ความคิดเห็นที่ 1 ทำไร มากไม่ใด้หรอกครับ ถ้าจะให้ คนที่กลับมาแล้ว พัฒนา กัน ก็คงต้องส่งไป สักสิบล้านคน (มั้ง) นั้นแหละน่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงใด้มั้ง รอท่านอื่น ครับ จากคุณ : ctanta (ctanta) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 11:33:03

ความคิดเห็นที่ 2 ไม่เกี่ยวกับเรียนที่ไหน ถ้าคนที่ไปไม่ได้มีจิตสำนึก? แค่อยากพัฒนาประเทศให้ดี ๆ ความคิดนี้ไม่ต้องได้จากการไปเรียนนอกหรอกค่ะ คนเรียนนอกไม่ได้จะมีไอเดียดีหรือความตั้งใจกว่าคนไม่ได้เรียนนอก ระบบประเทศมันมาแบบนี้เป็นมาช้านาน เปลี่ยนทันทีเลยก็คงยาก คนใหม่ ๆ ไฟแรงความตั้งใจดี กลับมาทำงานก็อาจจะท้อแท้อยู่ไม่ได้สุดท้ายก็ตามน้ำหรือเปล่า ถ้าจะให้เปลี่ยนได้ต้องแบบ คห บนว่าต้องมีสักสิบล้านคน จะได้โค่นระบบอุปถัมภ์คอรัปชั่นนี่ซะให้ได้ จากคุณ : PuppyPower เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 11:58:34

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าเพียงส่งคนไปเรียน ฝึกอบรม หรือดูงานที่ต่างประเทศ กลับมาแล้ว สามารถแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ ได้อย่างรวดเร็ว อย่างเห็นทันตา เป็นอะไรทีควรลงทุนเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างที่ท่านทราบดี ปัจจัยหรือตัวแปร ที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศมีมาก นอกจากปัจจัยหลักๆ จะมีผลโดยตรงต่อการพัฒนาแล้ว ปฎิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย หรือตัวแปรหลักๆเหล่านั้น ยังก่อให้เกิดตัวแปรหรือเงื่อนไขใหม่ ที่มีผลต่อการพัฒนา คือสร้างปัญหาให้ซับซ้อนขึ้น หรือยุ่งกว่าฝอยขัดหม้อทีเดียว ปัจจัยหลักๆได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติและมนุษย์ ทุน เทคโนโลยี ทัศนคติ ค่านิยมทางสังคม ประเพณีวัฒนธรรม ระบบการเมืองและปกครอง ฯลฯ แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 55 15:58:04 แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 55 13:30:53 จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 13:26:55

ความคิดเห็นที่ 4 นักการเมือง  กับ ข้าราชการะดับสูงบ้านเรา ก็ มีประสบการณ์ ต่างแดนดีๆมาทั้งนั้น แต่ก็ งงๆ ว่า ทำไม ไม่คิดเอาสิ่งดีๆ มาใช้กับเมืองไทย จากคุณ : ก้นกบ เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 13:40:51

ความคิดเห็นที่ 5 บ้านเรายังมีปัญหาคอรัปชั่น ปัญหาเรื่องการศึกษาขั้นพื้นฐานนะคะ ระบบพวกพ้อง ระบบอาวุโส ก็เป็นอีกสองปัจจัยสำคัญ ในการทำให้บ้านเมืองไม่พัฒนาไปในทางที่ดีค่ะ เรื่องความยากจนก็เช่นกัน สวัสดิการสังคมก็เช่นกัน คนไทยที่เป็นนักเรียนนอกมากมาย ที่เคยเรียน เคยใช้ชีวิตในต่างประเทศ หลายๆ คนเป็นคนมีคุณภาพตั้งแต่อยู่เมืองไทย แล้วนะคะ ไม่ใช่ว่าเมืองนอกหล่อหลอมให้เขาเหล่านั้นมีคุณภาพดีค่ะ หลายๆ ประเทศที่พัฒนาแลัว ยังมีประชากรที่ไม่มีคุณภาพอยู่นะคะ แต่เขามีรัฐบาลดี มีนักการเมืองดี มีการปลูกฝังหลายๆ อย่างที่ดีๆ ค่ะ สำหรับของบ้านเราติดขัดที่หลายประการนะคะ ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ปัญหากันง่ายๆ อยากเม้นท์ต่ออีก แต่ไม่เล่าต่อดีกว่าค่ะ แค่ที่เขียนพอค่ะ จากคุณ : Been there, done that! เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 15:54:01 A:110.11.238.18 X: TicketID:357481

ความคิดเห็นที่ 6 นักเรียนนอกรุ่นแรกส่งไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 เวลาผ่านมาร้อยกว่าปีเราก็ได้ "แค่นี้" ทั้งๆที่ประเทศเมืองขึ้นฝรั่งรอบๆบ้านเรา (ที่เราชอบเหยียดเขา) ไปถึงไหนกันแล้ว เด็กๆจำได้ว่าจีน เกาหลี ไต้หวัน มาเลย์ มาดูงานบ้านเรา ตอนนี้เราต้องไปดูงานบ้านเขา เกือบยี่สิบปีก่อนเราประกาศว่า "ไทยจะเป็นเสือตัวใหม่ของเอเชีย" ทัดเทียมเคียงคู่กับจีนหรือไต้หวัน ตอนนี้เวียดนาม (ที่เคยมีสงคราม) แซงเบียดไปแล้ว เรามีีมุมมองกับคำว่ีา "พัฒนา" แคบมากเหมือนไม่พัฒนา เราคิดว่าสร้างสนามบินให้ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการพัฒนา เราคิดว่ามีห้างใหญ่ขายของแบรนด์เนมอยู่กลางเมืองหลายๆห้างคือการพัฒนา เราคิดว่าได้ใช้ของนอก พูดภาษาฝรั่ง ใส่สูทผูกไท ใส่เสื้อสเวตเตอร์นั่งทนหนาวในออฟฟิสที่เปิดแอร์ 10 องศาขณะที่อากาศข้างนอกเกิน 35 องศาคือความเท่และพัฒนา มีอุปกรณ์สื่อสารทุกรุ่นทุกยี่ห้อเป็นการก้าวทันโลก ฯลฯ แต่เวลาเลือกตั้งมีป้ายโชว์หราว่า "อย่าซื้อเสียง ขายสิทธิ" แค่เรื่้องการเมืองพื้นฐานแบบนี้ยังต้องบอกต้องเตือน มันเหมือนการประกาศบอกใครๆว่า "เรายังเป็นโลกที่สาม" อยู่นั่นเอง ทั้งหมดล้วนเป็นเปลือกที่เราแกะไม่ออก ผมอยู่ตปท.นานนับสิบปี สิ่งเดียวที่เป็นดัชนีบอกการพัฒนาคือ "จิตสำนึก" ตัวเดียวจริงๆ เคยเป็นล่ามให้กับคณะดูงานจากเมืองไทยหลายด้านทั้ง สาธารณสุข การเมือง ประกันสังคม การท่องเที่ยว บอกได้คำเดียวว่า "สงสารประเทศชาติ" เพราะแค่คำถามที่เราอยากได้จากฝรั่งก็บอกแ้ล้วว่าเราเป็นยังไง ตัวอย่างเช่น "ประเทศคุณมีหวยใ้ต้ดินไหม" (คำถามจากคณะดูงานกรมประชาสงเคราะห์ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องอาชีพคนตาบอด) "ตำแหน่งผู้พิพากษาของประเทศคุณวิ่งเต้นหรือจ่ายเงินได้ไหม" (จากคณะศาลแห่งหนึ่ง ตอนเขาให้แปลคำถามนี้ ผมขอให้เขาเปลี่ยนคำถาม เพราะมันเป็นการประจานตัวเอง และดูถูกคนอื่น) "ประเทศคุณมีโกงเงินค่าำไฟหรือลักลอบใช้ไฟฟรีไหม" (จากการไฟฟ้า) "ประเทศคุณ เภสัชกรยอมจ่ายยาถ้าไม่มีใบสั่งแพทย์ได้ไหมหากรู้จักกัน" (กระทรวงสาธารณสุข) "ทำอย่างไร ลูกจ้างจึงยอมให้รัฐบาลหักเงินประกันสังคมจากเงินเดือนตัวเองแบบเต็มใจ และนายจ้างยอมจ่ายเงินสมทบแบบไม่อิดออด....มีไหมที่คนท้องได้รับสิทธิลาคลอด กินเงินประกันสังคมแต่แอบไปรับจ๊อบหาเงินสองต่อ" (สำนักงานประกันสังคม) นี่คือคำถามที่เจ้าใหญ่นายโตของเรา นั่งเครื่องบินด้วยเงินภาษีเราไปถามวิธีการแก้ปัญหาจากฝรั่ง และเป็นการบอกโต้งๆว่าประเทศเรามีปัญหาพวกนี้อยู่ ซึ่งเราแก้กันไม่ได้ คุณคิดว่า....mentality แบบนี้จะทำใ้ห้เืมืองไทยที่รักของเรา "พัฒนา" ได้ไหม จากคุณ : รักเธอประเทศไทย (Shakesple) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 16:16:30

ความคิดเห็นที่ 7 การจะพััฒนาประเทศได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่การศึกษาในต่างประเทศเป็นหลักหรอกครับ การศึกษามีส่วนสำค้ญก็จริง แต่ก็เป็นแค่ส่วนประกอบหนึ่งเท่านั้น การที่ได้ขึ้นชื่อว่า ได้ไปเรียน ตปท นั้นก็ไม่ได้ช่วยอะไรหากเจ้าตัวไม่ได้เปิดใจเรียนรู้อะไรอย่างจริงจัง คนไทยส่วนใหญ่ที่มาเรียนต่อ ตปท นั้นก็สนแต่เรียนกับเที่ยวเป็นหลัก ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ ความคิดความอ่าน หรือวัฒนธรรมชาติตะวันตกแต่อย่างใด ส่วนใหญ่ก็กระจุกกันแต่กับคนไทยด้วยกัน (คนจีนก็เป็น) แล้วจะไปเรียนรู้อะไรนอกห้องเรียนล่ะครับ คนไทยอาจจะเีรียนเก่ง จบมาเกรดดี แต่ถ้าถามคำถามง่ายๆแค่ว่า ไหนลองอธิบายในความคิดตัวเองซิว่า ประเทศที่ไปเรียนนั้นมีอะไรที่ดีกว่าไทย และควรจะมาปรับใช้กับประเทศเราเพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเสียที น้อยคนที่จะตอบได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่เป็นหลายๆเรื่องรวมกัน ถ้าถามเรื่องเที่ยวน่ะรับรองอธิบายได้เป็นหน้า อีกอย่างก่อนที่ประเทศใดก็ตามจะพัฒนาได้ มันก็ต้องยอมรับก่อนว่า ชาตินั้นๆมีปัญหา หรือควรจะมุ่งพัฒนาไปที่จุดไหน จะมองอะไรก็ควรจะมองให้มันตรงความจริง ไม่ใช่หลอกตัวเอง ตัวอย่างเช่น คนไทยเราภาคภูมิใจกับความเป็นเอกราช ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร และเอาเรื่องนี้มาอ้างถึงความอ่อนด้านภาษาตลอด (ซึ่งก็มีส่วนจริงๆ) แต่ตัวอย่างเช่น ประเทศญี่ปุ่นและเยอรมัน ซึ่งเป็นประเทศแพ้สงครามอย่างราบคาบ ทั้ง 2 ชาตินี้มีภาษาของตัวเอง เรียนก็ใช้ภาษาตัวเอง ศัพท์ต่างๆที่ใช้ก็มีในภาษาตัวเอง หนังสือเขียนเอง มีแปลบ้างแต่น้อย แต่กลับเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ เอาจริงๆภาษาอังกฤษคนญี่ปุ่นไม่ต่างจากไทยมากหรอกครับ ได้อ่านกับเขียน พอด้านการพูดก็ไม่ได้เรื่อง (ดีไม่ดีไทยดีกว่าด้วยมั้ง) ถ้าพูดถึงความภาคภูมิใจในชาติของตน คงไม่ต้องอธิบาย แต่ทำไมเค้าไปไกลกว่าเราล่ะครับ? ทั้งๆที่ประเทศนึงโดนระเบิดปรมาณู อีกประเทศก็ราบคาบเป็นหน้ากลอง ของแบบนี้มันอยู่ี่ที่ mentality ครับ แล้วนั่นก็คือคำตอบเหมือนกันว่า ทำไมทั้ง 2 ประเทศที่แพ้สงครามใช้เวลาไม่นานหลังแพ้สงคราม ก็สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจและกลับมาเป็นประเทศมหาอำนาจได้ ในขณะที่ประเทศถึงจุดต่ำสุด จะไปหวังพึ่งรัฐบาลก็ไม่ได้แล้ว ก็ต้องพึ่งตัวเอง ช่วยเหลือกันเองให้รอดพ้นจากวิกฤษตรงนี้โดยเอาประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก (หลังแพ้สงคราม ประชาชนหลายๆคนยอมทำงานไม่ได้รับเงินเดือน เพียงเพื่อช่วยฟื้นฟูโรงงานที่พังไปแล้ว ให้กลับมาทำงานได้อีกครั้ง) ไม่ได้มามีการปล้น ฆ่า ฉวยโอกาสกันเสียด้วยซ้ำ แต่ประเทศเราเห็นเรื่อง corruption เป็นเรื่องปกติ เอาตัวเองเข้าว่า (เห็นแก่ตัวว่าง่ายๆ) จริงๆ corruption มันมีทุกที่ทุกประเทศแหละครับ แต่ชาติที่เจริญแล้ว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ หากเรื่องมันแดง คนๆนั้นก็โดนตราหน้าจากสังคม โดนแบนออกไป ไม่ใช่เห็นแค่เป็นเรื่องปกติแบบคนไทย จะกินมากกินน้อยถึงสำคัญ ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่า หากประเทศไทยต้องอยู่ในสภาพแบบที่ 2 ประเทศนี้เคยเป็น มันจะวุ่นวายแค่ไหน ประชาชนทุกคน คือ ทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการจะขับเคลื่อนให้ประเทศเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ จะให้ไปหวังพึ่งนักการเมืองอย่างเดียวนั้น มันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ แต่แน่นอนว่า ทางรัฐต้องช่วยส่งเสริมให้มันถูกที่ถูกจุด นอกจากนี้สังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ คือ ตัวหล่อหลอมเด็กรุ่นหลังด้วย ดูเด็กสมัยนี้บ้ายี่ห้อ บ้าของแพงๆกัน จิตใจมีกี่คนที่จะนึกถึงประเทศ มีแต่นึกถึงตัวเองเป็นหลัก สรุปจะเรียนนอกหรือไทย ถ้าคิดกันแบบนี้ จะต่างกันตรงไหน แถมเอาเข้าจริงๆรัฐบาลเองก็ไม่ได้ลงทุนให้มันถูกจุดนัก ดูเด็กนักเรียนทุน odos เป็นหลัก จริงๆมันเป็นโครงการที่ดี สนับสนุนเด็กยากจนมาเรียน แต่เอาเข้าจริงๆ เด็กที่มาถ้าดีก็ดีไปเลย (แต่มันแค่กี่คน? ส่งมาซักร้อยกว่าได้มั้งที่เยอรมัน จบจริงๆไม่ถึง 10)  แต่ส่วนใหญ่เรียนกันไม่รอด ต้องกลับไทยเสียด้วยซ้ำ ผมเคยเห็นกับตาตัวเองว่า มีเด็กนามสกุลใหญ่มาเรียนด้วยทุนนี้ด้วยซ้ำ ความซื่อสัตย์ จิตใต้สำนึกที่จะใช้เงินภาษีของประชาชนไทยยังไม่มีให้เห็น (ไม่งั้นคงไม่ทำ) แค่เรื่องง่ายๆแค่นี้ ก็เห็นแล้วครับ เด็กแต่ละคนรัฐบาลใ้ช้เงินภาษีไทยกี่ล้าน การลงทุนด้านการศึกษาแบบไม่วางแผนให้ละเอียดก็เท่ากับไม่มีความรับผิดชอบต่อภาษีประชาชน แม้แต่เด็กทุน กพ ที่มีความสามรถ ก็ไม่สามารถใช้ความสามารถอะไรได้เต็มที่ เพราะรัฐบาลไม่ได้มีหน่วยงานสนับสนุนอย่างจริงจัง กลับไปก็เป็นอาจารย์ที่ขาดประสบการณ์ (แล้วจะเอาอะไรมาสอน นอกจากในหนังสือ? แล้วประสบการณ์ที่ควรจะเรียนรู้จากชาติตะวันตกเค้า จะเอาจากไหน ในเมื่อโดนบังคับกลับทันทีที่จบ) สรุปง่ายๆ การเรียนนอก หรือส่งเด็กมาเรียนนอกไม่ได้ช่วยอะไรหรอกครับหากขาดประสบการณ์ ขาดการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง แม้แต่มีประสบการณ์หากกลับไทยไป แต่ขาดการส่งเสริมจากทางรัฐ ขาดเงินที่จะสนับสนุน ขาดความคิดความอ่านที่เห็นแก่ประเทศเป็นหลักมากกว่าตัวเอง แม้จะมี ก็แค่คนส่วนน้อย แล้วคนส่วนน้อยจะไปทำอะไรได้ สุดท้ายก็ยอมแพ้อย่างจนใจไปอยู่ดี จากคุณ : Prudence เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 16:34:41

ความคิดเห็นที่ 8 มันอยู่ที่ผู้หลักผู้ใหญ่ล้วนๆเลย ไม่ได้อยู่ที่เด็กที่ไปเรียน ถึงเด็กมีจิตสำนึก แต่ถ้าระบบเมืองไทยยังยึดผู้อาวุโสเป็นหลักโดยไม่สนเหตุผลแบบนี้ ส่งไปเรียนครึ่งประเทศก็เท่านั้น จากคุณ : Aenieas เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 16:46:12

ความคิดเห็นที่ 9 คห 5 เหอะๆ เหรอ? ประเทศอื่นที่พัฒนาเพราะมีรัฐบาลดี เหรอ? จริงอ่ะ??? คนส่วนน้อยกลุ่มนั้นสามารถสอนให้คนซื่อส้ตย์ สอนให้ลดควมเห็นแก่ตัว สอนให้มีจิตใต้สำนึกที่รับผิดชอบต่อสังคมได้เหรอ? ไม่สมเหตุสมผลอย่างแรงงง ถ้าบอกขึ้นอยู่กับรัฐบาลดี งี้ที่เปลี่ยนๆกันทุก 4-5 ปี ถ้าเจอรัฐบาลห่วยแบบไทย ประเทศเมกา อังกฤษไรง้ นิสัยความคิดความอ่าน ระเบียบ กฏเกณฑ์ในสังคม ก็ต้องห่วยตามขึ้นๆลงๆทุก 5 ปี?? มันใช่เหตุผลมั้ยเนี่ย??? นี่ก็อีกคนก็ชอบหลอกลวงตัวเองไม่ยอมรับความจริงว่า ที่ประเทศมันยังไม่ไปไหน ไม่ใช่ความผิดกลุ่มคนแค่กลุ่มนึง แต่มันทุกคนในสังคม แล้วคนเลือกรัฐบาลไม่ใช่ประชาชนเหรอ??? หรือไง?? ถ้าจะัผิด มันก็ผิดกันทุกคน ไม่ใช่มานั่งโยนความผิดให้กลุ่มคนกลุ่มเดียว ไม่มีความรับผิดชอบชัดๆ ถ้าคนไทยที่เรียนนอกมีคุณภาพขนาดนั้น ทำไมประเทศไทยไม่เจริญตั้งแต่ก่อนไปเรียนแล้วว???? ไปเรียนทำไมให้เสียเงิน เสียเวลา??? ก็คนกลุ่มเดียวกันที่ไปเรียนนอกแล้วกลับมาไม่ใช่เรอะ ที่บอกมีคุณภาพน่ะ ถ้าบอกมีคุณภาพก็ต้องทำอะไรให้มันดีขึ้นแล้วสิ ทุกวันนี้ไม่เห็นอะไรซักอย่าง ก็เพราะมีคนแบบเนี้ยแหละ ประเทศชาติม้นถึงไม่ไปไหน หลอกตัวเองไปวันๆว่า คนไทยดีอย่างงงู้นอย่างงี้ แทนที่จะยอมรับความจริง ไม่มองความจริงแล้วนะ ยังหาแต่ข้ิอแก้ตัว โทษแต่ีร้ฐบาลห่วยๆ โทษแต่คนอื่น ลากไปว่าต่างชาติบางคนไม่เจริญ เอ่อ ขอโทษนะ จำนวนคนไม่เจริญเค้า ม้นไม่ทำให้ประเทศเค้าถอยหล้งนะ เพราะจำนวนคนเจริญแล้วมันเยอะกว่ากี่เท่า????? พูดเอาคนส่วนใหญ่ดิ มีประเทศไหนมีคนเจริญแล้ว 100 % มั่งง?? คือ ไม่มีนะ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ด้วย คนไม่ใช่หุ่นยนตร์ พูดอะไรข้างๆคูๆ หลับหูหลับตาเชื่อ โบ้ยต่างชาติตลอด ไม่เคยหันมามองตัวเองในฐานะส่วนนึงของส้งคมว่า จริงๆแล้ว คนทุกคนมันก็มีส่วนหมดที่สังคมไม่เจริญ เนี่ยเห็นชัด อ้างว่า เคยเรียนนอกมา เก่งงั้นเก่งงี้ แล้วดูความคิด แคบบบบบบซะ เออจริง ลืมไป คนไม่มีคุณภาพจะเีรียนนอกหรือไม่เรียน ความคิดหลังเขาไงก็เหมือนเดิม ย้งไงก็ไม่ได้ช่วยให้มีคุณภาพขึ้นมาจริงๆ ตัวอย่างชัดเจน เหอๆๆๆๆ จากคุณ : Thot เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 17:14:32 A:173.213.109.225 X: TicketID:376692

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่าน่าจะแค่ให้ Comments  ของตัวเองไม่ดีกว่าเหรอครับ แทนที่จะไปติเตียน Comments ของคนอื่น วิวาทไปมันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอกครับ ควรจะ Agree to Disagree! จากคุณ : Intania (BenzSiam) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 17:51:01

ความคิดเห็นที่ 11 คห. ๙ น่ะ...ดูจากลักษณะการเขียน จากความเข้าใจในเนื้อหาสาระของประเด็นและทัศนคติของคุณแล้ว ผมว่าคนอย่างคุณนี่แหละที่ทำให้ประเทศไทยมันไม่เจริญอย่างที่ควรจะเป็น เดาเอานะ...คุณคงไม่เคยมาเมืองนอกหรอก อ่าน ฟัง พูดภาษาคงไม่เข้าใจ อยู่เมืองไทยก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงความเจริญของประเทศ เออ...จริงอย่างที่ฝรั่งเขาว่า พวกโง่ส่วนใหญ่มักจะรั้นด้วย เป็นงี้เอง... คุณเขียนตั้งยาวแต่ผมไม่เห็นจะมีประโยคไหนในข้อคิดเห็นของคุณมันจะถูกต้องเลย เอาไปคิดใหม่น่ะ ตลาดเลิกแล้ว ล้างมือล้างหน้าอาบน้ำสบายๆมาโพสต์ใหม่น่ะ จากคุณ : ฮ่า ฮ่า เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 17:54:13 A:75.67.247.55 X: TicketID:318955

ความคิดเห็นที่ 12 ไม่ต้องดูไกลถึงเมืองนอกหรอกค่ะ   เอาแค่จบปริญญาตรีในไทย  ตอนเรียน ตอนจบใหม่ ๆ เกือบทุกคนจะเต็มไปด้วยไฟ ที่เรียกว่า ไฟแรง อุดมการณ์สูง พอถูกเข้าไปหลอมในวัฎจักรการงาน โดยเฉพาะในระบบราชการ หลายคนเปลี่ยนบุคคลิก  หลายคนละทิ้งอุดมการณ์   หลายคนพบว่าไม่สามารถไปตามน้ำได้  หรือไม่ก็พยายามหาทุนไปเรียนต่อ ... การมาเรียนต่างประเทศ มาเพื่ออะไร คำถามนี้ถามนักเรียนทุนทุกปีนะคะ การสร้างบ้าน พัฒนาเมือง มันไม่ใช่แค่สร้างตึกสูง สะพานลอยฟ้า เทคโนโลยี่สูงสุด หรือเป็นคนที่พูดเก่ง ไหลลื่น คล่องภาษาต่างประเทศ   นักเรียนมาเรียน ส่วนมากก็ได้แต่ส่วนของเทคนิค วิชาการกลับไป เรื่องทัศนคติการมองโลก มันจะซึมซับได้ ต้องอยู่ร่วมทำงาน อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุข เรียกว่าขลุกคลีตีโมงกันนาน ๆ กับสังคมวัฒนธรรมของเขา ถึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง และถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเข้าใจ ... ก็ใช่ว่ากลับไปเมืองไทยจะสามารถโน้มน้าวให้คนอีก ห้าหกสิบล้านมองเห็นคล้ายกัน ยกเว้นว่าเขาจะเป็นผู้นำของชุมชน แต่คนเก่งในระดับบนกระจุกเดียว จะไม่สามารถขับเคลื่อนได้มาก ถ้าคนในสามเหลี่ยมด้านล่างไม่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ดิฉันเห็นว่า ปัจจุบันเทคโนโลยี่ได้เข้าไปถึงเกือบทุกบ้าน ทุกห้องนอน ... ถ้าคนส่วนมาก อยากพัฒนา แสดงว่ามีความหวังค่ะ  เราไม่ต้องมาถึงเมืองนอกก็ได้  ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนแปลง ยิ่งมีการถกกันมาก ก็ยิ่งมีเกิดความคิดอ่านเพิ่ม  การปฏิบัติจะตามมาเอง อย่างการเปลี่ยนแปลงการผลิตในโรงงาน  ถึงแม้ผู้บริหารจบมาสูง สายตากว้างไกล เงินลงทุนพร้อม เครื่องจักรทันสมัย  แต่ถ้าคนงาน ไม่มีสายตา มุมมองไปในแนวเดียวกับผู้บริหาร ... ทั้งเงิน ทั้งเครื่องจักร ก็ไม่สามารถทำให้โรงงานนี้มีกำลังผลิตที่ได้มาตราฐานสูง  หลายโรงงานพาพนักงานไปดูการปฏิบัติงาน ของที่อื่น (เปรียบแล้วก็คงไม่ใช่แค่ส่งหัวหน้าแผนก ไปดูงานอย่างเดียว เหมือนส่งนักเรียนหัวกะทิไปเรียนนอก อยู่กลุ่มเดียว) แล้วนำมาตั้งกลุ่มถกคุยกันเองว่า เราอยากจะพัฒนาการทำงานอย่างโรงอื่นหรือไม่ ถ้าอยาก ... จะทำจากจุดที่เป็นอยู่ ไปยังเป้าหมายนั้นอย่างไร  เราคงไม่สามารถขอแบบพิมพ์เขียวของการพัฒนาคนของเขา มาพัฒนาคนของเรา  เราต้องมองตัวเราเองก่อนว่า จุดอ่อน จุดแข็งอยู่ตรงไหน การยอมรับจุดอ่อน มิใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการรู้จักตัวเอง มิเช่นนั้น การพัฒนาจะไม่ก่อเกิด เหมือนน้ำที่เต็มแก้วแล้ว จะไปเติมอะไรก็ไม่ยอมรับใช่ไหมคะ ถ้าเราคิดว่าการมี transport มีลำคลองใส ๆ มีถนนสวย ๆ คือการพัฒนา ขอบอกว่าจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะสิ่งเหล่านี้สร้างได้ ถ้ามีเงินทุน  แต่สิ่งสำคัญที่จะคงอยู่ รักษาให้คงสภาพที่ดูดีทุกทุกวันต่างหากล่ะ ที่สำคัญมากกว่า จุดตรงนั้น มันต้องใช้คนร่วมมือกัน สมมติเรามีเงินหลายพันล้านเหรียญ ทุบตึกที่ไม่ได้มาตราฐานทิ้ง เรียกว่า รื้อเมือง สร้างใหม่หมด .... เมืองใหม่ที่ดูดีไปหมดจะดูสวยได้ไม่นาน ตึกเหล่านั้นต่อให้สร้างในมาตราฐานสูง แต่เมื่อขาดการบำรุงรักษาดูแล เมื่อเกิดไฟไหม้ อาจจะไม่มีน้ำในระบบสปริงเกอร์ (อย่างที่ได้ยินจากข่าวไฟไหม้) หรือเมื่อผ่านไปหลายปีธุรกิจรุ่งเรือง ความละโมบต่อเงินทองผลกำไรก็อาจจะบดบังสำนึกเรื่องความปลอดภัย ก็ต่อเติมตามใจชอบจนเกิดอันตราย ก็ต้องถามกลับว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เรา(ในอัตราคนส่วนใหญ่)จะยอมรับและแก้ไขจุดอ่อนของเราหรือยัง จากคุณ : บีพี เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 18:41:37

ความคิดเห็นที่ 13 คุณเอาชนะ นายทุน + ระบบทุนนิยมไม่ได้หรอก ถ้าอยากเอาชนะได้ คุณก็ต้องเอาชนะนายทุนให้ได้น่ะ ไปคิดมา คุณมีอะไรที่เค้าไม่มี ทำไมอย่างภูฐานถึงทำได้ ทำไมเวียดนามถึงขนะเมกาได้ ทำนองนี้อะ อะไรที่คุณทำได้ ก็ลองคิดเองดู จบเมืองนอกมา ต้องคิดเป็น แก้ไขเมื่อ 09 ต.ค. 55 18:51:19 จากคุณ : lovelypriest เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 18:49:35

ความคิดเห็นที่ 14 ยิ่งเห็นมาก ยิ่งเซ็ง ว่าบ้านเรามีแต่ 'ปัญหาที่แก้ได้  แต่ไม่ยอมแก้'   เต็มไปหมด จากคุณ : fm@co เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 19:27:16

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยับคุณ BP โดยเฉพาะยกการตัวอย่างของโรงงานมาเห็นภาพชัดมาก ๆ ตนเองมองว่าสังคมจะพัฒนาขึ้นกับทั้งผู้นำและผู้ตามต้องร่วมพัฒนาไปคู่กัน มีผู้ตามที่ต้องการพัฒนาแต่ผู้นำไม่เอาไหนการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงก็เกิดยาก ในขณะเดียวกันหากผู้ตามไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงเมือ่ผู้นำพยายามพัฒนาปรับปรุงอะไรมันก็ไปก้าวกระโดดไม่ได้จริง ระบบ้านเราตนเองมองว่าขอให้ระบบราชการ วงการการศึกษากับภาคอุตสาหกรรม มีศักยภาพในเรื่องของระบบที่ต่างกัน บางครั้งตนเองไม่เข้าใจเท่าไหร่นักว่าทำไปเพื่ออะไร  อย่างเรื่องพื้นๆ อย่างเช่นเรื่องการเซ็นต์เข้างานของอาจารย์นมหาวิทยาลัย สมัยเป็นนักเรียนแอบทราบมาว่าอาจารย์ต้องเซ็นต์ชื่อเข้างานไม่เกิน 9 โมง หรือ 8:30 จำไม่เวลาไม่แน่นอน ไม่ว่าอาจารย์จะมาถึงกี่โมงก็ตาม ต้องเซ็นต์ในช่วงนั้น ตนเองไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ไม่ทราบว่าปัจจุบันยังเป็นแบบเดิมอยู่หรือเปล่า อาจารย์ต่างประเทศที่ตนเองสัมผัสไม่มีการลงเวลา แต่ก็มีบางที่ที่ต้องลงเวลาก็เห็นอาจารย์ลงเวลาเข้าออกกันตามจริง จากคุณ : jinjung เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 19:51:08

ความคิดเห็นที่ 16 เป็นกระทู้ที่ได้อ่านแล้วมีประโยนช์จังครับ หลายคอมเม้นเข้ามาให้มุมมองดีๆและก็มีบางคอมเม้มที่ไม่ได้ให้อะไรแต่เข้ามาพิมพ์เรี้ยราด ขนบธรรมเนียมที่ผิดๆฝังรากลึกตั้งแต่ไหนแต่ไรจนขุดไม่ออก แต่ผมยังมีรู้สึกดีนะครับที่ได้รู้ว่ามีอีกหายคนที่อยากให้ประเทศเราดีกว่านี้ แค่นี้ก็สุขที่ใจครับ จากคุณ : I@tee (Chinkrab) เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 20:02:53

ความคิดเห็นที่ 17 เหรอ แต่เราว่า คห 9 เขียนได้ถูกเป้าเป๊ะอ่ะนะ คห 11 มากกว่ามั๊งกลับไปล้างหน้าประแป้งแล้วเอาจุกออก หวีผมปรกหน้าซะเต๊อะ แล้วค่อยมาโพสต์ใหม่ดีฝ่านะ โถๆ ก็พึ่งรู้ว่า ต้องอยู่นอกถึงตอบได้ นี่ก็ใจแคบแบบที่เค้าว่าอีกคน ถือหางไม่ดูตาม้าตาเรือ ระวังตอนโดนตัดหาง จะขาดไปด้วย โฮะๆ คห 11 ไม่ต้องคิดมาก เข้าใจอารมณ์ ไปว่าคนอื่นเป็นตัวถ่วงประเทศ ตัวเองตอบสร้างสรรค์ม๊าาากมาก อ๊ะๆ หรืออยากสาธิตการถ่วงแผ่นดินเหรอ เอิ๊กๆ ว่างๆไปเบิ่่งตาดูกระทู้อื่นๆบ้างนะว่า คนที่ถือหางกันน่ะ มีคนรำคาญแค่ไหนแล้ว จากคุณ : จุกน้อย เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 20:13:21 A:184.22.125.132 X: TicketID:377813

ความคิดเห็นที่ 18 @ #9 and #17 If you guys don't have a wise thing to say, remaining silent wouldn't hurt so bad? Please don't be a "krean her moi..." จากคุณ : crazyfantasy เขียนเมื่อ : 9 ต.ค. 55 21:21:47

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ ความคิดเห็นที่2 คงจะหลงประเด็นไปนิด  ผมว่า จขกท ตั้งใจจะสื่อว่าการที่ได้ไปใช้ชีวิตที่เมืองนอก  ได้ซึมซับความเป็นระเบียบ  และการที่มีจิตใต้สำนึกให้เคารพกฏหมายซึ่งคนไทย เรายังห่างไกลข้อนี้อยู่   ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศนานๆแล้วกลับไปเมืองไทยจึงรู้สึกและมองเห็นข้อแตกต่าง   เรียนที่ไทยก็จะคุ้นกับสิ่งแวดล้อมเดิม ความรู้สึกที่อยากจะมองเห็นบ้านเมืองเป็น ระเบียบเหมือนต่างประเทศคงจะไม่มี จากคุณ : Techie เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 55 08:10:01

ความคิดเห็นที่ 20 Tackle the point, not the person. จากคุณ : pammeluff (Pammeluff) เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 55 10:43:47

ความคิดเห็นที่ 21 ถึงบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปถึงเมืองนอกไงคะ ก่อนเราไปเราก็รู้สึกบ้านเมืองมันไม่เป็นระเบียบแล้วนะ ไม่เห็นต้องไปเมืองนอกถึงจะอยากเปลี่ยนแปลง คนไปเมืองนอกก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะสนใจว่าบ้านเมืองมันระเบียบกว่ามั้ยแล้วอยากกลับมาเปลี่ยนแปลงบ้านเรา มันอยู่ที่คน ต่างความเห็นเข้าใจค่ะ แต่คงหลงประเด็นในสิ่งที่เราต้องการจะสื่อไปเหมือนกันนะคะคุณลุง จากคุณ : PuppyPower เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 55 10:53:14

ความคิดเห็นที่ 22 เราคิดว่าปัญหามันลึกและต้องใช้เวลานานในการแก้ไข แต่หลักๆก็คือเริ่มจากการศึกษาของคนไทยซึ่งมีผลโดยตรงกับการเลือกตั้งผู้น้ำมาบริหารประเทศ ทุกวันนี้เราให้คนที่มีการศึกษาน้อย(ซึ่งในประเทศไทยมีจำนวนมาก)เป็นแรงหลักๆในการเลือกตั้ง พวกคนที่ลงสมัครเลือกตั้งก็ใช้เล่ห์กลสารพัดในการหลอก แล้วพอถึงจุดๆนี้ลองคิดดูว่าถ้าประชาชนมีความคิดความอ่านจะโดนนักการเมืองหลอกได้มั้ย? จะโดนซื้อเสียงได้มั้ย? สิ่งที่พวกเค้าไม่รู้ก็คือว่า เค้าได้เงินโดยการขายเสียงแต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นแค่เงินลงทุนของพวกนักการเมืองที่จะกลับมาเอาคืนพร้อมดอกเบี้ยอีกหลายเท่า ทุกวันนี้ประชาชนไม่มีวิสัยทัศน์ไกลและกว้างพอที่จะตระหนักว่า คอรัปชั่นไม่ใช่เรื่องปรกติ คอรัปชั่นเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ และมันต้องเริ่มจากตัวเราด้วย ใช่ มันเป็นความจริงที่ว่า เรามีแค่เสียงแค่เดียวจะทำอะไรได้ เสียงเล็กๆซะด้วยทางบ้านไม่ได้มีเส้นสาย แต่ถ้าทุกคนมัวแต่คิดอย่างนี้มันก็จะไม่มีความก้าวหน้า เพราะฉะนั้นถ้ามีการรวมตัวกันมันก็เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเข้าร่วม เราเห็นด้วยเราก็สนับสนุนให้เต็มที่ จากคุณ : Pammeluff เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 55 10:58:25

ความคิดเห็นที่ 23 ว่าไปนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศ ด้านการเมืองและเศรษฐกิจครั้งสำคัญๆ ผู้นำด้านความคิดเหล่านั้น ส่วนใหญ่จบการศึกษาจากต่างประเทศ ไม่ใช่หรือ ดังนั้นการได้รับการศึกษา และไปรับรู้อะไรมาจากต่างประเทศ ไม่ศูนย์เปล่านะ แต่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ทันใจ จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 55 21:03:51

ความคิดเห็นที่ 24 ก็แค่เห็นคนไทยโพสในกระทู้ต่างๆ ก็คงอีกนานนนนนน ที่ประเทศไทยจะพัฒนา มีแต่การแบ่งพวกแบ่งสี ไม่เคยที่จะยอมรับการเห็นต่าง ใครคิดไม่เหมือนกูก็แปลว่าคุณโง่คุณเห็นแก่เงิน ขุดคุ้ยถากถางเอาให้บรรลัยไปข้าง ถ้าไม่ใช่พวกกูคุณจะได้ดีไม่ได้ คอยขัดแข้งขัดขาให้พังไปข้างโดยไม่สนว่ามันจะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมรึไม่ พร้อมที่จะเชื่อในโดยที่ไม่เคยจะสืบค้นว่ามันจริงรึเปล่าเพราะกูไม่ชอบมันอยู่แล้วมันต้องจริงแน่ๆ ถ้าคุณไม่เชื่อคุณต้องเป็นพวกมันแน่ๆ(เจอกับตัว) เมื่อไหร่จะสงบสักที จะต้องเห็นคนไทยทะเลาะกันไปอีกนานเท่าไหร่ จากคุณ : Rangza (rangza) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 00:03:30

ความคิดเห็นที่ 25 สำคัญที่สุดที่คนไทยส่วนใหญ่ขาดคือ   ความซื่อสัตย์    และระบบบ้านเราวางตัวบุคคลผิดตำแหน่ง   ไม่มีประเภท put the right man to the right job......ทำนองนี้แหละ     แต่ละคนมีความถนัดคนละอย่าง      งานบางอย่าง   ไม่ใช่ว่าทุกคนทำได้หมด       ดิฉันยอมรับเลยว่างานบางอย่างเราไม่ถนัด    ถึงทำไปก็ไม่ได้ดีเป็นแน่      บางแห่งหัวหน้าแต่งตั้งให้แต่คนที่ตนรักกับตำแหน่งที่ว่างทั้งๆที่ผู้นั้นอาจจะทำไม่ได้     ก็นั่งกินเงินเดือนกันไป   แพบเดียวเดือน   แพบเดียวเดือนได้เงินเดือน     ขัดขวางคนอื่นที่อาจจะทำได้ดีกว่า     คนที่ทำได้แต่ไม่ได้ตำแหน่งก็ท้อหมดกำลังใจ      เป็นกันมากในระบบราชการรัฐวิสาหกิจ     ถ้ากำจัดความคิดเรื่องพรรคพวกไปได้    เลือกคนเก่งหรือคนถนัด  (พูดน้อยทำงานเก่ง     ไม่สอพลอเพ้อเจ้อ)    บ้านเมืองก็คงจะดีขึ้น     แต่ท่าจะยากเพราะเยอะเหลือเกินนั่นเอง       ส่วนสิ่งที่ดีของต่างแดนนั่น     จะดีได้เฉพาะกับคนที่ได้ประสบมาและรับมาได้เท่านั้น      บางคนไปเรียนก็รับแต่วัตถุนิยมของเขามาเท่านั้น    บางคนอยู่นานมาก  30-40  ปีก็ยังเหมือนเดิมอยู่   ไม่ได้รับรู้อะไรมากนักจากต่างแดน       ถามอะไรไม่ค่อยรู้มากมายด้วยซ้ำไปค่ะ      ฉะนั้น   ไม่จำเป็นต้องผ่านเมืองนอกก็เจริญได้อยู่นะคะ      เพราะคนไทยส่วนใหญ่จะว่าไปเป็นคนดีอยู่มาก     แต่ถ้าดีกว่านี้ก็คงจะทำให้ชาติเราดีขึ้นไปอีก     เพื่อลุกหลานจะได้สบายขึ้นๆๆเพราะเขาคืออนาคตนี่นะคะ     อย่างน้อยน่าจะทำเพื่อลุกหลาน จากคุณ : มอรีน (maureen) เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 00:11:06

ความคิดเห็นที่ 26 มีปัจจัยหลายอย่าง จะหยิบจุดไหนมาคอมเมนต์ก็มีส่วนเป็นไปได้ทั้งนั้นครับ ไม่ต่างจากประเทศที่กำลังพัฒนาหรือประเทศที่พัฒนาแล้วก็ผ่านจุดเหล่านั้นมาเหมือนกัน สิ่งหนึ่งที่ผม(โดยส่วนตัว)มองเห็นว่าประเทศไทยแตกต่างจากประเทศที่กำลังพัฒนาหรือจากประเทศที่ถีบตัวหนีจากประเทศไทยจนกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว(ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเคยศักยภาพที่จะพัฒนากว่าประเทศนั้น)ก็คือพฤติกรรมและความเชื่อทางสังคมโดยรวมของคนไทย พฤติกรรมและความเชื่อทางสังคมของคนไทยถือว่าเป็น "อัตตลักษณ์" ที่หาได้ยากนักในสังคมชาติอื่นๆ และเป็นปัจจัยที่มีส่วน "ฉุดรั้ง" ให้ประเทศไทยให้เดินหน้าไปอย่างช้าๆ หรือบางช่วงบางจังหวะก็หยุดอยู่กับที่ ๑. "เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด" การยกย่องสถานะความเป็น "ผู้ใหญ่" ในสังคมไทยเป็นการยกย่องแบบเกินสถานะ เช่น ความเท็จ ความคลุมเคลือ หรือความผิดพลาด ถ้าหากสิ่งเหล่านี้ถูกกระทำโดย "ผู้ใหญ่" ก็ยากที่คนอื่นจะ(กล้า)ชี้แนะ อธิบาย โต้แย้ง (ส่วนเรื่องการ "ลงโทษ"นั้นก็ให้ลืมไปได้เลย) "ผู้ใหญ่" ในที่นี่เริ่มกันตั้งแต่สถาบันทางครอบครัวเลยนะครับ เช่นลูกอยากจะอธิบายอะไรให้พ่อหรือแม่ฟังอาจจะถูกมองว่าเถียง และในทางเดียวกันความเชื่อ "ของผู้ใหญ่" ก็ยังไม่สามารถสลัดความเชื่อเดิมๆ ออกไปได้ในทำนองว่า ฉันเป็นหัวหน้าฉันจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงข้อถูกต้อง ความสมเหตุสมผล หรือแม้แต่กติกา ปัญหาหรือแม้แต่คดีความต่างๆ ในสังคมไทยส่วนหนึ่งก็มาจากระบบ "ผู้ใหญ่" อย่างที่บอกระบบ"ผู้ใหญ่" มีแทบทุกวงการและกลืนกินแทบอณูส่วนของสังคมจนกลายเป็น "วงกว้าง" ซึ่งฉุดรั้งสังคมไทยให้ย่ำเปาะแปะวนไปเวียนมาในที่เดิมๆ ๒. การขาดแรงกระตุ้นที่จะผลักดันประเทศ ๒.๑ แรงกระตุ้นภายนอก>>>> ความที่ไม่เคยถูกชนชาติอื่นรุกรานมานานบวกกับความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่ในภูมิภาคว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใคร ก่อให้เกิดความ "เฉื่อย" ซึ่งต่างจากประเทศเช่น ญี่ปุ่น เยอรมัน อิสราเอล ประเทศไทยนับตั้งแต่เหตุการณ์วิกฤต รศ ๑๑๒ มา ก็ไม่ได้มีอะไรพัฒนาขึ้นมากมาย(อย่าลืมว่าสมัยนั้นเรามีเรือดำน้ำใช้อยู่ ถ้าจำไม่ผิดชื่อมัจฉานุอะไรประมาณนี้) เรือรบหลวง การที่เราถูกชาติอังกฤษและฝรั่งเศสขนาบข้าง ทำให้พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ห้าต้องพัฒนาประเทศให้ใกล้เคียงกับอารยะประเทศ ๒.๒ แรงกระตุ้นจากภายใน >>>> ระบบ"ผู้ใหญ่" ที่ฝังตัวลึกอยู่ในสังคมไทยมาช้านานเป็นเสมือนทุ่นที่ฉุดรั้งให้สังคมไทยขาดแรงกระตุ้น เมื่อไหร่ที่ผู้ใหญ่เปิดโอกาสให้ผู้น้อยได้มีบทบาทเพิ่มขึ้น และเมื่อไหร่ที่ผู้น้อยไม่มองตัวว่าเป็น "คนรับใช้" ผู้ใหญ่แต่เป็นคนรับใช้ของส่วนรวมแล้ว เมื่อนั้นแหละประเทศไทยจะก้าวหน้าแทบจะฉุดไม่อยู่เลยทีเดียว (ปัจจัยหลายๆ อย่างก็พร้อมที่นำประเทศไทยก้าวไปสู่การพัฒนาที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว ติดอยู่แค่เชือกคือระบบ "ผู้ใหญ่" ที่ร้อยรัดฉุดรั้งไว้แค่นั้นเอง) ๓. ระบบอุปถัมภ์ จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นผลพ่วงมาจากระบบ "ผู้ใหญ่" ในสังคมไทยอีกนั่นแหละ เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายจะเห็นว่าสถานะความเป็น "ผู้ใหญ่" แทรกซึมเข้าไปทุกอณูส่วนของสังคมไทยจริงๆ...... การ"ขอ" และการ "ให้" ความอุปถัมภ์ล้วนมาจาก "ผู้ใหญ่" ทั้งนั้น จนทำให้สังคมไทยบูดเบี้ยว กฏไม่เป็นกฏ กติกาไม่เป็นกติกา ต่อให้จบจากนอกหรือไปดูงานเมืองนอกอาทิตย์ละครั้งย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้เจริญได้ ตัวอย่างมีให้เห็นอย่างคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ ทำงานที่อเมริกามาเกือบตลอดชีวิต วันหนึ่งท่านตัดสินใจกลับประเทศไทยอยากพัฒนาสังคมไทย ผลสุดท้ายท่านก็ถูกยิงตาย ที่สุดของที่สุด ตกลงประเทศไทยจะเดินไปทิศทางไหนกันแน่?? สิบกว่าปีที่ผ่านมาผมมองว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็สับสนไม่น้อยทีเดียว ไหนจะพยายามสถาปนาให้เป็นฮับ(hub)ทางเศรษกิจทางภาคพื้นเอเชียอาคเนย์ อ้าวไหนจะเดินตามเศรษกิจพอเพียง ไหนจะเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า โห...นั่นประเทศเนปาลมีดัชนีที่มีความสุขสุงสุดในโลกนับถือพุทธอย่างไทย เห็นทีว่าเราต้องเอาตามเนปาลมั่ง เอ๊ะ...นั่นเวียดนามกำลังจะแซงหน้าเราอยู่มะร่อมมะร่อ....อย่างนี้ยอมได้ไง??? สวัสดีประเทศไทย จากคุณ : วัชรานนท์ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 00:27:08 A:90.203.230.253 X: TicketID:109703

ความคิดเห็นที่ 27 5555 นี่แหละที่ทำให้ประเทศเราไม่เจริญ แค่นี้ก็มานั่งเถียงกัน เพลียจิตมาก เมื่อวานเห็นรถยนต์ขับเฉี่ยวรถจักรยาน คนขี่จักรยานล้มลงไปข้างถนน ท่าทางเจ็บอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ท่าทางก็โมโหมาเช่นกัน ตะโกนด่าคนขับรถ คนขับรถลงมา ขอโทษขอโพย สุดท้าย จับมือ ยิ้มให้กัน แล้วแยกย้าย นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ลอนดอน ถ้าเป็นสยามเมืองยิ้มบ้านเรา อาจจะต้องรอโทรเรียกตำรวจ เรียกประกัน รถติดยาวเหยียด ไม่ได้รักเมืองนอกมากกว่าเมืองไทย แต่เห็นแล้วสะท้อนใจ ยิ่งมาอ่าน กท.นี้ คงตอบคำถาม จขกท.ได้อยู่บ้าง ว่าเพราะอะไร จากคุณ : staryscary เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 01:01:59

ความคิดเห็นที่ 28 ประเทศนี้มันถูกสาป ถึงมีแต่นักการเมืองเลวๆ จากคุณ : องค์ประกอบศิลป์ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 03:35:26

ความคิดเห็นที่ 29 ทหารรวยเป็นรวยล้านพันล้าน ใครกล้าตรวจสอบบ้างละ นักการเมืองและราชการยังพอมีองค์กรที่สามารถถ่วงดุลอำนาจกันได้ โดยเฉพาะนักการเมืองที่มีฝ่ายค้านและองค์กรตรวจสอบอีกมากมาย(เรายังไม่พูดประเด็นว่าตรวจสอบได้จริงแค่ไหนอย่างน้อยก็มีองค์กรตรวจสอบและมีอำนาจตามกฎหมายจริง) ที่สำคัญยังต้องแคร์ประชาชนที่ต้องลงคะแนนเสียงให้ ตำรวจถึงแม้จะมีการทุจริตเยอะแต่ถ้าเรียกร้องให้ตรวจสอบจริงๆจากประชาชนผ่านนักการเมืองก็สามารถทำได้ ทหารเป็นองค์กรศักดินาที่ใหญ่มาก มีอิทธิพลทั้งด้านการเมืองและศก. ไร้การควบคุมจากองค์กรใดๆมีระบบบริหารจัดการตนเอง เป็นคณะบุคคลที่ทรงอำนาจกว่านักการเมืองอีก ถ้าเราเข้าใจองค์กรทหารและดูความสัมพันธ์กับองค์กรทางสังคมอื่นๆเราจะเข้าใจสังคมไทยได้ไม่ยาก คำถามง่ายๆ ต้องถามว่าเรากล้าที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง(ถึงแม้ว่าจะเกลียดหรือไม่เห็นด้วย)กล้าที่จะใช้อำนาจหรือทวงอำนาจเราหรือเปล่า เราพร้อมจะปกป้องรัฐบาลจากอำนาจอื่นหรือเปล่าแม้ว่าจะเกลียดรัฐบาลแค่ไหน เพื่อที่จะให้รัฐบาลสามารถตอบสนองต่อประชาชนได้อย่างอิสระ มากกว่าจะไปกลัวองค์กรอื่นๆ เรามัวแต่เรียกร้องจริยะธรรมบ้าบออะไรไม่รู้ไม่เป็นรูปธรรมแต่ กลับมองข้ามองค์กรต่างๆที่เข้ามาแทรกแซง โทษที่นัการเมืองอย่างเดียว ตั้งแต่รัฐประหารเป็นต้นมา เราจะเห็นได้ชัดว่า การศึกษาไม่ได้เป็นตัววัดจิตสำนึกใดๆเลย จากคุณ : ไซโคลน เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 55 10:18:03

ความคิดเห็นที่ 30 งงกับความคิดเห็นที่ 29 ใครกันแน่ที่กุมอำนาจ รัฐบาลแทรกแซงทุกอย่างแม้แต่องค์กรอิสระหรือทหาร (พูดถึงทุกรัฐบาล) พอเปลี่ยนรัฐบาลที นายทหารระดับสูงก็เปลี่ยนที โยกย้ายตามโผรัฐบาลตลอด จะให้ประชาชนปกป้องรัฐบาล มันไม่ใช่ ประชาชนธรรมดาทุกวันนี้ยังไม่สามารถปกป้องตัวเองจากนักการเมืองทุจริต ข้าราชการทุจริต ทหารตำรวจทุจริตได้เลย ส.ส.ไม่ได้แคร์คะแนนเสียงตัวเองหรอก พอเลือกตั้งทีก็แจกเงินกันที คนที่แจกเงินมากที่สุดก็ได้รับเลือกไป สังคมไทยมันเป็นอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่จะได้คนที่ดีและมีความสามารถมาบริหารประเทศ ใช้เงินซื้อเสียง เลือกตั้งได้ ก็มาถอนทุนคืน จ่ายภาษีไป 40% เข้ากระเป๋านายทุนพรรคกับนักการเมือง แต่ถ้าประชาร่วมมือกันกระตุ้นให้มีการตรวจสอบ ไม่ยอมรับการคอรัปชั่น เลิกนิสัยติดสินบนตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างเอาใบสั่งไปเสียค่าปรับ มันน่าจะเปลี่ยนแปลงประเทศได้บ้าง ในมุมมองของตัวเอง สิ่งที่ประเทศไทยเราขาดเแคลนคือความมีระเบียบวินัยและความซื่อสัตย์ และที่มีมากเกินคือวัตถุนิยม นับถือคนรวยมากกว่าคนดีแต่จน นิยมคนที่ให้ประโยชน์แก่ตัวเองโดยไม่สนว่าคนคนนั้นไปโกงใครมาหรือทำให้ใครเดือดร้อน จะแก้ยังไง นี่แหละปวดหัว คนดีไม่ใช่ไม่มี แต่ยังไม่มากพอที่จะมีพลังไปต่อกรกับกระแสส่วนใหญ่ได้ เหมือนเอาน้ำดีไปละลายในน้ำเน่า มันก็ไม่ทำให้น้ำใสหรือหายเน่าได้ จากคุณ : เมเปิ้ล <inRED> เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 55 14:52:02