 |
คงไม่ใช่แค่ ดร.สุภาพ นะครับที่จะได้ประโยชน์หากชนะคดีนี้ เพราะว่าก็เห็นมีบริษัท ยักษ์ใหญ่ อย่าง eBay ก็ส่งเอกสารสนับสนุนให้ US Supreme Court รับพิจารณาคดีนี้และวอนให้ศาลตัดสินให้ ดร.สุภาพ ชนะ
ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทยักษ์ใหญ่อื่นๆ เช่น Walmart, Target, Amazon ก็ส่งเอกสารถึง Supreme Court ในทำนองเดียวกันผ่านสมาคมผู้ค้าปลีก ลองเข้าไปอ่านเอกสารดังกล่าวได้ครับในเว็บที่ติดตามข้อเท็จจริงของคดีอย่างต่อเนื่องในลิงค์ต่อไปนี้
http://www.scotusblog.com/case-files/cases/kirtsaeng-v-john-wiley-sons-inc/
ผมคิดว่าประเด็นที่ทำให้คดีนี้เป็นคดีสำคัญเพราะถ้า ดร.สุภาพ แพ้ การขายของมือสองในสหรัฐอเมริกาก็จะเป็นเรื่องยาก เพราะถ้าสินค้าผลิตนอกสหรัฐอเมริกา(แม้จะผลิตโดยเจ้าของลิขสิทธิ์)จะไม่สามารถใช้ first sale doctrine ได้ ทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิ์ควบคุมการขายของชิ้นนั้นๆ อย่างไม่รู้จบ กล่าวคือถึงแม้เราจะซื้อมากจากเจ้าของลิขสิทธิ์แล้วกฎหมายก็จะห้ามไม่ให้เราเอาไปขายต่อ, หรือเอาไปให้คนอื่นยืม, หรือแม้กระทั่งเอาไปให้คนอื่นเป็นของขวัญ ซึ่งแน่นอนส่วนนี้ก็จะทำให้บริษัทเช่น eBay, Amazon, NetFlix, (Blockbuster), และรวมไปถึงห้องสมุดต่างๆ อยู่ไม่ได้
และก็ยังกระทบไปถึงบริษัทที่ขายของใหม่ด้วย เพราะสิทธิ์ควบคุมการขายอย่างไม่รู้จบนี้ก็ทำให้บริษัทอย่าง Target, Walmart, Costco อยู่ไม่ได้เพราะบริษัทเหล่านี้ก็มีการซื้อของในประเทศต่างๆ เพื่อนำเข้ามาขายในอเมริกา ซึ่งตัวอย่างนี้จะเห็นได้จากคดีคล้ายๆ กันคือ Costco v. Omega และเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทนี้จะทำถูกกฎหมายลิขสิทธิ์ได้เพราะก่อนจะนำสินค้าแต่ละชิ้นเข้ามาขายก็ต้องมีการตรวจสอบให้ครบถ้วนก่อนว่าแต่ละชิ้นส่วนของสินค้าผลิตที่ประเทศใด ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีสินค้านับแสนชนิดไม่มีทางที่จะเช็คได้หมดอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องถ้า ดร.สุภาพ ชนะแล้วหนังสือตำราต่างประเทศที่มีขายในเมืองไทยจะแพงขึ้นหรือเปล่า ผมคิดว่าไม่นะครับ ลองคิดดูให้ดีว่าถ้าหนังสือตำราต่างประเทศขายในราคาเล่มละสามพันสี่พัน นักเรียนในประเทศไทยที่ต้องใช้ตำรานั้นๆ เขาจะซื้อไหม (ขนาดปัจจุบันเล่มละไม่ถึงพันก็ยังเห็นมีเอาไปถ่ายเอกสารกันเพียบ [ตรงนี้ต้องขอโทษด้วยนะครับเพราะหลายๆ คนก็ซื้อของจริงเช่นกัน] ซึ่งการถ่ายเอกสารแล้วอ้างว่าไม่ได้ทำเพื่อการค้า อันนี้เอามาใช้อ้างไม่ได้นะครับไม่มีกฎหมายข้อไหนบอกว่าการถ่ายเอกสารเป็นเล่มเพื่อการศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฎหมาย)
พอดีผมเคยเรียนที่เมกาก็เลยพอจะมีประสบการณ์กับหนังสือพวกนี้อยู่บ้าง ลองพิจารณาดูให้ดีนะครับปัจจุบันหนังสือ textbook ต่างประเทศในเมืองไทยขายกันอยู่ที่ประมาณ 900 บาท ลองตีซะว่า $30 ค่าส่งหนังสือเล่มดังกล่าวไปอเมริกาถ้าส่งเยอะๆ อาจจะได้สักเล่มละ 25 เหรียญ ถ้าคนเอาหนังสือนี้ไปขายในอีเบย์หรือ Amazon เขาก็คิดค่าขายรวมค่า PayPal อะไรพวกนี้ด้วยก็น่าจะประมาณ สัก 10 เหรียญ แล้วยังต้องมีค่าส่งไปให้คนซื้อในอเมริกาอีกซึ่งน่าจะอยู่ที่สัก 8 เหรียญ รวมต้นทุนแล้วก็ซัดเข้าไป $68 แล้ว ผมก็สงสัยอยู่ว่าถ้าสำนักพิมพ์ขาย US edition เล่มละสัก 75-85 เหรียญในร้านค้าของโรงเรียน(ซึ่งไม่มีค่า shipping แถมได้ของเลยอีกตะหากแถมเกิดดรอปวิชายังเอาหนังสือไปคืนได้อีก)จะมีใครเขามาซื้อ International edition ที่ส่งเข้าไปจากเมืองไทย อันที่จริงราคาประมาณ $80 นี่ก็เป็นราคาที่ขายๆ กันในอังกฤษ แต่นี่พี่สำนักพิมพ์อเมริกันซัดกันเข้าไป $100 ถึง $200 เรียกว่าต้นเทอมซื้อหนังสือเรียนทีเหมือนโดนปล้นเลย ผมว่าอันนี้และครับต้นเหตุแห่งปัญหา
จากคุณ |
:
ManU Fan
|
เขียนเมื่อ |
:
20 เม.ย. 55 21:10:41
A:101.108.184.101 X: TicketID:356254
|
|
|
|
 |