ความคิดเห็นที่ 1 วันนี้ว่าจะเข้ามาชวนคุยเรื่อง FISH PHILOSOPHY ไม่รู้มีใครได้อ่านบ้าง จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:23:43 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หนังสือเริ่มเรื่องที่ Mary ได้ย้ายมาทำงานที่ Seattle กับสามีได้ไม่ถึง 2 ปี สามีก็ตายทิ้งลูกเล็ก ๆ ไว้ 2 คนให้เลี้ยง เธอได้งานในบริษัทประกันและมีความก้าวหน้าในการงานเป็นอย่างดี วันหนึ่งเธอก็ถูกย้ายให้ไปทำงานบนชั้น 3 เพื่อรับงานที่มีความรับผิดชอบสูงขึ้น เธอหนักใจเพราะชั้น 3 นั้นมีชื่อเสียงมานานว่า ไร้ประสิทธิภาพ ทำงานเชื่องช้า ไม่ตอบสนองลูกค้า ทำงานอืดอาดไร้ชีวิตชีวาเหมือนผีตายซาก ฯลฯ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:27:54 ]

ความคิดเห็นที่ 3 Mary พยายามหาหนทางแก้ไขลักษณะที่เป็นลบของทีมงานของเธอ แต่คิดไม่ออก จนวันหนึ่ง ระหว่างหยุดพักเที่ยง เธอเดินหาอาหารกลางวัน และก็หลงเดินเข้าไปในตลาดปลาที่มีชื่อว่า Pike Place Fish เธอรู้สึกตกใจเมื่อก้าวเข้าไปเห็นคนมากมาย ส่งเสียงกันเจี๊ยวจ้าว โดยเฉพาะลูกค้าและนักท่องเที่ยว หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และก็เห็นคนขายโยนปลาตัวโตข้ามหัวผู้คนไปไกลถึง 10-20 ฟุต ไปที่คนเก็บเงินที่จับปลาอย่างแม่นยำ และคนอื่น ๆ ก็ตะโกนพูดอะไรขำขันและหัวเราะกันสนุกสนานตลอดเวลา จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:28:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไกลออกไปคนงานกำลังหยิบปลาขึ้นมาขยับเหงือกหลอกล้อเด็กให้หัวเราะ คนขายอีกคนตะโกนไล่ถามผู้คนว่ามีใครสงสัยเรื่องปลาบ้างไหม อีกคนดูเหมือนกำลังคุยกับปลา อีกคนกำลังโยนปูขึ้นไปในอากาศ และเอากล่องรับ ฯลฯ ทุกอย่างดูวุ่นวายสนุกสนาน และที่สำคัญ ทุกคนที่ทำงานในตลาดนี้สนุกกับงานที่ดูแสนจะน่าเบื่อหน่าย หัวเราะต่อกระซิกเย้าแหย่กันตลอดเวลา และความรู้สึกสนุกนี้ก็ติดเชื้อลามไปถึงคนซื้อและคนที่เข้ามาเยี่ยมชมด้วย ไม่ว่าใครที่เข้ามาในตลาดดูจะรู้สึกสนุกสนานด้วยกันทั้งนั้น จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:29:37 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขณะที่เธองุนงงอยู่ก็มีหนุ่มคนหนึ่งที่ทำงานที่ตลาดเดินมาถามไถ่เธอว่า สงสัยอะไรเกี่ยวกับตลาดนี้บ้างไป และจากจุดนี้ก็เป็นจุดเดินเรื่องของคำอธิบายเกี่ยวกับตลาดโดยหนุ่มที่มีชื่อว่า Lonnie... Mary เริ่มสนิทสนมกับ Lonnie มากขึ้น เมื่อไปตลาดอีกหลายครั้งเพื่อปรับทุกข์เรื่องงานบนชั้น 3 และวิธีการทำงานของตลาดปลา Lonnie อธิบายว่า (ราวกับเป็นศาสตราจารย์ด้านการบริหารมากกว่าเป็นคนขายปลา) ในการทำงานนั้น มนุษย์ทุกคนมีทางเลือกเสมอ ถึงแม้ว่าจะไม่มีทางเลือกงานได้มากนักก็ตาม ซึ่งทางเลือกนั้นก็คือ การเลือกที่จะนำทัศนคติมายังที่ทำงาน จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:30:34 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้านำทัศนคติอย่างหนึ่งมาที่ทำงาน ก็จะได้ผลงานอย่างหนึ่ง ทุก ๆ วัน พวกเราที่ตลาดปลาแห่งนี้ตัดสินใจที่จะนำทัศนคติว่า งานเป็นสิ่งที่รื่นรมย์มาที่ทำงาน ถึงแม้เราจะเลือกงานไม่ได้ แต่เราก็เลือกทัศนคติในการทำงานได้ ซึ่งเราก็ได้เลือกที่จะสร้างสรรค์ที่ทำงานของเราให้เป็นที่ ๆ น่าอยู่ และเลือกที่จะทำงานอย่างสนุก และทัศนคติ (ATTITUDE) นี่แหละคือหัวใจสำคัญ ของการทำงานที่ตลาดเรา เมื่อ Mary ได้ไอเดียนี่มา เธอก็เริ่มดำเนินการกับหน่วยงานของเธอ ด้วยการบอกเล่าและโน้มน้าว และร่วมขอความเห็น เพื่อกระตุ้นให้เกิดความคิดที่จะเลือกสร้างทัศนคติในการทำงาน และชักชวนให้ลูกน้องไปเยี่ยมชมตลาดด้วย จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:31:21 ]

ความคิดเห็นที่ 7 Lonnie ได้เฉลยต่อมาว่า ปัจจัยตัวที่สองของความสำเร็จก็คือ PLAY หรือการเล่น ซึ่งมิได้หมายถึงการเล่นอย่างไร้ความหมาย หากแต่ว่าจริงจังกับงาน แต่ก็สามารถเล่นสนุกไปในเวลาเดียวกันได้ในการทำงาน เช่น โยนปลา พูดจาสนุกสนาน ชวนให้ลูกค้าลงมาช่วยบรรจุปลาลงถังด้วยจัดเกมส์ให้ลูกค้าร่วมเล่น เช่น แข่งกันโยนปลา ลดราคาเป็นรางวัล ฯลฯ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:31:56 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ส่วนปัจจัยที่สามก็คือ MAKE THEIR DAY (ให้เป็นวันแห่งการจดจำ) ทำให้ลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวจำวันที่มาตลาดแห่งนี้ได้ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ซึ่งการเล่นสนุก การให้ลูกค้าเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เช่น เข้าไปในห้องเย็นเอาสวิงตักปลาในถัง ทำความสะอาดปลา เอามือล้วงเข้าไปในท้องปลาตัวใหญ่ ฯลฯ การพยายามให้ลูกค้าเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยกับงานของตลาดอย่างสนุกสนานจะทำให้มีความรู้สึกที่ดี กับตลาดไปตลอด จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:32:29 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปัจจัยตัวสุดท้ายก็คือ BE PRESENT (“อยู่”กับลูกค้า) ซึ่งหมายถึง การให้ความสนใจอย่างจริงจังต่อสิ่งที่ตนเกี่ยวพันอยู่ เช่น ให้ความสนใจแก่ลูกค้าอย่างจริงจัง “อยู่” กับลูกค้าโดยไม่ละทิ้งหรือเหม่อลอย ร่วมกิจกรรมกับลูกค้า ทั้ง 4 ปัจจัยนี้ เมื่อรวมกันแล้ว ผู้เขียนเรียกว่า ปรัชญาปลา (FISH PHILOSOPHY) ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์กับองค์กร ห้องเรียน และครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพื่อนำพลังและศักยภาพของทุกคนที่ร่วมกันอยู่ในองค์กรออกมาเพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:33:08 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตัวอย่างเช่นในครอบครัว การมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการร่วมชีวิตด้วยกันของพ่อแม่ลูกโดยพึ่งพาอาศัยกัน รักใคร่กลมเกลียวกัน และยึดถือการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และสนุกสนานด้วยการเล่นระหว่างพ่อลูก สอนอบรมอย่างจริงจังแต่ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ พยายามทำให้ชีวิตในวัยเด็กเป็นความทรงจำที่มีคุณค่าแก่ลูก และ “อยู่” กับลูกตลอดตั้งแต่เด็กจนโต (ไปร่วมดูละครที่ลูกเล่น ดูกีฬาที่ลูกเล่น พูดคุยทำกิจกรรมร่วมกับลูก รับส่งลูกไปโรงเรียน ฯลฯ) การเลี้ยงดูลูกใน “ครอบครัวปลา” เช่นนี้จะทำให้ทุกคนในครอบครัวสนุกสนาน เรียนรู้สิ่งที่พ่อแม่สอนอย่างไม่ขมขื่น คิดถึงคำสอนในแง่บวก เป็นการปลดปล่อยศักยภาพของทุกคนในครอบครัว เพื่อสร้างสรรค์ครอบครัวให้เป็นหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่พลเมืองที่มีคุณภาพในอนาคต สำหรับ “ห้องเรียนปลา” ก็เช่นกัน ถ้าคุณครูและนักเรียนต่างก็เลือกที่จะนำทัศนคติที่ดีในการสอนและเรียนรู้มาโรงเรียนก็จะเป็นการ สร้างสรรค์บรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้ ถึงแม้ครูและนักเรียนต่างก็อาจจะไม่อยากมาโรงเรียน แต่เมื่อรู้ว่ายังไงเสียก็ต้องมาแล้วก็สามารถเลือกที่จะมีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งที่ตนต้องทำได้ การสร้างให้การสอนและการเรียนรู้เป็นสิ่งสนุกสนานสำหรับครูและนักเรียน ด้วยการแทรกการเล่นเข้าไปในบทเรียนที่เข้มข้นจริงจัง ก็จะทำให้นักเรียนเรียนด้วยความสนุก มีความรู้สึกด้านบวกกับการเรียนรู้ และถ้าครูทำให้การเรียนในโรงเรียนเป็นสิ่งที่อยากจดจำแล้ว เด็กก็จะรักการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต และยิ่งตัวครู “อยู่” กับศิษย์ ให้ความสนใจอย่างจริงจังแล้ว “โรงเรียนปลา” แห่งนี้ ก็จะเป็นสถานที่แห่งการสร้างสรรค์มากกว่าที่เป็นอยู่ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หนังสือจบลงด้วย Mary ได้รับรางวัลจากบริษัทในการสร้างให้ชั้น 3 เป็นหน่วยงานที่ทุกคนอยากทำงาน ซึ่งมีผลพลอยทำให้เป็นหน่วยงานที่มีประสิทธิภาพ และจบลงแบบน้ำเน่าเมื่อ Mary แต่งงานกับ Lonnie ในที่สุด FISH เป็นหนังสือแบบ “how to” สำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างสรรค์ให้สถานที่ทำงานหรือครอบครัว หรือโรงเรียนเป็นแหล่งที่ปลดปล่อยศักยภาพของทุกคน ด้วยการสร้างความสนุกสนานในสิ่งที่ทุกคนต้องทำ ทัศนคติ การเล่น การสร้างความทรงจำ และการ “อยู่” อย่างไม่ละทิ้ง หรือ ปรัชญาปลา เป็นสูตรสู่การมีองค์กรที่มีประสิทธิภาพ เป็นหัวใจของหนังสือภาษาอังกฤษเล่มบาง 107 หน้าเล่มนี้ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มีคนจำนวนน้อยในโลกที่ได้ทำงานที่ตนรัก และอยากทำงานกัน แต่มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถเลือกงานได้ แต่ก็มีบางคนที่สามารถสร้างความชอบในงานที่ตนต้องทำ (จนได้) หนังสือเล่มนี้ได้เปิดเผยความลับในเชิงบริหารจากการเรียนรู้ตลาดปลา เพื่อช่วยให้องค์กรทั้งหลายสามารถเพิ่มจำนวน “บางคน” เหล่านั้นให้สูงขึ้น ความสนุกซึ่งเป็นสมบัติของมนุษยชาติ สามารถเกิดขึ้นในขณะเดียวกับการทำงานที่จริงจังได้ และถ้าเราสามารถทำให้ความสนุกเช่นนี้เกิดขึ้นได้แล้ว เราก็สามารถช่วยทำให้ประโยคที่ว่า “ความสุขคือการชอบสิ่งที่ทำ มิใช่ทำสิ่งที่ชอบ” เป็นจริงขึ้นได้อีกอักโข จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:35:23 ]

ความคิดเห็นที่ 13 Dr. Kenneth Blanchard ผู้เขียนหนังสือยอดฮิต One Minute Manager ได้กล่าวเน้นไว้ในคำกล่าวนำหนังสือเล่มนี้ อย่างน่าฟังว่า “... เมื่อเราเลือกที่จะชอบสิ่งที่เราทำ ชีวิตของเราจะเปี่ยมไปด้วยความสุข ความอิ่มเอม และเข้าถึงความหมายของชีวิต ได้ทุกวันที่มาทำงาน ... คนเราใช้เวลากว่าร้อยละ 75 ของเวลาที่ตื่นในแต่ละวันไปในงานและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการทำงาน ดังนั้น เราจึงควรที่จะเลือกที่จะสนุกและกระตือรือร้น กับงานที่เราทำ แทนที่จะรอให้วันศุกร์มาถึง (หรือที่พูดกันว่า Thank God It’s Friday)... ... เราจะเลือกทำเฉพาะงานที่เราชอบไม่ได้เสมอไป ดังนั้นเราจึงควรเลือกที่จะชอบงานที่เราทำ...” จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:36:16 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ถ้าเพื่อนๆสนใจอยากทราบเรื่องราวเกี่ยวกับ Pike Place Fish market เพิ่มเติม ไปเยี่ยมชม website ของตลาดปลามีชื่อแห่งนี้ได้ที่ www.fishphilosophy.com จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:37:05 ]

ความคิดเห็นที่ 15 บทความที่น่าประทับใจบทนี้ ได้นำมาจากคอลัมน์ของ อ. วรากรณ์ สามโกเศศ สุทธิพิทักษ์ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในหนังสือพิมพ์มติชน ลง ณ วันที่ 2 สิงหาคม 2544 นะคะ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:38:01 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านเพลินไปเลยพี่ศรี เรื่อง IMF รู้แล้วค่ะ เห็นว่าคนเมืองไทยชื่นชมนายกกันใหญ่ จากคุณ : pim(พิม) - [ 1 ส.ค. 46 20:44:39 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พิม ว่าปัจจัยตัวไหนสำคัญที่สุดในเรื่องการทำงาน จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 แวะมาสวัสดีค่า แต่คุยไม่ได้วันนี้อยู่บ้านดูลูกๆค่ะ ไว้คุยกันนะคะพี่ศรี คิดถึงจัง จากคุณ : แม่ลูกแฝด - [ 1 ส.ค. 46 20:48:06 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ถามอ้อด้วย ใครเข้ามาถามให้หมดว่าปัจจัยอะไรสำคัญที่สุด ในการทำงาน ปล. มีกฎว่าถ้าลูกหลับให้แวบมาตอบนะ นะ นะ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:50:50 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ใครรู้บ้างยัยจิหายไปไหน จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 20:51:40 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แวะมาสวัสดีค่า แต่คุยไม่ได้วันนี้อยู่บ้านดูลูกๆค่ะ ไว้คุยกันนะคะพี่ศรี คิดถึงจัง จากคุณ : แม่ลูกแฝด - [ 1 ส.ค. 46 20:51:45 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แวะเข้ามาทักคุณศรีค่ะ สบายดีไหมค่ะ ได้ยินข่าวแว่วๆ เรื่องการใช้หนี้ IMF อยู่เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้อ่านเป็นเรื่องเป็นราวไว้มีเวลาจะหาข่าวอ่านดู คุณจิเหรอเธอป้วนเปี้ยน อยู่แถวนี้แหละค่ะคุณศรี เดี๋ยวก็มา อิอิอิ จากคุณ : มาซา - [ 1 ส.ค. 46 20:59:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 um.. I dont know that Thailand had paid all debt already !!!! Great!!!!! :-))) ps .. Do you know where can i read all the news ka ?? จากคุณ : Fontong - [ 1 ส.ค. 46 21:04:12 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ได้ยินพรายกระซิบ เลยมาตามเสียง พี่ศรีคิดถึงจ้า เมื่อวานรอตั้งนาน วันนี้มีเรื่องต้องออกไปนอกบ้านอีกแล้วค๊า เดี๋ยวกลับมาจะมาเติมตอบให้เรื่องไอเอ็มเอฟ กะ เรื่อง ปลาคะ จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:04:15 ]

ความคิดเห็นที่ 25 พี่ศรี สำหรับพิมนะ การทำงานคือความสุข ความสนุกค่ะ พิมคิดว่าถ้าเราสนุกกับการทำงานมันก็มีความสุข เอ๊ะชักวกวน ไม่รู้สิ ทุกงานที่พิมทำพิมสุขและสนุกทั้งนั้น อย่างที่บอกว่า "มีคนจำนวนน้อยในโลกที่ได้ทำงานที่ตนรัก และอยากทำงานกัน แต่มีคนจำนวนมากที่ไม่สามารถเลือกงานได้ แต่ก็มีบางคนที่สามารถสร้างความชอบในงานที่ตนต้องทำ (จนได้)" มันคือเรื่องจริง พิมเชื่ออย่างนั้นค่ะ แล้วทำไมเราจะไม่ทำใจให้สนุกกับงานที่เราทำอยู่ อย่างตอนนี้พิมอยู่บ้านไม่ได้ทำงานนอกบ้าน พิมก็คิดว่างานบ้านนี่แหล่ะคืองานของพิมตอนนี้ พิมก็จะสนุกกับการที่จะดูแลบ้าน แล้วมันก็เกิดความสุข อยากจะทำให้ดีๆไงค่ะ จากคุณ : pim(พิม) - [ 1 ส.ค. 46 21:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 26 คิดไม่เหมือนพิมแฮะ ส่วนตัวหากไม่ชอบงานไหนก็ไม่สมัครหรอก หากบังเอิญพลาดไปแล้วเหมือนตอนทำแบงค์ ก็จะปรับตัวปรับใจ ระยะใหญ่เลย เพราะจะคิดว่า งานคือเงิน ฮ่าๆๆๆๆๆ ดังนั้นไม่ว่าจะชอบไม่ชอบ แต่หากได้งานมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ และ ต้องทำให้ออกมาให้ดีที่สุด เลยไม่ทราบว่า จะตอบได้ไหมว่า ทำแล้วมีความสุข เพราะบางวันก็สนุกกับงาน บางวันก็เบื่อสุดๆๆๆๆๆ อันนี้ตอบจากหลายๆๆ งานรวมกัน จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เรื่อง IMF ลองเข้า link ของมติชนนะ เพิ่งจะคืนไปเมื่อวานนี้ข่าวใหญ่ เชื่อว่าหนังสือพิมพ์ online ทุฉบับมี เห็นด้วยกับพิม แต่ถ้าใจไม่รัก มันก็สร้างยากเหมือนกันนะ จิ อันนี้ถามเอาความรู้ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าสภาพคล่องล้นระบบ แก้ปัญหาโดยการออกพันธบัตร เป็นเรื่องควรทำ แต่ถ้าออกพันธบัตรมาแล้ว สภาพคล่องก็ยังมีอยู่ จะต้องทำอะไรต่อไป จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:12:10 ]

ความคิดเห็นที่ 28 พี่ศรีคะ เดี๋ยวตอนบ่ายๆๆ มาตอบได้ไหมคะ ต้องเตรียมตัวไปข้างนอกคะ รับรองจะมาตอบค่ะ จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:13:48 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อธิบายนิดก่อนว่า พันธบัตรใช้ทำอะไรได้บ้าง เช่น 1.ใช้เป็นหลักประกันในเรื่องต่าง ๆ เช่น หลักประกันสัญญาต่าง ๆ กับส่วนราชการ หลักประกันการใช้กระแสไฟฟ้า หลักประกันการเข้าทำงาน หลักประกันการเบิกเงินเกินบัญชี ฯลฯ 2.ใช้วางประกันตัวผู้ต้องหาที่ศาล หรือสถานีตำรวจ 3.ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องตามกฎหมายสำหรับธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงิน 4.ใช้เป็นหลักทรัพย์เพื่อการกู้ยืมเงินในตลาด Repurchase, Loan Window และ ILF สำหรับสถาบันการเงิน ส่วน ว่าจะทำไงต่อไปเดี๋ยวบ่ายๆๆมาค่ะตอนนี้ต้องไปแล้วจ้า จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:16:47 ]

ความคิดเห็นที่ 30 จิว่า อุดมการณ์ หายากไหม สมัยเนี้ยะ ทำไมวันนี้ใครก็ไม่ว่าง ฮือ ฮือ ฮือ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:17:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 โอโห หมดแล้วเหรอ ยังไม่รู้เลยค่ะพี่ศรี เก่งจริงๆเลย นายกคนนี้ ตัวเองคิดว่างานแต่ละงานมันมีสเน่ห์เฉพาะของมันอยู่อ่ะค่ะ อย่างงานที่คิดว่ามาทําแล้วจะมีความสุข มันก็มีส่วนน่าเบื่อของมันอยู่ บางทียังคิดเลยว่า จะอะไรนักหนา สุดท้ายมันก็เพื่อ"ทํามาหากิน"นั่นแล (อันนี้เอาไว้ปลอบใจตอนเผอิญได้งานที่ไม่ค่อยชอบ ฮึฮึ) จากคุณ : mojojojo - [ 1 ส.ค. 46 21:21:19 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อืมมม ไม่รู้สิ โชคดีที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบมาตลอด เป็นคนที่อยากทำงานบริการมาแต่ไหนแต่ไร แล้วก็ได้ทำอย่างนั้น เลยไม่เคยต้องทำใจให้รักกับงานที่ทำ ของอย่างนี้คงแล้วแต่คนด้วยมั่ง สรุปเลยไม่รู้ว่า พิมโชคดีที่ได้ทำงานที่รัก หรือเป็นคนทำใจให้รักงานที่ทำได้ง่ายเหมือนกัน แต่พิมคิดว่าไม่ว่างานอะไร ถ้าพิมทำพิมก็รักงานนั้นล่ะค่ะ เลยวนไปวนมา หาทางออกไม่ถูก จากคุณ : pim(พิม) - [ 1 ส.ค. 46 21:22:13 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ก็เมื่อวานเค้ามารอพี่ศรีกันนี่คะ พี่ศรีก็หายไป อุดมการณ์ หมายความว่าอะไรคะพี่ศรี จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:22:30 ]

ความคิดเห็นที่ 34 อุดมการณ์ น่าจะแปลว่าความแน่วแน่ ตั้งใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่แปรเปลี่ยน แม้ว่าจะมีสิ่งอื่นที่ยวนใจ ก็ไม่สามารถทำให้เปลี่ยนใจได้ น่าจะแปลเป็นยังงี้นะ ใช่ไหมพิม แพท ตอนนี้เราเปลี่ยนสถานะจากลูกหนี้เป็นเจ้าหนี้แล้วนะ เพราะเข้าใจว่า นายกจะเอาเงินไปซื้อพันธบัตร Asia Bond จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:26:28 ]

ความคิดเห็นที่ 35 พิม อธิบายให้แล้ว พี่ศรี หายากนะ อุดมการณ์เนี้ยะ เพราะว่ามันจะหมดไปเมื่ออยู่ในระบบเดิมๆๆ แต่มันจะดีอย่างนึงคือว่า มันจะมีคนรุ่นใหม่ๆๆ มารวมกลุ่ม ตั้งใจกันทำงานกันเอง หรือที่เค้าเรียกว่า กลุ่ม New wave จริงๆๆ ระบบที่ทำให้ อุดมการณ์ หายไปหมดได้ง่ายๆๆ น่าจะเรียกว่าระบบราชการนะคะ เพราะว่า ระบบทำให้ความตั้งใจอันดี ในการทำงานของเราหมดไป ระบบเอกชน ก็มี แต่ส่วนหนึ่งคือ เอกชนต้องการอะไรใหม่ๆๆ ความคิดใหม่ จิคิดว่านะคะ คนที่มีอุดมการณ์จริงๆๆ ก็ต้องทำของตัวเอง หรือไม่ก็ต้องปรับแนวคิดเสียใหม่ ปรับให้เข้ากับยุคสมัย และเหตุการณ์ พี่ว่าไหมคะ จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:27:07 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ถาม: ปัจจัยตัวไหนสำคัญที่สุดในเรื่องการทำงาน ตอบ: ว่าขึ้นอยู่กับว่าคนคนนั้นต้องการอะไรจากการทำงาน ตอบได้แต่สำหรับตัวเอง ก็ปัจจัยเหล่านี้ อันดับหนึ่ง personal fulfillment รองลงมา ซึ่งก็สำคัญไม่น้อย คือ เพื่อนร่วมงาน อันนี้ทำให้แต่ละวันที่ตื่นขึ้นมา รู้สึกว่ามี'ชีวิต'อยู่ข้างหน้าหรือไม่ได้ ปัจจัยอื่นที่สำคัญเหมือนๆกัน:culture ของแต่ละที่ทำงาน ซึ่งก็เกี่ยวโยงกับข้างบน อื่นๆ: หน้าที่ค.รับผิดชอบ โอกาสในการเรียนรู้ ซึ่งก็เกี่ยวโยงกับปัจจัยอันดับหนึ่ง ปัจจัยอื่นซึ่งก็สำคัญ (เชื่อว่าตามมาเมื่อเรามีไอ้พวกข้างบน) นั่นคือ ค.ก้าวหน้า และ รายได้ที่เพิ่มขึ้น ปล. ตอนแรกว่าจะถามว่า ปลามีปรัชญาด้วยเหร๊อะ มีคนที่ทำงาน พึ่งเดินเข้ามาบอกไม่นานนี้เองว่า ที่เมืองไทยเขาจะมีbig party เพราะpay off big debts หมด เขาบอกเขาอยากไปร่วมpartyมั่ง จากคุณ : Overseas - [ 1 ส.ค. 46 21:28:59 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อุดมการณ์จะหมดไป เมื่อเงิน เข้ามาเป็นตัวแปรค่ะ ........ จากคุณ : pim(พิม) - [ 1 ส.ค. 46 21:30:15 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พี่ว่าระบบการแข่งขันเสรี มันจะทำให้คำว่าอุดมการณ์หายไป เพราะถ้ามีอุดมการณ์ แต่ไม่มีทุน การทำธุรกิจ ทุกวันนี้อยู่ไม่ได้ เพราะการแข่งขันสูงเหลือเกิน จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ดีใจจังเจอ Overseas แล้ว ที่ตอบมาเป็นธรรมชาติของมนุษย์ จริง ๆ เลยนะ คือต้องการความยอมรับ ต้องการเป็นส่วนหนึ่ง ขอให้เป็น party ตลอดไป เชื่อนะ ถ้ารัฐบาล คุมวินัยทางการคลังไม่ดี สถานการณ์ภาวะต้มยำกุ้งอาจกลับมาอีกก็ได้ เพราะตอนนี้เงินทุนย้ายเร็ว น่ากลัว จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อพูดถึงอุดมการณ์ มันมีค.หมายแฝงของทฏษฏี ทีนี้ ทฏษฏี กับ ทางปฏิบัติ หลายๆครั้งมันไม่เหมือนกัน ทฏษฏี มักเป็นเส้นตรง ขาวดำ ทางปฏิบัติ มักเป็นเส้นโค้ง หยัก หรือเบี้ยว และเทาในโทนต่างๆ เพราะฉะนั้น เมื่อถามว่า อุดมการณ์หายากไหม บางทีขึ้นอยู่กับว่า ไปหาที่ไหน ถ้าหาตามโรงเรียน มหาลัย คนในวัยเด็กๆหน่อย มันมีเยอะแยะไปหมด ถ้าหาตามพวกธุรกิจ คนมีอายุพอสมควร อาจมีน้อยกว่า เพราะต้องมี compromise ระหว่าง ทฏษฏี กับ ค.เป็นจริง จากคุณ : Overseas - [ 1 ส.ค. 46 21:36:58 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ก่อนไปตอบอีกนิดเรื่องไอเอ็มเอฟ ((กลัวตัวเองลืม)) คิดว่ามันทำให้มีผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผู้ประกอบกิจการก็มีกำลังใจขึ้นมาหน่อย แต่อีกหน่อยคงต้องระวังเพราะถ้ามันเพลินไปแล้วอาจเกิด deficit ได้เพราะใช้เงินเกินตัวก็จะย้อนรอยเดิมคือฟองสบู่แตก คิดว่างั้นนะคะ ส่วนเรื่องพันธบัตร กลับจากไปธุระแล้วจะมาตอบค่ะ จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณซีส์ สวัสดีคะ แต่ต้องไปแล้วล่ะคะ มีธุระ พี่ศรี ไปแล้วนะคะ ไว้บ่ายๆๆ กลับมาจะมาเติมให้นะคะ อิ อิ จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 21:40:45 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คิดว่านะ ผู้ประกอบการณ์ต่างมีบทเรียนจาก crisis รอบแรก เพราะหนนั้นมันเกิดจากการทำอะไรเกินตัวนะ แบบว่ากู้หนี้ยืมสินเกินตัว เพื่อขยายธุรกิจ ก็เลยพลาด แต่ถ้านักธุรกิจเอา crisis รอบแรกเป็นบทเรียนก็คงดี อุดมการณ์ น่าจะแปรผกผันกับวัยนะ ว่าไหม จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 44 So I've heard that and according to a very reliable source 'Thai people will be richer' too. Perhaps only a small group of them but not all 65 million population. Goverment will be working only for the benefits of the country and her citizens. Laws will be LAWS. There will be no more hungers, no more illnesses, no more killings, no more senseless robberies, no more sex crimes, no more bad monks, no more pollution, no more bad policemen, no more golden Thai baths (massage), no more fightings among students, cheap fuel and cars, cheap computers, totally free internet access, cheap broadband internet access, and last but not least no more corruptions. And the best of all all workers will get a hugh pay increases. Unemployment will be almost 0 percent. I am not asking much, am I? I just couldn't wait till that day comes. จากคุณ : genf - [ 1 ส.ค. 46 21:53:45 ]

ความคิดเห็นที่ 45 สวัสดีพี่แอด ว่านะ ถ้าขจัดปัญหาคอรับชั่นได้ ทุกอย่างมันก็คงดีขึ้น เพราะคอรับชั่นถือเป็นต้นทุนที่ทุกคนต้องรับภาระ ถ้าไม่มีเรื่องนี้ ต้นทุนทุกอย่างจะต้องถูกกว่านี้แน่ จากคุณ : sri123 - [ 1 ส.ค. 46 21:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 46 K.Genf, You're not asking too much at all. All you've to do is booking a ticket. And when they ask where you'd like to book it to, just tell them. Utopia จากคุณ : Overseas - [ 1 ส.ค. 46 22:04:16 ]

ความคิดเห็นที่ 47 เป็นเรื่องที่น่ายินดีและแปลกใจมากที่ไทยใช้หนี้ IMF ได้หมดในเวลาไม่กี่ปี เอาเงินมาจากไหนเนี่ยตั้งเยอะแยะ ของหยิน ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการทำงานคือ เจ้านายและเพื่อนร่วมงานค่ะ ตัวเองได้มีโอกาสทำงานที่คิดว่าตัวเองรัก และรู้สึกสนุกกับมัน แต่ก็มีบางครั้งที่รู้สึกเบื่อเหมือนกัน สาเหตุของการเบื่อก็มาจากปัจจัยข้างบนค่ะ (ส่วนปัจจัยรองลงมาคือ เงินตราค่ะ อิๆๆๆ) ตัวเองเป็นคนไม่มีอุดมการณ์นะ ไม่เคยตั้งหรือมุ่งมั่นอะไรไว้ เป็นคนทำอะไรไปตามกระแสค่ะ เหมือนต้นอ้อลู่ลม :) แสดงว่าอุดมการณ์(ในคหของหยิน) แปรผันกับสิ่งแวดล้อมค่ะ จากคุณ : yinnerella - [ 1 ส.ค. 46 22:24:42 ]

ความคิดเห็นที่ 48 มีชาวบ้านแถวนี้ ว่า ธนาคารออมสิน ไม่มีตังส์เหลือเลย เพราะ การใช้หนี้ ไอเอ็มเอฟ ครั้งนี้ ตกลงมันเป็นอย่างไรคะ? สงสัยเหมือน หยิน ว่าเอาเงินมาจากไหน จากเงิน ที่ได้มาจากการทุบกระปุกของเด็กๆ รึเปล่านา? จากคุณ : *พิณ* - [ 1 ส.ค. 46 23:37:20 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อุดมการณ์--- มันน่าจะเป็นความมุ่งหวัง น่ะค่ะ แต่บางทีผู้ที่มีอุดมการณ์ชอบเอาอารมณ์มาใช้เป็นตัวแปรทำงาน บางทีก็ใช้อำนาจ ส่วนตัวคิดว่าไม่มีอุดมการณ์ค่ะ มีแต่ความพอใจ และความหวัง((เหมือนกันมั๊ย ไม่เหมือนน่ะอันนั้นมุ่งหวัง)) กับทำตามสังคมที่อยุ่ เรื่อยๆๆ แต่ไม่เรียงๆ ฮี่ๆๆ ความมุ่งหวังของตัวเองก็เหมือนความฝันที่อยู่ข้างใน แต่ไม่เคยมุ่งว่ามันจะต้องเป็นให้ได้ มีแต่ถ้าเป็นก็ได้ ไม่เป็นไปก็ได้ ทุกอย่างคิดว่ามันเป็นกำไรจากการใช้ชีวิต ตัวแปรของอุดมการณ์ ส่วนตัวคิดว่า มาจากอารมณ์ และความคิดค่ะ คนร้อยคน มุ่งอุดมการณ์เดียวกันแต่ก็ยังต้องมีเรื่องโต้เถียงกันได้ ((เหมือนพรรคการเมืองเลย)) อีกตัวน่าจะมาจากอำนาจมั้ง อำนาจก็เป็นตัวแปรอุดมการณ์ได้ แล้วระหว่าง อุดมการณ์ กับอุดมคติ..... ไม่เหมือนกันซ่ะทีเดียว แต่เป็นสิ่งดีทั้ง2 อย่าง การทำงาน... ส่วนตัวทำตามสิ่งพึงพอใจ อารมณ์ และความหวัง พอใจ ว่าทำแล้วน่าจะดี ดีหรือป่าวก็ไม่รู้แต่น่าจะไว้ก่อน อารมณ์ อารมณ์ว่าต้องทำน่าจะดี ให้เป็นดีให้ได้แน่นอน ความหวัง หวังว่ามันคงเป็นตัวเลือกที่ดีและสร้างความมั่นคงให้กับตัวเองได้ ตัวเอง เหมือนเป็ดค่ะ... ทำโน้นทำนี้ แต่รู้ตัวว่าทำอะไรก็ไม่ค่อยดีสักอย่าง แต่ยังคงหาสิ่งดีๆๆต่อไป เคยทำงานในสำนักหนังสือพิมพ์... เพราะคิดว่าน่าจะเหมาะกับตัวเอง ((ทำตามพอใจ) เคยทำงานด้านท่องเที่ยว..เพราะคิดว่าจะยึดมาเป็นอาชีพให้กับตัวเองได้ และตัวเองคงมีความสุข((ทำตามอารมณ์) เคยทำงานด้านท่องเที่ยว แต่อีกแผนกจากข้างบน อุตส่าห์ไปร่ำเรียนเพิ่ม... เพราะคิดว่ามันน่าจะดีกว่าอันเก่า และไปได้ไกลกว่า((ทำตามความหวัง)) นี่แหล่ะค่ะ ตัวแปร3 ตัวที่มันหมุนเวียนมาให้ใช้ตลอด เลยได้ลองทำโน่นนี่ตลอด เลยคิดว่าตัวเองเหมือนเป็ดเอามากๆๆ ทำอะไรก็ไม่ได้ดี มีอย่างเดียวคือความพยายามค่ะ ((พยายามจะทำให้ดี)) ว้ายตอบยาวววว มากเลย มั่วไปมั่วมา เหมือนคนเมายาทัมใจ ส่วนเรื่อง ไอเอ็มเอฟ ตัวเองคิดว่ามันดีมาก แต่มันยังเริ่มต้น ต้องดูเศรษฐกิจหลังจากนี้น่ะค่ะ เรื่องคอรับชั่น......ที่ไหนก็มี เหมือนปลาใหญ่กินปลาน้อย คนมีอำนาจใช้อำนาจเป็นเครื่องต่อรอง คนมีเงินก็ใช้เงินไปซื้อค่าต่อรองจากคนมีอำนาจค่ะ รัฐบาลไทย หวังว่ามันน่าจะดี และดีขึ้นเรื่อยๆๆ น่าจะให้ความหวังให้กับคนไทยได้มากขึ้น สร้างและควบคุมดูแลสังคมให้ดีขึ้น สุดท้ายไปล่ะค่ะ สวัสดีพี่ศรีน่ะค่ะ จากคุณ : อบาคัส - [ 1 ส.ค. 46 23:38:56 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้าสภาพคล่องล้นระบบแก้ปัญหาโดยการออกพันธบัตร เป็นเรื่องควรทำ แต่ถ้าออกพันธบัตรมาแล้ว สภาพคล่องก็ยังมีอยู่ จะต้องทำอะไรต่อไป ตอบเท่าที่คิดได้ตอนนี้นะคะ ((ใครมีความรู้ก็มาเสริมๆๆหน่อยนะคะ)) ต้องตอบว่า พันธบัตร คืออะไร ก่อน มันคือเอกสาร ที่ออกโดยกระทรวงการคลัง มีความเสี่ยงจากการผิดนัด การจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นต่ำ การลงทุนในพันธบัตรมีความเสี่ยงซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาพันธบัตร คือหากอัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ราคาพันธบัตรจะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น ราคาพันธบัตรก็จะปรับตัวลดลง ดังนั้น การลงทุนในพันธบัตร จึงมีโอกาสทั้งกำไรและขาดทุนจากราคาพันธบัตร และเป็นตัวควบคุมอัตราสภาพคล่องในระบบการเงิน โดยอัตโนมัติ ซึ่งไม่คิดว่าต้องทำอะไรนอกจากคอยเล็งขาย การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไม่มีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย แต่ยังมีความเสี่ยงที่สำคัญ คือ ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย ทีบอกตอนต้นๆๆคือ อัตรา ผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล จะมีอัตราผลตอบแทนที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน ตลอดอายุของพันธบัตร (Yield to Maturity) อยู่แล้ว **หากจำไม่ผิดนะคะ เพราะว่า ระบบพันธบัตรคิดว่าเมืองไทยน่าจะเหมือนที่อเมริกา** หากอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรลดลง ผู้ลงทุนก็จะมีกำไร แต่ถ้าอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรสูงขึ้น ผู้ลงทุนก็จะขาดทุน (ในกรณีต้องขายพันธบัตรรัฐบาลก่อนครบกำหนดไถ่ถอน) แต่ถ้าไม่ ขาย ผู้ลงทุนก็จะเสียโอกาสที่จะได้รับอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น ดังนั้นหากผู้ลงทุนคาดว่า อัตราผลตอบแทนใจตลาดพันธบัตรมีแนวโน้มที่จะลดลง ก็ควรลงทุนในพันธบัตรแต่ถ้าผู้ลงทุนคาดว่าอัตราผลตอบแทนในตลาดพันธบัตรมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นก็ควรจะฝากเงินทั้งนี้เพื่อป้องกันผลขาดทุนจากการลดลงของราคาพันธบัตร หรือสูญเสีย โอกาสที่จะได้รับอัตราผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้นการเลือกซื้อพันธบัตรขึ้นอยู่กับอายุและผลตอบแทนของพันธบัตร นักลงทุนสามารถเลือก ลงทุนพันธบัตรที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง เพราะพันธบัตรที่มีอายุยาวย่อมให้ ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรที่อายุสั้น ในขณะเดียวกันพันธบัตรที่อายุสั้นมีความเสี่ยงที่ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยในตลาดน้อยกว่าพันธบัตรที่มีอายุยาว พอจะเข้าใจไหมคะ จากคุณ : บอสตัน - [ 1 ส.ค. 46 23:51:15 ]

ความคิดเห็นที่ 51 . พยายามเข้าใจอยู่นะคะ กระทู้นี้ ยากจังค่ะ ฮือๆๆ พี่ซีส์คะ ขอเทพเจ้า wisdom ฮาวาย ที่พี่ไม่ต้องการ (จากกระทู้เปิดกระเป๋า) มายืม โขกหัวดูซักสองสามโป๊ก ได้มั๊ยคะ??? จากคุณ : *พิณ* - [ 1 ส.ค. 46 23:56:02 ]

ความคิดเห็นที่ 52 พี่เอื้อย ๆๆ อย่าโขกแรงนะ เดี๋ยวกลายเป็น Genius ไป ฮ่าๆๆๆๆ ได้ผลแล้วจิขอซักโป๊ก สองโป๊กด้วย ((จริงๆๆจะเขียนว่า อัด-ฉะ-ริ-ยะแต่เขียนไม่เป็นอ่ะคะ)) จากคุณ : บอสตัน - [ 2 ส.ค. 46 00:07:55 ]

ความคิดเห็นที่ 53 สวัสดีค่ะทุกคน สบายดีนะคะ จะขอให้ช่วยเก็บกระทู้นี้เข้าคลังให้หน่อยนะคะ อยากเก็บกระทู้ดีๆแบบนี้ไว้ค่อยๆอ่านหลายๆรอบ ตามประสาคนรู้น้อย ขอบคุณค่ะ ฝันดีค่ะ ทุกคน จากคุณ : นักวาด - [ 2 ส.ค. 46 02:04:22 A:203.113.39.10 X: ]

ความคิดเห็นที่ 54 สวัสดีค่ะคุณศรี หายไปนานเลย คิดถึงจัง... ..เรื่องไอเอ็มเอฟ ก็ดีใจกับคนไทยและประเทศไทยด้วยเป็นอย่างยิ่งที่เราไม่ต้องมีภาระอีกต่อไปแล้ว (นอกเสียจากจะกู้รอบใหม่) แต่ก็นะยังมีข้อสงสัยอยู่เหมือนกันว่า เงินตั้งเยอะแยะทำไมเราใช้หนี้หมดเร็ว อันนี้ขึ้นอยู่กับผู้บริหารประเทศด้วย ถ้าบริหารประเทศดีควบคุมดีๆเราก็หมดหนี้ได้ ...พูดถึงการทำงาน ปัจจัยอะไรมีผลมากต่อการทำงาน กุ้งว่าถ้าพูดถึงตัวงานนี่ก็ความถนัด ความรักและความชอบในงานนั้น มีผลมากกว่าสิ่งอื่นใดนะกุ้งว่า ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้รวมกันแล้วงานที่ได้ก็จะมีประสิทธิภาพและออกมาดี ยังผลให้ปัจจัยอื่นดีตามไปด้วย เช่น เงินรายได้ โบนัส ถ้าประสิทธิภาพในการทำงานไม่ดีผลงานออกมาก็ไม่ดี แล้วรายได้จะดีได้อย่างไร ...การมองของทั้งสองฝ่ายจะเห็นว่าเงินรายได้เป็นปัจจัยหลักสำหรับพนักงาน แต่ประสิทธิภาพและคุณภาพของงานเป็นปัจจัยหลักของเจ้าของบริษัทและผู้บริหาร....แต่พอได้เข้าไปร่วมกันทำงานแล้วก็จะมีตัวแปรอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอีกซึ่งอันนี้ก็ต้องมาปรับกันอีกทีเพื่อจะได้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ... จากคุณ : *KT* - [ 2 ส.ค. 46 02:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ตอบ*พิณ* ก็จะให้ยืมน่ะนะ เสียแต่ว่าไม่แน่ใจเอาGod of Wisdomไปเก็บไว้ที่ไหน อย่างงี้ได้ไหม ใช้มะเหงกที่มีอยู่เขกให้แทน ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันนา ไม่ลองไม่รู้... จากคุณ : Overseas - [ 2 ส.ค. 46 02:45:53 ]

ความคิดเห็นที่ 56 พอดีหนูยังอยู่เมืองไทยค่ะ การใช้หนี้IMF ครั้งนี้นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่าเป็นการสร้างภาพเพื่อแลกคะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะพรรคคู่แข่งของรัฐบาลเหลือเพียงประชาธิปัตย์ ซึ่งหลังจากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคก็ดูเหมือนจะด้อยลงไปมาก ถึงแม้หัวหน้าพรรคคนเดิมจะดูเชื่องช้าไปบ้างแต่ก็มีความน่าเชื่อถือพอสมควร และอีกสาเหตุหนึ่งที่รัฐบาลชุดนี้มีปัญญาใช้หนี็ก็เนื่องมาจากการวางนโยบาบของรัฐบาลชุดก่อน แต่รัฐบาลชุดนี้ได้หน้าค่ะ เงินคงคลังไม่เหลือแล้วค่ะพี่ ไอ้ 30 บาทเป็นทุกโรคใครไม่รู้ก็บอกว่าดี แต่บรรดาหมอๆ จะรู้ดีว่าเงินหมดแล้วจ้า เค้าเก่งเรื่องสร้างภาพค่ะในเมื่อคนส่วนใหญ่ขาดการศึกษานี่คะ ถึงจบปริญญาตรีแล้วก็เถอะ ยังไม่แน่ใจเลยว่ามีการศึกษาจริงรึเปล่า พูดแล้วกลุ้ม รับรองเลือกตั้งสมัยหน้าคุณพ่อน้องโอ๊ค พานทองแท้ ผ่านฉลุย ขนาดเพื่อนหนูนะพี่เคยเกลียดๆ ยังเปลี่ยนความคิดเลยหลังจากได้เงินกู้ออมสินมาให้เมืยน้อย โอ๊ย ทำไมเครียดจัง จากคุณ : Pebbles - [ 2 ส.ค. 46 02:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เข้ามานั่งฟังค่ะ จากคุณ : roungtawan - [ 2 ส.ค. 46 04:06:13 ]

ความคิดเห็นที่ 58 กร๊าก เจอมะเหงกคุณซีส์ ก็ไม่เอาแหล่ะ ยอมหัวกลมๆๆ แบบนี้ดีกว่า ฮ่าๆๆๆๆๆ หรือว่าไงพี่เอื้อย เจอ มะแหงกศักดิ์สิทธิ์แล้วคงดี ฮ่าๆๆ ชอบๆๆ มุขนี้ จากคุณ : บอสตัน - [ 2 ส.ค. 46 04:34:41 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อ่านทู้นี้ความรู้เยอะดีแท้...ฮี่ๆๆ ในส่วนที่รัฐบาลทำให้บ้านเมืองของเราดูดีขึ้นแม่หมาก็ดีใจ... มีเรื่องจะเล่าค่ะ... ้้้เมื่อประมาณแปดปีที่แล้ว แม่หมามาเรียนที่อังกฤษครั้งแรก มีอยู่วันนึงแม่หมาและกลุ่มเพื่อนมีเหตุบังเอิญได้ไปรู้จักกับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับสูง (และเป็นเจ้าของ) ของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งในอดีตและปัจจุบันถือว่าเป็นคู่แข่งคนสำคัญของกิจการ (เสี้ยวนึง) ของท่านผู้บริหารประเทศ การพบปะครั้งนั้นทำให้แม่หมาได้มุมมองอะไรใหม่ๆ เยอะ พร้อมๆ กับได้รู้อะไร..อะไรที่หลายคนฟังแล้วอาจจะว่าไม่น่าเชื่อ แม่หมาเองฟังแล้วยังไม่อยากจะเชื่อ แต่ใจก็มาคิดว่า "เค้าจะมาหลอกเราเพื่ออะไรล่ะ ก็ไอ้แค่เด็กกะโปโลกลุ่มหนึ่ง โกหกเราเค้าจะได้หน้าเหรอ โกหกเราแล้วจะทำให้เค้ามีชื่อเสียงขึ้นหรอ..ก็เปล่า" และแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เวลาก็ได้พิสูจน์คำพูดของท่านคนนั้นว่ามันเป็นอย่างที่ท่านว่าไว้จริงๆ เฮ้อ..ออ แม่หมาก็ได้แต่ภาวนาขอให้อำนาจคุณพระศรีฯ คุ้มครองประเทศไทยของเราให้อยู่รอดปลอดภัย ขอพระบารมีของในหลวงคุ้มครองคนไทยทั้งชาติด้วยเถอะค่ะ อยากเขียนอีก...แต่กลัวพี่เค้ามาอุ้ม จากคุณ : แม่หมา (iamjunenumberone) - [ 2 ส.ค. 46 04:40:36 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อิอิอิ มาขอมะเหงกศักดิ์สิทธิ์ด้วยคนค่ะ อิอิอิ......................อ่านแล้วได้ความรู้ดีจังค่ะ โดยเฉพาะเรื่องพยายามสนุกกับงาน มีความสุขกับงานที่มีอยู่ พยายามทำอยู่ค่ะ ยังไม่สำเร็จซักกะที จากคุณ : ...kiki... - [ 2 ส.ค. 46 04:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สำหรับตัวเองแล้ว ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการทำงานคือสิ่งตอบแทนที่สามารถเห็นได้ อธิบายยากแฺฺฮะ คือว่าตัวเองจะมีความสุขมากเมื่อเห็นผลงานของตัวเองออกมา ไม่ว่าจะถูกคนติหรือชม ไม่ใช่อยู่ที่เงินนะ เช่นเมื่อก่อนเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ จะมีการตีพิมพ์บทความออกมาทุกวัน ทุกสัปดาห์ ทุกเดือน marketing กับลูกค้าอ่าน บางคนก็ว่า บางคนก็ชม เป็นวิชาชีพที่ต้องเรียนรู้เพิ่มตลอดเวลาเป็นความสุขอย่างหนึ่ง ทำดีก็มีคนเรียกตัวไปทำงานบริษัทอื่น(และได้โก่งเงินเดือน ฮิๆ) ...อาชีพนี้ไม่ค่อยจะต้องมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานเพราะว่าเป็นงานค่อนข้างอิสระ ไม่ต้องสื่อสารแบบพนักงานขายคือพูดทั้งวันและต้องดูดี.. สรุปว่า 3 อย่างคือ **การเสาะหาความรู้ใหม่ๆ ตลอดเวลา **การที่เห็นผลลัพธิ์ที่ตามมา **recognition ----- อุดมการณ์... เคยมี แต่หายไปหมดตอนไปทำงานกับหน่วยงานที่มีพนักงานแบบเช้าชามเย็นชาม จบห้วนๆ จากคุณ : 94025 - [ 2 ส.ค. 46 05:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 62 แวะมาสวัสดีคุณศรีด้วยจ้ะ คุยกันตอนเราทำงานนี่เราเลยอดแจมเลย แต่อยากตอบคำถามเรื่องปัจจัยตัวไหนสำคัญที่สุดในเรื่องการทำงานอ่ะ เพราะหมูแดงเป็นพวกบ้างาน บ้าทำงานสุดๆ ชอบไปทำงานมากกว่าอยู่บ้านอ่ะค่ะ หมูแดงว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดในเรื่องของการทำงานนี่มันจะแปรเปลี่ยนไปตามตัวผู้ทำงานนะ ขึ้นอยู่ว่าคนทำงานมุ่งหวังอะไรจากนั้นนั้นน่ะ บางคนหวังตำแหน่งก่อนเงิน บางคนหวังเงินดีๆ บางคนบอกขอให้ลักษณะงานชอบก็พอแล้ว พอมีจุดมุ่งหมายของการทำงาน ทีนี้เราก็จะเรียนรู้หาปัจจัยมาสนับสนุนความสำเร็จในการทำงานนั้นๆอ่ะ อย่างหมูแดงทำงานที่รักมากๆมาสิบกว่าปี ทั้งๆที่เงินเดือนนิดเดียวแต่ก็ทำอยู่ได้ไม่เคยบ่นเลย ทำงานหนักตั้งแต่ ๗ โมงเช้ายันเที่ยงคืนอยู่สิบปี ไม่เคยรู้สึกท้อแท้ สนุกมาก ปัจจัยสำคัญคือความรับผิดชอบและความสนุกของงาน ที่ว่ารับผิดชอบคือมองว่างานเลขาฯมันเหมือนกับการเป็นเมียสมัยโบราณแบบที่เขาบอกว่า "ตื่นก่อน นอนทีหลัง" อ่ะ เป็นเลขาฯต้องมาถึงที่ทำงานก่อนเจ้านาย เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนนายมา พอนายกลับบ้านเลขาฯก็ต้องจัดการเคลียร์ทุกอย่าง เตรียมสภาพให้พร้อมในการเริ่มต้นงานวันใหม่ กลเม็ดเด็ดพรายอะไรในตัวที่มีงัดออกมาใช้ให้หมดเพราะมันจะมีเหตุการณ์ระทึกขวัญมาให้แก้ปัญหาแบบท้าทายอยู่ทุกนาที สนุก ปัจจัยสำคัญกรณีนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือความพร้อมของตัว พร้อมทั้งกายที่จะสู้กับงานหนัก พร้อมทั้งใจที่จะทำงานด้วยความสุข สนุก เหมือนเล่นของเล่น ทุกวันนี้ทำงานที่ตัวเองไม่ชอบเลย แต่เหตุผลทางเศรษฐกิจก็จำต้องทำไป แต่ก็ไม่เคยไม่อยากไปทำงานนะ เพราะชอบไง ไม่ได้ชอบงานนะ แต่ชอบทำงาน (งงมั๊ย.. มันไม่เหมือนกันนะ) งานไม่ชอบ แต่มีความสุขกับการทำงาน มีความสุขกับการไม่อยู่ว่าง แล้วก็มีความสุขกับการหาอะไรใหม่ๆมาทำ เรื่องเล็กๆน้อยๆก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้ทำแค่นั้นเอง ปัจจัยสำคัญก็คือความสุข ความสนุก และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆไง เรื่อง IMF นั่นอ่านข่าวเจอเหมือนกัน ก็ยังคิดว่าเออ.. ดีนะ หมดหนี้หมดสินกับเขาซะที ก็สงสัยว่าเอาเงินมาจากไหน แต่ด้วยความที่ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลยพูดอะไรมากไม่ได้ ก็ได้แต่ฟัง เขาว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ไทยเริ่มได้ดุลย์การค้าหลังจากที่ขาดดุลย์มานับสิบๆปี ทุนสำรองมากขึ้น เอ.. นี่จะเป็นผลพวงจากหลวงตามหาบัวท่านทอดผ้าป่าเงินดอลล่าร์หรือเปล่านะ จากคุณ : หมูแดงจ้ะ - [ 2 ส.ค. 46 05:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 63 พี่หมูแดงจ๋า อ่านแล้วจะต่อว่าก็ไม่ว่ากระไร ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับการทอดผ้าป่าเงินดอลล่าร์(จากคนไทยในประเทศไทย) เพราะว่าเท่ากับว่าคนไทยที่อยู่ในไทยต้องไปซื้อเงินดอลล่าร์มาทำบุญ ..รวมไปถึง "ทอง" ด้วย เพราะเป็นสิ่งที่ต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ...ทำนองเดียวกับคนไทยซื้อกระเป๋าหลุยส์หรือเสื้อผ้าจาก Versaceอย่างไรอย่างนั้นค่ะ จากคุณ : 94025 - [ 2 ส.ค. 46 06:08:23 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ไม่ต่อว่าจ้ะ.. เพราะจริงๆไม่รู้หรอกว่าไอ้เงินดอลล่าร์นั่นน่ะมันมาจากไหนกันมั่ง ก็เห็นท่านธุดงค์รับผ้าป่ากันครึกโครม แล้วไอ้เงินสำรองนี่มันต้องสำรองเป็นดอลล่าร์ด้วยเหรอ สกุลอื่นได้มั๊ย เคยได้ยินว่าสำรองเป็นทองคำ จริงๆแล้วมันยังไง อยากรู้เหมือนกันนะ สงสัยต้องกวนคุณศรีมาต่อ หมูแดงน่ะเรื่องแบบนี้ไม่รู้เรื่องหรอกจ้ะ แต่มันก็น่าสนใจเอามาคุยกันนะ ว่ามั๊ย จากคุณ : หมูแดงจ้ะ - [ 2 ส.ค. 46 06:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เคยได้ยินเขาทะเลาะกันเมื่อหลายปีก่อนเรื่องฝ่ายที่ต่อว่าลูกศิษย์หลวงตา เขาให้เหตุผลแบบนี้ ฝ่ายลูกศิษย์ก็โกรธเพราะว่าเขามีเจตนาดี ... ก็แล้วแต่นะ เงินทุนสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทยประกอบไปด้วย 4 หน่วยได้แก่ (ข้อมูลล่าสุด 25 กค 46) ทองคำ มูลค่าประมาณ 2% (ของมูลค่าทั้งหมดคือ 1,668,019 ล้านบาท) SDRs  น้อยมาก ประมาณ 50 ล้านบาท เงินสำรองเผื่อ IMF 0% เิงินสกุลต่างประเทศ 98% ถ้าจำไม่ผิดเขาไม่บอกสูตรว่าประกอบไปด้วยสกุลเงินอะไรประมาณเท่าไร ***** SDR (Special Drawing Rights) as an international reserve asset, is created to supplement members' existing reserve assets (official holdings of gold, foreign exchange, and reserve positions in the IMF). The SDR is valued on the basis of a basket of key international currencies and serves as the unit of account of the IMF and a number of other international organizations. แก้ไขเมื่อ 02 ส.ค. 46 06:40:42 จากคุณ : 94025 - [ 2 ส.ค. 46 06:38:36 ]

ความคิดเห็นที่ 66 กลัวคนไทยจะได้ใจแห่กันไปใช้ของนอกอีกจัง เดี๋ยว ศก.ก็ล้มอีก ใช้หนี้ IMF หมดใช่ว่าหนี้ต่างชาติจะหมดไปด้วย จากคุณ : padme' amidala - [ 2 ส.ค. 46 17:03:45 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณค่ะคุณ 94025 อันที่จริงอยากฟังต่อเหมือนกันว่าประเทศไทยหลังหมดยุคไอเอ็มเอฟเนี่ยจะเป็นยังไง จากคุณ : หมูแดงจ้ะ - [ 2 ส.ค. 46 23:15:32 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ...กลัวนะกลัวว่า พอใช้หนี้ IMF หมดไปได้ซักระยะนึงแล้ว รัฐบาลก็จะมีโครงการโน่นโครงการนี่หรืออะไรแล้วแต่ที่ต้องใช้เงินของประเทศ (จะผลประโยชน์ต่อประเทศหรือคนบางส่วนนั่นก็อีกเรื่อง) พอเงินหมดเศรษฐกิจเริ่มแย่อีกก็ต้องไปกู้ใหม่ ทีนี้พอกู้อีกรอบก็น่าจะง่ายกว่า เพราะเราใช้หนี้หมดก่อนกำหนดแล้วนี่กู้อีกทีจะไปยากอะไร ถ้าโครงการนั้นๆมีประโยชน์มหาศาลต่อประเทศก็ดีไป เราก็มาร่วมกันเป็นหนี้อีกซักรอบ ฮ่าๆๆ....แต่ควรจะท่องจำพระราชดำรัสของในหลวงของพวกเราไว้ว่า "พออยู่ พอกิน" ไง จากคุณ : *KT* - [ 3 ส.ค. 46 00:03:42 ]

ความคิดเห็นที่ 69 หนี้ IMF หมด ไม่ได้แปลว่าเราหมดหนี้นะ ยังมีหนี้ระยะสั้น ระยะยาว จากทั้งภาครัฐบาลและเอกชน (จากธนาคารและไม่ใช่ธนาคาร) อีกยุบยับ ประมาณคร่าวๆ ว่าเราทุกคนที่เป็นคนไทยมีหนี้ประมาณ 324.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ย้ำว่าต่อคนนะและจากภาครัฐเท่านั้น ..... อ่านหนังสือพิมพ์ดูเขาก็เฮฮากันดี ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าเศรษฐกิจจะโต 5-5.5 % ปี 2003 นายกฯ ว่าปีหน้าจะหวังถึง 8 % ของจีดีพี ไม่รู้ว่าหวังมากไปหรือเปล่าแกเล่นปล่อยให้สถาบันการเงินของรัฐปล่อยกู้เรื่อยเปื่อย (หวังปั๊มเงินเข้าระบบเศรษฐกิจเพื่อให้คนจับจ่ายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ) กลัวว่าจะซ้ำรอยเดิมปี '97 ก็ไม่รู้ ก็ต้องดูกันต่อไป จากคุณ : 94025 - [ 3 ส.ค. 46 06:02:07 ]

ความคิดเห็นที่ 70 หา........... เป็นหนี้คนละ ๓๒๔.๘ ล้านเหรียญเหรอ.. โหย.. ยังงี้เมื่อไหร่จะใช้หมดกันละเนี่ย ตายแล้วเกิดใหม่ก็ยังไม่หมดหรอกมั๊ง จากคุณ : หมูแดงจ้ะ - [ 3 ส.ค. 46 17:17:19 ]