ไดอารี่.....เรื่องเล่าจากประเทศอเมริกา.....ของไอ้แก่น้อย ภาคที่ 2
|
|
ขออนุญาตเปิดกระทู้ใหม่นะครับ มีคนถามหากระทู้เก่าไม่เจอละ
กระทู้เก่า http://www.pantip.com/cafe/klaibann/topic/H12449526/H12449526.html
จากตอนที่แล้วว่าไปถึงเรื่องความเป็นอยู่ทั่วไปของเมืองบอสตัน ตอนนี้กลับมาไดอารี่ส่วนของผมต่ออีกสักหน่อยดีกว่า
จากวันแรกที่นั่งเฝ้ารอรถเจ้าของบ้านจะมารับเข้าสู่บ้านพักถ่างตาเฃ็ค FB หรือเล่นเนตยังไง ตอนนั้นจำได้ว่าสมองเริ่มไม่สั่งงานแล้ว เพราะเท่ากับว่าสองวันได้นอนอยู่ 8 ชั่วโมงได้มั้ง แล้วสัปดาห์ที่ผมเพิ่งมาถึงก็ดันเป็นสัปดาห์ร้อนที่สุดของปีซะอีก (คนที่นั่นเค้าว่าอย่างนั้น) ฉะนั้นกว่าฟ้าจะมืดก็ 3 ทุ่ม......และแล้วสวรรค์ก็ส่งพี่ชายสองคนมารับ ณ เวลา 22.30 น......โอ้แม่เจ้าไหนบอกสองสามทุ่ม....แต่ก็เอาน่ะ รอน่ะรอได้แต่ง่วงชะมัด นั่งรถไปถามอะไรมาก็มึนไปหมด ตอบผิดตอบถูก........ว่าแล้วก็เดินทางเข้าสู่บ้านพักของพี่ฃ้าง (นามสมมติเช่นเคย) พี่ช้างเป็นคนกรุงเทพ เดินทางมาสักสิบกว่าปีก่อน ช่วงนั้นถือเป็นช่วงของยุคขุดทองของนักเรียนไทย เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจที่อเมริกากำลังดีการเป็นเด็กเสิร์ฟในช่วงนั้น รายรับก็ดีตามไปด้วย.....แต่กลับเป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยฟองสบู่แตก นักเรียน-นศ ที่ต้องกลับเมืองไทยก่อนเวลาก็เยอะ เพราะพ่อแม่ส่งไม่ไหว เนื่องจากค่าเงินจาก 25 กระโดดไป 45 บาท แต่ตัวพี่ช้างก็ฝ่าฟันด้วยตัวเอง..เริ่มจากเรียนภาษา-ทำงาน-เก็บเงิน-จบโท-สุดท้่ายได้งานทำที่นี่...และซื้อบ้านมาได้หลังหนึ่ง.....ราคาเอิ่มม......ซื้อคอนโดกลางเมืองกรุงเทพได้หลายห้องละกัน ฮ่าๆๆ.....
บ้านทื่ผมอยู่ห่างจากซัปเวย์ด้วยการเดินเท้าก็ 15 นาที เป็นชุมชนย่านพักอาศัยคนอเมริกันเยอะกว่าหน่อย ส่วนสมาชิกก็มีเพื่อนๆพี่ช้าง น้องเพื่อน แฟนเพื่อน ลูกเพื่อน รวมๆก็หลายชีวิต คนไทยเกือบทั้งหมด จะมีต่างชาติก็ผู้หญิงจีนมาเรียนโทหนึ่งคน ห้องผมอยู่ใต้หลังคา (ส่งรูปให้ครอบครัวดูเค้าบอก ห้องแฮร์รี่พอร์ตเตอร์ชัดๆ 555+) แต่ผมก็ชอบนะครับ ข้อดีที่สุดของคนไทยคือการช่วยเหลือกันครับ อาหารมีอะไรแบ่งได้หมด สิ่งของไม่พอขาดเหลืออะไรแบ่งกัน ซึ่งเป็นข้อดีของวัฒธรรมไทย ไปไหนไม่ลำบาก พอไปทำร้านอาหารบางร้านก็ให้ทานข้าวฟรีซึ่งลดรายจ่ายไปได้มาก ที่นี่ลองคนใหม่ๆมาก็ช่วยเหลือกันอย่างนี้ ส่วนตัวคิดว่าคงเป็นเพราะเราเคยลำบากมาก่อนแล้วพอมีคนช่วยเรา เราก็ช่วยเหลือคนต่อๆไปไม่รู้จบ แต่ข้อเสียอย่างคือ ถ้าเราพักบ้านคนไทย / ทำงานร้านอาหารไทย ชีวิตประจำวันเราจะไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเลย บางคนอยู่ที่นี่มาสิบปีก็จะได้แต่ภาษาครัว / ภาษาร้านอาหารก็มี เพราะรายได้ที่นี่ดี ลองคำนวนคร่าวๆ เอาแค่ช่วงฤดูร้อนที่ร้านอาหารแขกไม่เยอะทำ 20 วันต่อเดือน รายได้ก็พอๆกับค่าแรง ป.ตรีขั้นต่ำ 4 เดือนได้ แล้วถ้าช่วงฤดูหนาวที่แขกเยอะจะขนาดไหน....คนที่อยู่นี้เค้าถึงใช้เวลาช่วงหนึ่งเพื่อเก็บเงินกลับเมืองไทยไงครับ
แต่.....จริงๆแล้ว ตามกฎหมายนักเรียนที่ถือวีซ่า F1 ไม่สามารถทำงานได้นอกจากทาง มหาลัยอนุญาตเท่านั้น แต่บรรดาผู้คุมกฎหมายก็เหมือนปิดตาข้างนึงละครับ เพราะเกือบทั้งหมดตามร้านอาหารลูกจ้างก็จะเป็นของประเทศนั้นๆไป+กับคนเม็กซิโกอีกประเทศ.....คนเม็กซิโกและอเมริกาใต้ที่นี่เยอะมากๆนะครับ ถึงกับว่าบรรดาป้ายประชาสัมพันธ์, เอกสารใดๆก็ตาม,Call Center แทบทุกอย่างจะมีภาษาสเปนเป็นภาษาที่สอง...เสมือนว่าเป็นภาษาที่สองของประเทศประมาณนั้นเลย
เหมือนจะพูดถึงแต่ข้อดีที่การทำงานและรายได้ที่อยู่ที่นี่...มันก็ไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้ง่ายเหมือนที่พิมพ์มาหรอกครับ การต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนละประเพณีวัฒนธรรมเป็นปีๆ การปรับตัวก็กลายเป็นสิ่งสำคัญ ระยะทางระหว่างอเมริกากับเมืองไทยห่างกันครึ่งโลก วัฒนธรรมความเชื่ออันนี้ก็ต่างกันครึ่งโลกจริงๆ...ที่นี่ไม่มีอายุเป็นเส้นแบ่ง ถ้าคุณเก่งเค้าก็ยอมรับ อีกที่ขอคุณมีอายุ อะไรๆก็ดูน่าเชื่อถือแม้จะเป็นความเชื่อผิดๆก็ตาม......ที่นี่การแต่งตัวและอาชีพอาจจะไม่ได้บอกถึงความน่าเคารพในด้านมนุษย์ชนเหมือนอีกที.....การมาที่นี่อันดับแรกๆที่แนะนำคือ...จงเคารพกฏหมายและสิทธิมนุษย์ชนกับทุกคน....อย่าได้แสดงกิริยาดูถูกอาชีพใดๆเด็ดขาด.....ซึ่งส่วนตัวผมว่าเป็นเรื่องความแตกต่างด้านวัฒนธรรมและความเชื่อระหว่างชาติตะวันตกกับชาติตะวันออกมากกว่าแค่อเมริกาหรือเมืองไทย....ผมไม่ได้ชื่นชมหรือชื่นฃอบอเมริกามากมาย....ออกจะไม่ค่อยชอบเรื่องการสร้างภาพซะด้วยซ้ำ...แต่ถ้าเราปิดกั้นความรู้...ใช้ความเชื่อเดิมๆ ไม่ออกมาเจอโลกใบใหม่ กรอบความคิดเราก็จะมีอยู่เท่านั้น.....โลกนี้ยังกว้างใหญ่รอให้ผมออกไปค้นหาอีกเยอะ....นี่เป็นอีกเป้าหมายทำให้ผมต้องมาหา....แล้วผมจะมาเล่าให้ตอนต่อไปอีกนะครับ (เนียนอีกแล้ว ฮ่าๆๆๆ)
แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 55 11:33:29
จากคุณ |
:
ไอ้แก่น้อย
|
เขียนเมื่อ |
:
5 ส.ค. 55 11:17:54
|
|
|
|