Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องราวของหญิงไทยส่วนหนึ่งในเยอรมัน จากอดีต สว.ไทย ติดต่อทีมงาน

นกหลงทางที่เยอรมนี

Delight Moment(37) / สุมิตรา จันทร์เงา

“หนังสือพิมพ์ประชาไทม์” เป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเล็กๆ ในจังหวัดระยอง

สื่อนอกสายตาคนเมืองหลวง แต่ก็กว้างขวางในหมู่ชาวระยองผู้รักถิ่น และต้องการเห็นสังคมไทยพัฒนาอย่างบูรณาการ


ฉันพบกับ “ทวีป ขวัญบุรี” ในเฟซบุ๊ค เมื่อไม่นานมานี้ เราเป็นเพื่อนกันเพราะถูกจริตในทัศนคติ โดยที่ไม่เคยเห็นหน้าตากันมาก่อน

เขาเป็นอดีตสมาชิกวุฒิสภา(2543-2549) โดยช่วงนั้นดำรงตำแหน่งโฆษกคณะกรรมาธิการกิจการสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ วุฒิสภา

ปัจจุบันทวีปเป็นวิทยากรอิสระและนักจัดรายการวิทยุ ทำงานต่อเนื่องมาประมาณ 30 ปีแล้ว
แน่นอนเขาต้องเชี่ยวชาญในเรื่องสตรี เยาวชน และผู้สูงอายุ กว่าสิ่งใด

ระหว่างดำรงตำแหน่งในกรรมาธิการฯ ทวีป ขวัญบุรี ได้ไปร่วมประชุมเรื่องการกิจการสตรีที่นครมิวนิค ประเทศเยอรมนี และพบเห็นเรื่องราวของผู้หญิงไทยที่ถูกกระทำย่ำยีทั้งทางร่างกายและจิตใจ เพื่อแลกเปลี่ยนกับความฝันและความหวังที่พวกเธอหอบไปจากเมืองไทย

พวกเธอจากบ้านไปพร้อมปีกความฝันที่จะโบยบินสู่ฟ้ากว้าง
แต่ทวีปกลับไปพบกับพวกเธอบางคน เป็นนกหลงทางอยู่ที่เยอรมนี
เขาเขียนเล่าเรื่องนี้ลงในคอลัมน์ "บันทึกบนเส้นทาง"  ของหนังสือพิมพ์ “ประชาไทม์” เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 มันทั้งงดงามและสะเทือนอารมณ์
สมควรที่จะแบ่งปันให้คนนอกจากหวัดระยองได้อ่านอย่างทั่วถึง
เชิญติดตามค่ะ

.....


ผมพบเธอที่วัดไทยในมิวนิค เยอรมัน
ใครๆ เรียกขานเธอสั้นๆว่า อร   ผู้หญิงผอมบาง  สวยเศร้า
นัยน์ตาเหงาเหมือนนกหลงทาง

เมื่อพูดคำว่า “วัด”  ผมก็นึกภาพของโบสถ์ วิหาร เจดีย์ ช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ อะไรพวกนั้น
แต่เมื่อเราไปถึง “วัด”เข้าจริงๆ  ผมพบว่ามันเป็นเพียงห้องหนึ่งของตึกแถว  
มีเพียงป้ายที่ประตูที่เขียนไว้ว่า  WAT THAI  
ภายในห้องแคบๆ มีเพียงพระพุทธรูปตั้งคู่กับธงชาติไทยอยู่ที่มุมหนึ่ง  
มีพระสงฆ์อยู่สามรูปที่ทำให้เรารู้สึกว่าที่นั่นคือวัด

และเมื่อพูดถึงวัดเราจะนึกถึงที่อันสงบเพื่อการบำเพ็ญภาวนาของพระคุณเจ้า  
แต่วัดไทยที่มิวนิคกลับเป็นทั้งที่เรียนภาษาสำหรับคนไทยที่เพิ่งมาอยู่ที่นี่  
เป็นที่เรียนการศึกษานอกโรงเรียน  
เป็นที่เรียนเพิ่มวิทยฐานะกับมหาวิทยาลัยเปิดในเมืองไทย
และเป็นเสมือนบ้านพักฉุกเฉินของคนทุกข์จากเมืองไทย

พระมหาวิเชียร พระธรรมทูตผู้ทำหน้าที่เจ้าอาวาส,  คุณบุญนิ่ม เลขานุการของวัด ,
คุณจินตนา สามีเป็นชาวเยอรมันผู้ให้การช่วยเหลือผู้หญิงจากเมืองไทยมาตลอด,  
คุณประไพศรี จากกลุ่มไทยช่วยไทย,  คุณจันดี ผู้หญิงไทยที่อยู่ในมิวนิคมาเกือบยี่สิบปี,  
คุณก้อย นักศึกษาปริญญาเอก  และอีกหลายคน......
ผลัดกันเล่าถึงปัญหาของผู้หญิงไทยในเยอรมัน

“....กว่าร้อยละ 80 ของผู้หญิงไทยที่มาตกระกำลำบากเป็นคนมีการศึกษาน้อย  บางคนอยู่ในสถานะหย่าร้าง มีลูกติด ต้องการหาเงินส่งลูกและครอบครัว ต้องการมีชีวิตที่คิดว่าดีกว่าการอยู่ที่เมืองไทย  ส่วนมากโดนหลอก  ที่จะพบความสำเร็จกับหนุ่มเยอรมันมีบ้างแต่เป็นส่วนน้อย....เมื่อไม่ได้เป็นอย่างที่หวังบางคนซมซานกลับเมืองไทย  นั่นยังถือว่าโชคดี  บางคนไม่มีโอกาสกลับไปฝังร่างยังแผ่นดินแม่ ! ”

“....รูปแบบที่ซ้ำซากคือโดนหลอกว่าจะแต่งงานอยู่กินด้วย  แต่กฎหมายเยอรมันไม่ให้สมรสกันทันที ต้องอยู่ด้วยกันเกินสามเดือนก่อน  ระหว่างสามเดือนนั้นพวกเธอต้องกลายเป็นทาส  ต้องทำงานบ้านทุกอย่างโดยไม่ได้ออกไปไหนเลย   เมื่อครบสามเดือนหนุ่มเยอรมันก็จะบอกว่าให้เธอกลับเมืองไทยก่อนแล้วจะกลับไปรับมาแต่งงานกัน  แล้วก็จะหายไป  คนเยอรมันคนนั้นจะกลับไปที่เมืองไทยใหม่ แต่ไปที่หมู่บ้านอื่นหรือจังหวัดอื่น แล้วก็รับผู้หญิงไทยคนใหม่มา  แบบนี้หมุนเวียนไปเรื่อย  พวกนี้เสียค่าเครื่องบินไม่มากนัก แลกกับการได้คนใช้และคนบำเรอ  แถมบางคนยังบังคับให้หญิงเคราะห์ร้ายขายตัวถอนทุนค่าเครื่องบินอีกด้วย! ”

อร  จากแผ่นดินที่ราบสูง กับความหวังอันเลิศหรู
คิดว่าจะเป็นเหมือนเพื่อนสาวที่ได้สมรสกับหนุ่มเยอรมัน  
ลูกติดแม่ได้เรียนหนังสือดีๆ พ่อแม่ปลูกบ้านใหม่ ใหญ่เกือบเท่าวัดในหมู่บ้าน

แล้วเธอได้รู้ว่าสวรรค์มีสำหรับบางคนที่ไม่ใช่เธอ

การศึกษาที่มีเพียงน้อยนิด  ภาษาอังกฤษแบบสื่อสารแทบไม่ได้ ใช้ภาษามือเป็นหลัก
บ้านของหนุ่มเยอรมันที่เธอตั้งความหวังกับเขาได้เลิศหรูอย่างที่คิด
อาหารการกินที่ไม่คุ้นลิ้น  บ้านเมืองที่หนาวเหน็บ  งานบ้านที่แสนหนัก  
ต้องบำเรอกามซึ่งนอกจากคนที่เธอคิดว่าเป็นสามีแล้ว  บางคนต้องบำเรอให้เพื่อนของสามี  
ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันเก็บค่าตัวเธอเป็นค่าเครื่องบินและค่าเลี้ยงดูด้วยหรือเปล่า  
นอนร้องไห้ทุกคืนด้วยความคิดถึงบ้าน  แต่เธอไม่รู้จะกลับอย่างไร  
แม้กระทั่งพาสปอร์ตก็ถูกยึดไว้  
จนวันหนึ่งเธอถูกสามีทุบตีและไล่ออกจากบ้านท่ามกลางอากาศหนาวจับกระดูก  
และเธอไม่รู้จะไปที่ไหน....

คุณประไพศรีและเพื่อนพบเธอนั่งร้องไห้อยู่ริมถนนและพาเธอมาที่วัด  
ที่นี่เธอพบเพื่อนหญิงไทยอีกหลายคนที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับเธอ  
วัดไทยในมิวนิค กลายเป็นที่นอนอันอบอุ่น  
อย่างน้อยก็มีอาหารกิน มีคนที่พูดภาษาเดียวกันและพร้อมให้การช่วยเหลือ

ผมถามว่าทำไมไม่ขอความช่วยเหลือจากสถานทูต  
คุณประไพศรีบอกว่าสถานทูตอยู่ไกลถึงเบอร์ลิน
และเจ้าหน้าที่สถานกงสุลในมิวนิคแทบไม่ช่วยอะไรแถมมีบางคำพูดที่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด

“ดิฉันสงสัยว่าทำไมเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจึงกุลีกุจอกับการต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่จากเมืองไทยมากกว่าการช่วยเหลือคนไทยที่กำลังไร้ทางไป”

คุณประไพศรีและอีกหลายคนในห้องนั้นระบายความน้อยใจ  
และบอกว่าการช่วยเหลือคนไทยที่มาตกระกำลำบากที่นี่ของพวกเขา
เป็นการช่วยเหลือด้วยสายเลือดของความเป็นคนไทย
มีคนไทยหลายกลุ่มทำงานลักษณะอาสาสมัครแบบนี้  
แต่พอนานเข้ารับภาระไม่ไหวก็เลิกลาไปเพราะไม่มีทุน  ไม่มีแรงสนับสนุน  
ช่วยกันไปตามมีตามเกิดที่ทำไปเพราะเห็นแก่คนไทยตาดำๆ

ผมลาจากที่นั่นมาด้วยความรู้สึกเหงาเศร้า
กราบพระพุทธรูปและธงชาติไทยเล็กๆ  ที่ตั้งอยู่คู่กันที่มุมห้องแล้ว
ผมมีความรู้สึกว่าผมไม่เคยเห็นพระพุทธรูปที่ไหนหรือธงชาติผืนไหนสวยเท่าที่นี่มาก่อนเลย


ทวีปอาจมิได้ตั้งคำถามใดๆรุกเร้าเอาคำตอบจากผู้ใด
แต่ทันทีที่อ่านเรื่องนี้จบคำถามมากมายกลับก้องอยู่ในใจของพวกเรา
ใคร? จะต้องทำอะไรอีกมากมายแค่ไหน
เพื่อให้นกหลงทางทุกตัวหาทางกลับรังได้เอง


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1335348394&grpid=&catid=02&subcatid=0200


เปรียบเทียบจำนวนระหว่างคนที่ได้ดีกับโดนหลอกกับการมีคู่เป็นคนต่างประเทศจะสักเท่าใดครับ

จากคุณ : หมาป่าดำ
เขียนเมื่อ : 26 เม.ย. 55 12:08:26




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com