Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ประสบการณ์สมัคร Ph.D. in Management ที่มหาวิทยาลัยใน U.S. ติดต่อทีมงาน

พอดีผมได้มีโอกาสสมัครเรียน Ph.D. in Management ที่มหาวิทยาลัยใน U.S. ในเทอม Fall 2012 นี้ครับ

ช่วงที่สมัครนี่รู้สึกมืดแปดด้านมากๆ เพราะว่าไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน (ตรี/โท เรียนในไทยตลอด) ไม่รู้จะไปปรึกษาใคร แถมข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ค่อยจะมีมากนัก พอกระบวนการผ่านไปเรียบร้อยก็เลยอยากจะเขียนประสบการณ์ที่เจอตลอดช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมาไว้ซักนิด เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นๆครับ ถ้าอ่านแล้วถูกใจ รบกวนช่วยกันโหวตเก็บเข้าคลังกระทู้ด้วยนะครับ :)

สำหรับ background ผมจบตรีวิศวะคอมพิวเตอร์ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และโท MBA ที่สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) ตอนเรียนจบที่ NIDA มีประกาศเรื่องทุนการศึกษาต่อระดับปริญญาเอกพอดี เลยคิดว่าอยากจะลองดู ก็เลยเป็นที่มาของการสมัครในครั้งนี้ครับ

โปรแกรมที่ผมสมัครคือ Ph.D. in Management ที่ specialize ในด้าน Management Information Systems ครับ (บางที่เรียก Operation & Technology Management / Management Science - Information Technologies / Computer Information Systems / ฯลฯ ขึ้นอยู่กับแต่ละที่)

Profile คร่าวๆ
- ป.ตรี B.Eng. KMITL GPA 3.53
- ป.โท M.B.A. NIDA GPA 3.96
- TOEFL 106 (Reading 29/Listening 29/Writing 25/Speaking 23)
- GMAT 720 (Quantitative 49/Verbal 40/AWA 5.0)
- ประสบการณ์ทำงาน 6 ปี ระดับ Division Manager บริษัท IT ในตลาดหลักทรัพย์
- Professional Certificate หลายใบ เช่น CISSP
- *ไม่มี publication มาก่อนเลย*

พูดถึงเรื่องการเตรียมตัว จริงๆแล้วการสมัคร Ph.D. ควรมีเวลาเตรียมตัวก่อนยื่นใบสมัครประมาณ 6 เดือน แต่ตัวผมเองนั้นรู้ตัวว่าจะสมัครค่อนข้างช้า จึงมีเวลาเตรียมตัวเพียงแค่ 3 เดือน T_T โดยช่วงเตรียมตัวนั้นจะต้องประกอบไปด้วย

1. สอบ TOEFL/GMAT

โปรแกรม Ph.D. in Management ส่วนใหญ่นั้นจะ prefer GMAT มากกว่า GRE ครับ และส่วนตัวก็คิดว่าคนไทยเหมาะกับ GMAT มากกว่า GRE เนื่องด้วย verbal ของ GRE มันเกินมนุษย์มนาไปซักนิดนึง ผมคงไม่พูดถึงรายละเอียดการสอบหรือ strategy ในการทำข้อสอบในนี้ เนื่องจากสามารถหาได้ทั่วไปใน Internet แต่ประเด็นสำคัญคือการสอบทั้ง TOEFL และ GMAT นั้นต้องใช้เวลาเตรียมตัว (หรือเรียน) พอสมควรครับ แถมสอบเสร็จแล้วก็ต้องเผื่อเวลารอผล และในกรณีของ GMAT ถ้าต้องการสอบใหม่ก็ต้องรอเวลาอีกด้วย ดังนั้นจึงต้องจัดการเรื่องเวลาให้ดีนะครับ

ในตอนที่ผมสอบ ผมเริ่มเรียน TOEFL กับ Engwise ช่วงปลายเดือน 8 และสอบ TOEFL ปลายเดือน 9 จากนั้นก็เรียน GMAT กับ Kaplan ต้นเดือน 10 และสอบ GMAT ปลายเดือน 11 ครับ

2. เลือกโปรแกรมที่จะสมัคร

ขั้นตอนนี้หลายคนจะเลือกก่อนที่จะสอบ TOEFL/GMAT แต่ตัวผมเองนั้นมาเลือกอย่างจริงจังหลังจากที่สอบ TOEFL/GMAT แล้ว เพราะต้องการรู้คะแนนของตัวเองก่อน จะได้เลือกโปรแกรมที่เหมาะสมกับคะแนนสอบของตัวเอง

ตอนที่ผมเลือกนั้น ผมมีเกณฑ์ในการเลือกมหาวิทยาลัยดังนี้

2.1 คะแนน TOEFL ใช้เป็น minimum requirement คือขอให้คะแนนของเราเกินไปใช้ได้ เกินน้อยเกินมากไม่เป็นไร ส่วนใหญ่แต่ละมหาวิทยาลัยจะมี requirement TOEFL ที่ตัวเองต้องการครับ

2.2 คะแนน GMAT แบ่งเป็น group ตั้งแต่โปรแกรมที่ GMAT ของเราไม่ถึง / โปรแกรมที่ GMAT ของเราอยู่ที่ Average / โปรแกรมที่ GMAT ของเราสูงกว่า Average / และโปรแกรมที่ GMAT ของเราสูงกว่า Average มากๆ

เนื่องจากมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะไม่บอกคะแนน Average GMAT ของตัวเอง (ส่วนใหญ่มักจะบอกแค่ประมาณ 700) เราสามารถหา Avg. GMAT ของแต่ละมหาวิทยาลัย แยกเป็นโปรแกรม ได้จาก link นี้ครับ: http://www.bestbizschools.com/doctorate/tool.asp (ความเชื่อถือไม่ 100% แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่มีแล้ว)

2.3 Ranking ผมใช้ Ranking ของ Business Week และ U.S. News เป็นหลัก โดยดูทั้ง rank ของ Business School และ rank ของ specialization นอกจากนั้นยังสามารถหา ranking ในแง่ของ research ได้จาก link นี้ครับ: http://jindal.utdallas.edu/the-utd-top-100-business-school-research-rankings/

2.4 Research interest ของ Faculty มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งนั้นก็มี Professor ที่สนใจในเรื่องที่แตกต่างกันออกไป และ Professor แต่ละท่านก็จะมีความสนใจในประเด็นต่างๆที่แตกต่างกันออกไปด้วย เราควรจะทำการบ้านในประเด็นนี้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเลือกโปรแกรมครับ เนื่องจากโปรแกรมจะไม่เลือกผู้สมัครที่สนใจในเรื่องที่ไม่ตรงกับความสนใจของ Professor ที่ตนเองมีอยู่แน่นอน ไม่ว่า profile ของผู้สมัครจะดีซักแค่ไหนก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้ให้ความสำคัญตั้งแต่แรก และทำให้ผมเสียค่าสมัครฟรีไปหลายโปรแกรมเลยทีเดียว - -"

หลังจากที่หาเกณฑ์ได้แล้ว ผมก็ไปทำค้นข้อมูลของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง และสรุปว่าตัวเองจะสมัครทั้งหมด 12 โปรแกรม โดยแบ่งดังนี้ครับ

Group 1: โปรแกรมที่มี ranking อันดับ 1-10 และคะแนน GMAT เฉลี่ยสูงกว่าคะแนน GMAT ของผม -> สมัคร 3 มหาวิทยาลัย
Group 2: โปรแกรมที่มี ranking อันดับ 11-50 และคะแนน GMAT เฉลี่ยพอๆกับคะแนน GMAT ของผม -> สมัคร 5 มหาวิทยาลัย
Group 3: โปรแกรมที่มี ranking อันดับ 51-100 (หรือ Unrank) และคะแนน GMAT เฉลี่ยน้อยกว่าคะแนน GMAT ของผมเล็กน้อย -> สมัคร 2 มหาวิทยาลัย
Group 4: โปรแกรมที่ไม่มี rank (หรือ unconsidered) และคะแนน GMAT เฉลี่ยน้อยกว่าคะแนน GMAT ของผมมาก -> สมัคร 2 มหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ จำนวนโปรแกรมที่จะสมัครนั้นขึ้นอยู่กับอัตราการรับของ specialization นั้นๆด้วยนะครับ อย่าง MIS ของผมนั้น acceptance rate อยู่ที่ราวๆ 5-8% ทำให้ผมรู้สึกว่าสมัครเพียง 12 โปรแกรมก็น่าจะเพียงพอ แต่ถ้าสมัครโปรแกรมมหาชนอย่าง Marketing หรือ Finance ที่มี acceptance rate ราวๆ 1-3% อาจจะต้องสมัครมากกว่านี้ครับ

3. เขียน Statement of Purpose

Statement of Purpose หรือ SoP ถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมากๆส่วนหนึ่งของใบสมัครของเราครับ เนื่องจากเป็นสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวเราออกมาได้ดีที่สุด (เพราะเกรดของเรานั้นเรากลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว ส่วนคะแนนสอบนั้นถ้าคนที่มีเวลาจำกัดก็อาจจะสอบใหม่ไม่ได้แล้วก็เป็นได้) ดังนั้นถ้าส่วนประกอบอื่นๆของเรามีข้อด้อย เช่นเกรดป.ตรีไม่ดี คะแนน GMAT ไม่ได้ดังใจ ก็อาจมาแก้ตัวได้ใน SoP ครับ โชคดีเป็นของเราที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่นั้นจะต้องการ SoP ในลักษณะที่ไม่ต่างกันมาก (เช่น outline ว่าทำไมเราถึงอยากเรียนป.เอก / ทำไมถึงอยากเรียนสาขานี้ / ทำไมถึงอยากเรียนที่นี่ / แผนในอนาคตของเราเป็นอย่างไร / เรียนจบแล้วจะไปทำอะไร / ฯลฯ) ไม่เหมือนกับ Application Essay ของป.โทที่แตกต่างกันมากในแต่ละที่ ทำให้เราสามารถเขียน Master SoP ขึ้นมาก่อนหนึ่งฉบับ แล้วปรับแต่งแต่ละฉบับให้เข้ากับ requirement ของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งได้ง่ายกว่า ข้อควรระวังเป็นอย่างยิ่งของ SoP คือควรตรวจเช็ค Grammar หลายๆครั้ง และควรตรวจชื่อเฉพาะ เช่นชื่อ Professor / Paper ที่อ้างถึง / ชื่อมหาวิทยาลัย ให้มีจุดผิดให้น้อยที่สุด หรือไม่ผิดเลยจะดีมากครับ และหากจนถึงตอนนี้ คุณมีโครงร่าง research ที่สนใจ ก็สามารถเขียนรวมไปใน SoP ได้เลย ซึ่งก็จะช่วยให้ SoP ของคุณน่าสนใจมากยิ่งขึ้นไปอีกครับ

ปกติแล้วโปรแกรมทั่วๆไปมักจะกำหนดว่าให้ผู้สมัครเขียน SoP ได้ไม่เกินกี่คำ หรือกี่หน้า แต่หากไม่มีข้อกำหนดแล้ว SoP ที่ดีไม่ควรยาวเกิน 3 หน้า และควรเว้นบรรทัดแบบ Double Space เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถอ่านได้ง่ายครับ

ในตอนที่ผมสมัครนั้น ผมสอบ GMAT เสร็จก็เหลือเวลาอีกเพียง 9 วันก่อนที่จะถึง deadline ของมหาวิทยาลัยที่ผมต้องการสมัครแห่งแรก เล่นเอาปั่น SoP กันแทบตายเลยล่ะครับ

4. ขอ Recommendation Letter

อีกหนึ่งส่วนประกอบที่สำคัญมากๆของ Application Package ครับ โดยโปรแกรมแต่ละโปรแกรมจะต้องการ recommendation letter ที่แตกต่างกันออกไป บางที่ต้องการสองฉบับ บางที่ต้องการสาม หรือแม้กระทั่งสี่ฉบับก็มี และบางแห่งก็ต้องการ letter จากอาจารย์เท่านั้น ในขณะที่บางแห่งต้องการจากหัวหน้าด้วย ดังนั้นก่อนจะขอ recommendation letter อย่าลืมอ่าน requirement ของโปรแกรมที่เราต้องการจะสมัครให้ละเอียดก่อนด้วยครับ

ปัจจุบันโปรแกรมส่วนใหญ่ใน U.S. จะต้องการให้เราใช้ระบบ recommendation letter แบบอิเล็คทรอนิคส์ กล่าวคือเราจะต้องใส่ email ของอาจารย์หรือหัวหน้าที่จะเป็นคนเขียน letter ให้เราไปในระบบใบสมัคร แล้วระบบใบสมัครจะส่งวิธีการเขียนไปให้กับผู้เขียนเอง แต่ก็ยังเหลือโปรแกรมที่ต้องการ recommendation letter แบบจดหมายปิดผนึก หรือแบบ email อยู่บ้างครับ

การขอ recommendation letter นั้นควรขอล่วงหน้าก่อน deadline เป็นระยะเวลาพอสมควร เนื่องจากการเขียน recommendation letter นั้นต้องใช้เวลาเขียนค่อนข้างนาน และอย่าลืมส่งเอกสารประกอบไปให้กับผู้เขียนด้วยเช่น SoP, transcript, โปรแกรมที่เราจะสมัคร หรือมหาวิทยาลัยบางแห่งจะระบุไว้เลยว่าต้องการอะไรจาก recommendation letter บ้าง เพื่อให้ผู้เขียนใช้ประกอบการเขียนจดหมายให้กับเราครับ

5. ขอ/ส่ง Transcript และ/หรือ Degree Certificate
มหาวิทยาลัยบางแห่งใจดี ให้เรา scan transcript และส่งทางออนไลน์ได้เลย ในขณะที่มหาวิทยาลัยบางแห่งนั้นให้เราส่ง Transcript และ/หรือ Degree Certificate ไปให้ทางไปรษณีย์เท่านั้น (บางแห่งให้ส่งสองชุดไปยังสองตึก ค่าส่งมันแพงนะรู้มั้ย T_T) ซึ่งการขอ Transcript และ Degree Certificate นั้นก็ต้องใช้เวลาในการขอ ประกอบกับการส่งไปรษณีย์ไปยังสหรัฐนั้น อย่างเร็วก็ต้องใช้เวลา 2 วัน ดังนั้นถ้าสามารถทำขั้นตอนนี้ได้ก่อนก็จะดีมากครับ แต่ถ้าหากทำไม่ได้ ก็ต้องเผื่อเวลาไว้ เผื่อไปรษณีย์ทำหาย หรือเอกสารไม่ครบ หรือรูปถ่ายใช้ไม่ได้ ต้องไปถ่ายใหม่ ฯลฯ ด้วยครับ

นอกจากนั้น เวลาที่เราต้องส่ง Transcript / Degree Certificate และ/หรือเอกสารอื่นๆไปที่มหาวิทยาลัยที่เราต้องการสมัคร ก็ควรจะเขียนใบปะหน้า (Cover Letter) ไปด้วยนะครับ โดยระบุว่าเราส่งอะไรมาบ้าง และชื่อ/นามสกุล/ หรือ Applicant ID (ถ้ามี) ซึ่งจะช่วยให้เอกสารของเราถูก process ได้ง่ายขึ้น เป็นประโยชน์กับทั้งเราและมหาวิทยาลัยด้วยครับ
ตัวอย่างเนื้อหาของ Cover Letter: http://www.essayforum.com/resumes-letters-19/doctoral-program-business-administration-general-cover-34588/

สำหรับการส่งเอกสารสมัครเรียนไปยังมหาวิทยาลัยใน U.S. ผมขอแนะนำบริการ DHL Express Student Easy ซึ่งทาง DHL จะมารับเอกสารถึงที่ และหากสะดวกไปส่งที่ศูนย์บริการ DHL ก็จะได้ราคาที่ถูกลงมาอีกนิดนึงครับ แต่หากต้องการส่งด่วนมากๆ UPS Express เป็นบริการส่งเอกสารที่ส่งเร็วที่สุดครับ (เร็วกว่า DHL ประมาณครึ่งวัน) ส่วนตัวผมไม่แนะนำบริการ EMS ของไปรษณีย์ไทยเนื่องจากราคาถูกว่า DHL นิดเดียว ไม่คุ้มกับความเสี่ยงหากเอกสารหายครับ

6. เขียน email ไปหา Professor ที่เราสนใจ

ขั้นตอนนี้เหมือนจะเป็นขั้นตอนขำๆ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆครับ เนื่องจากแต่ละโปรแกรมนั้นก็จะได้รับใบสมัครจำนวนมากทั้งสิ้น (อย่างน้อยๆก็เป็นร้อยชุด) ดังนั้นการสร้างความแตกต่างให้กับตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งครับ หากเราสามารถเขียน email ไปหา Professor ที่เราสนใจ ต้องการทำ research ด้วย หรือต้องการเป็น advisee ว่าเราคือใคร ทำไมถึงสนใจในตัวเค้าเป็นพิเศษ ฯลฯ ก็จะช่วยสร้างความแตกต่างได้เป็นอย่างดีครับ

ถ้าฟังแล้วไม่อิน ผมสมัครไปทั้งสิ้น 12 โปรแกรม ได้รับตอบรับมา 4 โปรแกรม ซึ่งทั้ง 4 โปรแกรมนั้นคือโปรแกรมที่ผม email ไปหา Professor ก่อนยื่นใบสมัครทั้งสิ้นเลยล่ะครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่าขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากจริงๆ

7. เขียนใบสมัครและจ่ายเงิน

มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ใน U.S. นั้นใช้ใบสมัครอิเล็คทรอนิคส์กันหมดแล้ว แต่ก็มีบางแห่งที่ยังเป็น paper-based ที่ต้องส่งใบสมัครทางไปรษณีย์ไปพร้อมกับเอกสารประกอบอื่นๆด้วยครับ โดยการเขียนใบสมัครนั้น แม้ว่าแต่ละที่จะมีลักษณะคล้ายๆกัน ผู้สมัครก็ควรจะต้องอ่าน instruction อย่างละเอียดด้วย เนื่องจากแต่ละที่นั้นจะมีรายละเอียดยิบย่อยที่ต่างกันออกไป เช่น MIT ไม่ให้ใช้ scan transcript แต่ให้ใช้ self-reported transcript หรือบางแห่งก็ต้องการให้ส่ง Writing Sample ด้วยเป็นต้น

นอกจากนั้น อย่าลืมดูให้ดีว่าโปรแกรมที่เราจะสมัครนั้นให้เรากด submit ได้ทันทีแม้ว่า recommendation letter จะยังมาไม่ครบ หรือต้องรอให้มาครบก่อนจึงจะ submit ได้ด้วยนะครับ

เมื่อเขียนใบสมัครเรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาจ่ายเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะให้เราจ่ายเงินผ่านทางบัตรเครดิต ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร อย่าลืม print ใบเสร็จรับเงินเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วยครับ :)

8. รอ ...

เป็นขั้นตอนที่เลวร้ายที่สุดในการสมัครเรียนต่อแล้วครับ เนื่องจากเราก็ทำสิ่งที่เราทำได้ไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่เวลาที่ต้องรอคอยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สำหรับผู้สมัคร Ph.D. in Management หรือ Business ผมมี forum แนะนำอยู่แห่งหนึ่งครับที่ http://www.urch.com/forums/phd-business/ ซึ่งเป็น forum ที่มีผู้สมัครมาคุยและแชร์ประสบการณ์กันค่อนข้างเยอะ ช่วยแก้เหงาและ update ข่าวคราวของโปรแกรมต่างๆได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ

นอกจากนั้นยังมี survey result ที่ http://thegradcafe.com/survey/index.php ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ว่าโปรแกรมที่เราสมัครนั้นมีใครได้รับคัดเลือก หรือถูกปฏิเสธไปหรือยัง และเมื่อถึงคราวเรา ไม่ว่าจะได้รับหรือปฏิเสธ ก็อย่าลืมไป submit result ด้วยเพื่อเป็นประโยชน์กับผู้สมัครคนอื่นๆครับ

9. สัมภาษณ์

โปรแกรม Ph.D. in Management ส่วนใหญ่นั้นจะต้องการสัมภาษณ์ผู้สมัครก่อนตัดสินใจรับเข้าเรียนต่อแทบทั้งสิ้น และเนื่องจากเราอยู่ในประเทศไทย การสัมภาษณ์ส่วนใหญ่ถึงทำผ่าน skype ทั้ง Video Call และ Voice-only โดยสิ่งที่ท้าทายก็คือเวลาสัมภาษณ์ที่จะต้องเหมาะทั้งกับผู้สมัครและผู้สัมภาษณ์ ซึ่งเราก็จะต้องจัดตารางกับผู้นัดสัมภาษณ์กันให้ดีครับ

เนื้อหาของการสัมภาษณ์นั้นมักจะแบ่งเป็นสองส่วนหลักๆ คือส่วนถามกับส่วนตอบ โดยที่ส่วนถามนั้นจะมีคำถามพื้นฐานดังนี้
- ทำไมถึงอยากเรียนปริญญาเอก
- ทำไมถึงอยากเรียนปริญญาเอกตอนนี้/ทำไมถึงตัดสินใจลาออกจากงานมาเรียน
- ทำไมถึงเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้
- รายละเอียดเกี่ยวกับ SoP ที่เราเขียนไป
- รายละเอียดเกี่ยวกับ Research หรือ Professor ใน SoP ที่เราเขียนไป
- จุดแข็ง/จุดอ่อนของเรา ทำไมเราถึงควรได้รับเลือก
- หัวข้อวิจัยที่เราสนใจเป็นพิเศษ
- โปรแกรมอื่นๆที่เราสมัคร / ทำไมถึงสมัคร / ถ้าได้หลายที่จะเลือกที่ไหนก่อน

เมื่อเสร็จส่วนถามแล้ว เค้าจะเปิดโอกาสให้เราถามเค้าบ้าง ซึ่งเราก็ควรเตรียมคำถามไว้ถามเค้าบ้างนะครับ หากไม่ถามเลยจะดูไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งคำถามพื้นฐานก็เช่น
- ค่าเล่าเรียน ค่าครองชีพ
- ทุนการศึกษาต่างๆ
- มีคนสมัครกี่คน สัมภาษณ์กี่คน จะรับกี่คน

ก่อนสัมภาษณ์เราควรจะ confirm กับผู้สัมภาษณ์ให้แน่นอนก่อนด้วยนะครับว่าการสัมภาษณ์นั้นจะเป็น video call หรือ voice only เนื่องจากหากเป็น video call นั้นเราจำเป็นจะต้องแต่งตัวให้เรียบร้อยดูดีอีกด้วย ในขณะที่หากเป็น voice only เราสามารถที่จะเขียน script ไว้ก่อนได้ เพื่อป้องกันการ panic ระหว่างสัมภาษณ์ครับ

ปกติแล้วโปรแกรม Business School ใน U.S. จะเริ่มเรียกสัมภาษณ์รอบแรกประมาณปลายเดือนมกราคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ไล่มาจนถึงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ และจะเริ่ม offer ให้กับนักศึกษากลุ่มแรกประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมครับ

10. ตัดสินใจ ...

เมื่อได้รับ offer จากมหาวิทยาลัยมากกว่า 1 แห่งขึ้นไป ก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องรีบตัดสินใจ และปฎิเสธ offer ของมหาวิทยาลัยที่เราไม่ต้องการจะไปแน่ๆ เพื่อให้เค้าสามารถรับผู้สมัครคนอื่นมาแทนที่ของเราได้ (อย่าลืมว่าโปรแกรม Ph.D. ของ Business School ส่วนใหญ่ใน U.S. นั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก ดังนั้นการ "กั๊ก" ที่ไว้จึงไม่ดีเท่าไหร่ทั้งกับมหาวิทยาลัย และกับผู้สมัครคนอื่นครับ) อย่างไรก็ดี Business School ที่ได้รับการยอมรับส่วนใหญ่นั้นมีการทำข้อตกลงกันว่าจะไม่บังคับให้ผู้สมัครตัดสินใจรับ offer ใดๆก่อนวันที่ 15 เมษายนของทุกๆปี โดยหากการตัดสินใจรับ offer นั้นเกิดก่อนวันที่ 15 เม.ย. ก็จะถือเป็นการตอบรับ offer ที่ไม่มีผลผูกพัน (สามารถขอยกเลิกภายหลังได้ แต่ว่าต้องเป็นก่อนวันที่ 15 เม.ย.นะครับ) แต่การตัดสินใจรับ offer ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย.ไปนั้นจะเป็นการตอบรับ offer ที่ผูกพัน กล่าวคือจะไม่สามารถยกเลิกการตอบรับนี้ได้ หากไม่ได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากมหาวิทยาลัย และหากเราตอบรับ offer จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งไปแล้ว เราจะไม่สามารถตอบรับ offer จากมหาวิทยาลัยแห่งอื่นๆได้อีกด้วย

จนถึงวันที่เขียน จากโปรแกรมที่ผมสมัครไปทั้งสิ้น 12 โปรแกรม ได้สัมภาษณ์ทั้งหมด 4 แห่ง และได้รับ offer จากทั้ง 4 แห่งนั้น (Group 2 2 แห่ง ได้ full tuition waiver + assistantship เต็มจำนวน 1 แห่ง และ no funding 1 แห่ง / Group 3 1 แห่ง ได้ full tuition waiver + assistantship ไม่เต็มจำนวน / Group 4 1 แห่ง ได้ full tuition waiver + assistantship เต็มจำนวน) และได้รับ Reject มาทั้งสิ้น 5 แห่ง มีอีก 3 แห่งที่ยังรอฟังผลอยู่ครับ

พิมพ์มาร่วมสองชั่วโมง ไม่แน่ใจว่ามีข้อมูลอะไรตกหล่นไปรึเปล่า ถ้านึกได้จะตามมา edit ต่อครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกๆท่านไม่มากก็น้อยครับ :)

จากคุณ : Wut^^
เขียนเมื่อ : 15 มี.ค. 55 01:30:25




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com