Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตอันแสนสั้นของนักเรียนอังกฤษ [ตอนที่ 6.1 เที่ยวต้องได้สอบต้องผ่าน] ติดต่อทีมงาน

มาแล้วค่ะ ขอโทษที่มาช้าไปหนอย แหะๆๆ
ลิ้งตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12224646/H12224646.html
ลิ้งตอนที่ 2  http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12243376/H12243376.html
ลิ้งตอนที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12260789/H12260789.html

ลิ้งตอนที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12278995/H12278995.html

ลิ้งตอนที่ 5.1
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311039/H12311039.html

ลิ้งตอนที่ 5.2
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311140/H12311140.html

ลิ้งตอนที่ 5.3
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311187/H12311187.html

===================
ตอนที่ 6 : เที่ยวต้องได้ สอบต้องผ่าน (July 06 – Sep 06)

พักเรื่องเรียนมาฟังเรื่องความรักเสียมั่งจะดีกว่า จริงๆแล้วในการมาเรียนเมืองนอกนี่ก็มีคู่รักเกิดขึ้นกันมากมาย บางคู่เป็นโสดมาจากเมืองไทยก็มาพบรักกันที่เมืองนอก หลายคู่ควงกันมาตั้งแต่อยู่เมืองไทยมาอยู่ไกลหูไกลตาผู้ใหญ่ก็มาเปิดห้องอยู่ด้วยกัน บางคู่มีแฟนมาจากเมืองไทย ก็แอบมากิ๊กกับคนอื่นที่นี่ หรือบางกรณีก็ถึงกับเลิกกับคนไกลตา มาคบกับคนใกล้ตัวแทนเสียเลย เข้าทำนอง รักแท้แพ้ระยะทาง อย่างไรอย่างนั้น ฉันใดก็ฉันนั้น ก็แค่อยากจะเตือนผู้หญิงไทย ให้คงความมั่นคงไม่หวั่นไหวต่อเรื่องใดๆทั้งสิ้น และบอกผู้ชายให้หลายๆคนเป็นเด็กที่เป็นสุภาพบุรุษจริงๆ เอาให้เข้าทำนอง ชอบก็ให้แม่มาขอท่าจะดี (จะบอกว่าผู้เขียนก็หัวโบราณ แต่ก็มีความเข้าใจในเรื่องราวความรักของวัยรุ่นกะเขาเหมือนกัน)

อยากจะเตือนเด็กผู้หญิงสักหน่อยว่า อย่าไปเปิดโอกาสของตัวเองกับหนุ่มคนไหนก็ตามให้เขาฉวยโอกาสนั้นเอาไว้ เราควรจะมีศักดิ์ศรีของเรา อย่ากินเหล้าเสียจนเมามายมิได้สติ น้องๆหลายคนต้องมาเสียน้ำตา โทรศัพท์มาหาข้าพเจ้าหลายรายแล้ว เพราะเจ้าน้ำเมามันทำพิษเข้าให้ ครือจะเม้ากันแต่เพื่อนผู้หญิงก็เอากันให้หัวราน้ำกันไปเลย แต่อย่าไปชวนดวดเหล้ากันสองต่อสองกับผู้ชาย หรือว่าอย่าริอ่านกลับบ้านทั้งที่ยังเมาๆพร้อมๆกับเพื่อนผู้ชาย ความเมา ความเหงา อารมณ์ดิบๆของคน พอมันเตลิดไปแล้วก็กู่ให้กลับได้ยากยิ่ง

โดยส่วนตัวผู้เขียนเอง ก่อนที่จะมาอังกฤษนี่ มีพี่ชายที่น่ารักท่านหนึ่ง ที่แกบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปศึกษาต่อถึงประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนผู้เขียนได้สักปี ได้ให้โอวาทก่อนไปว่า อย่าพาผู้ชายเข้าห้อง อย่าอยู่ในห้องสองต่อสองกับผู้ชาย.... ซึ่งเป็นสิ่งดี แต่ทว่าน้ำเซาะลงหินทุกวันหินมันอย่างกร่อน แล้วจิตใจก้อนเนื้อนิ่มๆของมนุษย์นั้นไซร้ โดยเฉพาะอย่างผู้หญิงอย่างเราๆนี่ไม่ต้องพูดเลย เป็นไปได้ที่ไอ้ครั้งแรกก็อยู่กันแต่ในห้องครัว ที่สาธารณะเปิดโล่งแจ้ง พอต่อมา เจอกันนานนานเข้าหน่อย ก็ค่อยๆร่นระยะทาง พากันเข้ามาดูทีวีกันในห้อง เชียร์บอลกันในห้อง นั่งดู Series โปรดกันในห้อง ถ้าน้องๆหนูๆ เจอผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษเพียงพอก็แล้วกันไป แต่ถ้าไปเจอกันแบบอีกประเภทหนึ่งก็คงต้องยอมรับสภาพ ไม่สามารถไปร้องขอความเห็นใจจากใครได้อีกแล้ว เพราะว่าคุณน้องเอาตัวเองเข้าแลกเองนิคะ

น้องๆหลายคนโทรมาหาผู้เขียน ส่วนตัวถ้ามันเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ยังไม่ได้แต่งงาน น้องๆที่มาจากครอบครัวที่มีคุณพ่อคุณแม่ที่น่ารัก ส่วนมากก็จะรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น บางคนก็รู้สึกกังวล ก็นะไอ้เรื่องอย่างว่าเวลาทำมันไม่ได้มีสมองไปคิดหรอกว่าผลที่ตามมาน่ะมันคืออะไร ก็ได้แต่ปลอบใจว่าคนเราเริ่มต้นกันใหม่ได้  ก็อย่าไปกังวล ขอให้ระวังตัวให้มากกว่านี้ อย่าเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ ให้เป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง อดทน และกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง กล้าที่จะรู้ว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องอย่างว่า กล้าที่จะรัก และกล้าที่จะเลิก และกล้าที่จะไม่ไปยุ่งของของคนอื่น เราเป็นผู้หญิงด้วยกันขอให้เราช่วยเหลือกันนะคะ

มองในอีกมุมหนึ่ง ในทางตรงกันข้าม ก็มีน้องหลายคนที่เขาใช้ชีวิตได้อย่างฟรีสไตล์ พ่อและแม่อาจจะเลี้ยงดูมาอีกแบบหนึ่ง แต่ผู้เขียนยอมรับอยู่อย่างหนึ่งว่า น้องเขาไม่ได้เสียใจไปกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขามีเหตุผล และผลที่ออกมาก็ดี คือผู้ชายก็รับผิดชอบ ดูแลกันและกัน ก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน (แต่จำนวนน้อยมาก) ดังนั้นเราก็ต้องยอมรับในความแตกต่างทางด้านการใช้ชีวิตของแต่ละคน เพียงแต่เราอาจจะต้องไม่ลืมว่าจุดยืนของเราคืออะไร อยู่ตรงไหน สิ่งที่เราทำนั่นมีความสุขหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงแค่สุขชั่วคราว ถ้าจะให้แนะนำ อย่างที่เล่ากันไป ผู้เขียนขอให้เด็กที่ไปเรียนต่อทุกคน เป็นนักเรียนที่ดี ใช้ชีวิต ตักตวง เอาประโยชน์จากการได้ไปเรียนที่ต่างประเทศให้ได้มากที่สุด เพราะว่ายังมีอีกหลายคนที่เขาไม่มีโอกาสเหมือนเรา ดีกว่าจะเอาเวลาไปคิดอย่างอื่น  

หลายๆครั้งที่มีคนบอกว่า มาอยู่ที่นี่ไม่มีแฟนแล้วอยู่ไม่ได้หรอก เพราะมันเหงาจริงๆ ก็คงจะจริงนั่นแหล่ะ มีอยู่วันหนึ่ง เจ๊ซูซานมาเยี่ยมเราที่มหาลัย (เพราะว่าคณะของเจ๊มีวิทยาเขตอยู่อีกที่หนึ่ง) พอแกเดินมาถึงห้องเรา แกก็บอกว่า ชั้นละรู้สึกสงสารเธอจริงๆ เพราะในหน้าหนาวไปไหนไม่ได้ ออกไปข้างนอกก็มีแต่ความหนาวเย็น เธอก็คงทำได้แค่อยู่แต่ในห้อง มองไปทางไหนก็มีแต่ฝาผนังอ่ะ แย่จังเลยนะ  เราก็บอกว่าก็น่าจะใช่ เพราะฉะนั้นก็ต้องหากิจกรรมทำ (เช่น เช่า DVD จาก Amazon มาดู) ไม่ก็ไปนั่งเม้ากับ flatmates การมีเพื่อนนี่สำคัญมากๆเลยล่ะ

แต่ถ้าเกิดเราเห็นว่าคนโน้นคนนี้มีแฟนไปแล้ว เราอยากจะมีบ้างก็ตามแต่ใครจะคิดเอาเองก็แล้วกัน เพราะว่า 1 ปีในอังกฤษถึงแม้ว่าจะใช้เวลาอยู่กับใครสักคนจนรู้แล้วว่าเขาชอบกินอะไร เขาชอบไปสถานที่แบบไหน เขาอ่านหนังสือแบบไหน ดูหนังแบบไหน เป็นแฟนบอลทีมอะไร ใส่รองเท้าเบอร์อะไร แล้วก็เถอะ มันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลยกับการกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยแล้ว หลายคู่ที่ต้องเลิกรากันไป หลายๆคู่ที่คิดว่าคงไม่มีวันเลิกก็มีวันเลิกกันได้  หลายๆคู่สามารถรักษาความรักในระยะทางไกลได้ แต่พอกลับมากลับต้องเลิกกัน หลายๆคู่รักๆเลิกๆกันแต่ก็ยังสามารถประคองความรักของเขาและเธอได้ อันนี้ก็สุดแล้วแต่เส้นทางความรักที่แต่ละคนจะขีดเขียนกันเอาเอง

ดังนั้น จัดตารางชีวิตในแต่ละวันให้ดี หากิจกรรมทำ หาเพื่อนๆไปทำกิจกรรมยามว่าง คุย msn บ้างเป็นครั้งคราว ก็น่าจะทำให้วันที่น่าเบื่อ หรือเหงาเอามากๆ มลายหายไปเสียสิ้นก็มี
หลายๆครั้งที่พอจากเมืองไทยมาแล้ว ก็จะมีเพื่อนหลายๆคนคิดถึง ส่งจดหมายกันมาเสียยกใหญ่ บางคนก็ส่งจดหมายมาขอคืนดี (เพราะทะเลาะกัน) ก็มี การจากมาก็เลยเหมือนกับเป็นการประสานรอยร้าวหรืออาจจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้กับความสัมพันธ์ทั้งแบบเพื่อนและแบบอื่นๆ

เพราะฉะนั้นจงใช้วันเวลาให้คุ้มค่ามากที่สุดในทุกๆวันที่คุณตื่นขึ้นมา เพราะว่าวันเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วมาก และมันไม่เคยย้อนกลับมา คุณอาจจะมีเรื่องเสียใจมากมาย แต่ความรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำ น่าจะยังติดค้างอยู่ในร่องของหัวใจและก็ยังสามารถคันติดต่อกันมาได้จนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นถ้าอยากทำอะไรก็จงทำเสีย มันไม่มี second chance อีกแล้ว (หมายถึงว่าบอกรักคุณพ่อคุณแม่ พี่น้องป้าน้าอานะคะ)

เรื่องเสียใจที่อยู่ที่โน่นของผู้เขียนก็มีนะ...มีหลายๆครั้งที่ผู้เขียนอยากที่จะไปเที่ยวกับ flatmates ของตัวเองให้มากกว่านี้ แต่ผู้เขียนก็ไม่ได้ไป เพราะห่วงที่จะต้อง balance ชีวิตตัวเองให้ได้ ระหว่างให้เวลากับคนข้างตัว(ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายไปเป็นคนข้างตัวของคนอื่นแล้ว) ให้เวลากับเพื่อนๆ น้องๆคนไทย ให้เวลากับการบ้านทั้งหลายทั้งแหล่ ให้เวลากับหนังสือที่ต้องอ่าน ให้เวลากับการเตรียมบทเรียนในแต่ละอาทิตย์ ให้เวลากับการทำอาหาร ให้เวลากับการรับโทรศัพท์จากเมืองไทย (คงต้องขอบคุณ globalization เนื่องจากมีเพื่อนหลายคนจริงๆที่โทรมาเม้ากันเหมือนประหนึ่งว่าข้าพเจ้าอยู่เมืองไทยก็ไม่ปาน ตั้งแต่ จู ก้อย ตั๊ก และก็ที่บ้าน) ให้เวลากับการไปโบสถ์วันอาทิตย์ ให้เวลากับกลุ่มติวของเด็กๆหลายๆชาติ ให้เวลากับการดู ดีวีดี ให้เวลากับการสังสรรกันในหมู่พี่น้อง ให้เวลากับการเดินเล่น ให้เวลากับการไปเดินห้องสมุด ให้เวลากับการไปลอนดอน  แต่ที่งัดข้อกันไม่ลงที่สุดก็คือ คนข้างตัว VS กลุ่มเพื่อนที่มีมากมายนั่นเอง  เพราะจำได้แต่เพียงว่า คนข้างตัวงอนผู้เขียนไปหลายรอบทีเดียว และผู้เขียนก็ยังเฉยๆเพราะรู้ว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังอยู่ข้างๆเราตลอดไปอยู่ดี (แต่ผู้เขียนคิดผิด ฮา) ไม่เพียงเท่านั้น Flatmates ที่ชวนผู้เขียนไปเที่ยว ฝรั่งเศส ไปเที่ยว Dublin ไปเที่ยวเมืองอื่นๆในอังกฤษ ก็อด เนื่องจากผู้เขียนก็ติดไปกับคนข้างตัวเช่นกัน (ให้มันได้อย่างงี้ซะทุกทีสิน่า แต่ตอนทีฉันอดไปกับเพื่อนเธอกลับไม่คิดว่าฉันเสียสละบ้างเรยเฮอะๆ!) ในขณะที่เรากำลังพยายามจะ balance ให้ทุกฝ่ายได้เวลาที่ดีที่สุดของเรา แต่พวกเขาก็รู้สึกว่ามันจะได้ไม่เต็มที่เสียทุกทีไป  อาจจะต้องไปเรียนรู้กับพวกหนุ่มๆที่มีกิ๊กเยอะๆ ว่าเขาจัดการกันอย่างไรเนี่ย

ดังนั้นทริปที่ไปกับพวก flatmates ก็จะเป็นพวก ไปช้อปปิ้งลอนดอนด้วยกัน และไปกินอาหารทะเลด้วยกัน ซึ่งสนุกกันมากๆแทบจะทุกครั้งที่ไปกัน คงเพราะเราเป็นสาวกันหมด โสดหมด ด้วย  (แต่ผู้เขียนมักมีห่วงคนข้างตัวทุกทีไป ถึงแม้ว่าจะสนุกมากๆก็ตามที) และก็เอ็นจอย หัวเราะ กิน ปรึกษา คุยกันได้ในทุกๆเรื่อง ผิดกับหลายๆชาติที่บางครั้งก็มีการทะเลาะกันเองใน flat ของตัวเอง
พูดถึงการไปเดิน Shopping ส่วนมากคนที่นี่มักจะไม่คอยจะให้เกียรติพวกคนหัวดำสักเท่าไหร่นัก บางคนเดินบนถนนดีดี ก็มีเด็กวัย teen เนี่ยแหล่ะตะโกนด่าคำที่หยาบคายมากๆเลยก็มี

เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปในร้าน H&M สาขา Brompton Rd. ในลอนดอนแล้วเลือกเสื้อโค้ทตัวหนึ่ง ระหว่างที่คิวยังว่างๆอยู่นั้น (มาที่อังกฤษนี่ จงหวงแหนคิวของคุณไว้ยิ่งชีพ รอนานไม่ว่า แต่ถ้าถึงเวลาข้าขอใช้เวลาให้คุ้มกับที่รอนาน คิวจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน)  ขณะที่ฉันก็เดินเข้าไปจ่ายเงิน พอดิฉันเดินเข้าไปจ่ายเงินนั่นเอง พนักงานขายเป็นสาวหัวทองก็เริ่มที่จะไม่สนใจฉัน ในขณะเดียวกันกับที่มีลูกค้าคนอื่นเข้ามาถามถึงสินค้าจากพนักงานคนนั้น คิวถัดไปก็เริ่มไหลไปเรื่อยๆ สักพักพนักงานคนที่อยู่ตรงนั้นก็หายไป  จะหาคนมาเป็นแคชเชียร์ก็ไม่มี สักพักพนักงานคนหนึ่งก็เดินมาแล้วบอกว่า แคชเชียร์ตรงนี้ปิดแล้ว  เราก็โมโหก็ถามเขาว่า จะปิดได้อย่างไรในเมื่อ เมื่อสักครู่ก็มีคนเรียกให้เราไปจ่ายเงินอยู่เลย เขาก็ยืนยันว่าปิดแล้ว เราก็เลยบอกว่าโอเค งั้นจะเอาลงไปจ่ายเงินข้างล่างก็ได้ พอหลังจากเราเดินออกไปไม่นาน คนที่พูดกับเราว่าแคชเชียร์ปิด ก็เรียก Next ทันที (เป็นการเรียกลูกค้าให้ไปที่ช่องนั้น)  นี่เป็นการ treat คนแบบที่แย่ที่สุดเท่าที่เราเคยเจอมาที่อังกฤษ

แล้วก็มีอีกที่หนึ่งคือ เวลาคนอังกฤษจะไปลองเสื้อผ้ากันที เขาจะขนเสื้อผ้าเข้าไปลองกันแบบเยอะมากๆ พอเข้าไปลองก็ลองกันทีคนละนานนาน เวลาไปดูที่ห้องลองเสื้อผ้าหญิงก็จะเห็นคิวต่อกันยาวยืด แต่ก็ไม่มีใครที่จะบ่น เช่นเดิม เพราะเมื่อถึงเวลาคุณก็จะได้ใช้สิทธิลองเสื้ออันยาวนานแบบที่ as long as you want กันเลยทีเดียว ไม่มีใครจะสามารถไล่คุณได้เพราะมันเป็นสิทธิที่คุณพึงจะได้นั่นเอง (สงสัยเอาให้คุ้มกับที่ยืนนาน) ไอ้บทที่ว่าจะเป็นเหมือนคนไทย ขี้เกรงใจคนอื่น กลัวเขาจะว่า หรืออะไรนั้น มาใช้กับที่นี่ไม่ได้ มีอยู่วันหนึ่ง ช่วงกลางวัน วันธรรมดาจะยังไม่ค่อยมีคนออกมาช้อปปิ้งเท่าไหร่นัก สบโอกาสจึงเข้าไปลองเสื้อ เมื่อลองออกมาแล้วก็ส่งเสื้อคืนให้กับพนักงานที่ดูแลห้องลอง (สาวผมทองอายุรุ่นๆอีกเช่นกัน) เธออยู่กับเพื่อนแล้วก็บอกว่า ส่งคืนเฉยๆไม่ได้ ต้องเอาใส่ลงไปในไม้แขวนให้เธอด้วย  ปกติเวลาเดินห้าง หากไม่มีเวลาใส่เดินออกมา หรือจะกองออกมาก็ได้ พนักงานเขาจะจับใส่ทุกอย่างเอง ถ้าใครเคยไปช้อปปิ้งก่อนห้างจะปิด เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่ลงไปในไม้แขวนก็จะมีกองใหญ่เป็นภูเขาเลยทีเดียว แต่วันนั้นไม่รู้เธอคนนั้นไปกินรังแตนมาจากไหน มาสั่งให้ฉันทำแบบนั้น นับว่าเป็นการไม่ให้เกียรติลูกค้าเอาเสียเลย ตอนนั้นอย่างงงงงดิฉันก็เลยทำให้เขา และก็กลับมาบ้านมานั่งนึกว่า แล้วเขาจ้างพวกพนักงานพวกนี้มาทำอะไรเนี่ย มันก็รู้สึกแย่มาก แต่ก็ไม่ได้ complain อะไรกลับไป นัยว่าเหนื่อยแล้วกับการถูก treat แบบนี้ และก็เลยเป็นที่รู้กันว่า พนักงาน (บางคน) หรือเด็กวัยรุ่นบางคน ที่อาจจะไม่ได้รับการศึกษาสักเท่าไหร่ ก็จะมี attitude กับคนต่างชาติที่ไม่เหมือนคนอื่น และเข้าข่ายทำให้เกิดการ discremination หรือการเหยียดสีผิวได้ง่ายนั่นเอง
กลับมาที่ H&M สาขา Brompton Rd. กันอีกสักที คืนนั้นดิฉัน search หา email ที่จะส่งไปหา H&M head office ให้ได้ และใส่อารมณ์ในการเขียนอีเมลล์อย่างที่สุด (ก็คนมันกำลังโกรธมากอยู่) จั่วหัวลงไปใน subject email ว่า Customer Assistant discremination at Bompton Rd. และบอกเรื่องราวในวันนั้น พร้อมเวลาอย่างละเอียด เรื่องเกิด ณ วันที่ 31 เดือนมีนาคม 2006 ฉันส่งอีเมลล์ไปวันที่ 1 เมษายน 2006  (ดีนะที่เขาไม่ได้คิดว่ามันเป็น April Fool Day เหอๆๆ) ไม่นานนักวันที่ 3 เมษายน 2006 ก็ได้รับอีเมลล์ตอบกลับมาความว่าแบบนี้

Thank you for your letter with reference to our Brompton Road store.

I would like to reassure you that H&M places great importance on the
quality of service our customers should receive and, therefore, we take
complaints of this nature very seriously. Our aim is to make shopping as
convenient and satisfactory for our customers as possible but
unfortunately, we have let you down.

Please let me reassure you that your complaint with regard to the
customer service will be raised with the Store Manager, who will deal
with this matter accordingly, to make sure this branch is at the high
standard we expect.

Thank you for bringing your views to our attention, as without your
comments we cannot strive to make shopping in our stores more enjoyable,
and I hope that your experience has not permanently dissuaded you from
visiting our stores in the future. Please accept my apologies for any
inconvenience caused to you.

Yours sincerely


Miriam Yori
Customer Services Manager

ซึ่งงานเขียนแบบนี้เขามักจะมี pattern อยู่แล้ว ใช้สิ ลูกน้องทำ แต่เจ้านายก็ต้องขอโทษทุกที ทั้งกะปี แล้วคนที่ยังไม่มีจิตสำนึกก็ยังคงที่จะไม่มีจิตสำนึกแบบนี้ต่อไปใช่ไหม ? (ใครบางคนบอกว่า ถ้าเขามีจิตสำนึกที่ดีกว่านี่ เขาคงไม่ต้องมาเป็น customer assistant หรือว่า shopgirl อยู่จนทุกวันนี้หรอก แต่ถึงกระนั้นก็ตามทัศนคติที่ดีต่ออาชีพของตัวเอง และการมี Service Mind ก็จำเป็นมาก แม้แต่ Shopgirl หรือ Customer Assistant ก็ตามที ทุกสาขาอาชีพมันก็ต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ในตัวของมันเองอยู่แล้ว ดังนั้นถ้ามีทัศนคติที่ดี ไม่ว่าจะอยู่ตรงจุดใด คุณก็ทำให้งานของคุณออกมาดีได้เช่นกัน)  

หลังจากนั้นฉันก็เลยเขียนจดหมายไปขอบคุณทางนั้น บอกว่าอยากจะกลับไปดูอีกสักครั้ง (เหมือนกับให้โอกาสนั่นแหล่ะว่าทางสาขาที่ว่านั่นจะปรับตัวกับชาวต่างชาติให้ดีขึ้นไหม) ไม่นานก็มีอีเมลล์มาจาก Ms Yori อีกครั้งหนึ่ง (หลังจากที่เราบอกว่าจะกลับไปเช็คดูว่าเปลี่ยนแปลงไหม)

Having spoken to our store manager Sara, she would appreciate if you
could contact her on 0208 382 3262 as she would like to discuss this
matter with you. Alternatively please mail us your contact number and
she will call you.

B Rgds

Miriam Yori

ก็แปลว่าเขากำลังจะส่งเรื่องไปให้กับ Sara ที่เป็น Shop manager ที่นั่น ดังนั้นเราจึงบอกหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองกลับไป หลังจากนั้นไม่นานนักประมาณ 1 อาทิตย์ถัดมา Sara ก็โทรศัพท์มาหา และบอกว่าไม่มีใครชื่อนั้นเป็น Shop Assistant เลย ประมาณว่า ไม่มีลูกน้องแบบนี้นะ เราก็เล่าสถานการณ์ให้เขาฟัง (แต่ตอนนั้น มันไม่ค่อยโมโหแล้ว ถ้าโมโหหน่อยๆ ภาษาอังกฤษมันจะรัวเร็วกว่านี้มากเลย แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว) วันนั้นก็เลยพูดไปอย่างกระท่อนกระแท่นพอสมควร จำเรื่องไม่ค่อยจะได้แล้วด้วย

แล้ว Sara ก็วางโทรศัพท์ไป แถมบอกอีกว่าถ้าเราจะกลับไปอีก ก็ถามถึงเธอได้เลยที่ Brompton Rd. H&M  (ดิฉันว่า หากกลับไปอังกฤษคราวหน้า กลับไปทักเธอเสียหน่อยก็ท่าจะดี)

หลังจากนั้น การไป H&M ของคนหัวดำอย่างดิฉันก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกับคนชาติเขาเสียที คาดว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ มันทำให้ Sara อาจจะต้องกำชับลูกน้องให้หนักมากขึ้น มิเช่นนั้นอาจจะโดนข้อกล่าวหาเรื่องการ Discremination แบบนี้ได้  ดีไม่ดี หากเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา สามารถหาทนายฟ้องกันได้เลยทีเดียวเชียว (โดยเฉพาะทางฝั่งอเมริกา) ดังนั้น เราไม่ต้องกลัวค่ะ ฮ่าๆๆๆ

ตอนที่ 6.2 (จบตอน) http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12372661/H12372661.html

แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 12:56:18

จากคุณ : just.a.girl
เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:50:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com