ความคิดเห็นที่ 1 ในเมื่อคุณ จขกท ชอบเเบบเดิมเเบบเท่าเทียมกับคนไข้อื่นๆ ก็ขอเเนะนำให้ จขกท. กับครอบครัว ขอยกเลิกประกันเเบบ private เเล้วซื้อเเบบ standard (อะไรก็ตามที่ทางนั้นเรียก) เเทนเสียดีกว่า รอเปลี่ยนปีหน้าก็ได้ค่ะ ได้ความสบายใจด้วย จ่ายน้อยลงด้วย เเล้วก็เป็นบริการเเบบที่เราชอบเป็นทุนเดิมอยู่เเล้วด้วย มีเเต่ได้กับได้นะ จากคุณ : Jennifer Lowclass เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 06:15:35

ความคิดเห็นที่ 2 สอบถามค่ะ ประกันแบบไพรเวทคืออะไรเหรอคะ (ไม่ได้อยู่เยอรมันเลยไม่เข้าใจค่ะ) ปล.ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ ก็แค่คนขี้อิจฉาเท่านั้น คนดีๆมีเงินก็มีเยอะแยะ หรือเอาง่ายๆแค่ตอนที่สามีคุณยังไม่แต่งงานกับคุณเขาก็ยังโสด แต่คนพวกนั้นกลับทำให้เขาเลือกตัวเองไม่ได้เอง ทั้งๆที่พวกเขาพูดภาษาเดียวกัน เกิดที่เดียวกันโอกาสที่จะเข้าใจกันทั้งธรรมเนียมและคำพูดก็มากมายกว่า ไม่ต้องวุ่นวายตอนทำเรื่องแต่งงานยุ่งยากแบบต่างชาติอย่างพวกเราอีกต่างหาก แล้วจะมาโทษหาว่าคนต่างชาติไปแย่งนี่คงไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ไม่ต้องสนใจอะไรหรอกค่ะ จากคุณ : อามามิยะ เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 07:43:03 A:58.0.243.125 X: TicketID:320637

ความคิดเห็นที่ 3 ที่น่ากลัวคือ คนมันคิดอย่างนั้นจริงๆ อย่าไปคิดเล่นๆนะครับ ขอให้ศึกษาถึงประวัติศาสตร์ของบ้านเมืองนี้ไว้บ้างที่เขาทำกับคนยิวเป็นอย่างไร ศึกษากลับไปถึงยุคกลางเลยว่าประวัติคนยิวมาจากไหน แตกต่างอย่างไร โอเคตอนนี้รัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างไรแต่รัฐธรรมนูญเขามีมากี่ฉบับแล้ว แต่คนจริงๆเปลี่ยนไปเยอะไหม ระวังไว้บ้างก็ดีครับ รู้หลบเป็นหางครับ เรื่องไกล้ๆลองศึกษากรณีนอรเวย์ด้วยก็ดี ระวังไว้บ้างอย่างไรสีผิว สีผม มันปิดกันไม่ได้ครับ เผื่อๆใจไว้ด้วยดีกว่า จากคุณ : ลองดู เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 09:19:23 A:27.55.6.208 X: TicketID:008482

ความคิดเห็นที่ 4 เท่าที่ทราบมีสองประเภท State insurance = Gesetzliche Krankenkassen ของรัฐบาล ที่ค่าพรีเมี่ยมจ่ายถูกกว่าของประกันสุขภาพเอกชน Private Health Insurance = PRIVATE KRANKENVERSICHERUNG ประกันสุขภาพเอกชน ดิฉันมาถึงเยอรมนีเมือ่วันอาทิตย์ที่แล้ว และพอดีมีปัญหาสุขภาพตั้งแต่ไปพักอยู่ในไทย ยังไม่ถึงกำหนดกลับอเมริกา เลยแวะมาเยี่ยมบ้านในเยอรมนี อีกตั้งสองเดือนดิฉันถึงจะกลับนิวยอร์ค เลยไปหาหมอที่นี่รักษาไปก่อน ประกันของดิฉันเป้นของ เสตท AOK ดิฉันไม่มีปัญหารอคิวนานนัดหมอในโซนเมืองมิวนิค ซึ่งดิฉันยังไม่มีหมอประจำตัว ด้วยหมอเก่านั่นหลายปีมาแล้ว ไม่ได้ไปหาหมอคนเดิม... จึงเลือกหมอคนใหม่จากออนไลน์ และได้หมอดีด้วย... เป็นคลีนิครวมหมอครบวงจรที่เป็นแบบ Walk in (Akutklinik) ไม่ต้องโทรนัดคิว เปิดตั้งแต่ ๙ โมงเช้า ถึง สี่ทุ่ม ดิฉันแจ้งขอเป็น หมอผู้หญิง เขาจัดให้ และได้หมอดีที่พูดอังกฤษได้ ...ดีเหมือนกันดิฉันจะได้ไม่ต้องพูดอังกฤษปนเยอรมัน... หมอส่งไปตรวจเลือด และหมอจะโทรกลับมาแจ้งผลตรวจเลือด วันรุ่งขึ้นคุณหมอโทรมาเองเลย ไม่ต้องโทรไปถามผลตรวจเลือดเมหือนในนิวยอร์ค คุณหมอแจงๆมาว่าดิฉันปกติทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับเลือดลม จึงส่งโอนต่อไปยัง Orthopädie ให้ใบสั่งโอนมา ดิฉันเริ่มหาหมอ Orthopädie จากออนไลน์ หาหมอผู้หญิงเชี่ยวชาญทางนี้ยาก จนกระทั่งได้หมอที่โรงพยาบาล ดิฉันต้องการหมอผู้หญิงเท่านั้น ไม่ชอบให้หมอผู้ชายต้องมาจับๆตัว เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจะแอบต่อต้านคนเอเชียนหรือไม่... มันต่างไปจากอเมริกา จึงป้องกันไว้ก่อน กับหมอที่ไม่คุ้นเคย ดิฉันโทรไปนัด และดิฉันบอกรีเซพชั่นนิสท์ว่า ต้องการคิวที่เร็วที่สุด... เขาให้คิวสองวันถัดมา เวลาบ่ายโมง เยอรมนีนี่ตรงต่อเวลามาก... ดิฉันเกืบอไปสาย เพราะโอ้เอ้นิดหน่อย และปั่นจักรยานที่ไม่ได้ใช้มาสองปีกว่า จึงต้องนำออกมาปัดฝุ่นตรวจเช็ค... ไปถึงรพ.พอดีบ่ายโมง ยื่นบัตร... พอนั่งไปแป๊บถูกเรียกแล้ว... ดิฉันยังพูดเล่นกับพนง.ว่า "นี่ถ้าดิฉันมาสายนี่คุณคงเคืองดิฉันล่ะสิ" พนง.ตอบว่า "ที่านี่เยอรมนี เราเป็นแบบนี้" เขาไม่ได้ซีเรียสอะไร แค่พูดตอบแบบเล่นๆน่ะค่ะ ดิฉันไม่มีปัญหาในการรอคิวพบหมอ... เท่าที่ีทราบว่า มีหมอส่วนหนึ่งที่คนไข้เยอะ จึงมีคิวยาวเป็นเดือน แต่ดิฉัน "ไม่เลือก" ไปหาหมอที่คนไข้เยอะ เพราะว่า นั่นเหมือนกับโรงงาน ... ดิฉันชอบแบบสบายไม่ไปรอหมอ และหมอไม่รีบร้อนตรวจคนไข้ ดิฉันอ่านรีวิวออนไลน์ก่อนว่าหมอคนนั้นเป็นยังไง ถ้าคนไข้เยอะ ป๊อบปูล่ามาก... ดิฉันผ่าน ไม่เลือก มีหมอตั้งเยอะแยะให้เลือกค่ะ แก้ไขมีตกหล่นสะกดเยอะค่ะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 55 09:26:08 จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 09:23:40

ความคิดเห็นที่ 5 คนเยอรมันส่วนหนึ่งโอเคไม่ต่อต้านคนต่างชาติ และมีอีกส่วนที่ต่อต้านคนต่างชาติ ดิฉันไม่แคร์ อยู่ได้สบาย... ถ้ามีคนเยอรมันถามดิฉันว่ามาจากไหน ดิฉันตอบว่ามาจากอมเริกา (ก็มาจากอเมริกาจริง) จะได้รับการปฏิบัติในทาง Positive และถ้าบอวก่ามาจากนิวยอร์ค คนเยอรมันชอบนิวยอร์ค จะอยากคุยด้วย บ้างบอกว่าไปมาแล้วชอบมากตื่นเต้นดี... ส่วนคนที่ยังไม่เคยไป ก็จะบอกว่า อยากจะเที่ยว และถ้าเจอคนต่อต้าน ดิฉันจะรับมือได้ เข้าใจภาษาเยอรมัน แต่พูดไม่คล่องเท่ากับเข้าใจหมด ด้วยไม่ได้ใช้เยอรมันในอมเริกา แต่แปลกดีที่ฟังเข้าใจหมด ไม่ต้องแปลในหัว... ดิฉันโต้ตอบคนเยอรมันได้ ถ้ามาหาเรื่องกวนบาทา... ดิฉันเตรียมพร้อม เทอมนี้ลูกสาวไปเรียนภาคอินเตอร์ที่มหาลัยแห่งหนึ่งในเบอร์ลิน... เธอเล่าให้ฟังว่า วันก่อนเธอกับเพื่อนสองสามคนจากมหาลัยด้วยกันนั่งรถไฟคุยกันภาษาอังกฤษหัวเราะกันปกติ... ผู้หญิงเยอรมันนั่งข้างหลังบอกให้กลุ่มลูกสาวว่า "Shut your mouth" เล่นเอาเพื่อนๆของลูกที่ไม่คุ้นเคยกับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน They're caught off guard. เลยอึ้งกิน... ยกเว้นลูกดิฉันที่เกิดและโตในนิวยอร์ค เธอหันไปใส่ๆผู้หญิงเยอรมันคนนั้นเป็นภาษาเยอรมัน... ผู้โดยสารเยอรมันอื่นๆเห็นเหตุการณ์ตอนผู้หญิงเยอรมันพูดไม่ดีใส่ ก็มาช่วยผสมโรงกับลูกดิฉัน ต่อว่าผู้หญิงเยอรมันไม่ควรทำให้คนเยอรมันเสียชื่อแบบนี้... เขาอายแทน ผู้หญิงเยอรมันนั่นไม่คิดว่าลูกดิฉันจะพูดเยอรมันได้ เธอก็อึ้งกิน ที่โดนลูกดิฉันโต้กลับ ที่เขาไม่มีมารยาทมาสั่งคนอื่นให้เงียบ ในเมื่อกลุ่มลูกดิฉันไม่ได้คุยเสียงดัง เขาหัวเราะคิกๆกันในกลุ่มของเขาเงียบๆ และเบอร์ลินมันเมืองท่องเที่ยว... ยังไม่คุ้นเคยกับมีคนต่างชาติเยอะแยะในเมืองนั้นอีกหรอ จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 09:42:53

ความคิดเห็นที่ 6 เล่าประสบการณ์ ไม่มีเจตนาให้คิดไปไกล ที่มิวนิค ลูกชายวัยสิบสี่ เดินซุ่มซ่าม เฉี่ยวชนกับชายเยอรมัน โดนบริภาษอย่างไม่ให้อภัย ยอมรับว่า ครอบครัวเราทุกคนตกใจและกลัว จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 10:29:44

ความคิดเห็นที่ 7 เมืองที่เราเคยอยู่ (Kaiserslautern)   ไปหาหมอทีไร ไม่มีอ่ะ ไอ้แบ่งแยกกันแบบนี้ เพราะเค้านัดตามคิว ไม่แบ่งแยกคนผิวสีหรือเชื้อชาติด้วย เพราะแถวนี้เต็มไปหมด เอเชีย อเมริกัน  เท่าที่อยู่มาเกือบ 20 เรายังไม่เคยเห็นแบบนี้อ่ะ ถือว่าโชคดีไป ส่วนพวกปริว๊าท (555 ก็ private น่ะแหล่ะ) ถ้าไม่ขี้โรคจริงๆ หรือไม่ได้เป็นพวกออเซาะหมอ ไม่จำเป็นต้องมีเลย เราเคยจ่าย private ไปสองปี แล้วมาทำแบบธรรมดา ขอบอกว่า ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย จริงๆ ก็แค่ยาต่างกัน แต่ไม่จำเป็น เพราะเราแข็งแรงมากอยู่แล้ว คลอดลูกก็ห้องเท่าเทียมกันกะพวกแพงๆ บริการก็ดีเหมือนกัน จากคุณ : cashmamamia เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 13:02:51

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องธรรมดา คุณ ที่ life isn't fair จากคุณ : PatPDX เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 15:07:48

ความคิดเห็นที่ 9 คุณ Jennifer Lowclass : ไม่ได้ตั้งใจอยากจะมีหรอกนะคะ แต่ว่าทางบ้านทำธุรกิจส่วนตัวกันหมด สามีเลยจ่ายแบบไพรเวท เพราะแพงกว่าไม่มากนัก และ เงื่อนไขดีกว่า ถ้าอยู่ในวงเงินเค้า สิ้นปีเราได้เงินคืนอีกด้วยค่ะ คุณ อามามิยะ : ที่เยอรมันมี 2 แบบค่ะ ทำกับทางหลวง คนเยอรมันส่วนใหญ่ทำแบบนี้ เค้าจะหักเบี้ยประกันสุขภาพนี้ออกจากเงินเดือนเลยค่ะ โดยลูกจ้างจ่ายครึ่งนึง นายจ้างจ่ายครึ่งนึง ถ้าเป็นเจ้าของธุรกิจ เค้าให้เลือกได้ระหว่างทำกับรัฐกับไพรเวท แต่ทำกับรัฐนี่ เบี่ยประกันมันก็สูงกว่าคนที่เป็นลูกจ้างอยู่ดี แต่บริการเท่ากัน ถ้าจะให้ออพชั่นเท่ากับไพรเวท ( สำหรับการเข้าโรงพยาบาลนะคะ เช่น นอนห้องเดี่ยว หมอใหญ่เป็นคนลงมือตรวจ และ ผ่าเท่านั้น อะไรแบบนี้น่ะค่ะ ) ต้องจ่ายเพิ่ม ไปๆมาๆ ก็จะเท่ากับไพรเวท แต่เงินมันไม่มีได้คืนค่ะ ไพรเวทมีวงเงิน ถ้าเราเบิกไม่เกิน สิ้นปีก็ได้เงินคืนมาบ้าง คุณ ลองดู : หวังว่าคงจะไม่ถึงขนาดนั้น น่ากลัวเกินไป แต่ที่เค้าคิด คงคิดกันจริงๆ เพราะลูกน้องเราเอง ยังเคยบอกว่า ผู้หญิงแถวนี้ คิดกันอย่างนี้มีเยอะ เพียงแต่ไม่ได้โดนคนด่ามาหลายปีแล้ว เพิ่งมาโดนอีกที เลยสะดุ้ง 555 คุณ JidNince : จริงค่ะ คุณหมอคิวทอง ไม่ว่าที่ไหนๆก็ต้องรอนาน เสียแต่แถวๆใกล้บ้านนี้ ทางเลือกมีไม่มาก ไม่เหมือนเมืองใหญ่ๆ คนเลยค่อนข้างแน่นทุกที่ เรื่องคนต่อต้าน อันนี้ทำใจมานานแล้ว โดนไปก็หลายชอต 555 จากร้องไห้กลับบ้าน ก็เริ่มตอบโต้บ้าง แต่อันนี้มันเป็นเรื่องที่ คลีนิคหมอทำขึ้นมาเอง ประกอบกับเราเป็นต่างชาติ ซวยทั้งขึ่นทั้งล่อง คนแถวบ้าน มีพวกต่อต้านค่องข้างมากค่ะ ไม่แน่ใจว่า ต่อต้านต่างชาติ หรือว่า ต่อต้านติดหมั่นไส้สาวไทยกันแน่ ไม่ต้องไปไกล เพื่อนบ้าน 3-4 หลัง ตั้งแต่ปลูกบ้านมาจะสิบปี ไม่เคยคุยกับเรา ลูกเราเค้าก็ไม่ให้เล่นด้วย ลูกเค้าล้อเลียนลูกเราตลอด ว่าเป็นต่างชาติ ห้ามผ่านถนนนี้ ห้ามขึ้นรถ ห้ามนั่ง บลาๆๆๆ ลูกได้แต่ด่าว่า ชั้นก็เป็นคนเยอรมีน พ่อชี้นก็เยอรมีน ชั้นอยู่ที่เยอรมัน แล้วแบบนี้ไม่เยอรมันตรงไหน แค่หัวไม่บลอนด์เหมือนพวกเธอ แต่แม่พวกเธอก็ไปย้อมผมสีเหมือนชั้นกันนะ จบข่าว หลังจากนั้น เหมือนเราต่างคนต่างอยู่ คุณ newcomer (gpvtu2009): แบบนั้นมันก็น่ากลัวเกินไปนะคะ แค่เด็กเดินชน คุณ cashmamamia : เมื่อก่อนก็ยังไม่เท่านี้ค่ะ ที่ๆยังเท่าเทียมกันเหมือนเดินก็ยังมี มักเป็นหมอรุ่นเก่าแล้ว หมอรุ่นใหม่ๆมักจะเป็นแบบนี้เสมอ เรื่องการตรวจรักษา เราว่าคงเหมือนๆกัน แต่ที่เราหมายถึง คือ เรื่องคิวน่ะค่ะ ทำให้เราโดนเป็นเป้ามองบ่อยๆ ที่เคืองมากๆคือ บอกไม่มีคิว แต่พอบอกว่าเป็นไพรเวท มีคิวได้เน๊อะ แย่ๆๆๆ คุณ PatPDX : เป็นเรื่องจริงที่น่าเศร้าจริงๆค่ะ จากคุณ : จขกท. (Annachen) เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 16:05:21

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้าลำบากใจ ลองหาหมอที่รับแต่ไพรเวทมั้ยคะ ของที่บ้าน ส่วนมากจะเน้นหมอที่รับแต่ไพรเวท บางหมอ บางทีเค้าก้อไม่สนใจนะคะว่าไพรเวทหรือไม่ แทรกคิวไม่ได้ก้อมี บางทีก้อโดนเอาเปรียบ ลูกสาวเราเคี้ยวอาหาร แล้วมีเลือดติดออกมาด้วย พาไปหาหมอฟัน ได้เช็คทันที จริงๆ เช็ครอบเดียวก้อเช็คได้ทั้งปากแล้ว เสร็จแล้วเธอก้อบอกว่าอีกห้าวันมาเช็คใหม่อีกทีเอาแบบเต็มๆ นะ สรุปคือจะคิดตังค์สองรอบ เรื่องยาเหมือนกัน ยาลูกสาวมีอันนี้ซึ่งมีสองราคา ต่างกันห้าเท่า ที่ร้านขายยาสั่งแบบแพงไปให้ เราไปโวย โดนถามกลับว่าเธอจะโวยทำไม ในเมื่อประกันจ่าย ฟังแล้วรับไม่ได้ค่ะ เหมือนโดนเอาเปรียบอ้อมๆ สรุป เราไม่เคยโดนกระแนะกระแหนแบบที่คุณ จขกท. โดน เราว่ามันแปลกค่ะ เพราะส่วนมากคนเยอรมันชอบคิดว่าคนต่างชาติฟังเค้าออกมักจะไม่นินทาระยะเผาขนแบบนี้ ชอบไพรเวทก้อตรงถ้าเข้าโรงพยาบาล ได้หมอใหญ่ดูแล ของบ้านเราสำคัญมากเพราะลูกเรามีโรคประจำตัว ป่วยบ่อย ยาเยอะ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 55 16:14:45 จากคุณ : ดีใจที่เกิดเป็นคนไทย เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 16:13:34

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องประกันสุขภาพในเยอรมันเป็นเรื่องที่คนเยอรมันเองก็ถกเถียงกันมากค่ะ ถ้าไปอ่านฟอรั่มของแมกกาซีนข่าวสารอย่าง Spiegel หรือฟอรั่มเยอรมันอื่น ๆ หัวข้อเรื่องการประกันสุขภาพจะเป็นเรื่องที่ฮ็อตมาก ๆ เพราะระบบการประกันสุขภาพแบบ public กับ private นับวันแต่จะทำให้ผู้คนได้รับบริการด้านสาธารณสุขไม่เท่าเทียมกัน จากคห.1ไม่ใช่ว่าคนที่มีประกันสุขภาพแบบ public จะจ่ายเบี้ยประกันน้อยกว่าคนที่ประกันแบบ private เสมอไปนะคะ คนที่ประกันแบบ private บางส่วนนั้นเลือกประกันแบบ private เพราะจ่ายน้อยกว่าการประกันสุขภาพแบบ public หรือจ่ายมากกว่าแบบ public นิดหน่อยแต่คุ้มกับราคามากกว่า โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเจ้าของกิจการหรือทำงานอิสระบางคนจะเลือกประกันแบบ private กัน เพราะหากประกันแบบ public จะต้องเสียเบี้ยประกันในส่วนของลูกจ้างและส่วนของนายจ้างเอง (ประมาณ 15% ของรายได้ต่อเดือน + care insurance อีกประมาณ 2% ของรายได้ต่อเดือน) ซึ่งปกติถ้าทำงานเป็นลูกจ้าง นายจ้างจะจ่ายประกันสุขภาพให้ครึ่งหนึ่ง และหากเป็นเจ้าของกิจการหรือทำงานอิสระและมีรายได้มากกว่า 3825 ยูโรต่อเดือน จะต้องจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพระบบ public เป็นเงินเกือบ 600 ยูโรต่อเดือน ซึ่งเมื่อรวมกับ care insurance แล้ว จะต้องจ่ายให้กับบริษัทประกันสุขภาพถึงเกือบ 700 ยูโรต่อเดือน (อ้างอิงจาก http://www.tk.de/tk/bei-der-tk-versichert/selbststaendige/selbststaendige/346546 ) แต่ได้รับการบริการเท่ากับคนที่จ่ายแค่ขั้นต่ำ ซึ่งหากจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพแบบ private เท่านี้ก็จะได้รับบริการที่ดีกว่าแบบ public (รอคิวไม่นาน เลือกรักษากับหมอใหญ่ได้ ได้อยู่ห้องเดี่ยว) ส่วนลูกจ้างนั้นจะโดนบังคับให้อยู่ในระบบประกันสุขภาพแบบ public หากมีรายได้ไม่เกิน 50850 ยูโรต่อปี (Versicherungspflichtgrenze) (อ้างอิงจาก http://beitragsbemessungsgrenze-aktuell.de ) จากสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ประกันสุขภาพแบบ public ได้รับการบริการที่ต่างจากแบบ private แม้บางคนจะจ่ายเบี้ยประกันแบบ public 600 ยูโรต่อเดือนก็ตาม เจ้าของกิจการและลูกจ้างที่มีรายได้สูงจึงหันไปประกันสุขภาพแบบ private เพราะสามารถกำหนด tariff ได้เอง และคุ้มกว่าการประกันแบบ public แต่ข้อเสียของการประกันแบบ private คือเบี้ยประกันจะเพิ่มตามอายุและความเสี่ยงของการเจ็บป่วย ไม่เหมือนกับการประกันแบบ public ที่คิดเบี้ยประกันจากรายได้อย่างเดียว และถ้าอายุเกิน 55 ปีแล้วจ่ายเบี้ยประกันไม่ไหว จะไม่สามารถกลับไปประกันสุขภาพแบบ public ได้ ผู้ประกันสุขภาพที่อยู่่ในระบบการประกันสุขภาพแบบ private ส่วนใหญ่จึงเป็นผู้มีรายได้สูง อายุไม่มาก มีโรคภัยไม่มาก ส่วนผู้ที่เหลืออยู่ในระบบประกันสุขภาพแบบ public นั้นส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางที่เป็นพนักงานบริษัท ผู้ตกงานที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ (รัฐช่วยจ่ายประกันสุขภาพด้วย) ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่มีโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาเป็นปี ๆ (ถูกกว่าแบบ private) คู่สมรสที่ไม่ได้ทำงานของผู้ประกันสุขภาพและบุตรที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนที่ยังไม่มีรายได้ ส่วนข้าราชการ (Beamte) ไม่ถูกบังคับให้เข้าระบบประกันสุขภาพแบบ public โดยข้าราชการและสมาชิกในครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล (Beihilfe) 50-80% จากรัฐ ( http://www.oeffentlichen-dienst.de/versicherungen/41-beamte/129-krankenversicherung-fuer-beamte.html ) และสามารถเลือกทำประกันสุขภาพกับบริษัทประกันแบบ public หรือ private ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่นั้นข้าราชการจะเลือกประกันสุขภาพแบบ private เพราะการประกันสุขภาพแบบ private จะมี tariff สำหรับข้าราชการ ซึ่งต้องจ่ายเบี้ยประกันโดยคิดเฉพาะส่วนที่ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ Beihilfe เท่านั้น แต่การประกันสุขภาพแบบ public ไม่มี tariff เช่นนั้น จึงต้องจ่ายเบี้ยประกันตามรายได้ทั้งหมดและจะเสียสิทธิที่จะได้รับเงินช่วยเหลือ Beihilfe เนื่องจากผู้มีรายได้สูงพากันออกจากระบบการประกันสุขภาพแบบ public ไปประกันแบบ private และในระบบการประกันสุขภาพแบบ public มีผู้ที่ไม่ได้จ่ายเงินเข้าระบบแต่ได้รับสิทธิคุ้มครองจากประกัน (คู่สมรสที่ว่างงานของผู้ประกันสุขภาพและลูก ๆ ในวัยเรียน และคนตกงานที่ได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ) และเนื่องจากบริษัทประกันสุขภาพแบบ public ไม่มีสิทธิปฏิเสธรับผู้ป่วยเรื้อรัง จึงทำให้เงินในระบบการประกันสุขภาพแบบ public มีไม่เพียงพอ ทำให้ต้องขึ้นราคาเบี้ยประกันสุขภาพแบบ public ขึ้นทุกปี ผู้ที่มีรายได้สูงก็ยิ่งรู้สึกว่าได้รับบริการทางสาธารณสุขที่ไม่เป็นธรรม (เช่น ต้องจ่ายเบี้ยประกันเดือนละ 500 ยูโรแต่ได้รับบริการเท่ากับคนที่ไม่ได้จ่ายเงินเข้าระบบหรือคนที่จ่ายแค่ขั้นต่ำ) หากทางรัฐไม่ทำการปฏิรูประบบ คิดว่าระบบนี้คงล่มสลายสักวันแน่ เรายังประกันแบบ public ค่ะ กำลังคิดจะย้ายไป private เพราะถูกกว่าที่เราจ่ายตอนนี้ และสามารถเลือก tariff ได้เอง แต่ไม่แน่ใจว่าจะย้ายดีหรือเปล่า คิดแล้วทุกวันนี้เสียค่าประกันสุขภาพไม่คุ้มเลย เคยป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องรอหมออยู่หลายชั่วโมง แต่รู้สึกว่าเวลาหมอที่โรงพยาบาลตรวจก็ตรวจเราดีค่ะ ก็คงเหมือนโรงพยาบาลรัฐที่บ้านเรา แต่เครื่องไม้เครื่องมือทันสมัยกว่า เรื่องรอคิวเราว่าไม่ได้รอนานเสมอไปค่ะ เมื่อสองปีก่อนเราเคยไปหาหมอที่คลินิกเพื่อตรวจภูมิแพ้ โทรนัดวันนี้ พรุ่งนี้ได้คิวเลย หมอฟันที่เราไปหาประจำก็รอไม่นานค่ะ ได้คิวหลังวันโทรนัดแค่สองสามวัน แต่หมอตารอนานมาก ประมาณครึ่งปี สำหรับผู้หญิงเยอรมันที่จขกท.เจอ เราว่าอย่าสนใจพวกโลกแคบเลยค่ะ พูดยังกับว่าเป็นคนต่างชาติแล้วจะหางานที่นี่ได้ง่ายนัก เรายังไม่เคยเจอผู้หญิงเยอรมันพูดไม่ดีใส่ ถ้าเจอคงด่ากลับแน่ ผู้หญิงด้วยกันเราไม่กลัวอยู่แล้ว คนชาตินี้ยิ่งหงอให้ยิ่งดูถูกเรา แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 55 17:08:45 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 55 16:56:15 แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 55 16:53:13 จากคุณ : Sonnenschein เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 16:46:33

ความคิดเห็นที่ 12 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบันเป็นไปทั้ง 2 ด้าน นั่นคือ   คนรุ่นหนุ่มสาวที่อยู่ในวัยทำงานมีรายได้ดีที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายประกันไพรเวทได้ก็จะย้ายจากประกันรัฐไปอยู่ไพรเวท  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนโสดหรือมีครอบครัวเล็ก เช่น มีลูกแค่ 1 คน   ถ้ามีลูก 2 คนรวมพ่อและแม่แล้ว   จะแพงเกินไป  เมื่อเปรียบเทียบกับค่าประกันของรัฐ สถิติจำนวนของคนหนุ่มสาวที่ย้ายไปอยู่ประกันไพรเวทจึงเพิ่มขึ้น   ยิ่งในปัจจุบันที่สภาพเศรษฐกิจดี  อัตราว่างงานต่ำ  คนหางานได้ง่ายขึ้น  การย้ายประกันไปอยู่ไพรเวทยิ่งมีมากขึ้น ในทางกลับกันเมื่ออายุมากขึ้น   ความสามารถในการหารายได้ลดลง  คนกลุ่มนี้ก็จะย้ายไปอยู่ประกันของรัฐ    และนี่จีงเป็นสาเหตุให้รัฐต้องออกกฏเกณฑ์เพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบเกิดขี้น   นั่นคือการที่คนกลุ่มประกันไพรเวทจะย้ายไปอยู่ประกันรัฐนั้นเป็นไปได้ยาก หรือแม้แต่ทำได้แต่ไม่คุ้มจนทำให้ต้องอยู่ในประกันไพรเวทเหมือนเดิม  ที่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันสูงกว่าประกันรัฐเท่าตัว   ตามสถิติของประกันรัฐในปี 2011  มีจำนวนคนย้ายจากไพรเวทไปอยู่ประกันรัฐราว 12%  และในขณะเดียวกันสถิติของคนหนุ่มสาวที่ย้ายไปประกันไพรเวทก็เพิ่มขึ้นราว 8% เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า   การมีประกันให้เลือก 2 แบบนี้ทำให้เกิดภาวะแบ่งชนชั้นเป็น 1st class และ 2nd class  แต่กระนั้นก็ตามทั้ง 2 ระบบมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน   ประกันไพรเวทได้รับการคุ้มครอง  และ บริการที่ดีกว่า   แต่จ่ายค้าประกันสูงกว่าซึ่งไม่มีปัญหาตราบใดที่ยังมีรายได้   แต่เมื่ออายุมากขึ้น รายได้น้อยลง  ต้องอาศัยเงินเกษียณ ค่าประกันกลับเป็นภาระ  จะย้ายกลับไปประกันของรัฐก็ทำไม่ได้ ประกันของรัฐจ่ายน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง  ครอบคลุมและบริการระดับชั้นสอง  แต่คุณภาพได้มาตรฐาน ข้อเท็จจริงที่อาจสามารถทำให้มองภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นคือ   จำนวนประชากรเยอรมัน 82 ล้านคน นั้น มีเพียงกว่า 8 ล้านคนหรือราว 11% เท่านั้นที่มีประกันระบบไพรเวท  เมื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศประกันในระบบของรัฐ  นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่ากระประกันระบบของรัฐต้องไม่เลวร้ายเกินไปอย่างแน่นอน  แต่ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ  แน่นอนว่าประกันไพรเวทจะได้รับคุณภาพบริการที่ดีกว่าในเรื่อง   ความสะดวกในการขอคิวนัดแพทย์เฉพาะทาง   หรือ  ได้รับการรักษาจากแพทย์ใหญ่   หรือ ได้นอนห้องเตียงเดี่ยว หรือแค่ 2 เตียง   หรือ การเลือกที่จะไป rehabilitation หลังป่วยได้ง่ายขึ้น   ฯลฯ ที่คุณ Sonnenschein เป็นห่วงว่าระบบของรัฐจะล่มสลายนั้น  ไม่ควรจะต้องเป็นห่วง   เพราะถ้าดูจากงบดุลบริษัทประกันสุขภาพของรัฐทั้งหมดในปัจจุบันนี้  บริษัทประกันรัฐกลับมีเงินรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลตั้งแต่มีการกำหนดให้ผู้ป่วยต้องจ่ายเงินค่าไปปรึกษาแพทย์ไตรมาสละครั้งๆ ละ 10 ยูโร   ถึงแม้จะมีเสียงเรียกร้องจากนักการเมืองฝ่ายค้านให้ยกเลิกการเรียกเก็บเงิน Praxisgebühr นี้หรือแม้แต่เก็บให้น้อยลง  แต่รัฐบาลก็ไม่มีนโยบายจะเปลี่ยนแปลงเพราะค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพมีแต่จะสูงขึ้น  ไม่มีลดลง ที่ จขกท บอกว่าการอยู่ในประกันไพวเวทได้เงินคืนถ้าใช้ไม่เกินงบนั้น   จำนวนเงินที่ได้คืนเป็นจำนวนเล็กน้อยมากเสียจนเรียกได้ว่าเอามาเป็นข้อได้เปรียบไม่ได้เลย   ผมใช้ประกันของ DKV อยุ่ในทุกวันนี้  จ่ายค่าเบี้ยประกันต่อเดือน 300 ยูโร โดยมีส่วนของ Selbstbeteiligung  (ส่วนที่ต้องออกค่าใช้จ่ายเองก่อน  ที่เกินเลยนอกจากนี้ประกันถึงจะจ่าย) อยู่ที่ 2200 ยูโรต้อปี   ถ้าปีไหนใช้ไม่ถึงกำหนดที่ว่านี้ก็ได้เงินคืนมาไม่เกิน 50 ยูโรเท่านั้น ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ  ใช้ประกันของรัฐและซื้อประกันไพรเวทเพิ่มครอบคลุมเป็นเรื่องๆ ไป เช่น  สุขภาพฟัน   สุขภาพตา  เป็นต้น   ก็จะได้ทั้งข้อดีของทั้งสองด้านอยู่ในสมดุลย์ แก้ไขเมื่อ 01 ก.ค. 55 22:52:53 จากคุณ : Bagheera เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 21:42:58

ความคิดเห็นที่ 13 เราก็พริวาทค่ะ ตามปสกของตัวเอง มีสิทธิพิเศษมากกว่าจริงๆ แล้วก็จ่ายถูกกว่าเพราะยังไม่มีลูกด้วยค่ะ หลายที่รับแต่พริวาท พอเปลี่ยนแล้วเห็นชัดค่ะ ว่าการต้อนรับต่างกัน ไม่ต้องรอคิว บริการเพิ่มเยอะกว่า อารมณ์อยากให้ตรวจนู่นนี่นั่นมากกว่า บางทีก็อึดอัดนะคะ คล้ายจขกทเลย อ้อเราอยู่เคิล์นค่ะ จากคุณ : เพชรช่วง เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 22:30:30

ความคิดเห็นที่ 14 คุณ ดีใจที่ได้เกิดเป็นคนไทย : สงสัยคงจะต้องเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะค่ะ เมื่อก่อนมัวแต่ทำงาน เราก็ไม่ค่อยได้พาลูกไปหาหมอเท่าไหร่ มีวันหยุดวันเดียว ส่วนมากคุณย่าเค้าพาไป นอกจากไปฉีดวัคซีน เราถึงนัดตรงกับวันว่าง ตัวเองก็แข็งแรงดี ไม่ค่อยได้ใช้บริการคุณหมอ คุณหมอตรวจประจำ ก็เป็นพวกทุกคนเท่าเทียม เพิ่งมาเจอหลังๆนี่แหล่ะค่ะ คุณ Sonnenschein : คาดว่า นางคิดว่าเราฟังไม่ออก เลยวิจารณ์ระยะเผาขน เพราะเราคุยกับลูกสาวเป็นภาษาไทยตลอด แล้วเราก็ไม่ได้ไปคุยกับเหล่าผู้ช่วยหน้าห้องด้วย คุยกันในห้องหมอเสร็จจบแล้วก็เดินกลับบ้านเลย ไม่ได้คิดมากเรื่องคนด่าหรอกนะคะ โดนมาหลายแล้ว แต่ส่วนมากมาแนวดูถูก เพิ่งจะโดนแนวหมั่นไส้ก็คราวนี้แหละ 555 แต่คิดเรื่องคุณหมอกับการให้บริการมากกว่าค่ะ ถ้ายังเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็เหมือนแบ่งแยกชนชั้นไปเรื่อยๆนั่นเอง คุณ Bagheera : ไม่ได้คิดเรื่องได้เงินคืนแล้วคุ้มกว่าแบบจริงๆจังๆหรอกนะคะ เพราะใครจะไปรู้ว่า เราจะเกินงบ selbstbeteiligung หรือไม่ เรื่องเจ็บป่วยมันวางแผนล่วงหน้าไม่ได้ แต่อย่างที่คุณ Sonnenschein ว่า เราจ่ายให้ Private ของ Central เดือนละ 600 กว่า  ( แอบแพงเน๊อะ ) จ่ายให้หลวงก็พอๆกัน อาจจะน้อยกว่านิดหน่อย ทั้งตัวเองและสามีต่างมีกิจการส่วนตัว เลยเป็นซะอย่างนี้ แต่ของ Central นี่ Selbstbeteiligung ของเราแค่ 1000 ยูโรค่ะ ของเด็ก 500 ยูโร ถ้าไม่เบิก ได้คืนรวมๆกัน เป็นพันยูโรอยู่ค่ะ จากคุณ : Annachen เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 22:39:49

ความคิดเห็นที่ 16 ครอบครัวใช้ AOK มาตลอดสามีเลือกประกันนี้ตั้งแต่ทำงาน ไม่มีความแตกต่างระหว่างการเลือกหมอ หมอทุกคนมีคุณภาพทั้งหมอฟัน ฟมอผ่าตัด สารพัดหมออื่นๆ และตอนออกลูกคนที่สองได้หมอดีเหมือนกับคนมีประกันไพรเวท หมอ Practice ที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง Frauenkrankenhaus ที่ติดกับสวนสาธารณะอิงลิชการ์เท่น ทุกห้องมีวิวสวนสาธารณะ... ได้ห้องส่วนตัว จะพักฟื้นกี่วันก็ได้ไม่ว่าอะไร แต่ดิฉันเลือกอยู่ห้าวัน.. หมอยังบอกว่าทำไมไม่อยู่ต่อถึงสิบวัน เหมือนกับแม่ๆคนอื่นๆ... ดิฉันชินกับระบบประกันสุขภาพในอเมริกา และเมื่อลูกไปผ่าตัดทอลซิล ได้ห้องเดี่ยวอีกรพ.หนึ่ง ได้หมอดี ไม่มีแบ่งแยกอะไร ว่ารักษาไม่เท่าเทียมกัน นั้นยังไม่เคยเจอ นี่ ๒๐ ปีมาแล้วค่ะ การไปหาหมอ ไม่ปวดหัวอะไรเลย... และดิฉันเป็นคนชอบสำรวจคุณภาพของหมอ ไม่ใช่สักแต่ไปหาหมอก็ได้ ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 23:03:08

ความคิดเห็นที่ 17 การจัดห้องรอพบแพทย์แยกระหว่างผู้ประกันไพรเวทกับผู้ประกันรัฐนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่   แต่มีมานานแล้วเพียงแต่ไม่ค่อยเกิดขึ้นให้เห็นบ่อยนัก  จะพบได้ส่วนใหญ่ในเมืองใหญ่ที่แม้แต่เจ้าหน้าที่ของคลีนิคเองยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า   เราอยู่ได้ด้วยผู้ประกันไพรเวทจึงไม่แปลกถ้าจะจัดบริการให้เป็นพิเศษ เหตุผลสำคัญอย่างยิ่งอีกหนึ่งข้อที่จะต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้ประกันไพรเวทหรือของรัฐ  คืออัตราการขึ้นเบี้ยค่าประกัน ประกันไพรเวทนั้นจะเสนออัตราขั้นต้นเริ่มแรกให้ดูต่ำน่าจูงใจ   แต่หลังจากนั้นแล้วอัตราการขึ้นเบี้ยประกันจะพุ่งสูงเกินความคาดหมาย  เคยขึ้นสูงได้ถึง 10% ต่อปีเนื่องจากการขึ้นเบี้ยประกันไพรเวทขึ้นกับ  ประวัติการเจ็บป่วย  เพศ  อายุ   ยิ่งอายุมากเท่าไหร่  เบี้ยประกันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ   สมาชิกในครอบครัวจะต้องแยกประกันเป็นแต่ละบุคคลไป  ไม่มีการร่วมประกันเป็นครอบครัว ในขณะที่ประกันของรัฐนั้นเบี้ยประกันจะพิจารณาจากรายได้ของผู้ประกัน   อัตราการขึ้นเบี้ยประกันจะอยู่ในระหว่างปีละ 2-5%  และสมาชิกในครอบครัวทุกคนทั้งคู่สมรสและบุตรทุกคนสามารวมอยู่ในประกันเป็นแพคเกจครอบครัว ส่วนความเห็นคห 16 ที่ว่า  ได้รับการบริการระหว่างประกันของไพรเวทกับประกันรัฐไม่แตกต่างกันนั้น  รัฐบาลก็ปราถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ยินเสียงตอบกลับแบบนี้   แสดงว่าผู้ประกันของรัฐมีความพอใจกับคุณภาพการประกันของรัฐที่เป็นอยู่  จากการทำสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกันของรัฐมากกว่าครึ่งพอใจกับคุณภาพที่ได้รับจริง   แต่นั่นเพราะคำถามเจาะจงถามเฉพาะกับผู้ที่ประกันของรัฐเท่านั้นไม่ได้ให้เปรียบเทียบความพอใจระหว่างประกันไพรเวทกับรัฐ   เพราะบริการประกันไพรเวทไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเหมือนประกันของรัฐ  มิฉะนั้นแล้วคงไม่มีใครยอมเสียเงินแพงกว่าให้กับประกันไพรเวท เพื่อคุณภาพบริการเท่าเทียมกับคนที่จ่ายน้อยกว่า   และธุรกิจประกันไพรเวทก็ต้องล้มเลิกไปเสียนานแล้ว   เป็นเรื่องของตรรกะเบื้องต้นที่ควรเข้าใจได้ "ไม่มีความแตกต่างระหว่างการเลือกหมอ หมอทุกคนมีคุณภาพทั้งหมอฟัน ฟมอผ่าตัด สารพัดหมออื่นๆ และตอนออกลูกคนที่สองได้หมอดีเหมือนกับคนมีประกันไพรเวท หมอ Practice ที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง Frauenkrankenhaus ที่ติดกับสวนสาธารณะอิงลิชการ์เท่น ทุกห้องมีวิวสวนสาธารณะ... ได้ห้องส่วนตัว จะพักฟื้นกี่วันก็ได้ไม่ว่าอะไร แต่ดิฉันเลือกอยู่ห้าวัน.. หมอยังบอกว่าทำไมไม่อยู่ต่อถึงสิบวัน เหมือนกับแม่ๆคนอื่นๆ.." บางที่คุณอาจไม่ทราบก็ได้ว่า  สามีคุณมีประกันไพรเวท  หรือเป็นไปได้ว่า  สามีทำประกันไพรเวทเสริมไว้กับ AOK ก็ได้ครับ??? แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 55 02:15:32 จากคุณ : Bagheera เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 01:02:31

ความคิดเห็นที่ 18 สามีไม่ทำประกันไพรเวท ค่ะ ดิฉันรู้ และไม่จำเป็นต้องถามเขาเพราะว่าตั้งแต่เราย้ายมาอยู่เยอรมนีจากนิวยอร์ค... บัตรประกันเป็น AOK มาตลอด สามีรู้ว่าอะไรเป็นอะไรค่ะ เขาศึกษาก่อนเลือกประกัน และเขาจะเลือกอะไรก็ไม่สำคัญ ตราบใด้ได้รับการรักษาดี ไม่ได้ด้อยอะไร... ดิฉันไม่มาสนใจว่ามันแตกต่างกัน ระหว่างไพรเวท หรือของรัฐ... ดิฉันพอใจในสิ่งที่มี ส่วนใครจะมีประกันชนิดไหนมันเป็นทางเลือกของเขา ดีกว่า ด้อยกว่า มันเป็นความคิดของส่วสนบุคคลที่ต้องการให้มองเป็นแบบนั้น จากคุณ : JidNince เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 02:36:26

ความคิดเห็นที่ 19 แค่เข้ามาคอนเฟิร์มว่าไพรเวทได้รับการรักษาเร็วกว่าแบบปกติค่ะ ยกตัวอย่างของลูกสาว ตอนผ่าตัดหัวใจครั้งที่สอง ตอนแรกคุณหมอบอกว่าต้องส่องกล้องหัวใจดูก่อน แล้วค่อยดูคิวผ่าตัด ลูกสาวโดนส่องกล้องหัวใจ ผลคือสามารถผ่าตัดได้ หมอแทรกคิวให้ผ่าตัดวันรุ่งขึ้น ได้หมอคิวทองอันดับหนึ่งของศูนย์หัวใจที่มิวนิช ประกันธรรมดา รอคิวมาสองอาทิตย์ บางคนก้อยังไม่ได้ผ่า เลือกหมอไม่ได้ ปีที่แล้วลูกสาวต้องรับการตรวจ mrt หมอที่เป็นหัวหน้าแผนกเขียนหน้าใบขอ mrt ว่า notfall urgent. ลูกสาวได้คิวบ่ายวันศุกร์ทันที ประกันรัฐ เท่าที่ทราบ ปกติรอคิวสองอาทิตย์ถ้าไม่ด่วน ใบสั่งยาจากหมอ ใครออกให้ก้อได้ ไม่สำคัญ บางทีก่อนออกจากโรงพยาบาล หมอจะเอาใบจ่ายยาให้เลย สะดวก บางทีส่งให้ถึงบ้าน ประกันรัฐ ใบจ่ายยาต้องรับจากหมอเด็กที่ดูแลอยู่เท่านั้น คุณแม่บางคนต้องรีบพาลูกออกจากโรงพยาบาล แวะไปคลินิคหมอที่ดูแลอยู่ ขอใบจ่ายยาให้ลูก ส่วนตัวเราว่า เห็นความแตกต่างระหว่างประกันรัฐกับประกันไพรเวทมากมายค่ะ จากคุณ : ดีใจที่เกิดเป็นคนไทย เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 02:40:13

ความคิดเห็นที่ 20 ดิฉันไม่สบายไปหาหมอ ได้รับบริการดีมากพอควร มีเหตุจำเป็น ต้องส่งต่อตรวจ หมอก็เป็นธุระนัดให้ โทรหาคิวให้ มีอยู่หน ฟันหน้าบิ่น โทรไปนัดหมอเขาไม่ว่าง พอบอกปัญหาไป เขาก็บอกมาได้เลย ในวันนั้น ถือเป็นเคสฉุกเฉิน บางคราวไม่ได้นัด ไม่สบายก็ไปนั่งรอตรวจ ก็โอเคนะ อาจจะเป็น เพราะว่า ดิฉันอยู่เมืองที่ค่อนข้างใจกว้างกับคนต่างชาติหรือปล่าว ปล.ไม่ได้ประกันไพรเวทค่ะ จากคุณ : พิพพ์ เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 03:49:14

ความคิดเห็นที่ 21 เมืองที่เราอยู่คนอเมริกันอยู่เยอะมาก เราเองก็โดนเหมาเป็นอเมริกัน จีนไปส่ะงั้นเพราะอ้วนใหญ่ด้วยมั้ง ที่ใช้ประกันแบบ จขกท เพราะสามีทำธุรกิจส่วนตัวเราเลยไม่มีของรัฐบาล ต้องยอมรับเลยว่าทำประกันเอกชนเร็วกว่าเวลานัดหมอได้เงินเต็มๆกว่าคนไข้ถือประกันรัฐบาล เรื่องคนเยอรมันที่ไม่ชอบต่างชาติยังไม่ค่อยเจอน่ะ ถ้าเจอคงต้องบอกเลยว่าดิฉัน อยากกลับไปอยู่เมืองไทยใจจะขาด จากคุณ : jsd_t เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 05:22:55

ความคิดเห็นที่ 22 เรื่องนี้ที่ตั้งกระทู้มา ไม่ได้มีเจตนาว่าด้วยการรักษาของหมอแต่ประการใดนะคะ ยังเชื่อมั่นว่า หมอแต่ละคนก็รักษาคนไข้ทุกคนอย่างสุดความสามารถ จะประกัน อะไรก้อแล้วแต่ ถ้าหมอคนนั้นๆรักษาไม่ได้ ก้อต้องส่งจนถึงหมอผู้เชี่ยวชาญ หมอ ใหญ่ อูนี่คลีนิค อะไรก้อว่าไปอยู่ดี ที่ว่านี้ หมายถึงการนัดคิว แทรกคิว เคสผ่าตัด ฉุกเฉิน มากกว่า อย่างที่เล่า ไม่มีคิว ต้องรอกันเป็นอาทิตย์ เป็น เดือน พอบอกเป็นไพรเวท มีคิวไว้เดี๋ยวนั้นเฉยเลย เราว่า มันแย่ที่ตรงนี้แหละ สามีเจอมากับตัวเลย 2 หน 2 โรงพยาบาล คนเจ็บก้อเจ็บพอๆกัน มันเลยดูไม่ยุติธรรมสำหรับคนที่ ต้องรอ อย่าว่าแต่การพบหมอใหญ่เลย หรือคิวผ่าตัดเลย แค่ขอให้ได้ตรวจบางทีต้องรอแล้วรอเล่า คนป่วยอ่ะ เจ็บ จะแย่ ยกหูโทรไป คิวว่างต่อไป เดือนหน้าเงี๊ยะ ตายก่อน พอดี ส่วนเรื่องจ่ายยาได้เลย ไม่ต้องผ่าน hausarzt kinderarzt อันนี้เป็นข้อดีของไพรเวทอยู่แล้ว ล่นเวลา แต่มันก้อไม่ได้เกี่ยว กับเรื่องคิว หรือ การรักษาแต่อย่างใด หมอก้อคงอยากได้เงิน เคยมีหมอคนนึงเป็นลูกค้าของเรา กับสามี โดยไม่รู้มาก่อนว่า พวกเราเป็นสามีภรรยากัน คิดมาก เรื่องการบริหารคลีนิคของเค้าจนฆ่าตัวตาย งบไม่พอ อยากรักษา คนไข้ ลูกค้าไพรเวทมีไม่พอ ก้อเข้าเนื้อตัวเองเพราะอยากรักษา คนไข้ ไปๆมาๆเริ่มไปไม่รอด เลยคิดสั้นซะนี่ น่าเสียดาย เพื่อนเยอรมันคนนึง ถือประกัน aok ลูกชายเจ็บหู โทรไปที่ไหนๆ อธิบายยังไงว่าเด็กเจ็บหูมาก ก้อยังไม่ได้คิว รออยู่เดือนนึงเต็มๆ พอดีเมืองที่อยู่ มันเล็กน่ะค่ะ ไม่ใช่เมืองใหญ่ ในรัศมี 25 กิโลเมตร มีหมอทางนี้ อยู่แค่ 5 ที่ สามีเคยเจ็บหูเหมือนกัน ก้อได้คำตอบว่าต้อง รอคิวเป็นเดือนเช่นกัน จนต้องเอ่ยปากว่าไพรเวทนั่นล่ะ นี่พวกเค้าเป็นคนเยอรมันเหมือนกันนะ ฉะนั้น ไม่ได้เกี่ยวเรืีอ เชื้อชาติ แค่แฟกเตอร์ที่เราเป็นคนต่างชาติ มันเลยเพิ่มความหมั่นไส้ ของการ ที่โดนแซงคิวกระมัง จากคุณ : จขกท. (Annachen) เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 06:06:58

ความคิดเห็นที่ 23 ครับ เห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คห 18  ที่ว่า "มันเป็นความคิดของส่วนบุคคลที่ต้องการให้มองเป็นแบบนั้น" คุณได้แสดงให้เห็นทรรศนะส่วนตนเช่นนี้มาโดยตลอด  สำหรับกระทู้นี้ขออ้างอีกทีจากความคิดคุณเองนะครับ "ไม่มีความแตกต่างระหว่างการเลือกหมอ หมอทุกคนมีคุณภาพทั้งหมอฟัน หมอผ่าตัด สารพัดหมออื่นๆ และตอนออกลูกคนที่สองได้หมอดีเหมือนกับคนมีประกันไพรเวท หมอ Practice ที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง Frauenkrankenhaus ที่ติดกับสวนสาธารณะอิงลิชการ์เท่น ทุกห้องมีวิวสวนสาธารณะ... ได้ห้องส่วนตัว จะพักฟื้นกี่วันก็ได้ไม่ว่าอะไร แต่ดิฉันเลือกอยู่ห้าวัน.. หมอยังบอกว่าทำไมไม่อยู่ต่อถึงสิบวัน เหมือนกับแม่ๆคนอื่นๆ.." ผมออกแปลกใจที่กระทู้นี้  คุณบอกว่าคุณมีประกันของรัฐ AOK  และมีมาตลอดตั้งแต่เริ่มต้น   เพราะผมจำได้ว่าเมื่อ 2-3 ปีผ่านมาแล้วมีการคุยกันเรื่องระบบประกันที่แตกต่างกันลักษณะคล้ายๆ กันนี้   คุณให้ข้อมูลว่าคุณและสามีมีประกันไพรเวทเพราะเคยต้องจ่ายเงินค่ารักษาล่วงหน้าไปก่อนแล้วไปเรียกเงินคืนจากบริษัทประกันภายหลัง แต่เรื่องหลงๆ ลืมๆ นี่ผมสามารถเข้าใจได้ครับ   เป็นอาการปกติที่อาจปรากฏขึ้นได้กับทุกคนเมื่ออายุมากขึ้น   ผมถึงได้ตั้งข้อสังเกตุว่า  คุณอาจไม่ทราบก็ได้ว่าสามีคุณมีประกันไพรเวทหรือมีประกันเสริมไว้ก็ได้ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ค. 55 15:58:53 จากคุณ : Bagheera เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 15:40:34

ความคิดเห็นที่ 24 ตัวเองประกันธรรมดา ดีว่าหมอประจำบ้านคิวไม่นานค่ะ แต่หมอเฉพาะทางคิวนานจริง แล้วอย่าป่วยวันหยุดหรือช่วงเด็กปิดเทอมนะคะ ทรมาน คนดูถูก จิกกัด เจอบ้างค่ะ ยักคิ้วให้ จิกตาใส่ค่ะ อิอิ แต่คนที่น่ารัก เป็นกันเองเยอะกว่า เลยไม่แคร์ค่ะ จากคุณ : พริกน้ำส้ม เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 55 16:56:36