Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตอันแสนสั้นของนักเรียนอังกฤษ [ตอนที่1:เตรียมอะไรก่อนไปอังกฤษ] ติดต่อทีมงาน

แบบว่า เขียนเอาไว้นานแล้ว ข้อมูลอาจจะเก่าไปบ้าง(2005-2006) แต่กลัวจะเก่าเกินไป เลยขอมาโพสท์เอาไว้บนนี้ เผื่อจะเป็นข้อมูลให้เด็กรุ่นน้องอังกฤษรุ่นต่อๆไปได้อ่าน มีอะไรไม่เข้าใจตรงไหนก็ถามได้นะคะ :)

ตอนที่ 1  เตรียมอะไรก่อนไปอังกฤษ  (January 2005)

ชีวิตก่อนไปอังกฤษของฉันนั้นเต็มไปด้วยสีสัน และความกลัวอันเล็กน้อยว่าจะเรียนจบกลับมาหรือเปล่า เพราะใครๆก็บอกกันว่าเรียนในอังกฤษนั้นโหดที่สุด ด้วยโปรแกรมปริญญาโท 1 ปี (กล่าวคือ ไม่ว่าคุณจะมาเรียนที่อังกฤษด้วยวิชาที่ยากเย็นมากแค่ไหน หรือว่าต้องใช้ความสามารถมากเพียงไร คุณก็จะต้องสามารถจบให้ได้ทั้งหมด ภายในคอร์ส 1 ปีของที่นี่) เรียกว่านอกจากเวลาจะเรียนอัดแล้ว หลายคนก็น่าจะรอดยากในการสอบแบบที่ว่าตกเป็นตกนั่นเอง !  (หมายความว่าไม่มีซ่อมเสริม ครูช่วยกันอย่างเราๆนะจ้ะ)

การเตรียมตัวก่อนไปอังกฤษนั้นก็ไม่มีอะไรยาก เนื่องจากช่วงนั้นยังไม่ออกจากงานเก่า มีเอเจนซี่ติดต่อมาพอดีเพราะไปลงชื่อสนใจจะไปเรียนต่ออังกฤษตอนที่ไปเดินดูนิทรรศการศึกษาต่อต่างประเทศ (ไปมาแล้วไม่รู้กี่รอบ เพิ่งจะสำเร็จก็รอบนี้ล่ะค่ะ) จึงได้เข้าไปคุย เอกสารก็เตรียมเอาไว้เรียบร้อยเนื่องจากเมื่อ 2 ปีก่อนว่าจะไปเรียนต่อที่อเมริกาแต่เกิด 9/11 เสียก่อนจึงต้องพับโครงการเอาไว้ชั่วคราว
ที่เราต้องเตรียมไปให้ทาง เอเจนซี่ติดต่อกับทางมหาลัยที่เราฝันอยากจะเข้า มีดังนี้  Passport, Resume, รูปถ่าย, Transcript, ผลสอบ TOEFL หรือ IELT (ซึ่งมีอายุจากวันสอบอยู่ภายใน 2 ปี หากเกินกว่านั้นต้องสอบใหม่), recommendation letter จากอาจารย์ 2-3 ท่าน, Statement of Purpose (หรือหลายๆคนจะรู้จักมันตามที่เขาเรียกกันย่อๆสั้นๆว่า SOP) จะต้องระบุว่า ทำไมเราเลือกมหาลัยนี้ คณะนี้ สาขานี้ จบไปแล้วจะทำอะไร เรียนแล้วจะได้อะไร ประมาณ 1 หน้า A4 แนบไปด้วย ควรจะส่งก่อนช่วง เดือนเมษายน ให้ทางโรงเรียนพิจารณา ช่วงเดือนเมษายน ที่ต่างประเทศจะมีเทศการอีสเตอร์ (เทียบเท่ากับ สงกรานต์บ้านเรา) ทำให้มีการหยุดยาว ซึ่งช่วงนั้นจะทำให้ติดต่อกับทางมหาลัยยากกว่าปกติ เทอมแรกของการเรียนจะเปิดเดือนตุลาคมเป็นต้นไป ดังนั้นควรที่จะส่งเอกสารทั้งหมดไปตั้งแต่เดือน 2 และ 3

ทางเอเจนซี่  (หรือเราจะติดต่อเองกับทางโรงเรียนก็ได้ ก็ใช้เครดิตการ์ตเสียค่าสมัครทางออนไลน์ไป ก็ยิ่งไม่ยากเลยหากเรามีเอกสารดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นครบถ้วน เพียงแต่ต้องมีเวลาจัดการกับมันเท่านั้น)  จะให้เราเลือกมหาลัยในดวงใจที่อยากจะเข้ามาสัก 4-5 ที่ หะแรกดิฉันจะเลือกสัก 10 ที่ เขาบอกว่าไม่จำเป็น เอาที่เราฝันไว้สัก 1 ที่ กลางๆ สัก 2-3 ที่ และระดับที่ rank ต่ำลงมาหน่อยที่คิดว่าเราจะเข้าได้แน่ๆไว้กันเหนียวอีก 1-2 ที่ก็พอ ในใจตอนนั้นคิดไว้อย่างเดียวว่า....ฉันจะไปเป็นเด็กลอนดอน (กลับมานั่งคิดตอนนี้ก็คงจะไม่ทันเสียแล้ว) เลือกมา 4 อันดับอยู่ที่ลอนดอนหมดเลย แต่อันดับสุดท้ายทางเอเจนซี่เลือกให้ เพราะคณะรัฐศาสตร์ที่เรากำลังจะเข้าไปเรียนดังมากๆที่นี่ (ก็ไม่รู้เป็นอย่างไร สุดท้ายก็ได้จับผลัดจับผลูเข้ามาเรียนที่นี่จริงๆ)

กลับมาบ้านเปิดเน็ทหาข้อมูลที่ได้ตาม Rank ต่างๆก็จริงดังที่เอเจนซี่ว่าไว้ แต่ก็ไม่วายยังคิดว่าตัวเองจะไปเป็นเด็กลอนดอนอยู่  รอฟังข่าวว่าจะได้ที่ไหนบ้าง ผลปรากฏว่ามหาลัยที่ลอนดอนรับเรา แต่ Ranking ไม่ดี และสุดท้ายนี่เขาก็รับเราด้วย (ซึ่งก็ต้องมานั่งตัดสินใจกันว่าจะเลือกอะไร ชีวิตในลอนดอน หรือว่าจะเลือก Ranking ของมหาลัยดี) ที่มหาลัย Rank ดี ที่ชื่อว่า University of Essex นี่ (ทำไมต้องมี sex sex ด้วยหว่า) ตั้งอยู่ห่างจากลอนดอน 1 ชั่วโมง โอเคล่ะ ยังพอได้ซิ่งไปลอนดอนกะเขาบ้าง แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องเข้าไปเรียนภาษากับเขาก่อน 2 เดือนคือ ตั้งแต่เดือน August (สิงหาคม) เพื่อปรับพื้นฐานและอื่นๆก่อนเข้าเรียนในมหาลัย ซึ่งจะเปิดเรียนเดือน October (ตุลาคม) นั่นเอง

แต่เนื่องจากเราอยากที่จะไปเรียนเร็วๆ (กระแดะ) เพราะมีเวลาเพียงแค่ 1 ปีที่อังกฤษ คงจะเรียนหนักจนเที่ยวไม่ได้นั่นเองจึงตัดสินใจไปเรียนก่อน 3 เดือน (เพิ่มให้ตัวเอง 1 เดือน จากที่เขาให้ไปก่อน 2 เดือน) จำได้ว่าช่วงแรกนั้นทางโรงเรียนได้ส่งเอกสารต่างๆมาให้ เป็นต้นว่าจะเอาหอพักไหม ถ้าจะเอาให้ส่งใบตอบรับกลับไป แผนที่ต่างๆบริเวณโรงเรียน เอกสารการจ่ายเงิน สรุปตัวเลขเรื่องค่าเทอม และค่าหอพัก ตอนนั้นดิฉันชะล่าใจในเรื่องของที่พัก เห็นว่าจะมีคุณอาจากที่บ้านไปส่งด้วยจึงบอกเอเจนซี่ไปว่า ช่วง 1 ปี จะอยู่หอพักแต่ช่วง 3 เดือนจะหาบ้านเช่าอยู่ ซึ่งมันกลายเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับดิฉันในเวลาต่อมา ซึ่งจะกล่าวให้ฟังในบทที่ 2-3 ต่อไป

หลังจากที่มีเอกสารการตอบรับต่างๆจากทางโรงเรียน ดิฉันจึงทำการจองตั๋ว ไม่ได้โฆษณา แต่ดิฉันเคยทราบจากเพื่อนมาว่า EVA airline (สายการบินของไต้หวัน) จะมีชั้น Deluxe ซึ่งจะได้ที่นั่งเท่ากับชั้น Executive (คือที่นั่งจะกว้างกว่า) ในสูงกว่าชั้น Economy เล็กน้อย ก็ในเมื่อคุณอาที่ไปด้วยกันเขาเป็นผู้ใหญ่การนั่งๆนอนๆ 12 ชั่วโมง บนเครื่องบิน หากมีที่กว้างๆให้ยืดขาก็คงจะสบายมิใช่น้อย ว่าแล้วจะช้าอยู่ใย ดิฉันทำการจองกับเอเจนซี่เช่นเคยโดยไม่ลืมที่จะโทรแจ้งกับทางคอลเซ็นเตอร์ Eva ไว้ก่อนว่า จะเลือกเมนู ซีฟู๊ด ไว้ก่อน ตามคำแนะนำจากเพื่อนๆใน pantip (ซึ่งเป็น 1 ในสถานที่หาแหล่งข้อมูลชั้นดีก่อนไป เผลอๆจะได้เพื่อนอีกต่างหาก แต่งานนี้ดิฉันขอผ่านเรื่องหาเพื่อน เนื่องจากอยากลองทำอะไรด้วยตัวเองดูสักครั้ง จึงแว่บๆเข้าไปอ่านเอาความรู้เพียงอย่างเดียว) นอกจากนี้ยังสามารถโทรคุยกับคอลเซ็นเตอร์ในเรื่องของ น้ำหนัก และจำนวนกระเป๋าเดินทาง ที่ทางสายการบินกำหนดไป หากเป็นนักเรียน จะไปอยู่นาน ก็อาจจะได้สิทธิในการให้น้ำหนักและกระเป๋ามากกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป (กล่าวคือ แล้วแต่ความใจดีของแต่ละสายการบินนั่นเอง)

หากเป็นนักเรียนธรรมดาไม่มีคุณอาไปด้วยดิฉันคงไม่พ้นชั้นประหยัดเป็นแน่แท้ แต่เมื่อไปถึงอังกฤษแล้วได้คุยกับน้องๆหลายคนจึงทราบว่าน้องๆนักเรียนไทยหลายคนบินกันชั้นธุรกิจสายการบินเจ้าจำปีกันเป็นว่าเล่นเชียว คิดแล้วก็เสียว เอ้ยน่าอิจฉาความสบายของ fast track (การตรวจกระเป๋าและพาสปอร์ตแบบไม่ต้องรอ) เก้าอี้ และอาหารของชั้น Executive ซะจริง

เมื่อจองตั๋วแล้ว อย่าเพิ่งให้ทางเอเจนซี่ออกตั๋ว เราจะต้องเดินทางไปขอวีซ่า ณ สถานทูตอังกฤษเสียก่อน อันว่าก่อนจะไปสถานทูตนั้น ต้องเข้าไปตรวจดูกับทางเว็บไซต์ให้ดีเสียก่อนว่าเราจะต้องกรอกอะไร เอารูปแบบไหน ที่สำคัญคือสถานทูตเขาซีเรียสเรื่อง รูปกับค่าธรรมเนียบการขอวีซ่า ซึ่งจะต้องทำเป็นเช็ค และควรจะทำให้พอดีกับค่าวีซ่าของเรา เช่นคุณอาต้องทำวีซ่าท่องเที่ยวก็จะอีกราคาหนึ่ง ดิฉันต้องทำวิช่านักเรียนก็จะเป็นอีกราคาหนึ่ง เรื่องรูปจะต้องมีพื้นหลังเป็นสีขาว และไม่มีขอบเท่านั้น ขนาด 45x35 มม.  สามารถเช็ครายละเอียดได้ที่ http://www.britishembassy.gov.uk แล้วเลือกภาษาไทยได้เลย  ให้ไป DL application form ในการขอ Visa แล้วติดต่อธนาคารเพื่อทำเช็คสั่งจ่ายสถานทูตเอาไว้ก่อนล่วงหน้า เราจะต้องทำวีซ่านักเรียนแบบ multiple entry คือเข้าประเทศเขาได้หลายครั้งใน valid date ที่ทางเขาให้มานั่นเอง เผื่อว่าจะต้องกลับเมืองไทย หรือปิดเทอมแล้วเกิดคิดถึงแฟนขึ้นมา มันก็ต้องกลับล่ะนะงานนี้  ดังนั้นจะขอย้ำอีกที เนื่องจากว่าเคยมีคนนำรูปที่ใช้พื้นหลังเป็นสีอื่นแล้วเขาไม่อนุญาตต้องเสียเวลากลับบ้านแล้วมาวันรุ่งขึ้นเป็นยิ่งนัก จึงต้องเตรียมเอกสารไว้ให้พร้อม ทำครั้งเดียวให้ผ่าน นั่นก็คือ รูปตามที่เขากำหนดติดกับใบแบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่าให้เรียบร้อย เขาไม่มีที่ให้คุณมายืนติดเอกสารอะไรทั้งนั้นที่สถานทูต เอกสารที่เกี่ยวกับการเรียนที่โน่น สำเนาให้เรียบร้อย ทะเบียนบ้าน transcript ของเราที่เมืองไทย เช็คเท่ากับจำนวนเงิน และไปตามกำหนดเวลาที่เขาเปิดให้ทำวีซ่า นั่นคือช่วงเช้า ไปเช้าๆ เผื่อมีปัญหา จะได้ออกไปหาตามร้านค้าแถวนั้น (ซึ่งมีอยู่มากมายตามสี่แยก) และกลับมายืนต่อแถวยังทัน หากไปช้า นอกจากจะแก้ไขอะไรไม่ได้ เกินเวลาที่เขาให้ทำวีซ่าก็ต้องกลับมามือเปล่านั่นเอง ทำวีซ่าจะได้ภายใน 1-3 วัน มารับช่วงบ่าย หรือจะส่งคนมารับแทนก็ได้ เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย โทรศัพท์ไปหาเอเจนซี่ตั๋วให้ออกตั๋วได้เลย เท่านี้ก็เรียกได้ว่าแทบจะออกบินไปอังกฤษได้แล้วล่ะ  

ที่เหลือก็คงจะต้องเป็นการแพ็คกระเป๋า
ก่อนที่จะแพ็คลงกระเป๋า อย่างที่บอกไปแล้วในตอนต้น สิ่งแรกที่ควรจะทำก็คือโทรศัพท์ไปที่สายการบินนั้นๆ บอกว่าเราเป็นนักเรียนจะไปเรียน ขออนุญาตให้อนุโลมเรื่องน้ำหนักเกินด้วย บางสายการบินหากเป็นนักเรียนอาจจะได้น้ำหนักถึงคนละ 40Kg. หากบินชั้นธุรกิจก็จะได้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่โดยปกติทั่วไปจะอยู่ที่ คนละ 20 Kg. (บางสายการบินก็ strict บางสายการบินก็ไม่ อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะไปเจอเจ้าหน้าที่ที่ใจดีหรือไม่ เพราะเคยได้ยินว่า เขาบอกว่า 20 แต่จริงๆแล้วเขาเผื่อให้ได้ถึงคนละ 40 แต่พอไปจริงๆกลับโดนปรับกิโลละเป็นพัน แต่บางคนก็ให้ผ่านไปง่ายดาย) เพราะฉะนั้นโทรไปบอกเขาไว้ก่อนจะดีที่สุด และก็ชั่งกระเป๋าก่อนออกจากบ้านเสียให้ดี จะได้ไม่ต้องไปวุ่นวายเอาของออกจากกระเป๋าที่สนามบิน

สิ่งที่ขาดไม่ได้และเมืองไทยก็มีซื้อหาได้ทั่วไปก็คือ แจ็คเก็ต หมวก ผ้าพันคอ ถุงมือ ถุงเท้า ซึ่งเมืองไทยทำได้กันหนาวได้ในระดับที่โอเคน่า (กันตาย) แต่ลายและแบบมันอาจจะไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ หากเปรียบเทียบกับไปซื้อที่โน่น ดังนั้นไม่ต้องซื้อเยอะค่ะ อาจมีเสียใจได้ เพราะที่บ้านเราส่งไปให้ที่อังกฤษ แต่เราไม่ได้ใช้เลยก็มีค่ะ เช่นถุงเท้าคู่หนามากจนไม่สามารถยัดใส่ลงไปในรองเท้าได้ค่ะ

แจ็คเก็ตซื้อจากเมืองไทย ขอให้เป็นแจ็คเก็ตกันลมกันฝนนะคะ เพราะที่โน่นลมแรง และฝนก็ตกบ่อยมากๆ เอาไปหนึ่งตัวพอ เพราะไปหาซื้อที่โน่นได้ ได้เลือกแบบที่ถูกใจ และใช้ไปได้ตลอดฤดูกาล แต่แจ็คเก็ตของหน้าหนาว หรือบางคนที่หน้าหนาว หนาวมากๆ อาจจะต้องใส่โค้ทยาวค่ะ ต้องทำใจไว้ก่อน ราคาอย่างดีๆมันจะมี range อยู่ที่ 50-100 ปอนด์ ค่ะ ซื้อมาแพงแบบนี้ เอากลับมาใช้ที่เมืองไทยไม่ได้เสียด้วยค่ะ แต่หนาวๆก็ต้องซื้อใส่เอาไว้ก่อน น้องบางคนที่นี่ก็ให้ทางบ้านซื้อแล้วส่งมาให้ ก็ทั้งแบบและราคาก็สามารถใส่ได้เลยค่ะ ส่วนตัวดิฉันเองให้ที่บ้านส่งมาให้ พอเปิดกล่องดูแทบจะเป็นลมค่ะ ขอ over coat ตัวยาวนี่ คุณแม่เล่นส่งมายาวถึงตาตุ่มเลยค่ะ เลยต้องรีบส่งกลับไป (เสียค่าส่งกลับไปอีกเป็นกว่า 5000 บาท) เปลี่ยนเสียแทบจะไม่ทัน เสียดายเงินจัง ถ้าไม่ลำบาก ซื้อที่อังกฤษก็ดีกว่าค่ะ จะได้พอดีกับตัวเราด้วย และได้แบบที่เราชอบด้วยค่ะ

นอกจากนั้นก็ควรจะใส่รองเท้าผ้าใบไป(เอาไปเล่นกีฬาด้วยค่ะ) เอารองเท้าแตะไปด้วย 1 คู่ เนื่องจากหน้าร้อนของที่โน่นมันร้อนเกินบรรยายจริงๆค่ะ ส่วนใครจะเอาร้องเท้าสูงๆไปด้วยอีก 1 คู่ก็ได้ค่ะ แต่ไปหาซื้อที่โน่นก็มีร้านราคาถูกๆ แบบเก๋ๆให้เลือกหากันได้อีกเช่นกัน ไม่ลำบากค่ะ อันนี้ราคามีช่วงกว้างสูงดังนั้นเราก็สามารถเลือกที่ถูกใจ ราคาสมน้ำสมเนื้อได้เลยค่ะ

มีหลายคนถามว่าควรจะเอาลองจอห์นไปด้วยไหม เราคิดว่าก็เอาไปกันเหนียวไว้สักชุดจะดีกว่าค่ะ เผื่อหน้าหนาวทนไม่ได้เพราะหนาวมาก็งัดเอาออกมาใส่ให้อุ่น แต่ส่วนมากเราก็ไม่เคยใช้เช่นเดียวกัน คือจริงๆแล้วของที่เอาไป มันก็แล้วแต่คนนะคะ บางคนชอบอากาศหนาวๆ บางคนใส่ลองจอห์นแล้วอึดอัดก็มีค่ะ ดังนั้นก่อนจะขนของอะไรไปก็ถามตัวเองก่อนว่าเราจำเป็นจริงๆไหม เพราะแบกกระเป๋าเองคนเดียวเหนื่อยและลำบากมากค่ะ

ยาที่ควรจะนำติดตัวไปนะคะ วิตามินพวกน้ำมันตับปลา ยาแป๊ะก้วย ติดตัวไปเอาไว้บำรุงสมองค่ะ อิอิ การเรียนที่มหาโหดใน 1 ปีข้างหน้า การเตรียมสมองดีดีเอาไว้รองรับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดทีเดียวเชียวค่ะ วิตามินซี เผื่อไว้จะได้ต้านหวัดได้ ยาแก้ปวดลดไข้, ยาแก้ไอ, คาลาไมน์ แก้ลมพิษ, ยา แก้หวัด, ยาหม่อง, ยาปฏิชีวนะที่โน่นไม่มีขายนะคะ หากทราบเรื่องยาตัวนี้ดี หรือมียาที่กินเป็นประจำเวลาเจ็บคอ (อย่างเช่น อะม็อกซิล) ก็สามารถนำไปได้ค่ะ เพราะหากส่งยามาจากทางไทยแบบนี้ มักจะไม่ถึงมือนักเรียนตาดำๆอย่างพวกเราแน่นอนค่ะ

มีคนถามว่าควรที่จะนำไฟฉายติดตัวไปไหม เราไม่เคยเจอไฟดับตอนอยู่ที่โน่นเลยค่ะ (มีแต่เล่นดับกันเอง  แหะๆ)  แต่หากใครคิดว่าจะไปเที่ยวแบบ แบ็คแพค เอาแบบไฟฉายอันเล็กๆติดตัวไปก็ได้นะคะ

Notebook ตอนนี้จำเป็นมากค่ะ (กลับมาอ่านแล้วตลกดี สมัยนี้คงไม่มีเด็กคนไหนไม่เอา notebookไปแน่ๆ แต่สมัยก่อนนั้นมีนะคะ คนไม่เอาไป ไปใช้ของมหาวิทยาลัยได้ค่ะ) แต่หากไม่ได้เอาไปก็สามารถไปใช้เครื่องที่มหาลัยได้เช่นกัน เวลาไปทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนๆก็จะนิยมไปนั่งที่ห้องคอมของมหาลัยกันทั้งหมู่มากกว่าค่ะ แต่หากหน้าหนาวนั้นไซร้ ใครๆก็อยากอยู่แต่ในห้องเล่นคอมกันทั้งนั้นค่ะ และที่สำคัญเน็ทที่โน่นของเค้าแรงจริงค่ะ ดังนั้นเราสามารถออนไลน์ได้ทั้งวันและคืนโดยไม่ต้องปิดคอมเลยก็ได้ค่ะ (ถ้าไม่กลัวคอมจะเจ๊งเพราะร้อนไปเสียก่อน) ที่หอส่วนมากก็จะมีที่เสียบสายแลนด์อยู่แล้วดังนั้นเอา notebook ไปเรียนจะเป็นอะไรที่สะดวกมากที่สุดค่ะ (ขอบคุณพระเจ้าที่มีการคิดค้นเครื่องอำนวยความสะดวกชนิดนี้ขึ้นมานะคะ) เอา notebook ไปแล้วอย่าลืมเอาแผ่นไปด้วยนะคะ คอมพิวเตอร์ของที่มหาลัยน่าจะเจอไวรัสกันได้บ่อย (ใครไม่เจออาจจะเรียกว่าไปไม่ถึงอังกฤษก็ได้) ดังนั้นเอา Anti Virus ไปด้วย เอาแผ่นโปรแกรมต่างๆไปด้วย เผื่อว่าจะต้อง format เครื่องค่ะ (ไม่ได้ขู่เพราะตัวข้าพเจ้าเองต้อง format เครื่องไปแล้วถึงสองครั้งสองคราด้วยกันค่ะ)

ปลั๊กพ่วงต่อไฟ เนื่องจากในห้องของเราอาจจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 3 ชนิดอยู่ในห้อง และอาจจะต้องใช้พร้อมๆกันเช่น คอมพิวเตอร์ ปรินเตอร์ โคมไฟ วิทยุ ทีวี ไดร์เป่าผม ที่ชาร์จแบตกล้อง แบตมือถือ เครื่องเล่นดีวีดี เอาไว้ร้องคาราโอเกะ หรือดูหนัง (ห้องนักเรียนนะจ้ะ อย่าคิดว่าเป็น complex center แต่อย่างใด) ดังนั้น ปลั๊กต่อเอาไปด้วยนะคะได้ใช้แน่นอน รวมทั้ง Universal plug หรือว่า traveler plug ด้วยค่ะ ไม่ว่าจะไปอยู่ประเทศใด มีปลั๊กนี้เอาไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไปเสียบ(ไฟ)ที่ไหนไม่ได้แน่นอนค่ะ

Printer ซื้อเอาที่โน่นได้ค่ะ ซื้อแบบ 3 in 1 ได้เลย (ที่มีสแกนเนอร์, ปรินเตอร์สี, copy machine) ราคาประมาณ 50 ปอนด์ หรือว่าจะถามหาเอากับรุ่นพี่ที่กำลังจะกลับไทยก็ได้ค่ะ(เผื่อจะมีของโละ ราคาไม่แพงมาถึงเราหมึกปริ้นเตอร์ที่โน่นจะแพงมาก แต่ถ้าอยากประหยัดก็ซื้อเป็นบัตรของมหาลัยก็ได้ ไปในจุดที่เขาขาย ราคาค่าปรินท์เอาไว้ล่วงหน้า เช่นหากเราซื้อ 5,10,15 หรือ 20 ปอนด์ มันก็จะมีกำหนดว่าซื้อเท่าไหร่ จะใช้ปรินเตอร์ของทางมหาลัยปรินท์ออกมาได้กี่แผ่นค่ะ (ไม่ยุ่งยาก เพราะเวลาเราซื้อค่าปรินเตอร์เอาไว้ล่วงหน้า เขาจะใช้ยิงบาร์โค้ดที่อยู่กับบัตรนักเรียนซึ่งลิ้งค์เข้ากับระบบ ถ้าเราใช้คอมของมหาลัย ล็อกอินเข้าไป ในระบบมันก็จะบอกอยู่แล้วว่าเราซื้อปรินท์ไปเท่าไหร่ ปรินท์ได้เท่าไหร่ – สรุปง่ายๆคือแค่จ่ายเงินก็จบ แฮ่ๆ อยู่เมืองนอกไม่มีอะไรยุ่งยากค่ะ) แต่ก็อย่างที่บอกมีปรินเตอร์ติดห้องไว้จะปรินท์บทความที่หาจากเน็ทมานั่งอ่าน (เพราะจะได้เขียน ไฮไลต์ จากที่ต้องการโดยไม่ต้องออกมานอกห้อง) ก็สะดวกดีค่ะ

ของกระจุกกระจิก เครื่องสำอาง ยาสระผม สบู่ ยาสีฟัน น้ำมันใส่ผม (ผอนม. หรือว่าพวกใช้แบบประจำวันก็สามารถขนไปได้นะคะ หรือให้ที่บ้านส่งให้ทีหลังได้ค่ะ) ไม่อยากจะบอกว่า สบู่ ยาสระผมที่โน่นแพงมากกว่า ของใน Boots และ The Body Shop (brand สัญชาติอังกฤษ) ก็ราคาพอพอกับไทยอ่ะค่ะ (อาจจะถูกกว่านิดหน่อย นิดเดียวจริงๆ)

Dictionary, เครื่องคิดเลข อย่าลืมเอาไปนะคะ ไม่เอาไปตายค่ะ อย่างแรกนี่อยู่ในห้องบางทีก็ต้องใช้ดิกชันนารีช่วยเปิดค่ะ เห็นน้องๆหลายคนเอาดิกชันนารีแบบอิเล็กโทรนิกส์ไปด้วย ก็ดีค่ะเบาและพกสะดวกดี เบื่อๆก็นั่งเล่นเกมส์ได้ แต่ว่าขอให้หยิบดิกเป็นเล่มไปด้วย Thesaurus ก็ดีนะคะ (หรือจะใช้เข้าเว็บไซต์หาเอาก็ได้) แต่ดิฉันว่าการใช้ดิกชันนารีแบบเปิดเป็นเล่มๆอ่านก็ยังมีสเน่ห์ ได้ความรู้ และอาจเห็นคำศัพท์อื่นที่นอกเหนือไปจากคำที่ต้องการจะหา ไม่เหมือนกับดิกที่เป็นอิเล็กโทรนิกส์ค่ะ  ส่วนอุปกรณ์อย่างหลังนี่ก็จำเป็นค่ะไหนจะคิดค่าเรียน ไหนจะคิดค่าหนังสือ ไหนจะคิดค่าไปเที่ยว ดังนั้นมีติดโต๊ะหนังสือไว้ไม่เสียหลายค่ะ
รูปถ่าย เอาไป 1 โหล เผื่อว่าจะเอาไปทำวีซ่าเที่ยวยุโรปค่ะ

เครื่องเขียน เอาไปนะคะ ที่โน่นก็แพงเหมือนกันค่ะ
และสุดท้าย ส่วนตั๊วส่วนตัว เราติด Bible ไปด้วยค่ะ ไปกับพระเจ้าเราไม่กลัว อิอิอิ  (แต่แอบป๊อดๆเหมือนกัน)  

มีเรื่องหนังสือที่ควรจะคิดถึงก่อนไปเล็กน้อย (แต่หากคุณไม่ได้เรียนทางด้านเดียวกับตอนปริญญาตรีมาก่อนก็อาจจะไม่ทราบว่าในวิชาที่เรากำลังจะไปเรียน งานเขียนของใคร ทฤษฎีไหนที่โดดเด่น และเป็นหนังสือที่เราควรจะมีไว้ในครอบครอง ไม่รู้ไปก่อนก็ไม่เป็นไรค่ะ)  รอเปิดเทอมก่อนแล้วดูหนังสือที่จำเป็นต้องซื้อแล้วให้ทางบ้านส่งมาให้ก็ได้ค่ะ หนังสือที่นั่นค่อนข้างจะแพง เราอาจจะเก็งเอาไว้ก่อนนะคะว่าหนังสืออะไรที่เราจะต้องใช้เช่น Dictionaryเฉพาะวิชาของเรา (เช่น Political Science Dictionary ค่ะ) หนังสือที่จะเอาไป เราควรคิดถึงเฉพาะเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษนะคะ เป็นการฝึกภาษาไปในตัว และยิ่งไปกว่านั้นเราสามารถที่จะเอาหนังสือภาษาอังกฤษเหล่านั้นมาเป็น reference ในตอนที่ทำ paper ส่งอาจารย์ก็ได้ค่ะ

นอกจากนักเรียนจะซื้อหนังสือทางเว็บออนไลน์ ที่ดังมากๆก็เช่น http://www.amazon/co/uk กันแล้วอีกแหล่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดในการหาตำหรับตำราน่าสนใจก็คือร้านขายหนังสือมือสองภายในบริเวณมหาวิทยาลัยค่ะ ซึ่งร้านพวกนี้เด็กที่จะกลับบ้านในแต่ละรุ่นบางคนเขาจะขายหนังสือก่อนกลับ หนังสือบางเล่มเขาจะขีดเอาไว้แล้ว หรือมีโน้ตจดเอาไว้บ้าง บางทีก็ช่วยเราให้อ่านง่ายๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ในเว็บของอะเมซอน จะมีหนังสือมือสองกับมือหนึ่ง บางทีหนังสือที่ใช้แล้วอย่างมือสองแพงกว่าหนังสือมือหนึ่งด้วยซ้ำไปเนื่องจากสิ่งที่เขียนเข้าไปเพิ่มเติมนี่แหล่ะค่ะ เป็น Value Add ให้กับหนังสือเล่มนั้น

หากคุณจะไปเรียนทางรัฐศาสตร์ International Relations คุณก็ควรจะมีหนังสือที่เกี่ยวกับ The Handbook of International Relations กลางๆเอาไว้ 1 เล่ม หรือว่า Theory of International Politics ของ Kenneth Waltz อีก 1 เล่ม เอาไว้กันตายก่อนเผื่อหาจากที่อื่นไม่ได้ หรือไปห้องสมุดแล้วมีคนยืมออกไปหมด (จะพูดถึงเรื่องห้องสมุดอีกทีนะคะ) แต่หากคุณจะไปเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์แล้วล่ะก็ควรจะเตรียมหนังสือของ Studenmund , Greene และ Gujarati ไปด้วยก็จะเป็นการดียิ่ง เพราะเป็นหนังสือพื้นฐานและได้ใช้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ (หากว่าไม่ได้ใช้ ก็จะต้องมีเพื่อนคุณที่จะได้ใช้แน่ๆ แล้วมาหยิบยืมคุณไปแน่นอน)

บทหน้าเรามาบินกันเลยนะคะ  

ปรับปรุงข้อความ
ครั้งที่ 1: เคาะย่อหน้า
ครั้งที่ 2: เพิ่มย่อหน้าก่อนย่อหน้าสุดท้าย

แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 22:05:57

แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 55 22:03:47

จากคุณ : just.a.girl
เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 55 22:54:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com