ชีวิตอันแสนสั้นของนักเรียนอังกฤษ [ตอนที่ 3 ต้องอยู่ให้ได้]
|
 |
ลิ้งตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12224646/H12224646.html ลิ้งตอนที่ 2 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12243376/H12243376.html
ตอนที่ 3 เตรียมตัวอยู่ให้ได้ (July 2005)
ก่อนจะส่งฉันขึ้น เตเจเว (TGV) กลับจาก Grenoble มา Paris อาจุ๊นได้ถามฉันว่า ถ้าไม่ได้หอตอนกลับไปอังกฤษครั้งนี้จะทำยังไง ฉันนั่งนิ่งคิดและตอบไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มเสียงนักว่า อาจจะไปร้องเรียนกับ student union หรือไม่ก็ dean มหาลัยมังคะ ตอนนั้นคิดไว้ในใจอย่างเดียวว่าต้องได้ห้องเท่านั้น! ต่อให้ต้องโวยวายร้องแร่แหกกระเฌอก็ต้องได้ห้องแน่นอน (ไม่วายอธิษฐานให้พระเจ้าทรงเมตตาลูกน้อยอย่างข้าพเจ้าด้วย)
เมื่อไปถึงแล้วดิฉันตรงปรี่ไปที่ accom office (accommodation office) ทันที หมายมั่นปั้นมือว่า ครั้งนี้จะสู้สุดฤทธิ์ดั่งว่าจะทุบหม้อข้าวตัวเองก่อนต่อสู้ครั้งสุดท้ายเพื่อประกาศอิสรภาพก็ไม่ปาน เป็นไงเป็นกัน วันนี้ที่ accom office ยังมีคนเยอะเช่นเคย แต่นั่งรอไม่นาน พนักงานคนเดิมก็เหมือนจะจำหน้ากะเหรี่ยงอย่างฉันได้ เธอตรงเข้ามาถาม can I help you? ฉันบอกเธอไปว่าจะมาเอาห้อง เธอถามว่าจองไว้แล้วหรือเปล่าตามสูตรสำเร็จ (ปุ๊ดโธ่ ก็นึกว่าจะจำฉันได้) ดิฉันบอกว่า เธอบอกดิฉันเองว่าให้กลับมาวันที่ 5 กรกฎา พร้อมขยับเป้ ไปมา ทำท่าอิดโรย ทำทีเป็นว่าเหนื่อยเสียมากมายกับการผจญภัยที่ดิฉันไปผจญภัยถึง Grenoble และอีก 1 วันเหงาคนเดียวในสถานที่โรแมนติกอย่าง Paris ก็เพื่อวันนี้วันที่ 5 กรกฎา วันเดียวเท่านั้นที่รอคอย เธอคงไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงดิฉันอีกต่อไป เดินไปที่แผงกุญแจ ฉันใจเต้นตึ้กตัก เพราะทุกคนที่ได้ห้องเธอจะต้องเดินทำท่าไปหยิบกุญแจที่แผงกุญแจในลักษณะนี้เสมอ สิ่งที่ฉันรอคอยกำลังจะมาถึงแล้ว เธอถามฉันว่าจะเอาชุดเครื่องนอนไหม เพราะไม่เห็นฉันแบกอะไรมาเลย ใช่สิก็มาตัวเปล่านิ ฉันเอามันทุกอย่างที่เขา offer ณ ตอนนั้น ไอ้ที่คิดว่าจะมาไฟท์ทะเลาะกับเขาก็เลยไม่ต้องทำอะไร และแล้วก็ได้กุญแจห้องพร้อมแผนที่มาอย่างละอัน แล้วพาตัวเองพร้อมแบกของพะรุงพะรังข้ามสะพานลอยข้ามทางรถไฟ (ที่ทำลาด และวนขึ้นไป นัยว่าสำหรับจักรยานจะได้สะดวกในการไปกลับมหาลัย) อนาคตอันสดใส และห้องอันแสนอบอุ่นกำลังรอฉันอยู่
ที่ที่ฉันอยู่เรียกว่า University Quay เนื่องจากอยู่ติดกับแม่น้ำ บางวันแม่น้ำก็แห้ง บางวันก็มีน้ำเต็ม ฟูงหงส์พากันลอยเล่นเหนือน้ำมาเป็นฝูงน่ารักดี ฉันพาตัวเองไปอยู่ที่ห้องชั้นบนสุดของตึกที่มีทั้งหมด 4 ชั้น House4 Flat5 RoomG หอใหม่อยู่ไกลจากมหาลัยถึงครึ่งชั่วโมง สำหรับคนเดินช้า จอมทอดน่องอย่างฉัน แต่ฉันก็รักห้องนี้เหลือเกิน เพราะเป็นหอใหม่ อันประกอบไปด้วยเตียง 1 เตียง ตู้เสื้อผ้า 1 ตู้ ตู้เล็กๆข้างเตียง 1 เตียง โต๊ะหนังสือ พร้อมเก้าอี้ 1 ตัว เหนือโต๊ะก็เป็นตู้ใส่หนังสือ บิ้วท์อินติดผนัง ถังขยะ 1 อัน เก้าอี้โซฟาสำหรับ 1 คนนั่งตั้งอยู่ปลายเตียง และห้องน้ำ 1 ห้อง (เพราะจองห้องแบบ en suite ซึ่งก็คือห้องแบบห้องน้ำในตัวนั่นเอง) ฉันกระโดดไปที่เตียงเปลือยๆที่ยังไม่มีการปูเตียงใดๆทั้งสิ้นของฉัน แล้วก็กรี๊ดเบาๆ ฉันได้ห้องแล้ว Thanks God!
หลังจากนั้นก็ทำการเดินสำรวจ Flat 5 ที่ฉันอยู่ทันที เป็นแฟลตที่ใหญ่พอสมควร ครัวใหญ่ตามไปด้วยเพราะทุกห้องจะมาใช้ห้องครัวร่วมกัน ประกอบไปด้วยห้องนอน 8 ห้อง ซึ่งมีคนมานอนร่วมหอกับข้าพเจ้าในช่วง 3 เดือนนี้มีดังนี้ค่ะ ห้อง A น้องโบว์ คนไทย, B Sophia คนไต้หวัน, C Doris, Steven 2 สามีภรรยาชาวไต้หวัน (ซึ่งหลังจากที่ 2 สามี ภรรยาคู่นี้ย้ายออกไปก็มีสาวญี่ปุ่นชื่อ เทรุมิย้ายเข้ามาอยู่แทน), D จำชื่อไม่ได้เขามาทีหลังค่ะและไม่ได้มาเรียน ESL เหมือนเราแต่เป็นคนญี่ปุ่น, E Paris ชาวกรีก, F Mao Yun ชาวจีน, G อิฉันเองค่า และห้อง H Anna ชาวจีน
การย้ายเข้านี่บางคนก็เข้ามาก่อนค่ะบางคนก็เข้ามาทีหลัง อาศัยสังเกตเสียงจากข้างนอกห้องและของที่อยู่ในตู้เย็นเอาค่ะ ใครมาก่อนสบายก่อนได้เลือกชั้นที่ดีที่สุดไปก่อน เลือกตู้เย็นชั้นที่ดีที่สุดไปก่อน เนื่องจากว่าเป็นครัวรวมต้องใช้พื้นที่ใช้สอยร่วมกัน คนไทยที่ชอบทำอาหารก็ต้องการที่จะมีที่เก็บพวกของแห้งๆเยอะๆค่ะ ซึ่งนับว่าคนไทยมีเป้าหมายเดียวกันในการต้องการที่เก็บของเหมือนกับคนจีนและคนไต้หวันค่ะ ส่วนคนญี่ปุ่นนี่เป็นชาติที่ไม่ค่อยจะเรียกร้องอะไรมากที่สุดค่ะ แต่ก็ดันมีเรื่องกับคนไทยจนได้ จะเล่าให้ฟังในตอนหน้านะคะ
ทีนี้เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะต้องทำอะไรก่อนบ้าง เมื่อได้ห้องแล้วอย่างแรกเลยจะต้องโทรศัพท์กลับบ้านก่อนค่ะ หรือไม่ก็อีเมลล์บอกหมายเลขห้อง (ทุกห้องจะมีโทรศัพท์ค่ะ เหมือนในโรงแรม จะโทรคุยกับเพื่อนก็แสนจะสะดวกสบายเพียงแค่กดเบอร์หมายเลขห้อง 4 ตัวของห้องเพื่อนเท่านั้นค่ะ) แล้วคนที่บ้านก็จะได้ติดต่อกลับมาถูกค่ะ อย่าลืมบอกด้วยนะคะว่าเวลาที่อังกฤษจะช้ากว่าที่ไทยประมาณ 6-7 ชั่วโมงค่ะ ช่วงหลังเดือนตุลาจะช้ากว่า 7 ชั่วโมงค่ะ
หลังจากนั้นดิฉันก็กลับไปที่บ้านป้าแอนเพื่อจะนำกระเป๋า 2 ใบยักษ์ ของคุณอาและตัวเองกลับมาที่หอ ป้าแอนใจดีช่วยเรียกแท็กซี่ให้ ดิฉันขอร้องให้แท็กซี่นำกระเป๋าขึ้นไปให้ดิฉันซึ่งอยู่ชั้น 4 และให้ทิปเขานิดหน่อยเป็นการตอบแทน ในช่วงฤดูนี้ของทุกปี คุณเชื่อไหมว่า เมื่อได้คุยกับเพื่อนๆที่มาจากต่างชาติแล้วแทบจะทุกคนที่แบกกระเป๋าหนักๆมา ให้แท็กซี่ช่วยแล้วทิปแท็กซี่กันหมดค่ะ เป็นการยินยอมพร้อมใจกันโดยมิได้นัดหมาย คาดว่าการยกกระเป๋าให้นักเรียนน่าจะเป็นอาชีพเสริมในฤดูกาลนี้ของแท็กซี่กันเลยค่ะ
สิ่งที่สองที่จะต้องทำคือการจัดห้องค่ะ ห้องของนักเรียนอังกฤษโดยทั่วไปแล้วก็จะไม่มีอะไรมากค่ะ จัดของในห้องน้ำ จัดหนังสือ ดิกชันนารี่ เตรียมตัวต่อโน้ตบุ๊ค ปูเตียง ใส่ปลอกผ้าห่ม ทำเสร็จก็เหนื่อย หมดแรงข้าวต้มไปเหมือนกัน
สิ่งที่สามคือการไป เทสโก้ หรือ SaintBusys หรือซุปเปอร์มาเก็ตใกล้บ้านคุณ เพื่อที่จะซื้อเสบียงกลับมาตุนเอาไว้ในตู้เย็นค่ะ อันว่าอาหารที่อังกฤษนั้น มีพวกอาหารแช่แข็งเสียเยอะค่ะ คนมักจะซื้ออาหารกล่องๆเก็บเอาไว้ในตู้ฟรีซเซอร์ แล้วก็แกะพลาสติกเข้าเวฟ แค่นี้ก็อิ่มแล้วค่ะ แต่ไม่รับประกันความอร่อย อาหารที่สามารถทำได้ แบบไทยไทยก็มีนะคะ ที่ขายในเทสโกก็จะมีพวก ต้นหอมผักชี มะนาว ขิง ข่า ตะไคร้ มีขายค่ะ แม้แต่น้ำปลา ซอสหอยนางรม เส้นก๋วยเตี๋ยวก็มี เพียงแต่จะไม่ใช่ยี่ห้อที่เราคุ้นเคยค่ะ แต่จะมีหน้าตาออกจีนๆหน่อยเท่านั้น ซื้ออาหาร ไว้ก่อนนะคะ ส่วนถ้วยชาม หม้อ ไห ของจำเป็นอื่นๆ อดทนรอหน่อยค่ะ เพราะว่าแค่อาหารก็หิ้วกันจนมือแทบหักแล้ว หากไปกับเพื่อนๆก็ซื้อได้ค่ะเพราะจะได้มีแรงช่วยกันหิ้วค่ะ วันแรกที่ไปไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะเราจะต้องใส่ของลงถุงเทสโกเอง ไม่มีคนเอาของใส่ถุงให้แบบบ้านเรา ก็ต้องเหนื่อยหน่อยค่ะ ไปแรกๆก็มีไม่ชิน ต้องให้คนข้างหลังรอกันนานพอดู แต่ฝรั่งเค้าไม่ค่อยจะเดือดร้อนค่ะ ถือว่าเราเข้าคิวแล้วเป็นสิทธิของคุณที่จะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ แต่ถ้านานเกินไปก็มีแอบเซ็งไปเหมือนกันค่ะ หลังจากนั้นก็เดินกลับมาที่หอก็พอดีเหมือนได้ออกกำลังกายแขนและขาไปในตัว
สิ่งที่ สี่คือการไปเปิดหูเปิดตาที่ town center (ทาวเซ็นเตอร์) นะคะ ทำได้ง่ายๆคือการดูสายรถเมลล์แล้วก็ขึ้นไปโดยบอกคนขับรถว่า ? จำกันได้หรือเปล่าคะ ? (เฉลยนะคะ 1 return ticket to town center please) ที่อังกฤษนี่ทุกเมืองจะมี ทาวเซ็นเตอร์ค่ะ ทุกเมืองจะมีถนนสายหลักๆที่ชื่อเหมือนกันอยู่เช่น King street, Queen Street อะไรเทือกนี้ค่ะ ถ้าเจอถนนเส้นคุ้นๆเหล่านี้ให้จำไว้เลยว่ามันคือถนนสายหลักของเมืองค่ะ ในทาวเซ็นเตอร์ก็จะมีพวกช้อปปิ้งมอลหลายๆห้างมาตั้งกันไว้ และร้านค้าต่างๆมาตั้งในซอยยิบย่อย เดินกันยังไงก็หลงค่ะ หากมาวันแรกๆ แต่อยู่ไปอยู่มาประเดี๋ยวก็จะชินไปเอง
การไปทาวเซ็นเตอร์จะทำให้เรามีโอกาสได้พบกับนักเรียนไทยด้วยค่ะ ตอนที่เราไปก็เจอกับพี่บีมและแป๋มผู้มีพระคุณและกรุณาเลี้ยงข้าวเย็นให้กับกะเหรี่ยงอย่างเรา คนไทยก็ต้องช่วยกันใช่ไหมคะ? วันแรกที่พี่บีมและแป๋มหนีบเราไปทานข้าวด้วยกันนั้น มันก็ทำให้อาหารเย็นที่กะจะทานคนเดียวในมื้อแรกของที่อังกฤษของเราดูไม่เงียบเหงาอีกต่อไปค่ะ
พอไปถึงเราเห็นของในครัวของพี่บีมกับพี่แป๋มแล้วก็ต้องตกใจค่ะ เพราะว่านึกว่าตัวเองอยู่เมืองไทยพูดก็พูดไปมันเหมือนครัวไทยมากๆเลยค่ะ คิดไม่ออกว่ามันต่างจากครัวที่อังกฤษตรงไหน และที่สำคัญ ทั้งสองคนยังทำอาหารได้เก่งมากๆอีกค่ะ แต่พูดก็พูดเถอะ เด็กไทยรุ่นที่เราไปกัน ทำกับข้าวเก่งกันหมดทุกคนค่ะ นำทีมกันมาเลยคือพี่เป๋า เจ้าของฉายาตำรับเหลามาเอง ที่มีเมนูดังเหมือนขึ้นภัตตาคารทั้งนั้นเลยค่ะ สิและแบงค์ คู่รักที่ทำกับข้าวกันเก่งมากและเป็นมือทำซูชิมาให้เราชาวไทยทานกันบ่อยๆค่ะ น้องโบว์สุดที่รักของน้องโน้ตที่สามารถนำอาหารยุโรปอย่างพิซซ่ามารวมกับหน้าต้มยำกุ้งของไทยได้อย่างลงตัวยังไม่นับรวมถึงน้ำจิ้มสุดแซ่บหลากรสที่ช่างสรรหาและทำกันมา พี่ปุ้ม ผู้ที่สามารถเสกอาหารไทยทั้งคาว หวาน ของทานเล่นอย่าง ขนมผักกาด ปอเปี๋ยะไส้ผักทอด ที่เหมือนส่งตรงมาจากเมืองไทยให้เราทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ยังไม่หมดนะคะ เบิร์ธและโบโบ๊ะที่สามารถสรรหากับข้าว เมนูเด็ดๆกันทำ และเป็นผู้ริเริ่มการนำกับข้าวไทยมาทานพร้อมข้าวญี่ปุ่น ที่เมล็ดอวบ สั้นและนุ่มได้อย่างลงตัว ไม่นับรวมน้องอีฟและแม้วที่เหมือนกับ The naked chef ไม่ว่าอะไรอยู่ในตู้เย็นก็สามารถเอาออกมาทำเป็นอาหารไทยได้อย่างสุดยอดค่ะ นี่ยังไม่ได้พูดถึงน้องๆที่มาทำกับข้าวเป็นกันที่นี่อย่าง น้องแนนและทิพย์ซึ่งหลังจากที่ดูแดจังกึมซีรีส์เกาหลีที่ระบาดกันทั้งประเทศไทยและลามข้ามมายังหมู่คนไทยที่ดู VCD เรื่องนี้กัน ณ เกาะอังกฤษแล้วก็ลุกขึ้นมาทำกับข้าวกันตอนตี3 เพราะอาการแดจังกึมฟีเวอร์ ไม่น่าเชื่อว่าน้องๆเหล่านี้ได้สร้างสรรอาหารปากมาให้พวกเราได้ลิ้มรสกันอย่างเอร็ยดอร่อย เป็นอย่างไรคะ เด็กรุ่นอิฉัน เก่งกันจริงๆเลยค่ะ คนที่ทำกับข้าวไม่เป็นมาดูเพื่อนทำสัก 2-3 วันสักพักก็จะเก่งขึ้นเองค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง เชื่อขนมกินได้เลยว่าอย่างน้อยก็จะต้องมีจานประจำที่ทำเป็นอยู่สัก 2-3 อย่างแน่นอนค่ะ ส่วนตัวดิฉันเองก็ทำ ข้าวผัด สปาเก็ตตี้ผัด ปลาผัดขิง ต้มยำกุ้ง และข้าวต้มต้มยำรสเด็ด ค่ะ ทำอะไรไม่ได้ก็ผัดๆ ใส่น้ำมันหอยเอาไว้ก่อนก็อร่อยแล้วค่ะ ;P
สิ่งต่อไปที่ควรจะทำคือการซื้อโทรศัพท์ ซึ่งโทรศัพท์จะมี2แบบ คือ แบบ top up (หรือบางทีจะเห็นคนที่โน่นจะเรียกว่า pay as you go คล้ายการซื้อ sim card และบัตรเติมเงินค่ะ ) และแบบจ่ายรายเดือน (pay monthly) ค่ะ แบบ top up หรือ pay as you go นี้ เราสามารถไปซื้อ sim card ที่ shop มา แล้วทำการลงทะเบียนตามเอกสารที่ทาง shop ให้ ก็จะใช้ได้เลยค่ะ (ค่า sim card ประมาณ 5 ปอนด์นะคะ แล้วก็แจ้งพนักงานในร้านว่าขอ top up อีก 5 ปอนด์ก็ได้ค่ะ หรือ 10 ปอนด์ก็ได้ ก็จะได้มีเงินเอาไว้ส่ง text และโทรศัพท์หาเพื่อนตามแต่สะดวกค่ะ) ส่วนถ้าจ่ายรายเดือนควรที่จะมีที่อยู่ให้แน่นอนเพราะอาจจะมีปัญหาตามมาค่ะ ที่อังกฤษนี่ไม่ว่าจะทำธุรกรรมอะไรจะต้องมีการ verify ที่อยู่ให้ชัดเจน ดังนั้นการซื้อ sim แบบ top up จะเป็นการง่ายและสะดวกกับการมีหมายเลขโทรศัพท์ที่อังกฤษสำหรับให้คนทางเมืองไทยโทรมาได้รวดเร็วที่สุด แต่ส่วนตัวดิฉันเองซื้อแบบระบบจ่ายรายเดือนค่ะ เพราะขี้เกียจมานั่งเติมเงินค่ะ
โทรศัพท์ก็มีหลายเลขหมายค่ะ การโทรเข้าเน็ทเวิร์คเดียวกันก็จะถูกที่สุด หากเพื่อนใช้อะไรมากๆก็ให้ใช้ตามกันค่ะ เช่นถ้าทั้งแกงค์ใช้ vodafone ซึ่งเป็นเน็ทเวิร์คที่คนไทยส่วนมากใช้กันก็ใช้ตามดีกว่าค่ะจะถูกกว่าจะโทรแบบ cross network ที่ใช้กันและเห็นกันบ่อยๆนะคะคือ Vodafone, O2, Orange, T mobile, 3 ค่ะ แต่ละค่ายก็จะมีโปรโมชั่นที่ต่างกันไป
โทรศัพท์ที่หิ้วไปจากเมืองไทยนำไปใช้ที่โน่นได้ค่ะ แต่ถ้าต้องการซื้อโทรศัพท์ที่โน่นก็จะมีราคาให้ดูจากโบรชัวร์ในแต่ละค่ายค่ะว่าจะต้องจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ ใช้โทรศัพท์ได้เท่าไหร่ จ่ายมัดจำเท่าไหร่และเสมอเหมือนได้เครื่องเอามาใช้ก่อนและผ่อนเอาทีหลังค่ะ อันนี้ต้องอาศัยศึกษา ถามรุ่นพี่ที่อยู่นานแล้วเอาค่ะ ว่ามีโปรโมชั่นหรือโทรศัพท์รุ่นไหนน่าสนใจ และคุ้มค่าที่จะซื้อ
นอกจากค่ายโทรศัพท์ต่างๆแล้ว เราก็มีร้านขายโทรศัพท์ที่ดังๆมากมาย (คล้ายๆกับ Jaymart บ้านเราค่ะ) มีรายนามที่เพื่อนๆชอบเข้าไปซื้อดังนี้ค่ะ Carphone Warehouse, Phones4U ร้านพวกนี้ก็เข้าดู หรือแอบเอาแผ่นพับกลับมาศึกษาก่อนที่บ้านได้ก่อนการตัดสินใจซื้อค่ะ
และหากคุณอยากจะโทรกลับเมืองไทยได้ถูกๆละก็ ต้องไปซื้อบัตรโทรศัพท์กันที่ China Town, London เราเรียกกันว่า บัตร Call Thai (หรือว่าบัตรอันอื่นที่สามารถโทรกลับไทยได้ก็ได้ค่ะ ที่จะมีโฆษณาอยู่ไม่กี่ยี่ห้อ) เอาไว้โทรกลับไปที่บ้านที่เมืองไทย ราคาบัตรละ 20 ปอนด์ ค่ะ ใช้ได้ (คุยไม่ค่อย heavy มาก) ก็ประมาณ 3 เดือนต่อ 1 บัตร ค่ะ
หลังจากได้เรื่องโทรศัพท์แล้วควรที่จะติดต่อธนาคารเพื่อนำเช็คที่เอามาจากเมืองไทยมาเข้าค่ะ (หรือไม่ก็เมื่อได้หมายเลขบัญชีแล้วควรแจ้งที่บ้านเพื่อทำการโอนเข้า) มีทริกเล็กน้อยเกี่ยวกับการโอนค่ะ เนื่องจากธนาคารที่โน่นใหญ่ๆที่เราใช้และคุ้นเคยกันจะมี อยู่ 4 ธนาคารเริ่มกันมาตั้งแต่ HSBC, Barclays, Lloyds TSB, NatWest ตามลำดับ ภายในมหาลัยจะมีธนาคารเหล่านี้ให้บริการนิสิต นักศึกษากันอยู่แล้วนะ เราต้องเข้าไปกรอกรายละเอียดว่าจะทำบัญชีอะไร ส่วนใหญ่ก็จะทำออมทรัพย์ก็จะมีบัตร ATM ให้ค่ะ หรือจะไปกรอกทำบัตร Debit ได้ก็จะเป็นการดี เผื่อว่าเราต้องการจะเดินทางไปเที่ยวยุโรปในอนาคต หรือว่าจะเช่ารถ และซื้อของออนไลน์ หากมี debit ของธนาคารที่โน่นก็จะสะดวกมากๆเลยค่ะ แต่การติดต่อธนาคารที่หินที่สุดคือธนาคารต้องการให้เรา ยืนยันที่อยู่จากเอกสารที่ส่งมาหาเรา มีชื่อเราพร้อมที่อยู่ จากหน่วยงาน 2 แห่งด้วยกันค่ะ เช่นที่ตัวดิฉันเอาไปสมัครเปิดบัญชีที่ใช้บัตรเดบิตได้นะคะคือ ฉบับแรกเป็นเอกสารที่อยู่ของเราจากทางมหาลัยที่โน่นทางมหาลัยจะให้ใส่ที่อยู่เอาไว้แล้วบางอย่างทางมหาลัยจะส่งเอกสารให้เราทางไปรษณีย์ค่ะ ก็เอาเอกสารนั้นมาโชว์ให้กับเจ้าหน้าที่ธนาคารดู ส่วนอีกฉบับอาจจะเป็นเอกสารจ่าหน้าถึงเราตามใบเรียกเก็บเงินจากโทรศัพท์ค่ะ
เท่าที่ทราบตอนนี้นะคะ หากคุณใช้ Lloyds การให้ที่บ้านโอนเงินจากแบงค์กสิกรไทยมาเข้าบัญชีที่ผูกติดกับธนาคาร Lloyds จะเสียค่าธรรมเนียมเพียงแค่ 500 บาท (ข้อมูลปี 2005-2006) จากปกติต้องเสีย ร้อยละเท่าไหร่ก็แล้วแต่เรทธนาคารที่จะโอนมาตั้งเรทโอนค่ะ นอกจากนี้วิธีส่งเงินทางอื่นก็เช่นให้ที่บ้านทำเช็คเงินสดมาแล้วส่งไปรษณีย์แบบลงทะเบียนมาค่ะ ที่นี่จะเสียเวลา clearing เช็คอยู่ที่ประมาณ 1 อาทิตย์ค่ะ
บัตรที่เราควรจะทราบมีอยู่ 5 บัตรค่ะ นั่นก็คือ บัตร ISIC card (บัตรไอสิค การ์ด), YHA card, Young Person Card, Oyster Card และ English Herritage ค่ะ
ISIC card หรือ International Student Identity Card บัตรนี้จะมีอายุอยู่ได้แค่ 6 เดือนค่ะ หลังจากนั้นค่อยไปต่อกันที่อังกฤษอีกที บัตรนี้เป็นบัตร privilage สำหรับนักเรียนโดยเฉพาะ เนื่องจากเขาจะให้ส่วนลดเรามากมายในการเดินทางท่องเที่ยว เช่นค่าที่พัก , ค่าตั๋วเครื่องบิน, หรือการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ โรงละคร ต่างๆหากเราโชว์บัตรนี้ค่ะ (เพราะจัดทำโดยสมาพันธ์การท่องเที่ยวนักศึกษานานาชาติ หรือ International Student Travel Confederation) ทำไปไว้ก่อนไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ วิธีสมัครก็ กรอกใบสมัครและนำหลักฐานต่างๆดังนี้ค่ะ 1) การเป็นนักเรียนของท่านหรือบัตรนักเรียนของมหาลัย, 2)รูปถ่าย 1 นิ้ว 2 รูป, 3)ค่าธรรมเนียม 250 บาท และ 4) สำเนาหน้าพาสปอร์ตค่ะ สอบถามได้กับ agency ทั่วไป หรือว่าที่ จะเข้าเว็บไซต์ก็ได้นะคะที่ http://www.isic.org
YHA card หรือ Youth Hostel Association Card บัตรนี้สำคัญอย่างยิ่งยวด ที่ควรจะทำก่อนไปค่ะ เนื่องจากเราเป็นนักศึกษาการจะไปพักอ้างแรมตามที่ต่างๆ จะนอนโรงแรมก็อาจจะแพงไป หากจะไปกันแบบ backpacker ก็ควรจะนึกถึง YHA ก่อนอันดับแรกค่ะ YHA มีอยู่ทั่วโลก มีอยู่แทบทุกเมืองที่เป็นเมืองท่องเที่ยว การเปิดหาที่พัก YHA ของแต่ละที่ก็จะเป็นเว็บไซต์ของที่นั้นๆแยกกันไปเลย หาได้จาก googleเจ้าเก่าโดยพิมพ์YHA และสถานที่ที่เราจะเข้าพักว่ามี YHA ที่สถานที่นั้นๆหรือเปล่า ซึ่งปกติจะมีทุกที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหญ่ๆไปทั่วโลกเลยค่ะ ที่พักของเขาจะมีหลายแบบค่ะ ถ้าเป็นแบบ dorm เข้าไปแล้วก็จะมีเตียงหลายเตียง dorm ก็มีแบบ รวมชายหญิง และแยกห้องหญิงล้วนและชายล้วนค่ะ ไม่ต้องตกใจ บางทีเราไปเที่ยวกันมีทั้งกลุ่มผู้ชายและกลุ่มผู้หญิงก็นอนเป็นห้องรวมก็สะดวกดีค่ะ แต่อาจจะต้องเจอผู้ร่วมห้องแปลกๆบ้างก็ต้องทำใจ ที่ดีที่สุดก็คือ ห้องแบบ 4 คน หรือแบบ 2 คน ถ้าหาเพื่อนไปกันได้ 4 คนหรือ 2 คน จองห้องแล้วเราจะได้ทั้งห้องเป็นของเราเลยค่ะ ก็จะสบายไปอีกแบบ แต่หากไปเที่ยวกันอย่างประหยัด เพศเดียวกันจะนอนห้องรวมชายล้วน หรือหญิงล้วนก็ไม่ว่ากันค่ะ จะลำบากก็ตรงเตียงมักจะเป็นเตียง 2 ชั้นและเพื่อนร่วมห้องอาจจะนอนดิ้นไปบ้าง หรือว่าบางคนไปเที่ยวกลางคืนกลับมาอาจจะเปิดไฟจ้ามากๆจนเราอาจจะไม่ได้หลับไปบ้างก็เป็นประสบการณ์กลับมาเล่าสู่กันให้ขำขำกันได้ค่ะ YHA นี้เป็น member ของ HI (Hosteling International) ค่ะ เพราะฉะนั้นหากต้องการเข้าพักที่ไหนแล้วมีสัญลักษณ์ HI ก็สามารถใช้บัตรนี้ได้เช่นกันค่ะ (ราคาจะได้ลดมากกว่าคนที่ไม่ได้เป็น member) มีแบบใช้ทั่วโลก 1ปี, 2ปี, 3 ปี แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเดินทางทำบัตรทั่วโลกแบบ ตลอดชีพราคา 1,300 บาทไปเลยจะสะดวกกว่าค่ะ เพราะจะได้ใช้ได้ในทุกๆการเดินทางของเราด้วย (หากคุณไม่ชอบเดินทางไปกับทัวร์นะคะ) สมัครได้จากทางเว็บไซต์และชำระเงินตามธนาคารและส่งใบ payin slip ได้เลยค่ะหรือโทรสอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-628-7413-5 ค่ะ และข้อมูลการทำบัตรที่ YHA Thailand เว็บไซต์นี้ค่ะ http://www.tyha.org หากทำบัตรแล้วอยากหาข้อมูลอื่นๆ และเรื่องที่พักในประเทศต่างๆก็ทำได้ง่ายๆค่ะ ที่นี่เลย http://www.yha.org.uk หรือ http://www.hihostels.com
Young Persons Card ที่เราเรียกกันหรือชื่อบัตรเต็มๆที่ชื่อว่า Young Persons Rail Card คือบัตรสำหรับใช้ขึ้นรถไฟแบบลดราคาของที่อังกฤษค่ะ นักเรียนที่ต้องใช้การเดินทางด้วยรถไฟบ่อยๆ เช่นต้องเข้ามาลอนดอนหรือไปเมืองอื่นๆทั่วอังกฤษจำเป็นอย่างมากที่จะต้องมีบัตรนี้ค่ะ การที่จะทำบัตรนี้ก็ง่ายๆค่ะ ไปที่ post office ของในมหาลัยจะมีที่ให้กรอกทำบัตรนี้อยู่ เมื่อกรอกบัตรแล้วนำรูปถ่ายไปให้พนักงาน พร้อมทั้งชำระเงินได้เลย แต่หากคุณมีอายุเลย 25 แล้วจะต้องได้รับตรา stamp จากทางคณะก่อนว่าเราเป็นนักเรียนของที่นั่นจริงๆค่ะ จากนั้นเราก็จะได้บัตรมา เวลาจะขึ้นรถไฟไปที่ไหน ก็สามารถไปกดตู้เลือก young persons card หรือว่าโชว์บัตรนี้ให้กับพนักงานซื้อตั๋วได้เลยค่ะ นอกจากนั้นเมื่อมีนายตรวจตั๋ว เราจะต้องนำตั๋วนี้และ young persons card โชว์อีกรอบ เพื่อให้เขาแน่ใจว่าเราซื้อตั๋วถูกได้เพราะเรามีบัตรนี้ค่ะ ค่าทำบัตรนี้อยู่ที่ 20 ปอนด์ แต่ถ้าไปบ่อยๆ จะได้ลดเยอะค่ะ คุ้มแน่นอน เช็คข้อมูลได้ที่เว็บนี้ค่ะ http://www.youngpersons-railcard.co.uk
Oyster Card เป็นคล้ายบัตร Smart Card สำหรับคนที่จะใช้ underground หรือที่เราเรียกกันสั้นๆ ว่า tube บัตรนี้แนะนำสำหรับคนที่จะอยู่ ลอนดอนโดยเฉพาะค่ะ ใช้ได้หมดกับทุกๆ transportation หลักๆของลอนดอนค่ะ เช่น tube และ รถบัส ส่วนคนที่อยู่นอกลอนดอน ถ้าจะเข้าลอนดอน ไปเที่ยว แนะนำว่าซื้อบัตรแบบ ตั๋ววัน ไม่ก็จ่ายเป็น single trip ไปจะสะดวก และอาจจะประหยัดกว่าค่ะ (น่าจะคล้ายๆ Octopus ของ HK แต่ที่ HK นำไปซื้ออาหารและเข้า seven eleven ได้ค่ะ แต่บัตร Oyster ใช้ได้เฉพาะเรื่องของการขนส่งเท่านั้น ของที่ Melbourne ก็เรียกว่า Myki และของไทยก็มี Rabbit ไงคะ)ใครอยากรู้รายละเอียดของOysterแนะนำเข้าเว็บนี้ไปศึกษาข้อมูลก่อนซื้อค่ะ https://oyster.tfl.gov.uk/oyster/entry.do
บัตร English Heritage ใบนี้ หากคุณเป็นคนที่ชอบดูพวก ปราสาทเก่าๆ บ้านโบราณ หรือของที่เป็นพวกเมืองโบราณที่มีการอนุรักษ์เอาไว้ บัตรนี้ก็จะดีมากค่ะ เพราะมีสถานที่น่าสนใจหลายที่ ที่เป็นเมืองโบราณและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ทางอังกฤษเลือกให้เป็น English Heritage และหากคุณมีบัตรนี้จะเสียค่าเข้าชมฟรี หรือ ลดราคาสำหรับบางที่ค่ะ นอกจากนั้นเขาจะมีนิตยสารการท่องเที่ยวต่างๆส่งมาให้ตามที่อยู่ในวันที่กรอกใบสมัครค่ะ บัตรนี้ไม่สะดวกแน่หากทำไปก่อนได้ คงต้องรอให้ไดที่อยู่ที่แน่นอนแล้วค่อยทำนะคะ สมัครออนไลน์ก็ได้ หรือว่าหากคุณไปเที่ยวสถานที่ที่มีตราสัญลักษณ์ของ English Heritage อยู่ก็สามารถสมัครและใช้บัตรได้เลยค่ะ ก็ไม่มีอะไรมาก เอาบัตรนักเรียน เอาหน้าพาสปอร์ต กรอกใบสมัครและชำระเงินก็สามารถเป็นสมาชิกได้แล้วค่ะ ง่ายมากๆเลย สมาชิกภาพจะอยู่ที่ 1 ปี (พอดีกับชีวิตนักเรียนอังกฤษของเราพอดีเลยค่ะ) ค่าสมัครก็คือ 40 ปอนด์ นะคะ ส่วนบางคนที่เป็นคนอายุเยอะแล้วเป็นคนอังกฤษเขาจะชอบเที่ยวชมบ้านเมืองเก่าแก่ของเขากันมาก เขาก็สมัครกันแบบตลอดชีพไปเลยค่ะ ค่าสมัครก็แพงเช่นกัน คือ 850 ปอนด์ค่ะ แต่ถ้าจะมากันแบบแพ็คคู่ ก็จะเสียอยู่ที่ 1,100 ปอนด์ แต่ก็มีสถานที่น่าสนใจอยู่มากมายที่น่าจะเข้าชมเช่น Dover Castle, Stonehenge, Lindisfarne Priory, สามารถเข้าไปหาข้อมูลกันก่อนได้ที่ http://www.english-heritage.org.uk ค่ะ แต่หากไม่มีเวลาไปเข้าพวก English Heritage ที่ต้องใช้เกิน 40 ปอนด์ ก็สามารถเข้าไปเยี่ยมชมแต่ละที่ก็ได้ค่ะ เสียค่าเข้าแบบ Concession (คือพวกนักเรียน และ pensioner )ก็ได้ค่ะ ราคาจะไม่แพงมาก บัตรนี้จะดีอย่างคือเขาจะให้แผนที่ และ guide book มาให้ 1 ชุดเพื่อที่เราจะได้วางแผนไปเที่ยวเป็นโซนๆ ไปได้ค่ะ แต่หากไม่ชอบหรือเข้าขั้น บ้าบ้านโบราณและซากปราสาทหน้าตาละม้ายซากปรักหักพังตั้งอยู่บนพื้นเขียวขจีของแผ่นดินอังกฤษละก็ไม่จำเป็นต้องทำบัตรนี้ค่ะ
เบสิคไลฟ์ของที่นี่ที่ทุกคนต้องทำก็คือการซักผ้าค่ะ การซักผ้า อบผ้าที่นี่ ก็ไม่เหมือนกับประเทศไทยนะคะ ง่ายที่สุดคือเดินเข้าไปสังเกตคนข้างๆค่ะว่าเขาทำยังไงกันบ้างแล้วทำตามค่ะ (ล้อเล่นค่ะ) การซักผ้าที่นี่ขึ้นอยู่กับปัจจัยว่าเราว่างวันไหน เรามีเหรียญครบไหม เรามีผงซักฟอกแบบที่เป็นผง เป็นน้ำ หรือเป็นก้อนหรือเปล่า และเรามีน้ำยาปรับผ้านุ่มหรือยัง เรามีตระกร้าผ้าไหม อยู่ที่โน่นหนึ่งอาทิตย์จะซักเสื้อผ้าสักครั้งหนึ่งค่ะ เพราะว่าเรียนโหดเหลือเกิน ใครสักช่วงระหว่างอาทิตย์ได้นี่ก็เจ๋งค่ะ เพราะว่าต้องไปเสียเวลารอผ้าต้องใช้เวลาร่วมๆแล้วประมาณ สอง สามชั่วโมงทีเดียวค่ะ เอาเวลาไปนั่งอ่านหนังสือและทำรายงานจะดีกว่า ดังนั้นช่วงเวลาสุดสัปดาห์จะเป็นช่วงที่ห้องซักผ้ามีคนแน่นไปหมดค่ะ ยิ่งช่วงจะกลับบ้าน มีปิดเทอมก่อนหน้านั้นนิดหน่อยจะคราคร่ำไปด้วยผู้คนแย่งกันใหญ่ค่ะ
อยู่ที่อังกฤษคุณจะต้องมีกระเป๋าใส่เหรียญเอาไว้ค่ะ เหรียญนั้นรักษายิ่งชีพเพราะมีความจำเป็นต่อการนำไปใส่ตู้หยอดผ้ามากๆค่ะ ซักผ้าก็เอาผ้าใส่เข้าไปแล้วก็ใส่ผงซักฟอก จะแบบไหนก็สุดแท้แต่ความพอใจของเราค่ะลงไป อย่าใส่เยอะนะคะ ถ้าฟองออกมากจะทำให้เราต้องมาถูพื้นที่เต็มไปด้วยฟองเสียแรงเปล่าๆปลี้ๆค่ะ ที่สำคัญ ระวังอย่าเอาสเว็ตเตอร์หรือผ้าวูลไปซักนะคะ ของแบบนี้ซักแล้วอาจจะสีตก หรือไม่ก็ผ้าหดเป็นชุดเด็กไปในบัดดลได้ค่ะ ที่โน่นจะมีให้เลือกค่ะว่าจะซักน้ำร้อนหรือน้ำเย็น ส่วนมากก็ซักน้ำร้อนค่ะ ฆ่าเชื้อโรคไปในตัว แต่มีปัญหาถ้าเกิดเราใส่เสื้อผ้าดีดี เอาไปซักน้ำร้อน สีอาจจะไม่สวย เสื้ออาจจะย้วยได้ และเผลอตัวอื่นอาจจะสีตกมาใส่เสื้อเราต้องระวังค่ะ รุ่นน้องเคยมาแล้ว เสื้อผ้าสีชมพูตกใส่ ทุกอย่างกลายเป็นสีชมพูต้องโละทั้งล็อตด้วยน้ำตาค่ะ
หลังจากนั้นจะมีตัวเลขขึ้นว่าเราต้องรอไปกี่นาทีค่ะ บางทีบางคนก็เอาหนังสือไปนั่งอ่านรอ แต่บางคนก็กลับมาบ้านไว้ใกล้ๆค่อยออกไปย้ายเข้าเครื่องอบผ้าต่อไปค่ะ หรือบางคนก็นั่งเม้ากะเพื่อน การหาเพื่อนไปนั่งเม้านี่อภิรมย์สุดๆค่ะ นอกจากจะได้เม้าไปด้วย ชี้ชวนกันดูหนุ่มๆไปด้วยแล้ว ยังทำให้เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจริงๆค่ะ หลังจากที่ซักเสร็จเราก็จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของเราจากเครื่องซักไปเข้าเครื่องปั่นแห่งค่ะ เครื่องปั่นแห้งจะต้องสำรวจดีดี บางที่จะใช้เหรียญจำนวนหนึ่งจะทำให้ปั่นไปได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ดังนั้นเราจะต้องดูว่าเสื้อผ้าเราจะต้องใช้เวลากี่นาทีจึงจะแห้งค่ะ บางทีบางคนก็ใส่ไปเลย สี่สิบกว่านาทีเพราะซักยีนส์ก็จะแห้งยากหน่อย ก่อนจะปั่นแห้งอย่าลืมเอาตะแกรงดักฝุ่นในตัวเครื่องเอาไปเคาะเอาฝุ่นออกก่อนก็ได้นะคะเพื่ออนามัย ในช่วงปั่นแห้งรุ่นน้องของดิฉันบางคนก็ใส่กระดาษหอม (กระดาษที่ขายใกล้ๆกับที่ซักผ้าค่ะ) เอาไปใส่ปั่นไปด้วย ผ้าที่ออกมาก็จะหอมค่ะ แต่ดิฉันไม่เคยทำ ฮี่ฮี่
บางคนก็เอาผ้าตัวนั้นมาใส่เครื่องดูดฝุ่นค่ะ ดูดในห้อง ห้องก็จะมีแต่กลิ่นหอมค่ะ ที่หอจะมีเครื่องดูดฝุ่นให้ใช้ร่วมกันค่ะ รวมทั้งเตารีดด้วย ดูดฝุ่นนี่ก็นานนาน ครึ้มอกครึ้มใจก็มาดูดทีค่ะ หรือถ้าห้องเห็นว่าฝุ่นชักจะเยอะไปแล้วก็ต้องจัดการสังคายนาครั้งใหญ่ค่ะ
นอกจากนี้ที่สำคัญก่อนที่น้องๆ จะอาบน้ำอย่าลืมเปิดฝักบัวเอาไว้ก่อนนะคะ เพราะน้ำที่มากับท่อช่วงแรกจะยังเย็นอยู่ค่ะ ไปสักพักจะร้อนขึ้นค่ะ แล้วก็น้ำที่นี่เป็นน้ำผสมสารเคมีมากมาย ดังนั้นผมเราอาจจะมีสุขภาพย่ำแย่ลงเพราะน้ำที่นี่ได้ค่ะ ควรที่จะหาครีมบำรุงผมเข้าช่วยด้วยค่ะ อ้อลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่งว่า เวลาทำกับข้าว ต้องระวังอย่าให้ควันที่เรากำลังทำอาหารอยู่ ลอยไปถึงเครื่องดักจับควันนะคะ เพราะว่าเมื่อควันลอยมาถึงแล้วมีปริมาณมากเกิดไปละก็ มันจะทำให้สัญญาณไฟไหม้ดัง แล้วถ้าหากสัญญาณไฟไหม้ดัง รถดับเพลิงก็จะมาค่ะ ดิฉันเคยทำอาหารแล้วเปิดหน้าต่างไม่ทัน ควันลอยขึ้นไปสัญญาณไฟดังทันที ทำให้คนทั้งแฟลตต้องลงมาอยู่ด้านล่างแฟลตกันเป็นแถว (ดิฉันก็ต้องลงมาด้วย) ตอนนั้นนึกว่าตัวเองจะต้องโดนปรับเงินเสียแล้ว เพราะเคยได้ยินหลายคนพูดว่า หากเราเรียกรถดับเพลิง รถตำรวจ แจ้งเหตุเท็จ หรือดึงสัญญาณไฟไหม้โดยไม่มีสาเหตุเราจะต้องเสีบค่าปรับเพราะว่าต้องเสียเวลาเจ้าหน้าที่เขามาตรวจตาเราค่ะ ตอนที่เดินลงมาหน้าแห้งๆ ก็บอกซอรี่เพื่อนทั้งตึก บางคนลงมาชุดนอน บางคนลงมาแบบงงงง อิฉันหน้ากะเหรี่ยงก็บอกไปอย่างเดียวว่าซอรี่นา เพราะไอทำกับข้าวเอง แฮะๆๆ เพื่อนๆฝรั่งที่อยู่หอเดียวกันเลยพูดแซวเล่นเลยว่า ยูต้องเอาข้าวมาแบ่งไอแล้วล่ะ เพราะว่าทำให้พวกไอต้องลงมากันในช่วงกลางวันแบบนี้ (ดีนะไม่เป็นช่วงกลางคืน ไม่งั้นอายเขาแย่เลย แต่ละคนคงวิ่งกันมาแบบชุดนอนกันเต็มที่ ดังนั้นสาวๆเตรียมชุดนอนสวยๆเอาไว้ให้พร้อม เมื่อเกิดสัญญาณไฟไหม้กลางดึก เวลาวิ่งลงมาจะได้ไม่อายเค้า)
เมื่อทราบรายละเอียดต่างๆแล้ว เรามาเริ่มเรียนในโรงเรียนสอนภาษากัน 3 เดือนแรกกับดิฉันกันเลยดีกว่าค่ะ
จากคุณ |
:
just.a.girl
|
เขียนเมื่อ |
:
19 มิ.ย. 55 20:40:24
|
|
|
|