Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตอันแสนสั้นของนักเรียนอังกฤษ [ตอนที่ 7 ตอนจบ กลับบ้านเรารักรออยู่] ติดต่อทีมงาน

ไหนไหน ตอนจบก็เขียนนิดเดียวแล้ว ก็เลยเอามาทีเดียวพร้อมกันเลย คำถาม ถามมานะคะจะได้ตอบไป ไม่ต้องอายนะคะ :)

ลิ้งตอนที่ 1 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12224646/H12224646.html
ลิ้งตอนที่ 2  http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12243376/H12243376.html
ลิ้งตอนที่ 3 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12260789/H12260789.html

ลิ้งตอนที่ 4
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12278995/H12278995.html

ลิ้งตอนที่ 5.1
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311039/H12311039.html

ลิ้งตอนที่ 5.2
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311140/H12311140.html

ลิ้งตอนที่ 5.3
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12311187/H12311187.html

ลิ้งตอนที่ 6.1 http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12372649/H12372649.html

ลิ้งตอนที่ 6.2
http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12372661/H12372661.html


==================================
ตอนที่ 7 : กลับบ้านเรา รักรออยู่  (October 06)

และเมื่อใกล้จะถึงต้นเดือนกันยายน เหล่าเด็กนักเรียนก็มักจะได้อีเมลล์ หรือบางทีก็มีจดหมายแจ้งว่าจะอยู่หอได้ถึงวันที่เท่าไหร่ เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ของหอจะต้องทำความสะอาดหอ และจัดทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่จะถึงต้นเดือนตุลาคม ซึ่งจะเป็นช่วงเปิดเทอมของเด็กนักเรียนใหม่ในช่วงนั้น

บางหอ ที่คนออกหมดแล้วก็จะใช้เป็นสถานที่สำหรับเด็กที่เรียนภาษาจะได้อยู่รวมกัน

ดังนั้นเหล่าเด็กหน้าเก่าทั้งหลาย ก็จะต้องจัดการแพ็คของทุกสิ่งทุกอย่างลงกล่อง เพื่อส่งกลับเมืองไทย ใครของไม่เยอะก็ซื้อกระเป๋าเพิ่มแล้วก็แพ็คกลับไปทีเดียว แต่ส่วนใหญ่มักจะใส่กล่องกลับ เนื่องจากว่าสายการบินให้ได้อย่างมากก็ประมาณ 20 กิโล ถ้าไม่ได้บินชั้น business หรือ first class กลับน่ะนะ แล้วในตอนนั้น เป็นปีที่เขาบึ้มลอนดอนกันด้วย การรักษาความปลอดภัยทุกอย่างจึงเป็นไปอย่างเคร่งครัด พวก hand carry ที่ขึ้นเครื่องมีได้แค่ใบเดียว ห้ามเกินกว่านี้ ถ้าเกินจะถูกให้เลือกว่าจะเอาใบไหนไป อีกใบก็ทิ้งสิคะ ถามได้

กลับมาที่ห้องหอของเด็กนักเรียนกันต่อ ถ้าหากคืนกุญแจหอกับเจ้าหน้าที่ก็จะได้เงินมัดจำกุญแจคืนส่วนมากเพื่อนๆก็จะทยอยกันกลับไปแทบจะทั้งนั้น เพื่อนบางคนอยู่กันจาก 6 คนเหลือกันแค่ 2 คนก็มี ดูเงียบเหงา โหวงเหวงอย่างไรชอบกล ทุกๆวันก็จะเห็นคนเข็นกระเป๋าเดินทางใบโตๆ ออกจากหอ เป็นความรู้สึกว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกราจริงๆ  

ทุกอย่างในห้องจะต้องกวาดให้หมด อันไหนกวาดไม่หมด แม่บ้านจะกวาดไป เขาไม่ได้เอาของไปใช้เหมือนบ้านเราหรอก เหอๆๆ เขาเอาไปทิ้ง น่าเสียดายจัง

ดังนั้น เมื่อคิดได้แล้ว ก็ควรจะชวนพรรคพวกมาแชร์กัน บริษัทพวกนี้ที่เด็กไทยใช้อยู่ก็จะมีอยู่ 2 เจ้า จริงๆแล้วจะมีมากมาย แต่เราก็ไม่เสี่ยงในการหาของใหม่ เราก็เลยใช้บริการเจ้าเก่า ซึ่งรุ่นพี่รุ่นก่อนๆ ก่อนเขากลับ เขาเคยลองมาก่อนเราแล้ว (ช่วงนั้นเราไปใหม่ๆ เราได้คุยกับรุ่นพี่ก่อน ก็จะเป็นการดี เพราะนอกจากเขาจะขายของต่อให้เรา แบบลดแลกแจกแถมแล้ว อย่าเจอคนเขี้ยวละกัน มีหวังโดนโก่งราคาแหง๋มเรย ก็จะบอกเคล็ดลับการใช้ชีวิตอยู่ และวิชาในการเอาของกลับเมืองไทย เพื่อเวลาเรากลับในช่วงเดือนก่อนเดือนตุลาคม ก็จะได้นำความรู้ที่ได้เมื่อปีกะโน้น งัดออกมาปัดฝุ่นและใช้ประโยชน์กันต่อไป ใช้แล้วอย่าลืมบอกต่อคนไทยด้วยกัน จะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันด้วยนะ) จึงตกลงปลงใจใช้ บริษัท Seven Seas โดยแน่นอน เราต้องหาข้อมูลโดยการเข้าไป search ใน internet ก่อน เพื่อที่จะได้คุยกับ call center ได้สะดวก เขาจะให้เราจ่ายเงินมัดจำก่อน เป็นค่า bubble และค่ากล่อง (ถ้ามากันเยอะ) กล่องหนึ่งเอาแบบที่ใหญ่ที่สุดจะได้ประมาณ 30/40 กิโล การส่งของกลับบ้านก็จะมี 2 ประเภท คือ door-to-door หรือว่า door-to-port  อันว่า door-to-door ก็คือ ของมารับจากเราที่ประตูหน้าบ้านหนึ่งส่งไปถึงอีกคนที่ประตูบ้านเลย ไม่ต้องทำอะไรมาก ราคาก็จะแพงตามไป ในขณะที่ doot-to-port ก็คือมารับของที่หน้าบ้านเรา แต่เวลาเราไปเอาของก็ต้องไปรับที่ท่าเรือ ซึ่งบางคนกว่าจะเอาของออกมาได้ ก็ได้ข่าวว่านานพอดู เนื่องจากพิธีการทางศุลกากรนั้นมีมากมาย (ไม่แน่ใจว่าระบบสมัยนี้เปลี่ยนใหม่แล้วหรือยัง) ดังนั้น อย่าว่ากระนั้นเลย ของก็ต้องใช้ จึงใช้วิธีส่งแบบ door-to-door ท่าจะดี

แล้วกล่องที่เขาจะเอามาให้ก็มีหลาย size จะต้องบอกเขาไปทางโทรศัพท์ด้วยว่าจะเอากล่องใหญ่เลยหรือจะเอากล่องแบบที่ใส่หนังสือ กล่องแบบที่ใส่หนังสือ เขาเรียกกันว่า ‘Book Box” (เพราะหนังสือหนัก) shape จะทำออกมาเป็นรูปแบบให้พอเหมาะกับการใส่ของหนักๆ เช่นหนังสือ ในส่วนกล่องใหญ่ก็จะใส่ของหนักไม่เท่าแต่ใหญ่กว่ามาก เรียกว่า T-Chest ซึ่งบางทีอาจจะไม่จุ ถ้าหากของเราเยอะ ดังนั้น ก็ควรเอากล่องใหญ่มากหน่อย กล่องเล็กเอามาแค่ 1-2 กล่องก็พอ แล้วเขาจะนัดวันเอาของพวกนี้สำหรับแพ็คมาให้เรา เมื่อแพ็คเสร็จก็โทรนัดวันให้เขามาเอากล่อง ก็เป็นอันเรียบร้อย สมราคาที่เรียกว่า door to door จริงๆ

ของที่เขาให้ก็จะเป็นของที่จำเป็นในการแพ็คของ นั่นก็คือพวกพลาสติกกันกระแทก  ปากกาเอาไว้เขียนหน้ากล่อง และเทปปิดกล่อง  

ดังนั้นเมื่อได้กล่องแล้วก็อย่ารอช้า ให้รีบจัดการนำของใส่กล่องเอาไว้ แต่อย่าเพิ่งปิดกล่อง ถ้าหากมีเพื่อนมาด้วยก็จะช่วยกันแชร์ค่าน้ำหนัก ก็จะทำให้ค่าของลดน้อยลงมาด้วย เป็นการดีมาก ตอนนั้นที่ส่งไปทั้งหมดก็มี 10 กล่อง ราคาตกกล่องนึงก็ประมาณ 50 ปอนด์ เห็นจะได้ ถ้ายิ่งมีกล่องเยอะๆ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ชื่อว่า Economy of Scale เนี่ยราคาเฉลี่ยต่อกิโล ก็จะลดน้อยลง ของอิฉันก็ปาไป 5 กล่องแล้ว แล้วก็มี ของน้องๆอีกห้าคนมากันคนละกล่องค่ะ ที่ของอิฉันเยอะก็เพราะเป็นหนังสือที่คุณพ่อและคุณแม่ส่งไปให้ แค่นี้ก็ 2 กล่องเต็มๆแล้วค่ะ นอกนั้นก็พวกเสื้อผ้าเมืองหนาว เหลือเอาไว้ติดตัวไม่เท่าไหร่ เพราะช่วงนั้นก็ไม่ค่อยหนาวมากเท่าไหร่แล้วค่ะ
ช่วงนั้นดิฉันสนิทกับเพื่อนคนจีน ดิฉันว่าเท่าที่คบกันมาทั้งหมดแล้ว เพื่อนจีนแผ่นดินใหญ่ดูจะเหมาะกับบุคลิกลักษณะของเรามากที่สุดค่ะ รองลงมาดิฉันให้คะแนนเท่ากัน ให้เพื่อนญี่ปุ่นมากกว่าเพื่อนเกาหลี .5 ค่ะ เพื่อนฮ่องกงให้เท่ากับเพื่อนเกาหลี ส่วนอันดับโหล่ไม่ต้องแจวคือเพื่อนไต้หวันค่ะ ความจริงดิฉันมีเพื่อนไต้หวันที่สนิทด้วยอยู่ประมาณ 3 คนนะคะ แต่ไม่ทราบทำไมคนที่ร้ายนี่ร้ายเหลือเกินค่ะ ความที่ประเทศของเขากำลังจะเจริญแล้วด้วย  เขาก็พูดภาษาอังกฤษได้เก่งมากๆพอพอกับคนไทย ในขณะที่สำเนียงพวกเกาหลีและญี่ปุ่นนั้น ถึงจะพูดให้ตายยังไงก็ยังติด แอ็กเซ้นของประเทศเขาอยู่ดี

วันสุดท้ายที่อยู่หอ ดิฉันเก็บของแพ็คลงกล่องแล้วจัดแจงให้คุณเพื่อนคนดีช่วยส่งให้กับทางบริษัทที่เขาทำเรื่อง Courier door to door service (เป็น Bitch จวบจนวันสุดท้ายเรยตรู) แล้วก็หนีไปเที่ยวสวิสกับเพื่อนชาวจีนสบายใจเฉิบอยู่ สามวัน เสิร์ชข้อมูลจากอินเตอร์เน็ท ไปเที่ยวพร้อมแพ็คเกจทุกๆอย่างจ่ายครั้งเดียวเขามีตั๋วและโปรแกรมเดินทางให้เราดำเนินตาม ห้องพักที่นั่นสวยทุกห้องพักเลย ชอบมากๆ และประเทศสวิสใครจะไปเที่ยวนี่รู้ไว้ได้เลยว่าไม่เหมาะกับจะมากับครอบครัวหรือเพื่อนค่ะ มันเหมาะกับจะมากับคู่รัก เพื่อนสนิท (อ่ะแฮ่ม) อะไรเทือกนั้น แต่กว่าเธอจะรู้ตัวว่าพลาดอะไรไปแล้ว ก็ต้องโทรกลับไปหาเพื่อนที่อังกฤษเสียยกใหญ่ (เหอๆๆ รู้ตัวช้าเป็นประจำทุกค่ำคืน)

หลังจากที่กลับมาก็เป็นช่วงเวลาที่เพื่อนคนนี้จะย้ายมหาวิทยาลัยค่ะ เขาได้ไปเรียนต่อที่มหาลัยดัง ระดับท๊อปเทนของที่อังกฤษ ดิฉันก็เลยได้ช่วยเขาย้ายหอ เป็นการทำคุณเพื่อไถ่โทษค่ะ ก่อนที่จะโบยบินกลับรัง กลับสู่อ้อมกอดมาตุภูมิบ้านเรา เมืองไทย เมืองฟ้าอมร ไม่มีหิมะตก ไม่มีการเข้าคิวซื้อของ ซื้อตั๋ว จ่ายเงิน เรื่อยไปจนห้องน้ำ รถก็ติด แถมยังมีคนบ้าเงิน บ้าอำนาจอยู่มากมาย แต่ก็เป็นประเทศที่ฉันรักที่สุดอยู่ดี ฉันรักเมืองไทย และไม่คิดจะไปทำงานที่ไหนนอกจากที่เมืองไทย

เกร็ดเล็กๆน้อยๆ ของคนที่ได้ทุนไป และพวกที่ไม่ได้ทุนไป การกลับมาจะมีความยากลำบากต่างกัน การได้ทุนไปนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลว่ากลับมาแล้วจะทำอะไร จะไปทางไหน เพราะว่าที่ไหนให้ทุนเรา เราก็กลับไปทำงานใช้ทุนกับที่นั่น พวกไม่ได้ทุนก็จะกังวลว่ากลับมาชีวิตจะเป็นยังไง จะทำอะไร เผลอๆ บางคนก็ฝากเรซูเม่ เอาไว้เพื่อที่จะได้ทำงานที่เมืองนอกแล้วจะได้ไม่ต้องกลับเมืองไทยก็มี ส่วนพวกได้ทุนจะกังวลอยู่เรื่องเดียวว่า เราจะจบหรือเปล่า แล้วที่เราจบ เราจะได้ตามเกณฑ์ที่เราคาดหวังไว้ไหม และนอกจากนั้นก็คือเรื่องค่าเงินบาท ถ้าค่าเงินบาทอ่อนเมื่อไหร่เป็นต้องกุมขมับเมื่อไหร่ เพราะว่าค่าเรียน ค่าหอของเราจะพอหรือเปล่าก็ขึ้นอยู่กับเรทเงินตรงนี้แหล่ะค่ะ
ส่วนชีวิตตัวเองก็นับว่าไม่ได้ลำบากเท่าไหร่นัก จะว่าไปพูดแล้วก็จะกลายมาเป็นวรรณกรรมเสียดสีสังคมไปในเรื่องการจบนอกนี้ แต่มันอดไม่ได้ที่จะขอแสดงความคิดเห็นตามค่านิยม และวัฒนธรรมนิยมของคนไทยที่ว่าการมีดีกรีจากเมืองนอกนั้นเป็นสิ่งที่สังคมไทยนิยมชมชอบ ชื่นชม

แต่อยากจะให้รับรู้ไว้ว่า มีเด็กไทยหลายคนที่ไม่ได้ไปเรียนเมืองนอกแต่เก่งยิ่งกว่าเด็กไปเรียนเมืองนอก และพูดจารู้เรื่อง ไม่ใช่พูดไม่ชัด หรือพูดไทยคำ อังกฤษคำทั้งๆที่จริงๆแล้วพูดชัดได้แต่แกล้งทำ ก็มีอยู่มาก ดังนั้นค่าของคนไม่ได้อยู่ที่กระดาษแผ่นเดียวจากต่างประเทศ แต่ค่าของคนอยู่ที่ความดี ความงามภายในตัวของคนคนนั้น คุณธรรมที่หล่อหลอมตัวเขา การใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ความเอื้ออาทรต่อผู้อื่น การพูดจาส่อแนวความคิดของคนคนนั้น แท้จริงแล้วคนจบนอกไม่ได้เป็นคนวิเศษวิโสมาจากไหน และในทางกลับกัน คนได้ปริญญาจากประเทศเราเองก็ไม่จำเป็นต้องน้อยใจว่าเราไม่ทัดเทียมกับคนอื่นในกระแสสังคมทุกวันนี้ที่พยายามจะให้คุณเป็น คุณเชื่อแบบนั้น

ดิฉันคิดว่าเราเป็นอะไร เราทำอะไร เราได้แค่ไหน ตัวเราเท่านั้นที่จะรู้  คุณทำ คุณอ่าน คุณเรียน คุณได้ แต่หากว่าคุณทำเพียงเพื่อที่จะได้กระดาษแผ่นเดียวไปเป็นใบเบิกทางในสังคม สิ่งที่คุณจะได้รับกลับมาคุณก็จะได้เท่าที่คุณทำเท่านั้น

ซึ่งจริงๆแล้ว การที่คุณคิดเป็น ทำเป็น คุณสามารถมากน้อยแค่ไหน คุณจัดระเบียบชีวิตตัวคุณเองได้ คุณฉลาดพอที่จะทำ คุณฉลาดพอที่จะไม่ทำ และอื่นๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณจะได้รับรู้ หรือควรที่จะเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนในระดับใดก็ตาม  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ให้คุณมากกว่าและสำคัญมากกว่ากระดาษแผ่นเดียวเสียอีก 

แก้ไขเมื่อ 14 ก.ค. 55 13:03:37

จากคุณ : just.a.girl
เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 55 13:02:07




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com