ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องนี้เลยครับ ระบบเหลวแหลกของการเงิน จากคุณ : ZQ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 14:19:29

ความคิดเห็นที่ 2 น่าจะเอาไปแชร์ในห้องสินธรด้วยนะครับ จากคุณ : Froyo เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 15:16:18

ความคิดเห็นที่ 3 จัดไปอีก 1 จากคุณ : uyadas เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 16:21:06

ความคิดเห็นที่ 4 ผมทำงานอยู่ตะวันออกกลาง มีเพื่อนอเมริกาหลายคน ทุกวันนี้ในตะวันออกกลางมีคนอเมริกาหางาน และมาทำงานเยอะมาก เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถหางานในประเทศตัวเองได้อีกแล้ว คนที่มี skill หน่อยก็สบายไป ส่วนคนส่วนใหญ่ที่ไม่มี skill ก็ต้องหางานอื่นๆ หรือรับสอนภาษา รายได้พอกินพอใช้ ดีกว่าไม่มีความหวังในประเทศตัวเอง เพื่อนหลายคนบอกว่า จริงๆ แล้ว Real US หรืออเมริกันชน ธรรมดาไร้อนาคตและความหวังนานมาแล้ว เพราะคนชั้นบน ที่ขับเคลื่อน อเมริกานันเป็น ยิวอเมริกัน และเป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น. .............................ความคิดเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว.......................... จากคุณ : ช่างเหล็ก เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 16:23:18

ความคิดเห็นที่ 5 ผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ เรื่องเน่าหรือไม่เน่าผมไม่ทราบ แต่มีความเห็น ขอแนะนำว่าอย่าเอาไปห้องสินธรเลย อายเขา เพราะคนที่นั่นเขารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร บทความแบบนี้น่าจะมาจากพรรค Republican เพื่อหาเสียงให้ นายมิตร รมนีย์ (Mitt Romney) ผมเคยพูดแถมด่าหลายที(กับตนเองว่า) มนุษย์ที่ทำให้โลกปั่นป่วนอยู่ทุกวันนี้มีสามพวก ไม่มีประเทศไหนยกเว้น ไม่ว่าอเมริกาหรือไทยหรือจีนและแม้แต่ประเทศใหม่ที่ไม่เคยได้ยินหรือเรียกชื่อยากๆก็ไม่ยกเว้น คือ หนึ่ง นักการเมืองเลว ซึ่งมีมากกว่านักการเมืองดีแน่นอน คนทั่วไปอย่าไปคิดแบบเดิมว่าเราเลือกตัวแทนเข้าไปทำงานแทนเรา แต่จริงๆแล้วเขาพยายามอย่างหนักด้วยตัวเขาเองและพรรคพวกเพื่อที่จะได้เข้าไปมีอิทธิพลใช้อำนาจหาเงิน หาชื่อเสียง สร้างความมั่งคั่งให้แก่วงศาคณาญาติและมิตรสหาย บางคนก็เข้าไปเปลี่ยนกฏหมายเสียเลย เขาตัดสินติดคุกก็หนีได้ ประเทศที่จะได้ประโยชน์ก็ให้วีซ่าเข้าไปได้ กฏข้อสัญญาที่สัญญาไว้ระหว่างประเทศเคยบอกว่าผิด ก็ยกเว้นได้ค้างไว้ก่อน ประเทศเล็กๆที่มีผู้นำโง่กว่าคิดว่าประเทศใหญ่เป็นมหามิตรจริงๆแล้วผลประโยชน์มาก่อนทั้งนั้นเขาไม่มานั่งคิดโง่ๆหรอก สอง คนรวย ผมหมายถึงรวยจัดๆนะ ได้แก่ธนาคาร Hedge Fund พวกนี้สามารถบันดาลให้ประเทศหนึ่งประเทศใดที่มีขนาดเล็กล่มจมได้ในบัดดล แต่เขาไม่ทำ เขาเลี้ยงไว้เรื่อยๆ พอประเทศเกือบเจ๊งก็บังคับให้ขายมาพยุงเศรษฐกิจของประเทศ พวกเขาก็มาซื้อกันยกใหญ่่ในราคามากกว่าขี้หมาก้อนเดียว แล้วก็ปั่นราคาขึ้นไป กลายเป็นเงินขึ้นมา พอได้ราคาก็ขาย เป็นวัฏจักร คุ้นหูไหมครับ สาม หัวหน้าศาสนา พวกนี้ก็เป็นตัวดีเหมือนกัน สอนให้คนบ้าคลั่งจนเกินเหตุจริงๆแล้วต้องการอำนาจต้องการเงิน เข้าไปแก้กฏต่างๆเพื่อประโยชน์ของตัวเองเหมือนกัน ไม่ว่าคริสต์ พุทธ หรืออิสลาม พวกผู้นำศาสนาคริสต์ เช่น นายเพชร โรเบิดสัน เจอรี่ ฟอลเวล หรือคนอื่นๆ รำ่รวยมหาศาล ท่านทำำมา(ข้า)ไชโย ก็เช่นกัน อิสลามผมไม่มีชื่อแต่ลองไปดูซาอุตอนเย็นซิคนขับรถไปไหน ไปเที่ยวบันเทิงต่างประเทศ ลูกหลานผู้นำศาสนาที่อิหร่านไปเรียนหนังสือกันที่ไหน เขาอยู่กันอย่างไรหาเอาเอง คนสามกลุ่มนี้แยกกันไม่ออก ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน และเป็นกลุ่มเดียวกัน เลิกคิดแบบคนทั่วไปหรือแบบที่ผมเคยคิดเสียที คนสามกลุ่มที่ผมพูดถึง เขาไม่คิดอย่างที่เราคิดหรอกครับ ขอเชิญ คุณ Bhagira มาให้ความรู้หน่อยครับ จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 16:51:52 A:98.231.188.19 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 6 ถึงจะฟังคล้ายๆกับแนวคิด republican แต่ก็เป็นแนวคิดที่น่าจะถูกต้องกว่าแนวคิดตามนโยบายของโอบามาน่ะครับ คนชั้นกลางของอเมริกันที่หาเช้ากินค่ำ เสียภาษีทุกเม็ดเต็มที่กลับถูกนำเงินมาใช้จ่ายแบบประชานิยมจากโอบามาอย่างน่าเกลียด ทุกอย่างก็เพื่อจะหาเสียงกับคนจน กรรมกรและพวกสหภาพแรงงานทั้งหลาย ผมและครอบครัวก็รู้สึกเอือมระอากับโอบามาอย่างเหลือล้นแล้ว เสียภาษีเท่าไหร่มันเอาไปเลี้ยงพวกคน(แกล้ง)จนหมด ยังไม่รวมหลายนโยบายที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าเอาเงินไปอุดหนุนบริษัทผู้ผลิตโซล่าเซลล์มหาศาล พอเขาเอาเงินมาจ่ายโบนัสผู้บริหารกันเสร็จ มันยื่นขอล้มละลายเลย หรือเอาไปสนับสนุนจีเอ็มผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่มีคนซื้อ เสียเงินภาษีประชาชนอย่างพวกผมไปเท่าไหร่ เรื่องอเมริกันคงต้องคุยกับคนอเมริกัน คุยอย่างอเมริกันคุยกันแล้วจะเข้าใจว่าจริงๆแล้วการเมืองในรูปแบบประชานิยมของเดมโมแครตนี้แหละที่กำลังจะทำให้ประเทศอเมริกาพังพินาศไปในไม่ช้า ไม่ได้สนับสนุนลอมนี่ย์น่ะครับแต่ไม่สนับสนุนโอบามาและนโยบายประชานิยมสุดโต่งต่างหาก จากคุณ : เมกิ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 18:01:56 A:75.67.247.55 X: TicketID:318955

ความคิดเห็นที่ 7 คุณ : เมกิ ก่อนอื่นผมคิดว่าคนอเมริกันชั้นกลางนั้นไม่ใช่พวกหาเช้ากินค่ำนะครับ ผมเข้าใจที่คุณพูดและเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย แต่ที่คุณบอกว่าดีโมแครททำให้ประเทศล่มจมนั้น ไม่เห็นด้วย ผมให้ความเห็นไว้แต่ต้นว่าเราคิดแบบคนทั่วไป พรรคโน้นดีพรรคนี้ไม่ดี นักการเมืองเขาคิดแต่จะโกยกับให้พวกกันเองทั้งนั้นแหละ โอบามาเป็นคนดำก็ใช่ว่าจะทำตามใจได้มีกลุ่มคนมีเงินซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนขาวและยิวคอยดึงบังเหียนอยู่ตลอดเวลา คุณคิดว่าโอบามาสุดโต่งผมก็คิดว่าจีโอพีสุดโต่งเหมือนกันคิดแต่จะเสนอสนองคนรวย อเมริกาไม่มีทางที่จะพังพินาศในไม่ช้าหรอกครับ จีนเจ้าหนี้คงไม่ปล่อยให้อเมริกาพังง่ายๆหรอก อเมริกาพังแล้วแล้วจีนจะเอาเงินที่ไหน เงินเฟ้อมากๆอเมริกาก็ใช้หนี้จีนได้สบายๆนะซี จีนเขาตามความเคลื่อนไหวของอเมริกาติดๆอยู่แล้ว ผมคิดแบบผมหรอกนะ ไม่ได้มีความรู้อะไรหรอก จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 18:53:42 A:98.231.188.19 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 8 ความคิดของ จขกท ว่าอเมริกาจะล่มจมเหมือนหลายๆ คนนั้น  ตรงกันข้ามกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ณ วันนี้ครับ อเมริกามีหนี้สูงท่วมหัว  อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็กระดึบขึ้นมาราวกับทากคลาน  แต่นักลงทุนจากทั่วโลกก็ยังไขว่คว้าไล่ตามหาซื้อพันธบัตรตราสารหนี้ของอเมริกากันอย่างไม่เกรงกลัว   ออกมาขายเมื่อไหร่ก็ไม่เหลือหรอ   แถมไม่พอขายอีกต่างหาก   และทั้งๆ ที่  Ratingagentur Standard & Poor's Corp. (S&P) ได้ประเมินลดเกรดความน่าเชื่อถือเครดิต ทางด้านการเงินและทรัพย์สินของสหรัฐ  ลดระดับสุดยอด AAA ลงตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว  การณ์กลับกลายเป็นว่าทรัพย์สินคงคลังหรือ treasuries กลับเพิ่มค่าขึ้นถึง 6.4% ในทขณะที่การขายตราสารหนี้ของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม G7  ต้องจ่ายค่าตอบแทนดอกเบี้ยสูงถึง 5.9% จากการที่มีแต่ข่าวสารด้านลบทางด้านสถานะการณ์การเงินและเศรษฐกิจจากแหล่งสำคัญอื่นๆ ของโลก  ได้แก่ EU ที่แก้ปัญหายังไม่ได้จนทุกวันนี้  และจีน ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างเด่นชัดจากเศรษฐกิจยุโรป  ที่อัตราการเติบโต GDP ของเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาขยับขึ้นไปเพียง 1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว   อัตราเติบโตที่ต่ำระดับนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับจีนมาก่อนตั้งแต่ธุรกิจเริ่มบูม   ทำให้นักลงทุนทั่วโลกต้องหันกลับมาให้ความไว้เนื้อเชื่อใจตลาดธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอเมริกาเหมือนเดิม   หลักฐานหนึ่งที่พิสูจน์ได้คือ  พันธบัตรตราสารหนี้ของอเมริกาสามารถขายได้ด้วยการจ่ายผลตอบแทนดอกเบี้ยเพียง 1.379 % เท่านั้น  ในขณะที่ อิตาลี กับ สเปญต้องจ่ายมากกว่าถึง 3-4 เท่าตัว นอกจากนั้นในรอบระยะ 12 เดือนที่ผ่านมาหลังจากถูก S&P ลดระดับความน่าเชื่อถือลงมา  ค่าเงินดอลล่าร์เป็นตระกูลเงินเดียวที่มีค่าเพิ่มขึ้นในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ อัตราการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกาไปอย่างเชื่องช้าก็จริง   แต่กระนั้นก็ตามในระยะ 12 เดือนที่ผ่านมา  ผลกลับปรากฏว่าโดยเฉลี่ยแล้วการเติบโตของอเมริกายังดีกว่าประเทศในกลุ่มอุตสาหกกรรมส่วนใหญ่  โดยค่า GDP ช่วงระหว่างไตรมาสที่ 3 ปีที่แล้วถึงไตรมาสแรกของปี 2012  ขยายตัวขึ้น 2.5%   เมื่อเปรียบเทียบกับเยอรมนีในช่วงระยะเวลาเดียวกัน  เรียกได้ว่าดีกว่าเป็น 2 เท่าตัว   ยิ่งถ้าไปเทียบกับฝรั่งเศสยิ่งดีกว่าเป็น 5 เท่า   ในกลุ่มประเทศ G7 ด้วยกันมีเพียงแคนาดากับญี่ปุ่นเท่านั้นที่ทำได้ดีกว่า เมื่อพิจารณาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงเหล่านี้ดู  มีแต่ทำให้ประเทศอื่นๆ อิจฉาอเมริกากันเสียเท่านั้นเอง  เพราะการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ จากคุณ : Bagheera เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 21:32:22

ความคิดเห็นที่ 9 ผมขอเพิ่มเติมในส่วนของ sub-prime crisis นะครับ ผมว่าคุณ จขกท คงเข้าใจอะไรผิดนิดหน่อยครับ Timothy Geithner ไม่เคยอยู่ Goldman Sachs มาก่อนนะครับ แต่ก่อนแกอยู่ New York Fed ครับ แกเพิ่งมาเป็น Secretary of the Treasury เมื่อสมัย Obama เองครับ คนที่เคยอยู่ Goldman Sachs (GS) คือ Henry (Hank) Paulson ครับ คนนี้เคยเป็น CEO ของ GS มาก่อน แล้ว George W. Bush เรียกตัวแกไป ก็เลยต้องลาออกจาก GS ก่อนครับ คนนี้เป็นคนที่มีบทบาทมากในการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าไปแก่สถาบันการเงิน สำหรับเรื่อง hedge fund นี่ก็ไม่เกี่ยวกับ bailout เท่าไหร่ครับ เนื่องจาก hedge fund ส่วนมากจะขายเฉพาะในวงจำกัดแก่ high net worth sophisticated investors (อ่านว่าคนที่คิดว่าตัวเองเป็น sophisticated investor) ซึ่งทำให้ไม่ถูกควบคุมโดย SEC และสามารถ short sell ได้ ต่างจาก mutual funds ทั่วไปครับ โดยปกติแล้วถ้าเกิด hedge fund เจ๊งนี่ก็จะไม่ค่อยมีใครช่วยครับ เนื่องจากไม่ได้ใช้เงินชาวบ้านมา bet ครับ ยกเว้นในกรณีของ Long-Term Capital Management (LTCM) แต่ว่าปัญหาที่ต้องการ bailout ตอนนั้นคือฝั่ง investment banks มากกว่าครับ โดยเริ่มมาจาก Glass–Steagall Act ซึ่งทำให้ bank ทั่วๆไปสามารถทำธุรกิจของ investment bank ได้ ธนาคารเหล่านี้ซึ่งรับฝากเงินของชาวบ้านก็เลยเริ่มกลับเข้าสู่วงการ investment banking อีกครั้ง เช่นตอนนั้น Citi รวมกับ Travelers และ J.P. Morgan รวมกับ Chase Manhattan ซึ่งตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของ too big too fail ครับ ตรงนี้ขอย้ำอีกครั้งครับ ว่าคราวนี้ bank ทั่วๆไปก็สามารถเอาเงินชาวบ้านที่รับฝากไป bet กับ investment banking operations ได้แล้ว คราวนี้ investment bank เหล่านี้ก็เกิดความโลภขึ้นมา ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลตอบแทนของผู้บริหารส่วนมากขึ้นอยู่กับกำไรสุทธิในแต่ละปี ซึ่งวงจรอุบาทว์มีดังนี้ครับ 1. Fed ยุค Alan Greenspan คงนโยบายดอกเบี้ยต่ำมาเรื่อยๆ จึงทำให้มี cheap credit มากเกินไป 2. ผู้ปล่อยกู้ (ซึ่งส่วนมากไม่ใช่ตัว investment bank เอง) ก็ปล่อยกู้ซื้อบ้านง่าย ซึ่งบางส่วนก็เรียกว่า No Income No Job or Asset หรือ NINJA Loans โดยหลอกชาวบ้านว่าสุดท้ายราคาบ้านก็ขึ้นไปเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด และถึงไม่มี cash flow เข้ามาจ่าย ก็สามารถกู้ก้อนใหม่ไปโปะก้อนเก่าได้ เพราะบ้านราคาสูงกว่าเดิม ผู้ปล่อยกู้เหล่านี้ปล่อยกู้ง่ายเพราะสุดท้ายก็เอาสินเชื่อเหล่านี้ไปขายต่อให้ investment banks อีกทีนึง แล้วก็เก็บค่านายหน้าไป จึงเรียกได้ว่าแทบไม่มีความเสี่ยง ณ สถานการณ์ตลาดตอนนั้น 3. Investment banks ก็เอาสินเชื่อเหล่านี้ไป package ขาย ซึ่งตราสารเหล่านี้เรียกว่า Collateralized Debt Obligation (CDO) โดยมีการจัดตั้ง Special Purpose Vehicle (SPV) ที่จัดตั้งในต่างประเทศเพื่อถือสินเชื่อเหล่านี้ จะได้ไม่ต้องโชว์ใน financial statements ของตัวแม่ และเอาไปขายต่อนักลงทุนอีกทอดนึง เก็บค่านายหน้าเหมือนกัน ดังนั้นยิ่งซื้อมาเยอะ และขายได้เร็วเท่าไหร่ กำไรของบริษัทจะมากขึ้นเท่านั้น อันนี้ก็เหมือนกันครับ ถ้าระบายของได้เร็ว ความเสี่ยงก็แทบไม่มี และแน่นอน ผลตอบแทนผู้บริหารก็มากขึ้นเท่านั้น 4. ในการที่ investment banks จะขาย CDOs จะต้องให้ rating agency เป็นคนบอกว่าความเสี่ยงของ CDO เป็นเท่าไหร่ ซึ่ง model ที่ใช้ได้จริงก็ไม่มี แต่ว่าสุดท้ายก็ให้ AAA หรือเรตติ้งอื่นที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากเชื่อว่าผู้กู้ซื้อบ้านเหล่านี้จะไม่มีทางไม่จ่ายพร้อมกันหมด (จริงๆอาจจะบอกว่าปัญหาอยู่ที่ rating agencies เหล่านี้ก็ได้ครับ) 5. นักลงทุนซึ่งรวมทั้งสถาบันการเงินบางแห่งก็ซื้อ CDOs พวกนี้มาถือไว้เช่นกันครับ เนื่องจากสามารถใช้เป็น reserve ได้ และให้ yield สูงกว่าตราสารซึ่งเป็น AAA อื่นอย่างเช่น treasury bonds อยู่มาก ทำไมเหรอครับ? แน่นอนครับ ว่าความเสี่ยงสูงกว่าอยู่มาก แค่มีตราแปะว่าเป็น AAA จาก rating agencies แค่นั้นแหละครับ 6. บริษัทประกันเช่น AIG ก็อยากร่วมสนุกด้วย เพราะว่ากำไรดีมาก จึงขายประกันบน CDOs เหล่านี้ ที่เรียกว่า Credit Default Swap (CDS) ลองนึกภาพดูครับว่าเก็บ premium มาฟรีๆ ถ้าเกิดเค้าไม่เบี้ยวบริษัทประกันก็ไม่ต้องจ่าย กำไรดีไหมล่ะครับ? คำตอบคือไม่ครับ เพราะว่าสุดท้าย CDOs ก็ default ครับ สุดท้ายแล้ว the music stops ปัญหาก็เกิดครับ ราคาบ้านตก ทำให้ผู้กู้ sub-prime ไม่มีปัญญาจ่าย CDOs ก็ราคาตกตาม เนื่องจาก cash flow ไม่มา เรียกได้ว่าแทบไม่มีค่า ถึงตอนนี้ แน่นอนว่าทุก party ที่เกี่ยวข้องก็มี sub-prime loans หรือ CDOs ถืออยู่ แต่ว่าสภาพคล่องไม่มีแล้ว ไม่สามารถระบายออกไปได้ ตราสารเหล่านี้ก็กลายเป็น hot potatoes that no one wants to hold บริษัทต่างๆที่เกี่ยวข้องก็ขาดทุนย่อยยับ ซึ่งรวมถึง bank ต่างๆซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ Main Street ทั้งในด้านการเลิกปล่อยสินเชื่อเพราะไม่รู้ว่าจะเชื่อใครได้ (Credit Crunch) และความเสี่ยงเงินฝากของชาวบ้าน จริงๆแล้วปัญหาเรื่องวินัยการคลังของประเทศสหรัฐอเมริกานี่ก็เกี่ยวข้องกับ Wall Street นะครับ แต่ไม่ทั้งหมดครับ อย่าลืมไปว่างบประมาณของประเทศสหรัฐแต่ละปีไม่ได้ใช้  bailout อย่างเดียว แต่ว่าสหรัฐก็ขาดดุลการคลังมาแทบจะทุกปีอยู่แล้วครับ โดยส่วนตัวแล้ว คิดๆอย่างเป็นกลาง (ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับ Wall Street นะครับ) ผมคิดว่าความผิดไม่ใช่ของรัฐบาล และ investment banks ทั้งหมดครับ ชาวบ้านก็มีส่วนผิดด้วย ถ้าคิดว่าไม่มีปัญญาจ่ายหนี้ แล้วจะไปกู้ตั้งแต่แรกทำไม จะว่าโดนเขาหลอก บางคนก็โดนหลอกจริง บางคนก็เต็มใจให้เขาหลอก ชาวบ้านก็ขาดวินัยทางการเงินเหมือนกันครับ จากคุณ : Mente Hermosa เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 21:45:42

ความคิดเห็นที่ 10 ตั้งแต่รู้จักนามคุณอิสวาสุมา เพิ่งจะมารู้จักตัวจริ งเสียงจริ งวันนี้เอง ขอสนับสนุนความเห็นคุณอิสวาสุอีกหนึ่งเสียง บทความที่ออกมาเป็นการดิสเคริดฝ่ายเดโมเคราทของฝ่ายตรงข้าม คือริ พับลิกัน อีกอย่างไม่เชื่ออย่างหัวชนฝาว่า เมกาจะเน่าหรื อล่มจม เพราะว่าหากเมกาล่มจมจริงแล้ว คิดว่ายังจะมีชาติ (หน้าไหน) ในโลกนี้จะอยู่ยั่งยืนยงได้? ส่วนจีนเองก็อย่าได้ปลื้มว่า มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก้าวกระโดดมาตลอด ๑๐ ปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาช่องว่างของรายได้ในประเทศยังถูกหมกสะสมไว้โดยที่รัฐบาลไม่สนใจดูแลเท่าที่ควร คนส่วนใหญ่ในประเทศยังมีรายได้ตำ สวัสดิการการทำงานแทบไม่มี (ที่แน่ๆไม่มีการจ่ายโอทีตามโรงงาน) หากปะทุขึ้นมาวันใดคงได้เห็นการจลาจลเป็นข่าวใหญ่โต จากคุณ : Rapier เขียนเมื่อ : 11 ส.ค. 55 23:50:31

ความคิดเห็นที่ 11 คนที่ซื้อตราสารหนี้อเมริกามากที่สุดคือ FED ครับ โดยที่FED เอาเงืนที่ตัวเองพิมพ์ได้ไม่จำกัดมาซื้อตราสารหนี้ของรัฐบาลอเมริกาไว้เอง ตอนนี้ความเน่าสะสมมากจนจะไม่ไหวแล้ว ต้องรอ QE3 ออกมาต่ออายุอีกพัก จากคุณ : ช่างเหล็ก เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 02:45:44

ความคิดเห็นที่ 12 เรียนคุณอิสวาสุ ผมเองก็ไม่คิดว่าเมกาจะพังพินาศไปจริงๆหรอกครับ กลอนมันพาไป อย่างที่คุณว่า แค่อเมริกาไข้ขึ้น จีนซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่สุดถือพันธบัตรไว้เยอะก็คงครั่นเนื้อครั่นตัวตามไปแน่ๆ คนชั้นกลางก็มีเยอะนะครับที่หาได้เพียงพอที่จะกินเท่านั้น ใช่ว่าจะมีเงินเก็บกัน เพื่อนๆฝรั่งหลายๆคนก็อยู่จาก paycheck หนึ่ง ไปอีกpaycheck เท่านั้น ประเด็นของผมอยู่ที่โอบามานั้นเขาเอื้อประชานิยมแก่คนระดับล่างมากจนเกินไป Obama Care นั้นเหลือจะทนครับ ผมถามว่าทำไมคนอย่างผมและครอบครัวซึ่งดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายไม่ดื่มเหล้าหรือสูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืนหรือเล่นกีฬาที่สุ่มเสี่ยงต่อชีวิต ทำไมต้องเสียประกันสุขภาพในอัตราเดียวกับกลุ่มคนที่กินแต่จั๊งฟูดส์ ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ หรือเล่นสกีผาดโผนเป็นประจำ อเมริกาตอนนี้กลายเป็นว่าใครประสพความสำเร็จ หรือใครสร้างสะสมตัวเองมาดีจะต้องถูกpunishment เคยฟังตัวแทนภาคของเดมโมแครทพูดทางCNNหรือ Fox จำไม่ได้ เขาถามว่าอะไรคือความยุติธรรมในสายตาของคุณ เขาตอบอย่างฉะฉานว่าความยุติธรรมคือการแบ่งปันความร่ำรวย ความโชคดีมาให้แก่คนที่มีน้อยกว่า เช่นคุณหาเงินได้เยอะก็ควรต้องจ่ายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆการredistributiondก็เป็นนโยบายที่ถูกต้องแต่มันต้องพอสมควรและต้องไม่เป็นเสมือนการลงโทษแก่คนที่เขาประสพความสำเร็จจากการทำมาค้าขายหรือทำงานหนัก อย่างที่โอบามาพูดออกทีวีเมื่อเร็วๆนี้ที่ว่าการที่รอมนี่ย์ประสพความสำเร็จนั้นอย่านึกว่ามาจากตัวเองน่ะรัฐบาลช่วยเยอะ เช่น ขับรถบนถนนรัฐบาลสร้าง ผมว่าทัศนะคติอย่างนี้มันไม่น่าเป็นปธด.ของอเมริกาเลย ควรอยู่ในระบบสังคมนิยมมากกว่า พูดการเมืองก็ไม่อยากพูดเพราะมองไปมองมา มันก็เป็นกันทั้งโลก Entitlement มันไม่เคยพาประเทศไปสู่ความยิ่งใหญ่หรอกครับ มองยุโรป มองไทยแลนด์และก็มองโอบามาก็น่าจะเพียงพอ เลือกตั้งครั้งหน้า ผมมีchoice ของผมแล้ว ABBO[Anybody But Barack Obama] จากคุณ : เมกิ เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 07:31:57 A:75.67.247.55 X: TicketID:318955

ความคิดเห็นที่ 13 #9 ครับ too big too fail  ประโยคนี้แหละตัวการเมืองเลย  ตัวเอาเงินไปอัด Wall street เลย การทำ CDO ความรู้สึกผมคือการนำคณิตศาสตร์มาสร้างความงุนงงให้กับผู้ลงทุน โดยการที่แทนที่จะมองการปล่อยกู้ว่าเป็นปล่อยกู้ ไปหลอกนักลงทุนว่าเป็นการลงทุน  แล้วก็ให้บริษัทเครดิตให้เกรดดีๆไป สุดท้ายบริษัทที่ทำ CDO ก็ลอยตัวหนีจากหนี้เน่าให้ผู้ลงทุนรับเละแทน   มองจากเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว (เรียกว่าผมได้เก่งหลังหวยออก :D ) ปล่อยเครดิตเรตติ้งแบบนี้ได้อย่างไร คนส่วนใหญ่จ่ายที่ไม่ไหว ก็เกิดจากคนส่วนใหญ่ดันไปทำการกู้ระยะยาวเกินไป โดยนึกว่าจะได้รับการจ้างงานตลอด แต่เนื่องจากรัฐไม่กระตุ้น Main street พอฝั่งเมนสตรีตมีการย้ายไปต่างประเทศมากขึ้น พวกที่เป็นลูกจ้างของบริษัทลักษณะ main street ก็กลายเป็นหนี้เน่า จะโทษเขาว่าไร้วินัยก็ใช่อยู่  แต่ว่าก็เกิดจากรัฐบาลด้วยที่ไม่แก้ปัญหาให้อุตสาหกรรมการผลิตอยู่ได้ในสหรัฐ ผมเห็นว่า ควรเลือก รอล พอล เพื่อแก้ปัญหานี้ เลิกให้สหรัฐเป็นอันธพาล หันกลับมาเป็นนักวิจัย นักอุตสาหกรรม นักออมเงิน ให้สหรัฐลดความเป็นนักเก็งกำไรค่าเงินและหุ้น  สองอย่างนี้ไม่ได้ผลิตอาหาร สินค้ามาให้คนเราเลย มีแต่ดูดตรงกลาง ให้สหรัฐหันมาประกอบกิจการที่สร้างสรรค์ให้โลก ไม่ใช่เป็นปรสิตแบบกิจกรรมเก็งกำไร เพียงแค่เลิกทำสงคราม  รัฐบาลสหรัฐจะมีรายรับมากกว่ารายจ่ายทันที จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 15:46:10

ความคิดเห็นที่ 14 #9 ครับ จากที่พูดมาผมเห็นด้วยเยอะเลย  ผมขอ support ประเด็นที่ผมพูดดังต่อไปนี้ 1. ใช่ครับ คนที่เคยอยู่ Goldman Sachs (GS) คือ Henry (Hank) Paulson ครับ คนนี้เคยเป็น CEO ของ GS มาก่อน แล้ว George W. Bush เรียกตัวแกไป ก็เลยต้องลาออกจาก GS ก่อนครับ แต่ http://en.wikipedia.org/wiki/Timothy_Geithner In March 2008, he arranged the rescue and sale of Bear Stearns.[14][24] In the same year, he played a supporting role to Henry Paulson, Treasury Secretary and former CEO of Goldman Sachs, in the decision to bail out AIG just two days after deciding not to rescue Lehman Brothers from bankruptcy ถึงข้อมูลผมจะผิดบางส่วน แต่เนื้อเรื่องและบทสรุปยังถูกอยู่  คือไป Bail out AIG ให้ goldman sachs. (ใครซื้อประกัน AIA เตรียมหนาว ผมด้วยย (นี่คือสาเหตุการต้องศึกษาเศรษฐศาสตร์ของผม)) สำหรับเรื่อง hedge fund นี่ก็ไม่เกี่ยวกับ bailout เท่าไหร่ Investment Bank ต่างหากที่ต้องการ Bailout เฮดจ์ฟันด์ในนิยามที่ถูกต้องอาจจะไม่เกี่ยว แต่ถ้ากองทุนรวมที่ไปซื้อ CDO เรียกว่าเฮดจ์ฟันด์ชนิดนึง  แล้วไป Bail out เจ้าของกองทุนรวม คือพวกInvestment Bank ชื่อเรียกอาจจะมั่วอยู่บ้าง แต่ถ้ามองว่าเงินเข้ากระเป๋าเงินใคร มันก็เหมือนกันคือ Wall street financial companies. สุดท้าย เรื่องโดยรวมของผมก็ยังถูกต้อง คือ รัฐบาลไปเอาตังไป Bail out Wall street ในขณะที่ไม่สามารถสร้าง Job ใน Main street ได้ (Note ด้วยว่า ถ้าจำไม่ผิด Bail out GM ด้วย แต่ GM ดันไปสร้างโรงงานที่จีนซะงั้น) แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 55 16:19:27 แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 55 16:19:19 จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 16:13:11

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ : szworker ที่คุณบอกว่า "ให้สหรัฐลดความเป็นนักเก็งกำไรค่าเงินและหุ้น สองอย่างนี้ไม่ได้ผลิตอาหาร สินค้ามาให้คนเราเลย มีแต่ดูดตรงกลาง ให้สหรัฐหันมาประกอบกิจการที่สร้างสรรค์ให้โลก ไม่ใช่เป็นปรสิตแบบกิจกรรมเก็งกำไร เพียงแค่เลิกทำสงคราม" ถ้าทำได้เหมือนที่คุณบอกก็วิเศษซิ ผมว่าคุณมองโลกในแง่ดีเกินไปครับ และไม่มีทางที่ประเทศรวยๆทั้งหลายจะ ลดความเป็นนักเก็งกำไรค่าเงินและหุ้น ได้หรอกครับ ศึกษาเศรษฐศาสตร์ก้เล่นหุ้นซิครับ หุ้นผมซึ่งมีไม่มากและราคาตกไปแล้วกว่าครึ่งคือ อะไรรู้ไหม AIG ครับ แค้นคิดว่าจะทิ้งให้หมดๆไป แต่กลับกระเตื้องขึ้นมานิดหนึ่ง คงมีคนเก็งกำไรกับหุ้นนี้เยอะ รวมทั้งผู้บริหารกลุ่มนี้ด้วย สุดท้าย ไม่รู้เท็จหรือจริง ลูกผมบอกว่า พวกคองเกรสแมนทั้งหลาย Insider Trading แต่ก่อนไม่ผิดกฏหมาย เดี๋ยวนี้ไม่แน่ให้ผมเข้าไปเชคดู จากคุณ : อิสวาสุ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 03:45:03 A:98.231.188.19 X: TicketID:105627

ความคิดเห็นที่ 16 ถูกใจคห.คุณเมกิ  ตอนนี้รู้สึกแบบเดียวกัน ทุกวันนี้ครอบครัวทำงานสายตัวแทบขาด ประหยัด วางแผนในชีวิตทุกอย่าง แต่ผลที่ได้รับมันดูต่างจากเพื่อนบ้านที่ไม่ทำงาน+ลูกเป็นขโยงเสียเหลือเกิน หลอกตัวเองบ่อยๆว่ามันแฟร์ แต่ในใจลึกๆรู้ว่ามันไม่ใช่อ่ะ ขอโทษทีค่ะ เราพูดแบบคนที่ไม่ค่อยรุ้เรื่องเศรฐกิจมาก มันแค่ท้อใจ มันจะคล้ายระบบคอมมิวนิสต์เข้าไปทุกวันแล้ว " รู้สึกเอือมระอากับโอบามาอย่างเหลือล้นแล้ว เสียภาษีเท่าไหร่มันเอาไปเลี้ยงพวกคน(แกล้ง)จนหมด "  ประโยคนี้ของคุณเมกิ มันโดน จากคุณ : love mom so much เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 07:55:44

ความคิดเห็นที่ 17 หรอ  ฟังดูรู้สึกไม่เหมือนประเทศที่เราอยู่เลยอะ สงสัยพูดถึงประเทศอื่น อยู่กันคนละประเทศมั๊ง จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:11:20

ความคิดเห็นที่ 18 ขอเปิดกะลาด้วยครับ  #17 อยู่ที่ไหน ดีหรือร้ายอย่างไร จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 22:22:06

ความคิดเห็นที่ 19 มิตร รมนีย์..WHO ? จากคุณ : Techie เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 55 06:52:05

ความคิดเห็นที่ 20 ดอลล่าร์อเมริกันยังใหญ่อยู่ได้เพราะเป็นเงินสกุลเดียวที่ใช้ซื้อน้ำมันได้    แต่วันใดก็ตามที่ประเทศที่ขายน้ำมันเขาไม่ยินดียินร้ายกับดอลล่าร์ล่ะก็     เน่าแน่ๆๆค่ะ  ไม่มีอะไรแน่นอนนะคะ    อะไรก็ตามที่ใหญ่มานานมากก็มีสิทธิตกกระป๋องได้อยู่เหมือนกันนะนี่นะ  ก็คอยดูกันต่อไปดีกว่า   ดูกันอยู่ห่างๆๆ จากคุณ : มอรีน (maureen) เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 03:20:59

ความคิดเห็นที่ 21 เท่าที่ทราบ ตั้งแต่มีนาคมต้นปีนี้จนถึงตอนนี้ก็ไม่ีจริงเสียทั้งหมดแล้วครับ เพราะอิหร่านขายน้ำมันสกุลเงินอื่นแล้ว จากคุณ : szworker เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 09:21:47

ความคิดเห็นที่ 22 อิหร่านนั่นเหตุผลทางการเมืองอย่างเดียวเลยครับ  แถมซีเรียให้อีกประเทศยังได้  เรื่องเน่านั่นเป็นการคาดเดาและความหวังของหลายคน   ความเป็นจริงปัจจุบันคือยังไม่เกิดขึ้้นอย่างที่มีรายงานผลออกมาล่าสุดนั่นแหละครับ แก้ไขเมื่อ 16 ส.ค. 55 14:05:39 จากคุณ : Bagheera เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 13:38:02

ความคิดเห็นที่ 23 interesting... จากคุณ : MiamiHeat เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 55 03:32:09 A:63.225.63.106 X: TicketID:363963

ความคิดเห็นที่ 24 I am US citizen who work hard and pay TAX. I agree with Khun Meki and Khun Love Mom so much ka. Obama tries to change US to the worst. More socialism... hard working people like us have to pay more tax to LAZY people. All the rich will move out from US because he wants more TAX and punish all successful people. US will be in DARK AGE!!! จากคุณ : StuartGod911 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 55 06:35:22