Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชึวิตอันแสนสั้นของนักเรียนอังกฤษ [ตอนที่สอง กว่าจะถึงอังกฤษ] ติดต่อทีมงาน

ลิ้งกระทู้ ตอนที่ 1  http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12224646/H12224646.html

สำหรับน้องๆที่จะไปศึกษาต่อต่างประเทศนะคะจะได้สอบถามเรื่องราว ก่อนไป ระหว่างไปอยู่ได้นะคะ :)

ตอนที่2 กว่าจะถึงอังกฤษ (เล่นเอาแฮ่กไปเหมือนกัน)

ก่อนที่จะถึงอังกฤษขอเกริ่นก่อนนะคะ
อย่างที่บอกนะคะ ดิฉันไปกับคุณอา แล้วคุณอาของเราคนนี้เขามีเพื่อนอยู่ที่ฝรั่งเศสค่ะ อยู่ที่ Grenoble เมืองสกีทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ดังนั้นก่อนที่จะมาอังกฤษ เราก็ไปทำวีซ่าเข้าฝรั่งเศสกันค่ะ (ซึ่งวีซ่าเข้าฝรั่งเศส หรือประเทศในกลุ่ม EU นี้ เราเรียกกันว่า เชงเก้นวีซ่า (Schengen Visa) นั่นเอง มีเชงเก้นเราสามารถเข้าประเทศที่เป็นสมาชิกในเชงเก้นได้ (นั่นก็คือ Austria, Belgium, Denmark, Finland, France, Germany, Greece, Iceland, Italy, Luxembourg, Netherland, Norway, Portugal, Spain และ Sweden ข้อมูลจาก www.theschengenoffice.com) เงินก็ใช้สกุลยูโร โดยไม่ต้องไปแลกเงินหลายๆสกุลเวลาเที่ยว เช่นเดียวกันกับที่ไม่ต้องไปขอวีซ่าเป็นสิบๆที่เหมือนเมื่อก่อน แต่การจะขอเชงเก้นเข้าประเทศเขาได้ก็คุมเข้มเหลือเกิน คงเนื่องมาจากมีคนหวังจะเข้าไปทำงานในยุโรปเยอะแน่ๆ  การขอวีซ่าเชงเก้นแปลว่าคุณสามารถเข้านอกออกในได้หลายประเทศในยุโรปตามประเทศในกลุ่มสมาชิกเชงเก้น ดังนั้นหากคุณจะไปหลายประเทศในกลุ่มดังกล่าว แต่ไม่รู้ว่าจะไปขอที่สถานทูตไหนดี เขามีหลักการง่ายๆคือหากคุณจะเดินทางเข้าประเทศไหนในกลุ่มเชงเก้นเป็นประเทศแรกให้ขอวีซ่าเชงเก้นจากประเทศนั้น ในครั้งนี้เราจึงไปขอเชงเก้นวีซ่า ที่สถานทูตฝรั่งเศสกันค่ะ        

เราสองอาหลานมาถึงก่อนมหาลัยจะเปิดประมาณ 7 วันค่ะ  ไปถึงก่อนดีค่ะจะได้ทราบว่าซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ตรงไหน รู้จักรุ่นพี่คนไทย จะได้แนะนำในเรื่องต่างๆ และชีวิตการอยู่ที่เมืองนั้นๆได้ และได้รู้จักกับ Thai Soc ของมหาลัยที่เราอยู่ Thai Soc หรือ Thai Society เป็นสมาคมนักเรียนไทยค่ะ ซึ่งจะมีประธานสมาคมที่ได้รับการเลือกสรร คัดสรรกันด้วยคะแนนโหวตที่เป็นเอกฉันท์ว่าจะสามารถดูแลเด็กไทยด้วยกันให้รวมตัวกันได้ในงานกิจกรรมต่างๆเช่น งานลอยกระทง ฮัลโลวีน งานวันสงกรานต์ งานอาหารนานาชาติของมหาลัย หรือการให้ความร่วมมือกับมหาลัยในด้านต่างๆ หรือการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวร่วมกันกับ Society อื่นเช่น Taiwan Society, Hong Kong Society เป็นต้นค่ะ

การจะมาถึงก่อนก็ให้เขียนอีเมลล์ติดต่อกับฝ่าย accommodation หรือส่วนของหอพักนักศึกษาของมหาลัยนั้นๆได้เลยค่ะ ไม่ต้องกังวลว่าจะติดต่อผิดคน เช่นจะติดต่อเรื่องห้องพัก (accommodation) แต่เราดันไปถามกับพวก Graduation Office  บางทีเขาจะส่งอีเมลล์ต่อไปให้บุคคลที่ทำเรื่องนี้อยู่ค่ะ หรืออาจจะส่งลิงค์มาและให้เราเข้าไปดูตามลิงค์ต่อไป  
ที่เมืองนอกเขาใช้การติดต่อกันทางอีเมลล์กันเป็นกิจวัตรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมลล์ที่ตอบกลับมาจะไม่ค่อยล่าช้าเท่าไหร่ แต่ต้องดูเวลาให้ดีเช่น หากไปอังกฤษก็จะช้ากว่าประมาณ 6-7 ชั่วโมงค่ะ (ขึ้นอยู่กับว่าเป็นฤดูไหน) ถ้าเป็นหลังฮัลโลวีนไปแล้วก็จะช้ากว่าเวลาไทย 7 ชั่วโมงค่ะ (เราสามารถเข้าไปเช็คเรื่องเวลาทั่วโลกได้ที่เว็บไซท์นี้ค่ะ http://www.timeanddate.com) แล้วจะปรับให้เป็นปกติที่ช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมงในต้นเดือนเมษายนค่ะ (เรื่อง DST หรือ Day light Saving Time นี้จะกล่าวถึงในบทต่อๆไปนะคะ)

ก่อนที่จะมาเราได้เตรียมดูแผนที่ก่อนว่าจะมาถึงลอนดอนกี่โมง แล้วจะไปต่ออะไร เข้าไปดูเว็บไซต์ในมหาลัยแล้วมหาลัยเขาจะมีบอกว่า ‘travel to ต่อด้วยชื่อมหาลัย’, ‘about us’, ‘where is the university’, ‘map and address’ หรือจะอีเมลล์มาถามทางมหาลัยก็ได้ค่ะ เขาอาจจะบอกเป็นลิงค์ข้อมูลในเว็บไซต์มาให้ แต่ส่วนมากทางใหญ่ๆที่จะมาถึงมหาลัยจะมี 2 ทางค่ะ คือ ทางรถบัส และทางรถไฟ  (หรือถ้าจะให้ง่ายที่สุดแต่แพงหน่อยก็คือรถ Taxi ค่ะ)

รถบัสที่นี่เราจะเรียกกันว่า รถ National Express ค่ะ เป็นรถบัสวิ่งระหว่างเมือง และ Airport ต่างๆที่มีรายล้อมกันอยู่รอบลอนดอน เราสามารถเข้าไปเช็คราคาได้ที่ http://www.nationalexpress.com   และสามารถจองได้โดยให้เลขที่บัตรเครดิตลงในเว็บและ print slip เก็บไว้นะคะ แต่หากไม่ต้องการจ่ายก่อนก็สามารถไปซื้อตั๋วกับคนขับรถได้เลยค่ะ (ไม่ต้องกลัวเรื่องเลขที่บัตรเครดิตค่ะ เนื่องจาก หากเป็นเว็บสากลและดูไว้ใจได้ ก็รับรองได้ค่ะ ว่าเขาไม่เอาเลขที่บัตรของคุณไปใช้แน่นอน)

พูดถึงเรื่องสนามบินต่างๆ ที่อังกฤษมีสนามบินอยู่ทั้งหมด 4 สนามบินค่ะ นั่นก็คือ Heathrow (สนามบินนานาชาติของอังกฤษ) , Gatwick (เป็นสนามบินที่ busy เป็นอันดับสอง รองจาก Heathrow), Stansted (หากจะบินภายในยุโรปอาจจะต้องแวะเวียนมาใช้ที่นี่ค่ะ แต่ส่วนมาก airline จะเป็นพวก low cost ที่น่าสนใจและน่าจดจำ ก็จะมี Easy Jet และ Ryan Air)  และ  Luton (เช่นเดียวกับแสตนเสตดค่ะ หากจะบินไปเที่ยวยุโรปก็มาขึ้นที่นี่ได้ค่ะ) เคยได้ยินจากเพื่อนว่าหากมาลงที่สนามบินอื่นที่ไม่ใช่ Heathrow ราคาตั๋วก็จะถูกลงนะคะ อย่างไรฝากไปเผื่อคนที่ต้องจำกัดงบประมาณท่องเที่ยวค่ะ ให้เลือกลงที่สนามบินอื่นก็ได้ แต่การเดินทางจะเข้ามาในตัวลอนดอนก็จะทำให้เสียเวลาไปอีกค่ะ ก็ต้องเลือกดูนะคะ ว่าจะยอมประหยัดแลกกับการเสียเวลานิดหน่อยค่ะ

มาที่อังกฤษนี่ก่อนที่จะเข้าไปดูในมหาลัย เราอาหลาน ก็จอง B&B (Bed and Breakfast ที่พักพร้อมอาหารเช้า ส่วนมากมักจะเป็นบ้านคนผันบ้านตัวเอง หรือห้องบางส่วนมาแบ่งให้แขกพัก) ในเมืองไว้ก่อนค่ะ อย่างที่บอกไว้ คราวที่ดิฉันไปตั้งใจไว้ว่าจะมาหาบ้านอยู่กับคุณอา 3 เดือน (กค.-กย) และพอหลังจากเดือนตุลาเป็นต้นไปที่เปิดเทอมก็จะเข้าไปเรียนต่อในหอพักของมหาลัย แต่ดิฉันคงจะคิดผิดค่ะ

เรื่องก็มีอยู่ว่า ดิฉันมาถึงที่ลอนดอนเอาประมาณ 3 ทุ่มได้ เพราะกว่าจะออกจากสนามบินก็ต้องเสียเวลากักตัวเพื่อเอ็กซเรย์ปอดเสียยกใหญ่ เนื่องจากที่อังกฤษหากใช้วีซ่านักเรียนจะต้องหิวฟิล์มเอ็กซเรย์ปอดมาด้วย ความที่ไม่ทราบเลยจึงทำให้เขาส่งตัวไปที่แผนกตรวจปอดตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับที่ตรวจพาสปอร์ตเข้าเมืองนั่นแหล่ะค่ะ เสียเวลาอยู่ตั้งชั่วโมงกว่า หากเสร็จเรียบร้อยดิฉันก็จะได้ข้ามฝากจากแผนกตรวจคนเข้าเมืองที่ตีเส้นเอาไว้ไปยังฝั่งอังกฤษเสียที  

ตรวจปอดไม่มีปัญหาค่ะ   จากนั้นดิฉันกับคุณอาก็ระโหยไปนั่งรถไฟต่อไปที่เมือง Colchester อีก 1 ชั่วโมง พอลงจากรถไฟแล้ว วินาทีแรกที่เห็นเมือง ลมแทบจับค่ะ มันเงียบเชียบเสียยิ่งกว่าอะไร (พออยู่ไปนานนานเข้าชักเริ่มชอบ เพราะเงียบสงบดีแถมยังไม่ไกลจากลอนดอนด้วย เนื่องจากในลอนดอนนั้นไม่ค่อยเงียบสักเท่าไหร่ เสียหวอรถตำรวจดังมามิได้ขาดสายเสมอเหมือนว่าเป็นเสียงที่ขาดไม่ได้ยามค่ำคืนของลอนดอนเลยค่ะ)

ลมเย็นๆของเดือน July พัดผ่านมากระทบหน้า ดิฉันหยิบเบอร์โทรศัพท์และแผนที่ของบ้าน B&B เอาไว้เตรียมพร้อมส่งให้ Taxi  หลังจากออกมาจากสถานีรถไฟ จะมี Taxi Stand เอาไว้ยืนรอ Taxi อยู่ การไปยืนรอ Taxi นี้ราคาจะแพงกว่าการโทรศัพท์เรียก Taxi อยู่เยอะค่ะ ดังนั้นเมื่อไปถึงเมืองๆใดแล้วก็ควรสอบถามว่า Taxi เจ้าไหนราคาถูกเอาไว้ก่อนค่ะ เผื่อจะได้เรียกใช้ได้ยามคับขัน คืนนั้นถึงที่พักเอาเวลา 11.00pm ได้ เจ้าของบ้านใจดี จัดบ้านสะอาดน่าอยู่เชียวค่ะ นอนไปได้สักพักก็ตื่นตอน ตี5 ได้กระมังคะ เพราะที่เมืองไทยตอนนั้นก็ 11.00 โมงเช้าแล้ว เกิดอาการเมาเวลาเล็กน้อย อย่างพอตกเย็นประมาณ 1ทุ่มหรือ 2 ทุ่มของที่อังกฤษก็จะชักชวนกันไปนอนแล้วล่ะค่ะ เพราะที่เมืองไทยจะเป็นเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้ว ส่วนตอนเช้าก็จะตื่นมาช่วงตี 5 อีกเช่นกันค่ะ เป็นอย่างนี้อยู่ประมาณ 2-3 วันค่ะ แล้วร่างกายก็จะปรับเวลาให้เป็นของที่นี่ไปได้เอง

อาหารเช้าของคนอังกฤษไม่ต่างจาก American Breakfast เท่าไหร่ค่ะ มีcereal กับนม น้ำส้ม ไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปัง Bakedbean (ถั่วแดงๆ อร่อยดีค่ะ) และ มะเขือเทศอบ จะออกรสเปรื้ยวๆนิดหน่อย เหมาะกับการเริ่มวันใหม่อย่างเช้านี้จริงๆค่ะ อากาศไม่เย็นจนเกินไปนัก สองอาหลานก็ออกมาเดินเล่นกัน ทุ่งเขียวๆมองเห็นอยู่ไกลไกล อากาศก็แสนจะสดชื่น เนื่องจากบ้านของป้าแอน เจ้าของ B&B ที่เราไปอยู่ อยู่หลังสวนสาธารณะนี่เองค่ะ  

ออกมาแล้วถึงได้พบว่า สามสิ่งที่เห็นกันอยู่ทั่วเกาะอังกฤษนั่นคือ เด็ก คนแก่ และสุนัขค่ะ

ดูป้ายรถราก็ไม่ยากค่ะ พอไปถึงป้ายรถเมลล์ก็จะมีป้ายบอกสายรถและสถานที่ที่รถเมลล์คันนั้นต้องจอดให้รวมทั้งบอกเวลาด้วยว่า รถคันที่เราอยากจะขึ้นนั้น จะมาถึงที่ที่เราอยู่ตอนกี่โมงค่ะ บริษัทรถเมล์ที่วิ่งไปมาในเมืองชื่อว่า First หากใครต้องการทราบสายรถที่ผ่านมหาลัยนอกจากจะดูจากเว็บไซต์ของมหาลัยแล้วยังสามารถเข้าไปดูในเว็บของบริษัท First ได้ด้วยค่ะที่ URL : http://www.firstgroup.com  แล้วเข้าไปดูตรงหน้า travel by bus ค่ะ  ตั๋วรถเมลล์นี้มีอยู่หลายแบบค่ะ แต่หากที่เมืองไหนไม่มีรถของ First บริการก็สามารถทำได้โดยสอบถามกับทางมหาวิทยาลัยทางอีเมลล์ได้ค่ะ ว่าจะนั่งรถเมลล์สายไหน ราคาเท่าใด ค่ะ

1) ตั๋ว Single  Ticket คือไปเที่ยวเดียว
2) ตั๋ว Return Ticket คือตั๋วไปกลับ
3) ตั๋ว 1 Day Ticket  คือตั๋ว 1 วันค่ะ
4) ตั๋ว 1 Month Ticket คือตั๋ว 1 เดือน

เราสองอาหลานจะไปมหาลัย และจะกลับมายัง B&B พักคืนนั้น จึงขึ้นไปบอกคนขับรถว่า “2 Return Tickets to the University Please”  นั่นคือ ตั๋วไปกลับ 2 ใบ สำหรับไปมหาลัยค่ะ  (ง่ายๆก็คือ บอกจำนวนตั๋ว บอกประเภทของตั๋ว และบอกสถานที่ที่จะไปค่ะ)

มหาลัยที่อังกฤษจะมี 2 แบบค่ะ คือตัวเมืองแยกออกมาต่างหาก กับมหาลัย และอีกแบบหนึ่งจะเป็นแบบเก่า คือมหาลัยและตัวเมืองแยกกันไม่ออกค่ะ เช่นพวก Cambridge, Oxford พวกนี้ทั้งเมืองก็คือมหาลัยนั่นเอง แล้วในมหาลัยก็จะมี College ต่างๆแยกต่อไปอีกนะคะ เป็นที่ชวนสับสนเล็กน้อยแต่ปานกลางสำหรับเด็กใหม่ๆอย่างเราเป็นยิ่งนักค่ะ ส่วนเมือง Colchester นี้มหาวิทยาลัยจะอยู่ไกลออกจากตัวเมืองประมาณ ครึ่งชั่วโมงค่ะ

ที่อังกฤษนี่ จะดีอยู่อย่างหนึ่งค่ะในเรื่องของกฎระเบียบ หากเราต้องการจะข้ามถนน ในเมืองเล็กๆ เพียงแค่เราแตะขาลงบนทางม้าลาย รถทุกคันจะต้องหยุดทันที ไม่ว่ามันจะวิ่งมาเร็วสักแค่ไหน ที่นี่คนเป็นใหญ่ค่ะ แต่บางเมืองก็ไม่หยุดนะคะอันตรายก็มี แต่ให้สังเกตุว่าทางม้าลายไหนที่ไฟสีเหลืองกระพริบอยู่ที่เสาทั้งสี่ต้นในทางม้าลาย เราจะลงเดินได้ทันทีเช่นกันค่ะ เหมือนเป็นยันตร์กันรถชนได้อย่างไงอย่างงั้นเลย

นอกจากนี้คนที่นี่เขาจะพูด ขอบคุณและขอโทษ กันเป็นกิจวัตรค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการจะขอร้องคนอื่น และการปฏิเสธจะต้องฝึกพูดกันให้ดีก่อนนะคะ เขาจะได้ชมว่าเราน่ารักค่ะ เช่น

เวลาเจอหน้าคนอื่นที่เรารู้จักเราก็บอกกับเขาได้ว่า ‘How lovely to see you!’ ไม่รู้ว่าเขาดีใจจริงหรือไม่เวลาที่เจอเรานะคะ แต่เราจะได้ยินคำนี้บ่อยมากๆค่ะ จนบางคนก็แอบแซวว่าคนอังกฤษนี่บางทีก็ไม่จริงใจเอาเสียเลยค่ะ  เพราะพูดเพราะ มีมารยาท สมกับที่เป็นเมืองผู้ดีจริงๆ

‘Thank you’, ‘Sorry’, ‘Yes, please’, ‘No, Thank you’ อย่าลืมเอาไปฝึกพูดให้เป็นนิสัยนะคะ

กลับมาต่อที่ 2 อาหลานเดินทางไปมหาลัยก่อนค่ะ เดี๋ยวจะออกนอกเรื่องไปเสียก่อน เมื่อมาถึงแล้ว เราก็เดินทางไปหาศูนย์ที่ช่วยเหลือนักศึกษากันก่อนค่ะ ก็จะมีตั้งแต่ Student Union, Information Center, Graduate office หรือแม้แต่ Accommodation Summer Office ค่ะ แต่เมื่อไปถึงแล้ว เขากลับไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเท่าที่ควรในการหาบ้าน (อาจจะเป็นเพราะมหาลัยเราไม่ใช่เมืองใหญ่ และไม่ค่อยมีบ้านให้เช่าค่ะ) บอกแต่เพียงว่าให้ไปดูที่บอร์ดประกาศเท่านั้น เรา 2 อาหลานจึงจำเป็นที่จะต้องไปดูที่บอร์ดติดประกาศค่ะ ซึ่งก็ได้ผล เห็นประกาศหาคนเช่าห้องมากมาย แต่เมือเข้าไปดูแล้ว ห้องเหล่านั้นกลับโทรมมากอยากไม่น่าเชื่อ และไม่น่าอยู่ขั้นรุนแรงค่ะ นอกจากจะอยู่ห่างจากมหาลัยแล้ว การเดินทางยังลำบากอีกด้วย และที่สำคัญคือเราไม่สามารถเช่าอยู่เฉพาะ 3 เดือนได้ค่ะ อย่างน้อยต้องทำสัญญา 6 เดือนไม่ก็ 1 ปีการศึกษา และยังต้องจ่ายค่ามัดจำก่อนล่วงหน้าด้วย สองอาหลานจึงถอดใจ กลับมาที่ศูนย์ห้องพักในมหาลัยแทนค่ะ

ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มีนักเรียนเข้ามาสอบถามถึงเรื่องห้องพักกันเยอะมาก เราก็รอร้อรอว่าเมื่อไหร่เขาจะเข้ามาคุยกับเรา ก็ไม่มีค่ะ (ฝรั่งบางคนก็กลัวเอเชียอย่างเราเหลือหลาย) และในที่สุดหลังจากที่รอมานานหลายเพลา เขาก็ถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม เราก็บอกเขาว่าเราจะมาขอห้อง เนื่องจากว่าเราไม่ได้จองห้องในช่วงที่เรียนภาษากับทางคุณไว้ (แต่เราจองไว้ในช่วงที่เปิดเทอมเดือนตุลา ห้องนี้ เลขที่นี้) จะเป็นไปได้ไหมคะที่จะจองห้องในมหาลัยตอนนี้ ตั้งแต่เดือน กค.ถึงปลายเดือนกันยายน

เธอตอบกลับมาหน้าตายค่ะว่าไม่ได้ เราเคยทราบมาว่าทางมหาลัยจะมีที่ให้กับนักศึกษาปริญญาโทไว้ก่อน(เพราะโทที่อังกฤษจะเรียนกันแค่ปีเดียว ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะหาบ้านพักแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ) นอกจากนี้ยังต้องมีห้องเตรียมให้กับนักเรียนต่างชาติเอาไว้ด้วย (เนื่องจากนักเรียนต่างชาติจะลำบากมากกว่า ในการหาบ้านเช่า) ยิ่งหากนักเรียนนั้นมาอยู่ปีแรก ทางมหาลัยจะต้องจัดหาที่ให้กับนักเรียนโดยไม่มีข้อแม้ค่ะ  เพราะฉะนั้นในส่วนของดิฉันก็คือ เป็นทั้งเด็กป.โท และเป็นทั้งเด็กต่างชาติ สองเด้งค่ะ ดังนั้น สิ่งแรกที่คิดก็คือ มหาลัยนี้จะต้องหาห้องให้ดิฉันอยู่ให้ได้!

ตอนนั้นดิฉันก็ฉุนขาดคะ ในเมื่อดิฉันได้ถึง 2 เด้งคือ เป็นนักเรียนต่างชาติ มาเรียนปีแรก แถมยังเป็นเด็กป.โทอีกด้วย ตอนนั้นไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรหมแล้วค่ะ ไม่รู้พูดยังไงเถียงแกไปฉอดๆๆ ใหญ่ แม้แต่ตัวเองก็จำไม่ได้แล้วค่ะว่าพูดว่าอะไรบ้าง  แต่ก็หาเหตุผลยกมาจนได้นั่นแหล่ะค่ะ ข้างฝ่ายฝรั่งแกคงจนปัญญา หรืออยากให้คนพูดมากไปไกลๆแล้วก็เป็นได้จึงบอกว่า ตอนนี้ไม่มีห้องจะให้ ทำไมคุณไม่กลับมาวันที่ 5 July ล่ะ(ก่อนที่โรงเรียนสอนภาษาจะเปิด 2 วัน) จำได้ว่าดิฉันออกจากเมืองไทยวันที่ 29 Jun 2005 ไปอยู่ที่อังกฤษได้ 2 คืน ก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกนอกสหราชอาณาจักร แล้วหลบไปพึ่งทางฝรั่งเศสในวันที่ 2 July นั่นเอง สรุปอยู่อังกฤษได้ 3 คืนเท่านั้น

ไม่รู้อะไรเข้าสิงตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า เบื่อจังเห็นเราหน้าตาเป็นเอเชียหน่อยก็เลยไม่ค่อย service เรารึไง ทั้งๆที่เราเอาเงินมาให้ประเทศคุณตั้งเยอะแยะ เดินไปกับคุณอาก็บ่นไป ไปฝรั่งเศสกันไหมล่ะ ไหนไหนก็ไปทำวีซ่ามาแล้ว และมีเพื่อนอยู่ที่ Grenoble ด้วย และแล้ว ดิฉันและคุณอาจึงจับตั๋วจากลอนดอนมาปารีสด้วยรถไฟสาย Eurostar ที่ราคาแพงหูดับ เพราะไปซื้อเอาวันที่จะเดินทาง (เนื่องจากเป็นแผนการที่ไม่ได้วางแผนเอาไว้มาก่อน) กฎเหล็กในการซื้อตั๋วรถไฟ ตั๋วเคริ่องบินได้ในราคาถูกก็คือ ซื้อก่อนได้ราคาถูกก่อนเพื่อนค่ะ

และแล้วฉันก็ฝากกระเป๋าเดินทาง 2 ใบใหญ่เอาไว้ที่บ้านป้าแอน B&B และอำลาอาลัยไม่มากนัก
กับเมืองที่ฉันจะต้องอยู่ไปอีก 1 ปีนี้ หลบจากประเทศอังกฤษเพื่อไปเลียแผลใจหลังจากไม่มีที่พัก(พิงกาย)สู่ประเทศฝรั่งเศสโดยการนั่งรถไฟ Euro Star นี้ ที่สถานี Waterloo ณ ลอนดอน ซื้อตั๋ววันนั้นเดินทางวันนั้นแถมยังซื้อตั๋ว single trip อีกเสียด้วย ทำให้ราคามันก็อัพขึ้นสูงเป็นพิเศษเชียวแหล่ะ 3 ชั่วโมงถัดมาก็ได้ไปเดินเฉิดฉายอยู่ที่ Paris เมืองหลวงที่ถือได้ว่าเป็นเมืองหลวงที่ติดอันดับเมืองหลวงที่โรแมนติกที่สุดในโลกมาหลายสมัยเรียบร้อยโรงเรียนอาหลานแล้วล่ะค่ะ ค่าเดินทางก็ประมาณ 80GBP (ต่อคนนะคะ) ได้สนนราคาเป็นไทยอยู่ที่ 6,000 บาทไปเที่ยวเดียวเสียด้วยเหอๆๆ คิดที่ 1ปอนด์ = 75บาทนะคะ ไปช่วงปีนั้นเงินปอนด์แข็งมากค่ะ ตั้งใจไว้ว่าจะไป Grenoble คืนนั้นเลย เมื่อไปถึง Paris แล้ว ก็ต้องซื้อตั๋วต่อไปที่ Grenoble เราได้นั่ง TGV (เตเจเว) รถไฟที่วิ่งเร็วที่สุดในฝรั่งเศสที่ความเร็ว 320km/hr. ยังไม่ทันจะได้สูดกลิ่นอายเมืองหลวง ก็ต้องลงไป Grenoble เมืองตากอากาศเพื่อสูดกลิ่นอายของชนบทฝรั่งเศสแทน

ระหว่างที่นั่งอยู่ในรถไฟไป Grenoble นั่น ใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมงก็ถึง แล้ว เราสองอาหลานนั่งอยู่บนรถไฟพร้อมกังวลว่า เราจะติดต่อเพื่อนของคุณอาได้อย่างไร เราไม่ได้ติดต่อกับเขาก่อนที่จะมาเลย และคุณอาก็ไม่มีที่อยู่ของเพื่อนคนนี้ และเบอร์โทรศัพท์ที่เพื่อนคนนี้ให้โทรไปก็ไม่ติด หรือว่าจะจดมาผิดกันแน่หว่า? และด้วยความที่เราติดปัญหาเรื่องร้อนที่อยู่ที่อังกฤษจึงแอบมาพึ่งเย็นที่ฝรั่งเศส เห็นทีว่าจะไปไม่รอดเสียแน่ เหมือนหนีเสือปะจรเข้เลย เพราะคืนนี้เราอาจจะไม่มีที่อยู่ เพราะไม่รู้จะไปหาเพื่อนคุณอาในเมืองตากอากาศของฝรั่งเศส ทั้งเมืองได้อย่างไร สงสัยเราอาจจะต้องได้ไปนอนที่โรงแรมเสียเงินอีกมากเป็นที่วุ่นวายแน่แท้ เฮ้อ บัดนั้นก็พลันคิดในบัดดลว่า ตรูจะมาทนอยู่ที่ฝรั่งเศสทำเบื๊อกอะไร ในเมื่ออยู่ที่อังกฤษกับป้าแอน B&B ก็น่าจะสบายแล้วรออีก 3 คืนก็จะได้ที่อยู่สมใจ ไม่รู้จะแร่ดมาฝรั่งเศสทำไม

แต่ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เจ้าหนุ่มเด็กแนวที่นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับพวกเรา เขาพูดภาษาอังกฤษได้ (เนื่องจากคนฝรั่งเศสน้อยคนนักที่จะพูดภาษาอังกฤษได้ เพราะความเป็นชาตินิยมสูงนั่นเอง) ทำให้เราได้คุยกันและไม่รู้ทำไมพวกเราก็บอกเขาไปว่า เราพยายามจะติดต่อเพื่อนที่อยู่ Grenoble แต่ไม่ได้ผล เขาก็เลยขอดูหมายเลขโทรศัพท์และชื่อเพื่อนของคุณอา โดยพยายามจะบอกว่า โทรศัพท์ที่เรากดน่ะ ผิดนะ เขาใส่หมายเลขที่ถูกต้องลงไปแล้วพยายามครั้งที่ 1 หมายเลขนั้นเป็นหมายเลขโทรศัพท์ผิดจริงๆ ความพยายามครั้งที่ 2 เขาโทรศัพท์ไปขอเบอร์โทรศัพท์ โดยบอกชื่อกับองค์การโทรศัพท์ของที่โน่น ได้เบอร์ใครมาไม่ทราบ และความพยายามครั้งที่ 3 ของเขาก็กดเจอตัวเพื่อนของคุณอาจนได้  โอ้ ความอัศจรรย์มีจริงๆในโลก เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูป angel ทูตสวรรค์ที่พระเจ้าส่งมาบอกทางสองอาหลานมาด้วย แต่เป็นเด็กแนวจากประเทศฝรั่งเศสที่ทำประโยชน์กับนักท่องเที่ยวกะเหรี่ยงหัวดำอย่างเราสองคนได้ไม่เสียชื่อประเทศเลยจริงๆ เด็กแนวของไทยจะเอาไปทำเป็นตัวอย่างในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแบบนี้บ้างก็ไม่ว่ากันนะ  

“แอบได้ยินเสียงบ่นมาตามสาย ตายแล้ว นี่เธอมากันได้ยังไงเนี่ย แล้วทำไมไม่บอกกล่าวกันก่อน ปกติชั้นไม่เคยให้เบอร์โทรที่บ้านกับใครแล้วก็ไม่รับโทรศัพท์ด้วย นี่ถ้าลูกสาวไม่ไปเรียก เพราะชั้นกำลังกินเลี้ยงกันอยู่ที่บ้านข้างๆนี่คงไม่ได้เจอกันแน่”  ต้องขอบคุณน้องนิธิมา ลูกครึ่งไทยฝรั่งเศสในวันนั้นที่อยู่ในบ้านช่วงเวลาที่โทรเข้าไปพอดี แล้วเดินไปเรียกอาจุ๊นที่กำลังมีปาร์ตี้อยู่ข้างบ้านมารับโทรศัพท์ มิเช่นนั้น สองอาหลานคงหมดสนุกกับการเดินทางมาทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นแน่แท้

เราบอกขอบคุณชาวฝรั่งเศสเด็กแนวคนนั้น แกยักไหล่แล้วบอกว่าไม่เป็นไร สนุกดีได้ช่วยพวกคุณ เขาคงภูมิใจกับการหาเบอร์โทรและช่วยเราจนสำเร็จได้แหล่ะ ชาวฝรั่งเศสโดยเฉพาะหนุ่มๆยังเจอคนใจดีอีกมากมาย  และเป็นช่วงที่เดินทางกลับคนเดียวเสียด้วย ไว้จะไม่ลืมเล่าช่วงขากลับคนเดียวแน่นอนค่ะ

การได้อาบน้ำอุ่นๆ มีเตียงนุ่มๆ มีที่ซุกหัวนอนที่เป็นบ้านไม่ใช่โรงแรมที่ไหน ก็มีความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก คืนนั้นเรานอนกันตื่นเสียสายเชียว เมื่อลงมาถึงข้างล่าง พ่อบ้านชาวฝรั่งเศสสามีอาจุ๊น ได้พาเราเดินขึ้นเขาไปซื้อของกันที่ร้านของชำแบบฝรั่งเศสกัน สองข้างทางมีแสงแดดส่องรำไร แอบได้ยินเขาบอกว่า ‘what a beautiful day’ อยู่ไกลๆ (ความที่เราเดินขึ้นเนินได้อย่างช้าๆ) รถรามีไม่เยอะ จักรยานมีให้เห็นบ้างประปราย อากาศสบายๆเพราะเป็นหน้าร้อน ดอกไม้ที่เขานำมาใส่กระถาง ใส่รางในสองข้างทางกำลังอวดสีสันสดสวยของมัน ช่างเป็นวันที่น่ารื่นรมย์มาก แต่ไอ้การเดินขึ้นเนินเขานี่มันทำให้ beautiful day ของดิฉันมันช่างไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลย ความที่ไม่ชอบออกกำลังกาย เลยทำให้ดูไม่กระฉับกระเฉงเอาจริงๆ ผิดกับพ่อบ้านชาวฝรั่งเศสที่เดินก้าวยาวๆเร็วๆได้โดยไม่มีการหอบแฮ่กๆเหมือนกับข้าพเจ้า แฮ่กๆๆ

เราได้มีโอกาสไปเดินเล่นในเมือง เข้าไปดูตลาดสดของที่นั่น หากคุณได้ดูหนังเรื่อง 2 days in Paris ของ Julie Delpy ในฉากที่นางเอก พ่อ และแฟนหนุ่มชาวอเมริกันกำลังเดินเลือกซื้อของในตลาดแล้วล่ะก็ บรรยากาศของจริงก็เป็นเช่นนั้นเลยค่ะ เขาจะเอาของสดๆทั้งหลายมาตั้งโชว์ แต่พื้นตลาดไม่ได้เปียกและแฉะเหมือนบ้านเรา แต่ตลาดก็อยู่ในอาคารเหมือนกันค่ะ และบางทีก็เป็นตลาดกลางแจ้ง นอกจากนั้นก็จะเห็นพวก Homeless มานั่งกันอยู่ตรงปากทางเข้าตลาด บางทีก็น่าสงสารนะคะ  ไม่ว่าไปประเทศที่เจริญที่ไหนก็จะเห็นคนพวกนี้อยู่ค่ะ ทั้งในประเทศโลกที่หนึ่งหรือโลกที่สามอย่างบ้านเราก็ตาม

แอบได้ยินเสียงคุณอาสองคนวัยเดียวกันพูดคุยกันเรื่องการลดราคาสินค้าก่อนเปลี่ยนเทศกาลเป็นหน้าหนาวค่ะ ช่วงนี้สินค้าจะเอามาลดกันสะบั้นหั่นแหลก ช่วงเดือน 6-7 นี่แหล่ะค่ะ คุณอาจุ๊นบอกอีกว่า ของที่เมืองนอกในช่วงลดราคาเขาเอามาลดจริงๆไม่ใช่ว่าบอกว่าลดแต่ราคาเท่าเดิมแต่แปะป้ายว่าลดแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ หรือว่าเอาของไม่ดีมาลดค่ะ  เพราะฉะนั้นถ้าสนใจอะไรก็ให้เล็งเอาไว้ให้ดี เพราะพอถึงหน้าลดราคาแล้วจะวิ่งไปแย่งซื้อกันไม่ทัน เคล็ดวิชาช้อปปิ้งนี้สามารถนำไปใช้ได้ที่อังกฤษเช่นเดียวกันค่ะ ช่วงลดส่วนมากก็จะเป็นช่วงก่อนเปลี่ยนเทศกาล เนื่องจากพอเทศกาลใหม่ ของก็จะมีดีไซน์ใหม่ๆออกมา ดังนั้นรุ่นเก่าๆ ก็จะหมดไปค่ะ ชอบอะไรเล็งไว้ดีดีค่ะ

บ่ายวันนั้นครอบครัวของอาจุ๊นและเพื่อนๆจะไปว่ายน้ำกันที่ริมทะเลสาบค่ะ กะเหรี่ยงสองอาหลานจึงติดรถไปกับเขาด้วย แต่เหมือนตัวประหลาดจริงๆ ในขณะที่คนอื่นอยู่ในชุดหน้าร้อน หรือชุดว่ายน้ำกัน เราสองคนใส่กางเกงขายาวและรองเท้าสไตล์ว่าจะไปปีนเขาที่ไหนกันเต็มยศจริงๆค่ะ เรียกว่าไม่คาดคิดว่าจะได้มาว่ายน้ำกันที่ทะเลสาบ แอบอายชาวฝรั่งเศสเล็กน้อยแต่พองามค่ะ

ชาวฝรั่งเศสสาวๆหุ่นดีดีใส่บิกินีสุดเซ็กซี่มากๆ ใส่ท้าแดด ท้าประกายน้ำที่ถูกแสงแดดส่องกระทบวับวามระยิบระยับงดงาม และหญ้าสีเขียวขจีริบทะเลาสาบ  เห็นแล้วน่ามองมากค่ะทั้งคนทั้งธรรมชาติ แต่ที่นั่น(คนเยอะมากๆ เห็นกันอยู่เต็มตลิ่ง นี่ขนาดไม่ใช่ทะเลนะคะเนี่ย) ไม่มีใครมองใครกันเลยค่ะ ไม่ได้สนใจ คือลองคิดนะคะว่าสาว สวย หุ่นดีขนาดนั้น หากมาเดินเล่นโฉบไปเฉี่ยวมา ร่อนจานร่อน นุ่ง 2 ชิ้นแบบนี้ แถวบ้านเรา ขี้คร้านจะมีแต่หนุ่มๆผิวปาก หรือหยุดมองจนตาถลนออกมาแน่ๆค่ะ

หลังออกกำลังกายทางน้ำกันแล้ว เราก็แวะไปที่บ้านที่มีอายุเก่าแก่มาก เห็นบ้านหลังนี้และห้องครัวแล้วก็คิดถึงภาพวาดภาพหนึ่ง มันเหมือนกับว่าเรากำลังเข้าไปอยู่ในบรรยากาศของงานเขียนที่ชื่อว่า ‘the milkmaid’ งานของ Vermeer ปี 1658 เลย (ถึงแม้ว่า Vermeer จะเป็นชาวดัตช์ก็เถอะ) ขณะที่เราจัดเตรียมอาหารที่นำอาหารที่เตรียมกันมาในห้องครัว แน่นอนรวมทั้งไวน์ด้วย ที่นั่นทานไวน์กันต่างน้ำเลยค่ะ จิบเพียงนิดเดียวก็รู้สึกได้ถึงความแรงของไวน์ที่นั่นค่ะ หลังจากนั้นก็ชมบ้านกันเล็กน้อย ซึ่งเขาเปิดให้คนเช่าค่ะแต่ช่วงนั้นยังไม่มีคนเช่า และพวกเราพร้อมเพื่อนๆของคุณอาจุ๊นชาวฝรั่งเศสก็แยกย้ายกันเดินทางกลับบ้าน  ช่วงกลางคืนดิฉันก็ตัดสินใจบอกคุณอาว่า จะขอกลับอังกฤษค่ะ เพื่อที่จะไป fight เอาห้องให้ได้ คุณอาก็บอกว่าให้คิดดูอีกทีว่าจะเอาอย่างไร

วันที่ 4 กรกฎา 2007 ตื่นเช้ามา ก็มาบอกอาจุ๊นค่ะว่าคงจะกลับวันนี้คงเข้าปารีสและวันที่ 5 จะได้ไปไฟท์กับที่มหาลัยต่อเรื่องห้องพักค่ะ อาจุ๊นจึงจัดการหาตั๋วให้ พร้อมทั้งให้ความรู้ว่า จะเดินทางไม่ควรซื้อตั๋วเที่ยวเดียว เพราะว่าราคาตั๋วเที่ยวเดียวของที่นี่แพงกว่าซื้อไปกลับเสียอีก แล้วเมื่อตอนไปยืนอยู่ในช่องขายตั๋วความจริงก็ปรากฎดั่งว่า

ดิฉันเดินทางไปปารีสเพียงคนเดียวรอบนี้ ส่วนคุณอาของดิฉันก็ยังอยู่ที่ Grenoble ต่อค่ะ เราตั้งใจเอาไว้ว่าหากได้ห้องเรียบร้อยแล้วจะโทรไปหาคุณอาที่ฝรั่งเศสแล้วก็จะได้กลับมาพักด้วยกันที่มหาลัยค่ะ

กลับมาเล่าเรื่องระหว่างทางไปถึงปารีสจาก Grenoble เราจะต้องเปลี่ยนรถไฟ 1 จุด มีเวลาเปลี่ยนเพียงแค่ไม่กี่นาทีค่ะ ครั้งนี้เองที่ได้เห็นน้ำใจหนุ่มชาวฝรั่งเศสกันอีกครั้งหนึ่ง ตามที่สัญญากันไว้ค่ะว่าจะไม่ลืมเล่าเรื่องของพ่อหนุ่มคนนี้แน่นอน

หนุ่มคนที่นั่งไปด้วยเขาจะไปทำงานสักที่หนึ่งค่ะ เราบอกเขาว่าเราจะต้องไปเปลี่ยนรถที่เมืองหนึ่งก่อนจะเข้า Paris เขาบอกว่าเดี๋ยวตอนลงให้มากับเขา เขาจะพาไปเอง  พอลงก็เดินมาเลยค่ะ สถานีรถไฟ หรือที่ไหนไหนที่ฝรั่งเศสก็มักจะมีแต่คนยั้วเยี้ยมากมายเต็มไปหมด เราก็คิดว่า ตัวเองก็เดินทางมามากพอตัวอยู่ ไม่น่าจะพลาด เขาก็พามาบอกว่าให้ขึ้นไปทางนี้แล้วอย่าเพิ่งไป ให้เรารอขบวนหน้าก่อนค่อยไปค่ะ (เพราะเราเห็นว่าช่วงต่อมีเพียงแค่ 5-10 นาที นึกว่ารถไฟของเราจะมาแล้วแต่เปล่าค่ะ รถไฟที่นี่ค่อนข้างตรงเวลามาก ไม่แพ้ชิงคังเซ็นของญี่ปุ่นเลย นับเวลากันเป็นนาที วินาทีกันของจริงค่ะ) เรากำลังจะขึ้นรถไฟขบวนที่ว่าอยู่แล้ว (เพราะดูเวลาแล้วน่าจะใช่) เขาเดินกลับมาบอกเราอีกทีว่าอย่าขึ้น (แหะๆ จ้ะจ้ะไม่ขึ้นก็ได้ รู้ได้ไงเนี่ยว่าเราดื้อ) แล้วก็รอจนรถไฟขบวนของเรากำลังจะเทียบชานชลาเสียก่อน ชี้ให้เราเห็นว่าของเราน่ะ ขบวนโน้น พอเราเข้าใจแล้ว เขาจึงเดินลับสายตาไปกับฝูงชนเพื่อที่จะต่อรถเช่นกันค่ะ สรุปว่าที่ไม่นั่งผิดคันและไม่ตกรถเพราะเขาคนนี้แหล่ะค่ะ angel ชาวฝรั่งเศสที่มาบอกทางเป็นคนที่สอง  ช่างเป็นคนที่ทำให้เราประทับใจมากมายจริงๆค่ะ

เมื่อไปถึงแล้วก็ไปที่ gare du nord (สถานีรถไฟสายเหนือของฝรั่งเศสค่ะ ที่ฝรั่งเศสจะมีสถานีรถไฟหลายที่ เหมือนกับสถานีขนส่งบ้านเราค่ะแต่ของเขาเป็นรถไฟ) ไปที่นี่เพื่อซื้อตั๋ว Euro Star กลับ London ค่ะ เที่ยวแรกของที่นั่นจะประมาณ เช้ามากๆค่ะ น่าจะ เจ็ดโมงเช้าหรือไงนี่แหล่ะค่ะ พอซื้อตั๋วเสร็จก็ตะลุย Paris in one day ต่อทันที

ที่น่าแปลกใจ (ก็ไม่แปลกใจนัก เพราะแว่วแว่วว่าอาจุ๊นก็บอกมาแล้วเหมือนกันว่า คนบางคนซื้อตั๋วเครื่องบินก็ต้องซื้อมาประมาณนี้เหมือนกัน) ก็คือ ตอนขามาเราไม่ได้ซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ทีนี้พอจะกลับไปลอนดอน สืบถามราคาแล้วปรากฏว่าตั๋วไป-กลับราคาถูกกว่า ตั๋วขาไปขาเดียวค่ะ จึงซื้อแบบไป-กลับมา (ปารีส-ลอนดอน-ปารีส) แต่ทิ้งเที่ยวกลับมายังปารีสไปอย่างน่าเสียดาย

1 day in Paris ก็ไม่มีอะไรมาก จัดทัวร์ให้ตัวเองคร่าวๆว่าจะต้องไปดู หอ Effel Tower, แว่บไปดู Louvre ให้ได้ คงเข้าไปไม่ทัน ไปขอดูข้างหน้า พิพิธภัณฑ์ Louvre เพื่อให้ได้รู้ว่ามาถึงนี่ก็เป็นพอ หลังจากนั้นก็ไปดูประตูชัย และจบท้ายด้วย Sacre Coer วิหารที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงมากๆของปารีส และแอบเจอชาวฝรั่งเศสหน้าแขกๆส่งขนมจีบจากที่นั่น น่ากลัวจริงๆค่ะ เป็นผู้หญิงเดินทางคนเดียวต้องระวังตัวด้วยนะคะ ต้องพยายามไม่ไปคุยและไม่สบตากับใครด้วยจะดีที่สุดค่ะ

หลังจากเที่ยวคนเดียวเสียเหนื่อยก็กลับมานอนที่ YHA 1 คืน นอนได้ไม่ค่อยจะเต็มอื่มนัก ตี5 ก็ต้องลุกออกมาคืนกุญแจและเดินทางกลับสู่สถานพนักที่เพิ่งจะจากมาและที่จะอยู่ต่อไปอีก 1 ปีแล้วค่ะ

ขลุกขลักในเรื่องรถไฟใต้ดินนิดหน่อย เนื่องจากรถไฟใต้ดินจะเปิดเที่ยวแรกยังต้องรออีกหน่อยค่ะ ก็ต้องเดินหาทางที่จะเข้าไปในตัวสถานี เพราะว่าข้างนอกมันมืดและคนจรจัด คนเมาก็มีเยอะค่ะ พอเข้าไปในสถานีได้จะสว่างหน่อยดูปลอดภัยกว่า ก็พยายามหารูเข้าค่ะ มีนักเดินทาง คนสองคน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายก็พยายามจะหารู(ประตูแหวก) เพื่อจะเดินเข้าไปในสถานีเช่นเดียวกัน ดิฉันก็หาตัวรอดเดินเข้าไปได้เช่นเคย แล้วก็นั่งรถไปถึงชานชลาสถานีที่จอด Eurostar ได้เรียบร้อย แต่สถานีอื่นๆยังไม่เปิด ดูไปดูมาเหมือนสถานีร้างเลยค่ะ บรึ๋ยยยย ผู้หญิงเดินทางตัวคนเดียวอันตรายจริงๆค่ะ แต่ก็ไม่มีอะไรมากนะคะ มาถึงก็ตรวจกระเป๋า พาสปอร์ต แล้วก็เข้าไปนั่งรถไฟ นั่งไปนั่งมาไม่ทันได้ทำอะไรก็มาถึงลอนดอนแล้วค่ะ 2 ประเทศห่างกัน 3 ชั่วโมง ไม่ต่างจากเดินทางจากกรุงเทพมาอยุธยาเลยนะคะเนี่ย กว่าจะได้กลับมาถึงอังกฤษ ก็เล่นเอาหอบแฮ่กๆอยู่โข (หาเรื่องดีแท้เชียว)

การผจญภัยใน 2 ประเทศก็จบลงเท่านี้ บทหน้าไปลุ้นกันดีกว่าค่ะว่าดิฉันจะได้ห้องไหม ?  

จากคุณ : just.a.girl
เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 55 21:40:17




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com