดว่าจะเป็นหลังอาหารเช้า สักพักก็มีเจ้าหน้าที่มาพาเราไปหาหมอตา หมอตาตรวจแล้วก็บอกว่าตาไม่มีปัญหาอะไร แต่ให้หยอดตาทุก 2 ชั่วโมง แล้วหมอก็บันทึกว่าเมื่อย้าย รพ ให้เราไปตรวจตาอีกรอบ

วันศุกร์ที่ 17 ตื่นมาแต่เช้า จัดการเก็บกระเป๋า รอรถพยาบาลมารับ ปรากฎว่ากว่าจะมารับก็บ่าย เราก็ขึ้นรถพยาบาลเพื่อย้ายไปที่ Royal Salford Hospital ครั้งนี้ได้นอนวอร์ดสำหรับคนไข้โรคผิวหนัง เราได้ห้องพักแบบ 3 คน มีห้องน้ำในตัว เตียงนอนสบายขึ้น มีทีวี อินเตอร์เน็ตให้ใช้แต่ไม่ฟรี  รพ. นี้ดีกว่า รพ. ที่ Bolton มากๆ พอมาถึงได้สักพัก พยาบาลก็มาตรวจเลือด ปัสสาวะ วัดความดัน ชีพจร แล้วก็มีหมอเด็กมาสอบถามอาการเรา พร้อมจดบันทึก อีกสักพักนึงก็มีหมอที่เป็นระดับ Registra เข้ามาตรวจเราอีกพร้อมสั่งยาให้เรามาทา วันถัดมาก็มี Consultant มาดูอาการ แล้วบอกว่าอาการเราดีขึ้น แต่ให้เราอยู่ รพ เพื่อดูอาการไปอีกสักสองสามวัน

ระหว่างที่พักอยู่ที่ Salford นี้ อาการเราก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เลยบอกน้องชายไปว่าไม่ต้องมาแล้ว เราเริ่มเคี้ยวอาหารได้ แต่ลิ้นไม่รับรส หมอให้เราออกจาก รพ เมื่อวันพุธที่ 22 พร้อมยาทาผิวหนังและยาเกี่ยวกับปากมาอีกกระบุง เราไม่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลหรือค่ายาใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากค่าดูทีวีไป 20 ปอนด์

ช่วงที่พักอยู่ รพ ทั้งสองแห่ง เราโทรคุยกับครอบครัวและเพื่อนที่่เมืองไทยตลอด เพื่อคอยรายงานผลว่าเราเป็นอย่างไร เราบอกน้องชายว่าไม่ต้องมาที่นี่ เพราะอาการเราดีขึ้นเรื่อยๆ

วันพฤหัสที่ 23 เราก็ไปทำงานตามปกติ ด้วยใบหน้าและลำตัวที่ยังเยินอยู่ แต่เราอีเมล์บอกเพื่อนร่วมงานว่าอย่ากลัวผิวหนังเรา พร้อมกับแสดงความขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ส่งการ์ดและลงขันกันซื้อของมาเยี่ยม หลังเลิกงานวันศุกร์ เราก็กลับไปยิม แต่แค่ไปเดินช้าๆที่ลู่วิ่ง เดินได้แค่ 30 นาทีก็เหนื่อย เลยกลับบ้านไปพักผ่อน

ทุกวันนี้ ลิ้นเราก็ยังไม่รับรส เรายังมีความรู้สึกว่าภายในช่องปากเรายังไม่ปกติ เหงือกและกระพุ้งแก้มยังบวมอยู่นิดหน่อยแต่ไม่เจ็บ เวลาเอาลิ้นไปเลียที่เหงือก มันสากๆ หมอบอกว่าต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะเป็นปกติ เราก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไหน ตอนนี้เรากำลังลอกคราบ สะเก็ดแผลที่ใบหน้า รูจมูก ใบหู หนังศีรษะ หลุดออกไปแล้วประมาณ 80% ส่วนที่ตัวหลุดออกประมาณ 70% ไอ้ที่หลุดไปแล้วก็ทิ้งไว้แต่รอยแดงๆ และดำๆ ทั่วตัว

ตอนเด็กๆ เราเคยแพ้ยามาก่อน แต่พ่อแม่จำไม่ได้ว่าแพ้ยาอะไร แม่เราเคยบอกว่าตอนเราแพ้ยานั้น ผื่นดำขึ้นที่ตัวเราทั้งตัว เราเคยได้ยินชื่อโรค SJS มานานหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิดว่าเป็นของไกลตัว มันไม่เกิดกับเราหรอก หมอที่นี่บอกว่าต่อไปให้เรากินยาถ้ามันจำเป็นจริงๆ เพราะหมอก็ไม่ทราบว่าเราแพ้ยาตัวไหน (เราเอายาที่เราทานในช่วง 3 อาทิตย์ที่ผ่านมาไปให้หมอดูด้วย แต่ไม่เห็นหมอทำอะไรนอกจากจดบันทึก) เดี่ยววันจันทร์ที่จะถึงนี้ เราต้องไปตรวจตาเป็นรอบที่ 3

เราขอขอบคุณทุกท่านที่แสดงความห่วงใย มา ณ ที่นี้ด้วย ซาบซึ้งจริงๆ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงนะคะ

จากคุณ : whoispriority
เขียนเมื่อ : 26 ก.พ. 55 06:52:51




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com