Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตอันแสนสั้นของนักเรียนอังกฤษ [ตอนที่ 6.2 เที่ยวต้องได้สอบต้องผ่าน] ติดต่อทีมงาน

ตอนหน้าเป็นตอนจบแล้ว จะไม่ค่อยมีอะไรมากแล้วนะคะ ถ้าใครจะถามอะไรมาถามได้ในตอนนี้นะคะ หากเขียนเรื่องใดไม่ครอบคลุม เพราะเขียนเอาไว้นานแล้วมาเขียนถามได้นะคะ จขกท จะไมอยู่อีก 2 อาทิตย์ ทีนี้กำลังคิดอยู่ว่าค่อยกลับมาลงตอนสุดท้ายหรือลงหมดไปเลยดี กลับมาหากระทู้ไม่เจอแน่ ฮ่าๆๆๆ ติดเรื่องรูปด้วย เหอๆๆ คิดไม่ออก @_@"

ลิ้งตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12224646/H12224646.html
ลิ้งตอนที่ 2  http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12243376/H12243376.html
ลิ้งตอนที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12260789/H12260789.html

ลิ้งตอนที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12278995/H12278995.html

ลิ้งตอนที่ 5.1
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311039/H12311039.html

ลิ้งตอนที่ 5.2
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311140/H12311140.html

ลิ้งตอนที่ 5.3
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311187/H12311187.html

ลิ้งตอนที่ 6.1 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12372649/H12372649.html

==============================
ชีวิตนักเรียนไทยที่นี่ เราเรียกกันว่า Thai Soc ย่อมาจาก Thai Society ก็จะมี Thai Soc กันอยู่เกือบจะทุกมหาลัยที่มีคนไทยไปเรียนกัน ซึ่งเราจะมีกิจกรรมกีฬาที่เราเรียกกันว่า ‘สามัคคีเกมส์’ ซึ่งเป็นกีฬากระชับมิตรกันในหมู่ Thai Soc ทั้งหลายจากมหาวิทยาลัยต่างๆเข้าร่วมแข่งขัน มีกันหลากหลายประเภท ตั้งแต่ ฟุตบอล  แบดมินตัน  วอลเลย์บอล  บาสเก็ตบอล  เทนนิส  แชร์บอล ค่ะ  ซึ่งกีฬาที่ได้รับเสียงเชียร์กันมากๆ ก็หนีไม่พ้นกีฬาสุดฮิตอย่าง ฟุตบอล บาสเก็ตบอล และเทนนิสค่ะ  หนุ่มๆก็งัดฝีไม้ลายมือ วาดลวดลาย ออกมาโชว์กันมากมายค่ะ  สาวๆก็เชียร์เรียกได้ว่าการเข้าร่วมงานสามัคคีเกมส์เป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ไม่ควรพลาดของเด็กนักเรียนอังกฤษค่ะ  สนามแข็งจะเปลี่ยนไปทุกปี ตามแต่ committee ของสามัคคีเกมส์ปีนั้นๆจะตั้งค่ะ ที่ผ่านมาก็มี Reading, Essex, Bath ไปแล้ว ยังไม่รู้ว่าปีนี้จะจัดกันที่ไหน งานนี้แต่ละมหาลัยก็จัดทำเสื้อทีมกันมาอย่างสวยงามทีเดียวเชียวค่ะ นัยว่า raise fund ไปด้วยในตัวจากการขายเสื้อครั้งนี้ นำเงินเข้าสโม เพื่อจะได้นำไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆต่อไป

การเข้าร่วมสามัคคีเกมส์ครั้งนี้ นอกจากจะได้เล่นกีฬา ได้พบปะนักเรียนไทยด้วยกันแล้ว ยังเป็นการฝึกฝนความสามัคคี และความมีน้ำใจนักกีฬาของเด็กไทยไปในตัวด้วย ซึ่งเด็กไทยไม่ได้มีแต่ปาร์ตี้ หรือเอาแต่นั่งทำกับข้าวกินกันเป็นอย่างเดียว (ซึ่งปกติก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปาร์ตี้ และ การทำกับข้าวจริงๆนั่นแหล่ะค่ะ แฮะๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ เรียนหนักนิคะ)

พูดถึงปาร์ตี้แล้ว กับคนไทยนั้นเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะมีงานที่ไหน พี่ไทยเป็นได้เข้าร่วมหมดทุกงาน เด็กจีนจะมีปาร์ตี้  เด็กไทยก็เข้าไปร่วมด้วย เด็กไต้หวันจะจัดงานวันเกิดกัน พี่ไทยก็ขอแจม เด็กฮ่องกงจะไปผับเด็กไทยก็ขอเข้าด้วย เด็กญี่ปุ่นจะขอแดนซ์กระจาย เด็กไทยก็ขอมุดวงแดนซ์เข้าไปอยู่วงเดียวกับเขาด้วยคน  หรือเด็กเกาหลีจะจับกลุ่มนั่งคุยกัน เด็กไทยก็ขอไปนั่งกะเขาด้วย ดังนั้นจึงไม่ต้องมีอะไรน่ากังวลเท่าไหร่กับคำว่าเด็กไทย เพราะว่าเด็กไทยสามารถเข้าเป็นพรรคพวกกับคนชาติไหนก็ได้ในเอเชีย  เด็กไทยส่วนมากจะเป็นพวกยิ้มง่าย อะไรก็ได้ กระเป๋าหนัก งานหนักก็ไม่เกี่ยง รักพวกพ้อง และก็รักสนุก ถ้างานไหนขาดเด็กไทยไป งานนั้นจะขาดสีสันไปเลย

ในหอของดิฉันเอง เป็นหอสาวๆ ซึ่งเราก็ชอบปาร์ตี้กันอย่างสุดหัวใจ แต่เพื่อคราวที่ดาเลีย เพื่อนชาวมุสลิมต้องการใช้ผ้าคลุมหัว คราวนั้นผู้ชายคนไหนจะเข้าหอของพวกเรา ดาเลียจะต้องไปเผ้ามาโพกหัวของเธอเสมอ เพราะเธอไม่สามารถให้ผู้ชายเห็นผมของเธอได้ ซึ่ง Edward เพื่อนชาวไต้หวัน กลุ่มติวเดียวกันบอกว่าน่าเสียดายมาก เพราะว่าผมของดาเลียสวยมาก ทั้งยาว ทั้งดำ และผมก็เยอะมากๆด้วย ตัวฉันเองกับดาเลีย เราสนิทกันเพราะว่า เราเรียนวิชาเดียวกัน และเราอยู่หอเดียวกัน เวลาจะสอบ จะติวอะไรก็ต้องมานั่งคุยกันก่อนไปเข้าชั้นเรียน มีเรื่องความรักเราก็เอามานั่งคุยกัน แต่มีเรื่องสำคัญที่ดาเลียชอบก็คือ เธอเป็นสาวปาร์ตี้คนหนึ่งเช่นกัน เธอชอบไปปาร์ตี้ แต่ปาร์ตี้ของเธอนั้นมีแต่เพื่อนผู้หญิง และก็เต้นระบำกัน  

สิ่งหนึ่งที่ดาเลียและเพื่อนๆของเธอได้สอนพวกเราที่แฟลตหญิง และเราจะไม่มีวันลืมเลยก็คือ การเต้นแบบ belly dancing ใช่ ถูกต้อง หรือว่าระบำหน้าท้องนั่นเอง  เธอจะมีผ้าที่มีตุ้งติ้งห้อยอยู่เต็มผ้า มาผูกที่เอว (นึกภาพแบบ เอสเมอรัลดา ในหนังการ์ตูน Hunchback ตามไปด้วยก็ได้) แล้วเวลาเต้นก็ส่ายสะโพกไปมา สวยงามมากๆทีเดียวเชียว เอาเป็นว่าถ้าผู้ชายมาเห็นดาเลียเต้นรำแบบนี้ มีหวังหลงสเน่ห์ไปตามๆกัน จากที่หน้าตาของเธอก็สวยอยู่แล้วด้วย

ซึ่งดาเลีย และแอ๊บบี้ สองคนนี้จะเป็นสองคนในแฟลตที่จะมีดอกไม้มาให้เห็นอยู่เสมอๆ ประมาณว่าหนุ่มๆซื้อดอกไม้ให้  เนื่องในวันวาเลนไทน์เอย  ด้วยความคิดถึงเอย  

นอกจากการไปปาร์ตี้ร่วมกับเพื่อนๆต่างชาติแล้ว ในช่วงวันหยุด เด็กนักเรียนอังกฤษอย่างเราก็นิยมเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งมีหลายวิธีที่จะเดินทางท่องเที่ยวบนเกาะแห่งนี้ นั่นก็คือ การบินด้วย low cost airline , การนั่งรถไฟ , นั่งรถบัส  หรือการขับรถเอง

การขับรถเองก็ทำได้ไม่ยาก เพราะพวงมาลัยของที่อังกฤษนั้นจะอยู่ฝั่งเดียวกันกับรถในไทย  แต่เราควรที่จะทำใบขับขี่ไปเสียก่อน  ตอนนั้นดิฉันยังไม่รู้ว่าใบขับขี่ของตัวเองมีอายุใช้ได้แค่ 1 ปีเท่านั้น หลังจากที่ไปประเทศนิวซีแลนด์ ดินแดนที่ขับรถเที่ยวง่ายแสนจะง่ายเมื่อสมัยสาวๆ(ตอนต้น) ก็ปาเข้าไป 3 ปีแล้ว และใบขับขี่ก็หมดอายุไปนานแล้ว ที่อังกฤษหากอายุยังไม่ถึง 25 จะต้องเสียเงินแพงกว่าปกติ ในกลุ่มที่ไปข้าพเจ้าจึงต้องขันอาสาเป็นคนขับรถให้ ก็จะได้ราคาที่ถูกลง แต่ปัญหาคือว่า ใบขับขี่อิฉันหมดอายุไปแล้วนี่สิ เป็นเรื่องที่เด็กไทยต้องมานั่งกุมขมับ  แต่ก็ไม่น่ามีปัญหา (เราปลอบใจตัวเอง) เราเริ่มเดินทางโดยวางแผนการเดินทางโดยการขึ้นเครื่องบินไปลงที่ กลาสโกว์ ก่อน แล้วก็นั่งรถบัสไปเอดินเบอระ แล้วค่อยไปเอารถที่จองไว้ (ตามที่จองจากเน็ทไป แล้วค่อยขับลงมาคืนที่เมืองของเรา) วันที่ไปเอารถ จิตใจก็ตุ๊มๆต่อมๆ แล้วสักพักเขาก็ให้รถมา (เพราะลืมดูวันที่หมดอายุของใบขับขี่สากล) โล่งใจได้เกิดขึ้นกับเด็กไทยกลุ่มนี้ ประมาณว่าดีจังที่รอดพ้นมาได้ เพราะการจะเช่ารถที่นี่ได้ เอกสารจะต้องครบ อย่างแรกคือต้องมีเครดิตการ์ดก่อน  มีหลักฐาน verify ที่อยู่เป็นจดหมาย 2 ฉบับ (เหมือนตอนทำเรื่องแบงค์) ของดิฉันใช้เอกสารจากมหาลัย และจากโทรศัพท์ พาสปอร์ต และใบขับขี่สากล  ถ้าขับรถไปชนหรือทำอะไรเสียหาย เราจะต้องชดใช้ให้เขาซึ่งเขาจะถามเราว่า เราจะเอาประกันไหม เท่าที่ผ่านมาการขับรถแบบนี้ต้องระวัง 3 อย่าง คือ 1. การขโมยอุปกรณ์ของรถเรา (โดนมาแล้ว จ่ายลูกเดียว)  2. ยางแตก (โดนมาแล้วเช่นกัน เอาไปซ่อมเอง จ่ายกันเอง แล้วตอนเอารถไปคืนเขาก็หวังว่าเขาจะไม่สังเกตเห็น)  3.  กระจกแตก (โดนมาแล้วด้วยเช่นกัน เนื่องจากถนนเมืองนอกจะมีเศษหินเยอะ รถที่ขับมาเร็วๆอาจจะพาเศษหินให้กระเด็นกระดอนมาด้วยความเร็วพุ่งเข้าใส่กระจกรถ เป็นผลทำให้กระจกรถเราแตก หรือเป็นรอยขีดข่วนได้  งานนี้ไปกับเพื่อน ญี่ปุ่น และไต้หวัน จากทริปที่นิวซีแลนด์ ในวันคืนรถฝนตก ทำให้สายฝนที่ตกลงมาเป็นหยดน้ำเกาะที่กระจกช่วยทำให้เขาไม่เห็นรอยบนกระจกของเรา ซึ่งถ้าเห็น ค่าเสียหายคงโดนเก็บกันอานเช่นเดียวกัน) กลับมาที่การเช่ารถก่อน เมื่อพนักงานให้เช่ารถตรวจเอกสารของดิฉันที่เล็ดรอดสายตาเขามาได้เรื่องอายุของใบขับขี่(อย่างหวุดหวิด)ก็ได้เวลาขับปร๋อออกมากินลมชมวิวในชนบทของอังกฤษต่อไป

การได้ขับรถมาในอังกฤษ สิ่งเดียวที่คุณต้องการคือแผนที่ดีดีสักเล่มหนึ่ง  เพราะเวลาคุณอยู่บนไฮเวย์แล้ว กว่าจะถึงจุดพัก หรือว่าปั๊มน้ำมันนั้นอีกนานโขเลย  แผนที่จะมีบอกจุดแวะพักแบบนอนได้ และจุดที่มีปั๊มน้ำมัน เพื่อว่าเราจะได้กะได้ถูกต้อง เพราะคุณคงไม่อยากจะน้ำมันหมดระหว่างทางแน่นอน นอกจากนี้ควรที่จะคำนวณให้ดีว่าค่ำไหน จะนอนที่ไหน ซึ่งที่พักก็มีอยู่ทั่วไป จะพักแบบ B&B (Bed and Breakfast) หรือจะนอน โรงแรม หรือจะนอนแบบ Inn ที่พักข้างทางก็มีอีกเช่นกัน


การได้ออกมาดูชนบทแท้ๆ ทำให้เห็นว่า วิถีชีวิตชาวอังกฤษนั้น มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายมากๆ  อย่างที่เคยบอกว่า ไปไหนมาไหนในอังกฤษ จะต้องเห็น เด็ก หมาและคนแก่ เสมอๆ  หนุ่มสาวจูงเด็ก หรือเข็นเปลเด็กออกมาซื้อของเข้าบ้าน  คนแก่เดินกันเป็นคู่ หรือว่าคนจูงหมาออกมาเดินเล่น  ยิ่งวันหยุดเสาร์อาทิตย์ยิ่งเป็นช่วงสบายๆกันใหญ่ tea room หรือร้านขายขนมน้ำชา จะเต็มไปด้วยผู้คน และจะวายเอาประมาณ บ่ายแก่ๆ ของว่างก็คงหนีไม่พ้น ชา และสโคน (scone) แบบอังกฤษแท้ๆ ดังนั้นเวลาเข้าไปเปิดเมนูในร้าน ก็จะสามารถสั่งได้เลยว่า เอาชุดเซ็ทน้ำชาและสโคน 1 เซ็ท ทานกันได้ 2 คน เป็นปกติ  

ช่วงวันหยุดของที่อังกฤษนี่มีหลายวันด้วยกัน วันหยุดของคนที่นี่เขาจะเรียกว่า Bank Holiday ที่เรียกกันชื่อนี่เพราะว่า เป็นวันหยุดที่ธนาคารของที่นี่ก็หยุดด้วย (ใครทำงานวันนั้นจะได้ OT เยอะเลยทีเดียว) ส่วนมาก Bank Holiday คือวันหยุดช่วง Easter, ช่วงคริสมาส ที่นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นวันที่ 1 พฤษภาคม, 1 พฤศจิกายน และวันปีใหม่  เพราะฉะนั้นใครที่เป็นนักเรียนใหม่ที่นี่ เวลาที่ได้ยินคำว่า Bank Holiday อย่าไปคิดว่าเป็นเพราะมีเหตุการณ์อะไรเกี่ยวกับ Bank เข้าล่ะ เขาถือว่าเป็นวันหยุดสากล ดังนั้น วันนั้นเราก็ไม่ต้องไปโรงเรียนกันจ้ะ  

ส่วนช่วงวันหยุดยาวคริสมาส ก็มีอีกวันที่น่าสนใจ และมีชื่อเรียกอันแปลกประหลาดเช่นกัน วันนั้นชื่อว่า Boxing Day ตอนที่ได้ยินใจก็นึกไปถึงวันชกมวยอะไรเทือกนั้น แต่จริงๆแล้ว Boxing Day เป็นวันที่ 26 ธันวาคม ของทุกปี หรือ 1 วันถัดจากวันคริสมาสนั่นเอง ดังนั้น Box คำนี้จึงมาจากคำว่าของขวัญ มิใช่การชกมวยแต่อย่างใด  วันนี้เป็นวันที่ผู้คนจะออกมาจับจ่ายของขวัญและนำไปให้กับคนที่เราอยากจะให้ เพราะเขาจะลด แลก แจกแถมกันค่ะ แหม ก็เทศกาลคริสมาสเป็นเทศกาลแห่งการให้นิคะ    แต่ควรจะไปให้ถูกวัน เพราะว่าห้างของที่นี่ รวมไปถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่าง เทสโก จะปิดในช่วงเทศกาลคริสมาส หรือว่าอาจจะปิดเร็วเป็นพิเศษ ดังนั้นถ้าใครอยู่ที่อังกฤษในช่วงนั้น อาจจะหาเวลาออกไปเที่ยวตามสถานที่น่าสนใจ หรือว่าจะอยู่กับเพื่อน หรือครอบครัว (Host Family) เพื่อทำอาหารกันช่วงนั้นก็ได้ เพราะว่าถนนหนทาง ร้านรวงต่างๆ จะปิดกันไปหมด ใครที่เห็นช่วงวันคริสมาสตามหนังฮอลลีวู้ด ถ้ามาอยู่ที่อังกฤษนี่ออกจะเป็นเทศกาลที่เงียบกว่า ดังนั้นเด็กไทยส่วนมากก็จะพากันกลับบ้าน หรือไม่ก็ไปแฝงตัว จับกลุ่มเที่ยวกันเสียเป็นส่วนใหญ่

หากพูดถึงเทศกาลแล้วก็ต้องมาถึงฤดูกาลกันบ้าง  ฤดูกาลของที่นี่ก็จะแตกต่างกันสุดขั้วประมาณว่าหากจะหนาวคุณก็ต้องเปิดฮีทเตอร์ และไม่ได้อาบน้ำกันเป็นวันวันเลยทีเดียว แต่หากจะร้อน ก็ร้อนได้ไม่แพ้ที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเราเลย เชื่อไหมว่ามีเด็กไทยหลายคนต้องซื้อพัดลมเอาไว้ติดห้อง เพื่อหน้าร้อนเวียนมาถึงจะได้เปิดพัดลมดับร้อนกันได้บ้าง เวลานอนก็ต้องเปิดหน้าต่างให้ได้ช่องที่ลมผ่านให้มากที่สุด มิเช่นนั้นเหงื่อแตกแล้วจะเหนียวตัวได้ง่ายจริงๆ

หน้าหนาวของที่นี่ สิ่งของที่คุณไม่มีไม่ได้ นอกจากถุงมือ และผ้าพันคอแล้วละก็ คือ รองเท้าบู๊ธพื้นยางดีดีสักคู่หนึ่ง ทำไมจะต้องเป็นพื้นยางเหรอ ?  ก็เพราะว่ายางดอกหนาๆ (ลองคิดถึง Dr.Marten Boots สิคะ) มันทำให้เราสามารถยืนอยู่บนพื้นน้ำที่เป็นน้ำแข็งหลังหิมะตกลงมาได้อย่างแน่นอน  อย่าประมาทเชียว สาวไทยอย่างดิฉัน เดินฉับๆ ด้วยรองเท้าบู๊ธ ขนาดเลือกมาอย่างดีแล้ว (ซื้อมาแค่สิบปอนด์น่ะ เลือกแล้วเลือกอีกทีเดียวเชียว ฮ่าๆๆๆ) ก็ยังมีสิทธิหกล้ม เอาก้นลงไปจ้ำบ๊ะกับพื้นได้ฟกช้ำดำเขียวกันก็หน้าหนาวนี่แหล่ะค่ะ  ยิ่งไปหิ้วของกลับจากเทสโก ถือของหอบกันมาอย่างหนักทั้งสองมือด้วยแล้ว เวลาจับกบนี่แทบจะอายแทรกแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว เราเด็กๆยังไม่เท่าไหร่ ดิฉันเคยเห็นหลายๆคน ที่ลื่นหกล้มแล้วหัวฟาดพื้นด้วย และผู้ใหญ่บางคนก็เข่าแตก หัวแตก ได้เลือดตกยางออกเพราะมาลื่นบนหิมะนี่แหล่ะค่ะ  เป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นง่ายๆ และอยากให้ทุกๆคนระวังตัวกันเป็นพิเศษเวลาเดินบนพื้นลื่นๆนะคะ  นอกจากนี้ไม่ว่าอากาศจะเปลี่ยนไปอย่างไร เด็กนักเรียนที่นี่ทุกๆคนจะต้องเช็คกัน เรียกว่าแทบจะทุกเช้าเลยทีเดียวค่ะว่าอากาศวันนี้ฝนจะตกไหม อุณหภูมิกี่องศา รู้แค่นี้คุณคิดว่าพอแล้วใช่ไหมคะ ผิดค่ะ เราต้องรู้ด้วยว่าลมวันนี้จะแรงไหม การที่มีเสื้อกันลมจะช่วยได้มากค่ะ เพราะว่าลมแรงทำให้อากาศที่ปะทะตัวเรานั้นหนาวกว่าที่อุณหภูมิบอกเอาไว้อีกค่ะ แล้วยิ่งถ้าหนาวมากๆ อาการปวดหูจนหูอื้อก็จะตามมาดิฉันเป็นมาแล้วค่ะ  

พูดถึงลมถ้าช่วงไหนมีพายุมา ทางมหาลัยจะติดประกาศเอาไว้ที่หอด้วยนะคะว่าให้ระวัง ตอนที่ดิฉันเจอประกาศเขาเขียนเอาไว้ให้ระวัง Gale ค่ะ ตอนนั้นก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะว่าที่เมืองไทยเราไม่มีลมแรงๆมากนิค่ะ ของที่นี่ถ้าลมแรงมากๆ ร่มนี่เปิดหมดทุกคันค่ะ แถมยังสามารถจะหักและงอได้ด้วยถ้าหากถือไม่ระวัง ที่สำคัญความเร็วของลมขนาด 62-87 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็ทำให้ไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนออกไปข้างนอกเลยค่ะ หมกตัวอ่านหนังสือกันอยู่ในห้อง เสียงที่ได้ยินในห้องก็ไม่ต่างไปจากหนังเขย่าขวัญสั่นประสาทนักเท่าใดหรอกค่ะ คุณคงเคยเห็นในหนังว่าเด็กๆกลัวเสียงที่เหมือนเสียงอื้ออึง หวีดหวิว กรีดร้องอยู่นอกหน้าต่าง  เมื่อผู้ใหญ่มาฟังก็มักจะบอกว่าเป็นเสียงลมทุกทีไป นั่นแหล่ะค่ะ ขนาดนักเรียนไทยวิ่งมานั่งเล่นไพ่กัน พอได้ยินเสียงลมเข้าล่ะก็ ได้แต่เงียบกันกริบมองหน้ากรอกตากันอย่างเดียวเลยค่ะ ความที่เราไม่เคยเจอแบบนี้เท่านั้นเอง

หรือบางทีนอนตอนกลางคืนถ้าลมปะทะกระจกเข้ามาเต็มๆ หน้าต่างก็จะกระเพื่อมมีเสียงดังค่ะ และลมที่เข้ามาในห้องก็จะแรงมาก ดังนั้นเราจะไม่เปิดกระจกค่ะ ถ้าเปิดก็แค่แง้มๆเอาไว้เท่านั้น

หลังจากไปเที่ยวกันจนหนำใจแล้ว ผ่านฤดูกาลต่างๆมามากมายแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืมนั่นก็คือ การทำหน้าที่นักเรียนไทย ให้ได้จนจบ ให้เราไปได้กันจนตลอดรอดฝั่ง ด่านปราการสุดท้ายที่เด็กไทยจะต้องผ่านให้ได้ก็คือการสอบนั่นเอง  ใครอยากรู้ว่าเด็กที่นี่อ่านหนังสือกันอย่างไร คงหนีไม่พ้นให้ไปดูหนังหลายๆเรื่อง (อย่าง Love Story in Harvard หนังเกาหลีก็ได้)  หลายๆคนช่วงนี้จะต้องทน อ่านหนังสือกันอย่างหามรุ่งหามค่ำ และที่สำคัญ กลุ่มติวหนังสือนี่สำคัญมาก เพราะเราคนเดียวไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือเป็นสิบสิบเล่มได้จบทัน ดังนั้น เราก็ต้องมาดูว่า อาจารย์ที่สอนเรา เขาจะเน้นสอบไปด้วยเรื่องอะไร แล้วก็แบ่งกันไปในกลุ่มเพื่อนที่จะเป็นกลุ่มติวของเรา ว่าเราจะอ่าน (โดยส่วนมากจะเป็นคนละประมาณ 2 เรื่อง)  เรื่องไหนก็ได้ที่เราตกลงกับกลุ่มแล้วค่อยเอามาแชร์กันในกลุ่มเวลานัดกันอีก 3 วัน หรือ 5 วันถัดไป ส่วนมากคนที่เก็งข้อสอบเก่งๆ มักจะเลือกเรื่องที่จะอ่านที่มีความเป็นไปได้ว่าอาจารย์จะออกข้อสอบ เขาจึงอยากจะอ่านเรื่องนั้นๆหากอ่านมากเท่าใด มาติวกับเพื่อนมากเท่าใด เขาก็จะยิ่งมีความชำนาญในสาขามากขึ้นเท่านั้น เพราะระหว่างที่อ่าน text ไปเขาสามารถที่จะอ่านและวิเคราะห์ หรือว่าจำเนื้อหาบางตอนจาก text ที่อ่านนำไป quote ในข้อสอบ (แบบเขียนตอบ) ได้ ซึ่งการนำความคิดของนักเขียน หรือนักทฤษฎีคนใดไปอ้างอิง และ apply เข้ากับความคิด หรือไอเดีย ทิศทางที่เราจะตอบได้จะทำให้เราได้คะแนนมาก ยิ่งถ้าเรารู้เรื่องในสิ่งที่อาจารย์ให้หัวข้อมาสอบมากเท่าไหร่ มีเรื่องไปเขียนใน paper เราได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี  แต่ต้องให้เกี่ยวข้องนะคะ ไม่ใช่อ้อมแม่น้ำ ไปเขียนเรื่องอื่นที่ไม่ใช่คำถามของอาจารย์  มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกเอาไว้ในคลาสเรียนก่อนพวกเราจะสอบว่า ‘Always answer the question’  เขาบอกว่า ถ้าไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร ก็ลอกคำถามไปก่อนในขณะที่ปล่อยหัวเราให้แล่นไปเรื่อยๆ  การสอบพวกนี้จะมีสมุดทดเอาไว้ให้เรา ร่าง out line ของเราได้ก่อน หรือว่า เขียนในสิ่งที่เราอ่านมาเพื่อที่จะได้เรียงร้อยใส่ลงไปในกระดาษคำตอบอย่างสวยงาม

การสอบของที่นี่ เด็กนักเรียนทุกคนจะมีหมายเลขสอบประจำตัวของเราเอง  เมื่อเราจะสอบวิชาใดก็ตาม เราจะต้องเขียนหมายเลขสอบของเรานี้ลงไปในกระดาษคำตอบของเรา โดยที่ไม่ต้องเขียนชื่อของเราลงไปค่ะ เพื่อกันการให้คะแนนพิศวาสนั่นเอง  และเราก็จะไม่ได้นั่งติดกับเพื่อนสนิทของเราด้วยค่ะ จะเจอกันที่ก็หลังจากที่สอบเสร็จไปแล้วนั่นแหล่ะ ดังนั้นก่อนที่จะเข้าห้องสอบ ขอให้เราเช็คอีเมลล์ของเราให้ดี เพราะอีเมลล์ของเราจะเป็นช่องทางในการติดต่อระหว่างเราเองกับมหาลัย ทางมหาลัยจะบอกว่า เราจะมีสอบวันใดบ้าง วิชาใดบ้าง สอบห้องใดบ้าง สอบเวลาเท่าไหร่ ซึ่งหลายต่อหลายครั้ง เราอาจจะไม่ได้สนใจในจุดนี้ ดังนั้นขอให้เตรียมตัวให้ดีก่อนที่จะไปเข้าสู่สนามสอบ ไปให้ถึงก่อนสักครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยก็จะดีที่สุด เพราะว่ากันว่าเราไปห้องพลาดด้วย หรือหาห้องไม่เจอด้วยค่ะ

โดยส่วนตัวสถานที่ที่เคยไปสอบก็มีตั้งแต่ในโรงยิม (เพราะวิชาที่ดิฉันสอบ คนลงเรียนเยอะจึงมีคนสอบเยอะมากกกกกกกกกกกกก)  เราก็ต้องดูหมายเลขสอบของเราว่านั่งอยู่แถวไหน แล้วก็เดินเข้าไปให้ถูกแถว  ในห้องเลคเชอร์แบบครึ่งวงกลม  ชอบสถานที่สอบแบบนี้ที่สุด เพราะว่านั่งสบาย และแสงไม่สว่างจ้าจนเกินไป  ใครอยากจะออกมาก่อนก็สามารถทำได้ แต่ขอให้นั่งอยู่จนหยดสุดท้ายจะดีกว่า เผื่อว่าจะมีอะไรเขียนต่อเพิ่มเติม ส่วนมากเด็กไทยจะชอบออกมาก่อน  เคยได้ยินเหมือนกันว่ามีเด็กไทยเข้าสอบแล้วก็ออกมาเร็วมากแล้วเขาก็ทำได้คะแนนระดับท๊อปเช่นกัน  แต่ถ้าคุณไม่ได้มั่นใจถึงขนาดนั้น ก็ใช้เวลาให้เต็มที่กับการข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนที่นี่เถิด

ข้อสอบนี้เป็นเขียนทั้งหมด และทางโรงเรียนจะมีการสุ่มตรวจข้อสอบด้วยอาจารย์สองคน ว่าให้คะแนนยุติธรรมหรือไม่ ส่วนมากทางมหาลัยทำเพื่อที่นักเรียนจะได้สบายใจและเพื่อความยุติธรรมในการให้คะแนนค่ะ (นอกจากจะไม่ใส่ชื่อนักเรียนในกระดาษคำตอบให้เห็นแล้วด้วย)

ลุ้นผลสอบ ช่วงลุ้นผลสอบเป็นสิ่งที่ทรมานมาก จำได้ว่าหลังจากที่ดิฉันสอบเสร็จวันรุ่งขึ้นก็ตื่นตี 5 เพื่อจับเครื่องบินมุ่งตรงสู่อัมสเตอร์ดัมในทันที เนื่องจากความล้าและเครียดในการสอบ และที่สำคัญก็คือเราได้ไปขอเชงเก้นวีซ่ากันเรียบร้อยแล้ว

การขอเชงเก้นวีซ่านั้นจะขอไปจากกรุงเทพก็คงจะลำบากเพราะว่าเขาจะให้วีซ่าท่องเที่ยวไม่นาน ดังนั้นจึงต้องทำการขอก่อนเดินทางประมาณสัก 1 เดือนจะดีที่สุด เราจะไปประเทศไหนเป็นประเทศแรกก็ให้ไปขอวีซ่าที่ประเทศนั้น เราเป็นนักเรียนอังกฤษอยู่แล้ว ส่วนมากมักจะได้วีซ่ามาง่ายๆ ทำได้ก็คือก่อนอื่นต้องเข้า google search ดูก่อนว่าสถานทูตนั้นอยู่ส่วนไหนของลอนดอน เวลาเปิดปิดกี่โมง จะต้องใช้หลักฐานอะไรบ้าง (ส่วนมากต้อง verify ที่อยู่ 2 ที่ (เช่นเคย) เช่นเอาใบเสร็จโทรศัพท์ และจดหมายของทางมหาลัยไปด้วยจะไม่ค่อยพลาดเท่าไหร่) นอกจากนี้รูปถ่ายที่เอาติดตัวไปแล้วก็จะมีความสำคัญเอาช่วงนี้แหล่ะค่ะ   บางสถานทูตก่อนจะไป ไม่ใช่เดินดุ่มๆ เข้าไปในสถานทูตได้เหมือนบ้านเรานะคะ จะต้องมีการโทรศัพท์เพื่อไปจองที่ก่อน ไม่มีคนอยู่ปลายสายด้วยค่ะ คุณโทรศัพท์ไปจองกับคอมพิวเตอร์ปลายสายนั่นเอง  แล้วก็ต้องกดนานมาก หลายขั้นตอนมากๆค่ะ ถือเป็นขั้นตอนปราบเซียนถ้าผ่านขั้นตอนนี้ได้แล้วก็จะฉลุยแล้วค่ะ  หลังจากนั้นเราก็ไปตามที่เรานัดค่ะ (ก็จะมีหลายคนที่เลือกวันและเวลาเดียวกันกับเราไปด้วย) อย่าไปสายนะคะ ถ้าไปสายเขาจะไม่ให้เราเข้าไปเลยค่ะ  หลังจากนั้นประมาณสัก ๒ อาทิตย์ ก็มารับวีซ่าได้อย่างสบายใจแล้วล่ะค่ะ ขั้นตอนการจองตั๋วเครื่องบิน จะใช้ low cost ที่มีมากมายแบบไหนก็ได้นะคะ

หลังจากสอบเสร็จไม่ถึง 10 ชั่วโมงดี ดิฉันก็พาตัวเองมานั่งมองฟ้าอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม อย่างสบายอารมณ์แล้วล่ะค่ะ อาจจะมีเหนื่อยไปบ้าง เพราะว่าก่อนหน้านั้นช่วงสอบก็ไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ แต่ในเมื่อไม่ต้องเข้าเรียน ไม่มี text เล่มหนาๆ ให้อ่านแล้วล่ะก็ เหนื่อยแค่ไหนก็ยอมค่ะ

แล้วก็นั่งรถไฟข้ามมายังเบลเยี่ยม และนั่งรถไฟต่อมายังฝรั่งเศสก่อนใช้ low cost airline ที่ขึ้นชื่อในเรื่องราคาถูกหากจองก่อนเป็นเวลานาน จำได้ว่านั่งเครื่องบินครั้งนั้นเสียเงินไปประมาณ 50 ปอนด์ คิดเป็นเงินประมาณ 3,700 บาท แบบไป-กลับ(ตอนนั้นใครจะไปคิดละคะว่า 1 ปอนด์เทียบเท่ากับ 75 บาท ณ ปี 2005-2006  ตอนช่วงปลายๆเริ่มลดลงมาที่ 70 บาทแล้ว)

ถ้าหากมีเวลาจะมาเล่าให้ฟังเป็นภาคต่อว่า ที่ไปเที่ยวในแต่ละเมืองของอังกฤษนี่ทำอะไรไปบ้าง แต่เนื่องจากเนื้อหาเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการไปศึกษาต่อและเกร็ดเล็กๆน้อยๆ จึงขอข้ามไปอย่างน่าเสียดาย (จริงๆแล้วไม่รู้จะเล่าให้ฟังยังไง ขอเก็บเอาไปคิดดูก่อนละกัน) จำได้ว่าไปประมาณ 10 กว่าวัน พอกลับมาคะแนนก็จะออกพอดี ไปดูผลคะแนนโดยการเปิดซอง ให้ตายเหอะทำหยั่งกะประมูลงานประกวดราคาอย่างไงอย่างงั้นเลย ช่วงที่สอบเสร็จเด็กๆหลายๆคนก็เดินทางไปเที่ยวกันเหมือนเราเนี่ยแหล่ะค่ะ บริเวณมหาลัยก็เงียบเป็นของธรรมดา พอเป็นช่วงที่ใกล้จะประกาศผลสอบเด็กนักเรียนก็กลับกันมาเสียยกใหญ่

จำได้ว่าวันนั้นจิตใจดิฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย อิฉันก็เต้นอย่างตุ้มๆต่อมๆ คิดอยู่ในใจคนเดียวว่า ถ้าไม่จบแล้วจะทำอย่างไรต่อไป ภาพข้อสอบที่ได้ทำมันเริ่มผุดขึ้นมาบนหัวอย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดค่ะ ยายดาเลียเพื่อนรักออกจากห้องไปก่อนเรียบร้อยเพื่อเตรียมตัวไปเอาคะแนน หลายๆคนที่เดินออกมาจากห้องหอของแต่ละคนมุ่งเรียกว่าพุ่งน่าจะเหมาะกว่าตรงไปที่ออฟฟิศเลขาของคณะของตัวเองในมหาวิทยาลัย เจอ ดาเลีย แฟลตเมทของดิฉันระหว่างทาง เธอยิ้มเผล่อยู่ตรงประตูทางออก เธอบอกว่า เธอผ่าน ดีใจมาก ถามว่าดิฉันไปเอาผลสอบหรือยัง ดิฉันบอกว่ายังค่ะ หลังจากนั้นก็เดินไปเอา ป้า ลินดา นั่งคอยอยู่แล้ว ก็บอกชื่อไปว่ามาเอาผลสอบ ป้าลินดาก็ให้ซองมาหนึ่งซองมาตรฐานสีขาว ก็ทำทีเป็น act cool cool (ทำท่าเท่ๆ) เหมือนไม่อยากรู้ ตอนเดินออกมา แค่มาถึงทางลงบันไดก็ทนไม่ไหวแล้ว อธิษฐานเรียกร้องหาพระเจ้าอยู่ในใจว่า พระเจ้าขาถ้าลูกไม่ผ่านมีหวังต้องกลับบ้านมือเปล่าแน่เลยค่ะ  เดินออกจากห้องก็ไม่กล้าจะเปิดดู และแล้วอิฉันก็เปิดซองเจ้าปัญหาออกมาดู กระดาษขาวๆแผ่นยาวๆ ขนาด 1 ใน 3 ของ กระดาษ A4 บอกวันที่ 23 June 2006 เวลา 10.15.56 และบอกคะแนนสะสมทั้งหมดของตัวเองเฮ่ยยยยยย ไม่ผ่าน !

กวาดสายตาดูคะแนน ไปทีละช่อง เต็ม 100 เราจะต้องทำให้ผ่าน 50 ค่ะ แต่ดิฉันมีได้ 49 อยู่ 2 ตัว คือวิชา สถิติ ที่ดิฉันแขยงมาก เพราะไม่เคยเรียนเป็นภาษาไทย แล้วนี่ยังต้องมาเรียนสถิติเป็นภาษาอังกฤษด้วย กับอีกวิชาหนึ่งคือ security (Kevin ทำพิษเข้าจนได้!) ซึ่งตัวเองยอมรับว่าตัวเองไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควรกับสองวิชานี้เท่าที่ควร  เมื่อเห็นคะแนนเท่านั้นล่ะ ดิฉันก็หน้าตื่น เข่าอ่อน เดินลงมาจากคณะ มาเจอดาเลียที่ยังไม่ได้เดินไปไหน ยังทักทายเพื่อนฝูงตามประสาความเป็นคนน่ารักของเธอ  เธอเห็นหน้าดิฉันก็ตกใจถามว่า เป็นอย่างไร  ดิฉันก็บอกว่าฉันไม่ผ่าน ในส่วนของ Course work ฉันผ่านหมด แต่ Exam ฉันไม่ผ่าน ! บอกดาเลียว่า ตกไปตั้ง สองตัว ได้ 49 เอง ไม่ถึง 50

ถ้าเป็นหนังเป็นละคร คงจบแบบ pause หน้าอิฉันเอาไว้แล้วคั่นเข้าโฆษณา หรือไม่ก็จบแบบ to be continued ให้ไปดูกันต่ออาทิตย์หน้าแน่ๆเลย

เธอก็มาดูใบคะแนนของฉัน แล้วก็เอากระดาษของเธอให้ฉันดู ดาเลียกับฉันยืนมองดูตัวเลขในกระดาษสองแผ่นแล้วดิฉันก็สังเกตเห็นว่าบางตัวเธอได้คะแนนน้อยกว่าดิฉันอีกค่ะ  แล้วก็บอกว่า .....(เธอพูดชื่อฉัน) ยูผ่าน (ย่ะ)  ถ้าเธอพูดภาษาไทยได้คงบอกว่าอย่างนั้น ดูสิ ตรงคำว่า Proposed Result: มันเขียนว่า “Proceed to Dissertation”  เห็นป่าวววว?

โอยยยย จะเป็นลมไปในบัดดล
ฉันก็เลิ่กลั่กเบิ่งตากว้างๆ ซึ่งปกติตาตี่ของดิฉันดู ไม่น่าเชื่อ คือว่าคะแนนตัวสอบเอาไปถัวเฉลี่ยกับคะแนนเก็บ ตอนที่ตรากตรำทำ Essay กันแทบตาย นี่ถ้าไม่มีคะแนนผ่านแบบมะรอมมะร่อของ Essay ช่วยฉันไว้ เพียง 1 คะแนนฉันคงจะตายแน่ oh Thanks God! ขอบคุณพระเจ้าในบัดดล

ฉันเดินกลับบ้านอย่างลิงโลด ปะป๊า มะม้า อาแอม อาม่า คุณป้า อาโก อาเจ็ก ฉันผ่านแล้ว!  อยากจะตะโกนกู่ร้องออกมาให้ดังๆ  เพราะหลังจากนี้ก็เป็นการทำ Dissertation ซึ่งจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 25 % จากเต็ม 100% งานนี้ฉันได้คะแนน 42.7 % จากคะแนนเต็ม 75% ผ่านไปแล้ว ซึ่งการทำ Disseration ก็ต้องห้ามตกอีกเช่นเดียวกัน คือถึงแม้ว่าคะแนนรวมจะผ่าน 50% แต่ถ้า Dissertation ไม่ผ่าน 50% ก็อย่าหวังว่าจะได้รับปริญญาสมใจอยากเลย อุปสรรคมักจะมาคอยขวางให้เราต้องใช้ศักยภาพที่มีอยู่ในตัวเราข้ามไปเสมอๆ มหาลัยอะไรวะยากอิ๋บอ๋ายเรยยยย

หลังจากวันนั้นเราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องมาหาอาจารย์ที่ปรึกษาในการทำวิทยานิพนธ์ของเราค่ะ  เราจะต้องทำการบ้านมาก่อน เป็นต้นว่าเราจะทำเรื่องเกี่ยวกับอะไร research question ของเราคืออะไร เราจะใช้ method แบบไหนในการทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งการหาหนังสือในห้องสมุดมากมายในรอบนี้มันยิ่งกว่าหินเสียอีกค่ะ หลายๆคนเดินทางไปลอนดอน เพื่อไปดูของในห้องสมุดเฉพาะทาง เพื่อที่จะได้เห็นหนังสือที่เฉพาะเจาะจงในสิ่งที่เราจะทำ

มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนชาวไต้หวันได้นัดพวกเรา ดิฉัน น้องคนไทย คนญี่ปุ่น ออกไปนั่งดื่มกันที่ผับในมหาลัย ที่นี่จะซื้อเบียร์ เหล้าอย่างไร เวลาไหนก็ได้ แต่ส่วนมากผับจะเปิดประมาณเย็นๆแล้ว เราก็ไปนั่งกัน ด้วยที่ช่วงนั้นเพื่อนสนิทของดิฉันกลับเมืองไทยด้วยแล้ว ขอออกไปเที่ยวเสียทีเถอะ และนอกจากนี้ยังได้ข่าวว่าเพื่อนญี่ปุ่นของดิฉันกำลังจะกลับไปญี่ปุ่น  ซึ่งการทำ Dissertation นั้นไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่มหาวิทยาลัย เราสามารถกลับไปทำที่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอน หรือที่ไหนไหนก็ได้แล้วก็ส่งงานกลับมาให้ทัน dead line ซึ่งอิฉันก็ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็เลยถามเพื่อนออกไปว่า ตกลงจะทำ Dissertation เรื่องอะไร เขาก็บอกว่าเขาไม่ผ่าน (เขาคงคิดมานานพอสมควร เพราะว่าเราจะไม่มีวันรู้เลยว่าเขาผ่านหรือไม่) เธอบอกว่าเธอกำลังจะกลับญี่ปุ่น เพราะว่าเธอสอบไม่ผ่าน

มหาลัยที่อังกฤษนี่โหดสิ้นดีค่ะ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ เก็บกระเป๋ากลับบ้านอย่างเดียวค่ะ แต่ต้องยอมรับว่าเธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตคุ้มมาก เธอเดินทางไปหลายที่คนเดียวบ้าง ไปกับน้องสาวบ้างระหว่างที่อยู่ที่อังกฤษค่ะ เงินของประเทศญี่ปุ่นนี่ท่าทางจะแข็งมากค่ะ เพราะว่าเดินทางเยอะเหลือเกิน ยังไม่นับรวมที่กลับมาแล้ว เธอเข้าทำงานแล้วยังสามารถบินไปเที่ยวที่อเมริกาได้อีกนะคะ ฉันตาโตทุกที (น้ำลายไหล) พร้อมกับเรื่องที่เธอเล่าเสมอ

ดิฉันไม่คิดว่าจะมีใครตกมาก่อน จึงปลอบเธอไปว่าไม่เป็นไร เธอเก่งนะ ขนาดทำคะแนน essay เธอยังทำได้ดีกว่าดิฉันเลย เธอตอบว่าไม่มีประโยชน์หรอกเพราะว่าเธอสอบไม่ผ่าน ไม่ว่าจะได้คะแนนสูงอย่างไรในตอนทำ essay ก็ตาม มันแย่มากๆเลยเมื่อเวลาที่เราไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาปลอบใจดี แต่เธอก็เข้มแข็งมากๆจริงๆ
โดยปกตินักเรียนที่สอบผ่านแล้วมักจะกลับบ้านไปทำ dissertation แต่ที่แฟลตของดิฉันก็อยู่กันครบ นัยว่าไม่มีใครอยากจะจากอังกฤษไปสักวินาทีเดียว หรือนักเรียนบางคนที่มีแฟนอยู่ที่ประเทศไทย จากกันเพียงแค่ 10 เดือนก็ยอมบินกลับไปทำ dissertation ที่เมืองไทยเพียงเพราะว่าจะได้อยู่ใกล้ๆแฟน นั่นสิคะ แฟนใครแฟนมัน ดิฉันก็ยังนั่งทำงานที่นี่ต่อ เพราะว่าได้คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งจะเป็นหนึ่งในผู้ตรวจงานของดิฉันด้วย ที่นี่เขาเน้นความ fair ค่ะ คือนอกจากอาจารย์จะตรวจงานให้เราแล้ว เขาจะส่งงานไปให้อาจารย์ท่านอื่นตรวจด้วย บางทีเป็นอาจารย์ต่างมหาลัย เพื่อให้ได้มาตรฐานคะแนนที่ทำการตรวจแล้ว หารสอง

การทำ Dissertation นั่นไม่ยากค่ะ มีทั้งหมดอยู่ 5 บท แต่เราต้องตอบโจทย์ของเราเองให้ได้ ให้เคลียร์ว่าเราจะทำอะไร ทำเรื่องอะไร แล้วบทสรุปที่ได้จะเป็นอย่างไร เราจะใช้หนังสือเล่มไหน ทฤษฎีอะไรมาเป็นตัวหลักในการทำวิทยานิพนธ์ และจะใช้ทฤษฎีอะไรมาเสริม อะไรใช้ไม่ได้ หรืออะไรใช้ได้

การเข้ารูปเล่มจะต้องตรวจให้ดูว่า format การเข้ารูปเล่มของมหาวิทยาลัย และคณะของเราเป็นอย่างไร อย่าไปถามเพื่อนที่อยู่คนละคณะ เพราะว่าแต่ละคณะจะไม่เหมือนกันค่ะ

ตอนนั้นดิฉันขอสารภาพว่าทำกันจนคืนสุดท้ายก่อนส่ง dissertation ตอน 10 โมงกันเลยทีเดียวค่ะ คืนนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน ช่วงตี 3 ยังมานั่งเขียนบทสรุปกันอยู่เลยค่ะ แล้วเพื่อนสนิทที่แสนดีของดิฉันก็จะเป็นคนเอาไปเข้าเล่มให้ และเป็นคนเอาไปส่งให้ เนื่องจากว่ามีหนุ่มที่ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ของดิฉันจะมาเรียนต่อค่ะ แล้วเขาขอร้องให้ดิฉันช่วยเป็นธุระในการพาเขาไปมหาลัยให้ หนุ่มคนนี้เคยพาดิฉันเที่ยวที่ นิวซีแลนด์มาแล้ว ดิฉันคิดถึงความดีของเขา ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไรหรอกค่ะ แต่ก็ใจอ่อนยอมไปเนื่องจากว่ากลัวว่าเขาจะหลงทางในลอนดอน ซึ่งถนนหนทางดูจะยุ่งยากมากกว่านิวซีแลนด์ยิ่งนักค่ะ

ขากลับมาดิฉันไม่ลืมที่จะหาอาหารญี่ปุ่นกลับมาฝากเพื่อนสนิทของดิฉันคนนี้ พร้อมสารภาพว่าดิฉันไม่น่าไปช่วยเหลือหนุ่มคนนั้นเลยค่ะ  ตามประสาสาวชอบช่วยเหลือคนอื่นอย่างดิฉันใครขอร้องให้ช่วยอะไรก็ไปช่วยเสมอๆ แต่ดิฉันได้ลืมคนที่ช่วยเหลือดิฉันอยู่ข้างๆดิฉันเสมอมาเหมือนเพื่อนสนิทคนนี้เสีย  ยังมีเรื่องที่ดิฉันต้องกวนเขาอีกก่อนกลับค่ะ เป็นอย่างไรบ้างคะ และถึงแม้ว่าตอนนี้ดิฉันกับเขาจะไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว แต่ความดีของเขาก็ยังอยู่ในความทรงจำของดิฉันเสมอ สิ่งไม่ดีดิฉันไม่จำค่ะ ไม่อยากจำ (แหมมาเป็นเพลงเลยนะคะ) นึกถึงทุกวันนั้นยังเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเขาเลย ทั้งๆที่เขาก็ช่วยเหลือดิฉันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด งานของดิฉันหรืออะไรก็ตามแต่เราควรที่จะทำเองให้เสร็จไม่ใช่ปล่อยให้เป็นภาระของคนอื่นมาคอยจัดการ ตามล้างตามเช็ดให้กับเรา ครั้งนี้เก็บเป็นบทเรียนสอนใจต่อไปค่ะ  เวลาเจอคนที่เขาดีกับเรามากๆดิฉันมักจะเป็นแบบนี้ทุกที คืออยากจะขอโทษและขอบคุณทุกๆคนจากใจจริงค่ะ  

ตอนหน้ามาถึงตอนที่จะอำลาเมืองผู้ดีกันแล้วล่ะค่ะ ว้าไม่อยากกลับเลยใช่ไหมคะ 

ตอนที่ 7 ตอนจบ ค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12372690/H12372690.html

แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 13:02:43

จากคุณ : just.a.girl
เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 12:55:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com