ความคิดเห็นที่ 1 ไม่เห็นต้องคิด ไม่เห็นต้องตอบ .... อิอิอิ แทนที่จะสนใจว่าทำอย่างไรชีวิตของตัวเองจะดีขึ้น บางทีคนไทย ก็ไปยุ่งเรื่องของชาวบ้านเขามากเกินไปนะครับ ผมว่า ... เคยมีคนบอกว่า คนญี่ปุ่นโลกทัศน์แคบ แม้แต่ข่าวโทรทัศน์ก็มีแต่ข่าว ของประเทศตัวเอง ข่าวประเทศเพื่อนบ้านไม่ค่อยจะมี ถ้าเป็นข่าว อะไรที่เกี่ยวกับตัวเอง ก็จะฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนไปวนมา ไม่เบื่อซะที ผิดกับไทยมีข่าวต่างประเทศให้ดูเยอะแยะ และไม่ค่อยมีข่าวหรือ ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของตนเองมาเผยแพร่ ... ข่าวชาวบ้านจะ ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ผมได้ยินเพื่อนที่อเมริกาก็พูดแบบเดียวกัน ที่อเมริกาก็มีข่าวของเขา เป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยมีข่าวต่างประเทศ ... บางทีผมก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาเหมือนกันครับ ... คนไทยชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านมากกว่าเรื่องของตัวเอง แม้แต่ข่าวโทรทัศน์ ยังบ้าจี้เอาข่าวต่างประเทศมาให้ดูเลย อิอิอิ จากคุณ : นายชนะศูนย์หนึ่ง - [ 31 ต.ค. 46 01:51:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เหอเหอเหอ จริงๆ ไม่ได้อยากยุ่งหรอก ที่เอามาถามเพราะรู้แน่ๆ ว่า กลับไปเมืองไทย จะต้องมีคนถามแน่ๆ ถ้าขืนตอบแบบที่นายชนะตอบ รับรองว่าต้องโดนด่าแน่ๆ เพราะคนที่ถาม บางคนต้องการ รู้ เพราะสนใจจะส่งลูกหลานไปเรียน แล้วเกิดห่วงขึ้นมา ฉะนั้นเขาจึงต้องถามคนที่เคยอยู่ญี่ปุ่น จึงเอามาถามคนอื่นๆ ในห้องนี้น่ะสิ เข้าใจ๋ นายชนะ จากคุณ : Canossa - [ 31 ต.ค. 46 03:39:05 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คูณเข้าใจคำตอบผมผิด ... จากคุณ : นายชนะศูนย์หนึ่ง - [ 31 ต.ค. 46 05:06:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มาขอแสดงความคิดเห็นด้วยคนค่ะ ตามที่เราเห็นมาจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวันนะคะ ที่ญี่ปุ่นก็มีเรื่องดีๆมากมาย ทั้งการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน การโค้งคำนับแล้วคำนับอีกเพื่อแสดงความขอบคุณ ความขยันขันแข็ง เอาจริงเอาจังต่อการงาน ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีน้ำใจ และรักพวกพ้อง  ฯลฯ สื่อ...ที่เรารู้ ที่เราอ่าน ที่เราดู จากวิทยุ หรือโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารต่างๆ ถือเป็นสื่อเพียงด้านเดียว หากวันไหน อากาศดีๆ ไม่ได้เข้าห้องแล็ป ดิฉันคิดว่า คุณลองออกมาเดินเล่น สำรวจสภาพแวดล้อมทั่วๆไปดูด้วยตาคุณเอกจะดีกว่านะคะ การรับรู้สื่อต่างๆด้วยตาตนเอง บางครั้งก็จำทำให้เราได้รู้ได้เห็นอะไรอีกหลายๆสิ่งหลายๆอย่างในแง่มุมการของเราที่แตกต่างจากที่คนเขาเล่าให้ฟัง แตกต่างจากสิ่งที่เราดู เหมือนขนมเค้กชิ้นหนึ่ง หน้าตาสวยงาม คนที่ต้องการโฆษณาสินค้าก็จะออกมาเรียกร้องเชิญชวนให้ซื้อไปรับประทาน แต่บางคนที่ไม่ชอบเค้กชิ้นนี้ อาจจะเพราะความที่หวานเกินไป หรืออาจจะไม่ชอบคนที่ทำขนมเค้กชิ้นนี้ก็ตามแต่  เขาก็จะบอกใครต่อใครว่ามันไม่อร่อยหรอก อย่าซื้อมาทานเลย อย่างนี้เป็นต้นค่ะ... สิ่งดีกับสิ่งที่เราคิดว่ามันไม่ดี มีดาษดื่นทั่วไป ไม่ว่าอยู่ที่ไหน เราจะเจอทั้งสองสิ่งนี้ควบคู่กันไปทุกๆที่เสมอ ขอเพียงแต่ตัวเราเองจะยอมรับสิ่งไหนเข้ามาอยู่ความคิดและตัดสินใจอย่างไรนั้น เราต้องเลือกด้วยตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเองค่ะ แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 46 07:06:47 แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 46 06:29:26 แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 46 06:28:57 จากคุณ : jisi - [ 31 ต.ค. 46 06:27:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 มองไม่เห็นว่าคุณ ชนะ บอกผิดตรงไหน มันเป็นเรื่องจริงที่มีอยุ่ในสังคมญี่ปุ่นปัจจุบัน จริง จริง คิดว่าคุณ น่าจะใช้ประสบการณ์ส่วนตัว เป็นการให้คำตอบแก่คนอื่นดีกว่านะ ถ้าคนรับฟังเขามีความคิดแยกแยะได้ เขาคงไม่ด่าคุณหรอกค่ะ จะให้ไปบอกใครเหรอว่าอยุ่สบาย มีความสุข บ้านช่องใหญ่โต ใส่กิโมโนทุกวัน แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 46 07:22:16 จากคุณ : Naomichan - [ 31 ต.ค. 46 07:21:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คุณนาโอมิจังคะ ใจเย็นๆนะคะ การฟังคนเขาเล่า ก็ไม่เท่ากับการที่เราได้เห็น ได้รู้ด้วยตาตนเองนะคะ อย่าใจร้อนน่า คนไทยด้วยกัน ค่อยๆพูดจากันดีๆนะคะ ใจเย็นๆ เอ้า ดื่มนน้ำส้มก่อนนะ ค่อยๆมาคุยกันดีกว่านะคะ ต่างคนก็ต่างมีเหตุและผลของแต่ละคน ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูกเสมอไป หากเรายอมรับฟังเขา และเขายอมรับฟังเรา นำผลสรุปที่ได้มาแชร์กัน ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะไปได้สวย หงุดหงิดง่ายไม่ดีนะ เพื่อนเราคนหนึ่ง เคยเส้นเลือดในสมองแตกมาแล้ว..ใจเย็นๆนะคะ อย่าคิดมากน่า แค่หยอกกันเย้ากันเล่น อย่าจริงจังมากไปนะคะ จากคุณ : jisi - [ 31 ต.ค. 46 07:37:47 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นคนร่าเริงค่ะคุณ jisi ก็แค่เห็นเขาเข้าใจผิด เพื่อนชอบฟังดิฉันพุดทำนอง เนี่ย เพื่อนก็จะขำค่ะไม่โกรธทำนองและท่วงท่ามันจะตลก ไม่ใช่คนซีเรียส อย่างที่คิดหรอกค่ะ จากคุณ : Naomichan - [ 31 ต.ค. 46 07:54:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ้าว.. นี่เราทำให้คนตีกันแต่เช้าหรือไร เฮ้อ เวรแล้วไหมล่ะ ไม่น่าตั้งกระทู้เล้ย จริงๆ เราไม่ได้โกรธคุณชนะซักหน่อย เพียงแต่ว่าข้อความของคุณชนะทำให้เราคิดว่า เราไม่ควรเก็บเรื่องนี้มาเป็นสาระ (หรือเราเข้าใจผิดหว่า) เฮ้อ... จากคุณ : canossa (Canossa) - [ 31 ต.ค. 46 07:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไปๆมาๆเลยไม่ได้ไปอ่านห้องนั้นเลย อ่านห้องนี้ดีกว่า จากคุณ : โก้/JPN - [ 31 ต.ค. 46 08:54:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ้าวเข้าใจผิดแล้วค่ะคุณ Canossa เค้าไม่ได้ตีกันสักกะหน่อยนึง วันนี้สิ้นเดือนหัวใจมันกระจัดกระจายกันไป ความคิดแต่ละคนคิดกันคนละมุม คนละเรื่อง กับคุณ jisi เขาเรียกว่า " นางฟ้่ามาโปรด " ถ้าคุณ Canossa เข้ามาเร็วคิดแบบคุณ jisi นะ เราสองคนอาจเป็นพริกกับเกลือ ส่วนนางฟ้าก็กลายเป็นผลไม้( ดองก็ดี ) เราจะได้กินเธอไงล่ะ แหะ.....แหะ......กินเสียให้อร่อย แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 46 09:34:58 จากคุณ : Naomichan - [ 31 ต.ค. 46 09:33:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาทักทายคุณCanossaค่ะ.... แมวมันหายกระจัดกระจายหมดแล้วค่ะ เหอ เหอ เหอ นานน้าน...จะกลับมาที ลูก ๆ ตัวใหญ่ขึ้นมากเลย แต่ตัวที่ ยังเป็นหวัดก็ยังเป็นหวัด หน้าตาดูงอมเหี่ยวไปเลยค่ะ ไม่น่า เชื่อว่ามันจะเป็นหวัดได้นาน 2-3 เดือนแล้ว (หวัดเรื้อรังหรือ เปล่า) แต่ตัวที่ฟัดจ์ชอบมากที่สุด...มันหายสาบสูญไปพร้อมกับ เชื้อหวัดที่ทำให้มันตาบอดค่ะ เดาว่าคงจะตายแล้ว เพราะ ทุกครั้งที่แม่แมวกลับมา มักจะมีลูก ๆ ตามมาแค่ 3 ตัว.... เจ้าพริกไทยคงซี้แหงแก๋ไปแล้ว จากคุณ : fudge-a-mania - [ 31 ต.ค. 46 09:47:28 ]

ความคิดเห็นที่ 12 แล้ว งง ไหมล่ะ จากคุณ : Naomichan (Naomichan) - [ 31 ต.ค. 46 09:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นี่คือ ความคิดเห็นของดิฉันนะค่ะ เข้าไปอ่านกระทู้นั้นมา รู้สึกว่าคนที่โพสต์เค้าไม่ได้เข้าใจ ว่าทั้งหมดนะค่ะว่าเป็นยังไง เคยได้มีโอกาสดูโปรแกรมช่วงหนึ่งของที่นี่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่สาวๆไปถ่ายวีดีโออย่างนั้น ส่วนมากที่ทำเพราะเงินค่ะ และแต่ละคนที่มาทำเนี่ย สมัครใจส่วนมาก โดนหลอกก็มี ฝ่ายสมัครใจนี่ อาชีพประจำเค้า คือ Hostess โดยส่วนมาก เรียกว่าทำงานกลางคืนละกัน เพราะฉะนั้นเค้าจะไม่แคร์หรอกค่ะ เรื่องนั้น บางคนก็คิดว่าตื่นเต้นดี อยากใส่ชุดแปลกๆ น่ารักๆดูเซ๊กซี่ ฝ่ายบ้านเรามองว่าสาวๆที่มาส่วนมากน่ารักทั้งนั้น แต่บางทีคนญี่ปุ่นมองว่าหน้าตาธรรมดา นานาจิตตังค่ะเรื่องมองว่าสวยไม่สวย ถึงจะไปเห็นจากวีดีโอ ก็ไม่ได้หมายความว่า ญี่ปุ่นคนทั้งประเทศเป็นอย่างนั้น บางคนก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หรือเรื่องอย่างนั้นฟรี ที่อาจจะมองว่าประเทศเค้าดูฟรีเซ็กซ์ จริงๆไม่ได้ต่างกับบ้านเราหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าเปิดเผย หรือไปทำแบบหลบซ่อนเท่านั้นเอง คิดว่าสังคมไทยกับญี่ปุ่นต่างกันจุดนี้ ญี่ปุ่นเค้าก็รับอะไรมาจากตะวันตกพอสมควร พอแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาเข้ามาควบคุม อะไรๆมันก็ซึมซับเข้ามา แต่ญี่ปุ่นก็ยังพยายามรักษาความเป็นชาตินิยมไว้ เรื่องดาราที่ไปถ่ายอย่างนั้น เห็นจะมีคนเดียวที่ถ่ายวีดีโอ อย่างว่ามาก่อน ถ้าเคยดูทีวีที่นี่ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งผมยาวๆ อายุประมาณ 30 กว่า ที่เคยถ่ายวีดีโออย่างนั้นมาก่อนและดังมาก เป็นที่ฮือฮา หลังจากนั้นก็เข้ามาโผล่ทางทีวีเป็นแขกรับเชิญบ้าง (จำชื่อไม่ได้ แต่เห็นบ่อยใน The Judge) ส่วนดาราอื่นๆ อย่างมากตอนเริ่มแรกที่เข้าวงการ ส่วนมากถ้าเป็นพวกไอดอล ผ่านการถ่ายชุดว่ายน้ำหรือ ดูเซ๊กซี่มาทั้งนั้น อย่าง Fukada Kyoko,Yuka หรือ Hirosue ฯลฯ ไม่น่าจะต่างจากดาราไทย หรือนางแบบที่ถ่ายชุดว่ายน้ำ หรือรูปเซ็กซี่ ใช่ไหมค่ะ คิดว่าเวลามีคนถาม อธิบายแบบตามที่คุณ Canossa มองและคิดในฐานะที่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย คนที่ถามน่าจะเข้าใจขึ้นค่ะ ไม่ว่าประเทศไหน คิดว่าอยู่ที่พ่อแม่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดนะค่ะ ที่จะดูแลลูกไม่ให้ไปเสีย เกเร ส่วนที่คุณชนะพูดมาเห็นด้วยค่ะ บางทีอย่าไปสนใจอะไรมากเกินไปเลย อย่างอนกันเลยค่ะ จากคุณ : ปลารุ้ง - [ 31 ต.ค. 46 10:52:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปกติไม่มีอคติกับญี่ปุ่นนะคะ แล้วก็ชอบถามคนไทยที่เคยเจอหลายๆคนที่เคยอยู่ในญี่ปุ่นเหมือนกันค่ะว่าสังคมเป็นงัย 90% ตอบว่าบ้านเราสบายกว่าเยอะ เค้าจะสนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าอ่ะ แต่เมื่อวานดูข่าวรู้สึกแอนตี้เรื่องนึงมากค่ะ เรื่องล่าปลาโลมา เห็นภาพแล้วตกใจมาก (ปกติเป็นคนชอบปลาโลมาด้วย) ตายเยอะขนาดที่นำทะเลบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงเลือดเลยค่ะ น่าจะหยุดกันซะที ใจร้ายมาก... จากคุณ : Tony Hisashi - [ 31 ต.ค. 46 11:00:50 A:203.113.41.4 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถ้าสนใจได้ก็ดีครับเราไม่ใช่ประเทศใหญ่ ไม่ใช่จุดศูนย์กลางของโลกหรือของทวีปเพราะชะนั้นสนใจจะได้ตามจับทิศทางเค้าได้ถูก คำตอบบางทีมันก็แทงใจดำ เค้าถามมาไม่ตอบแล้วยังไปบอกว่าไม่ต้องคิดไม่เห็นต้องตอบ คือบางทีภาษาอ่านอ่านแล้วมันก็แปลได้หลายอารม แถมคำตอบที่ได้กลายเป็นพูดถึงคนไทยสนใจคนอื่นมากไป ผมว่าตรงนี้ที่ทำให้เค้าใจผิดก็เล่นเขียนอย่างนั้น เราก็เข้าใจว่าท่านเป็นพระเอกแต่บางทีต้องระวังหน่อย แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 46 12:04:24 จากคุณ : guyver - [ 31 ต.ค. 46 11:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อิอิอิ งั้นขอขยายความหน่อยละกันนะครับ ... ไม่ค่อยได้เขียนอะไร ยาวๆ มานาน เพราะหลังๆ ผมยอมรับในเรื่องนานาจิตตังมากขึ้น ผม คิดอะไรผมก็จะเขียนสิ่งที่ผมคิด ไม่ค่อยอยากเถียง หรือหาข้อโต้แย้ง ความคิดของคนอื่น ... เพราะผมเริ่มสังเกตว่า คนเราลงว่าถ้าจะเชื่อ อะไรสักอย่าง ไม่ต้องควานหาเหตุผลพิศดารอะไรมาให้ก็จะเชื่อ แต่ ถ้าคิดว่าจะไม่เชื่อ ชักแม่น้ำทั้งห้ามายังไงก็ไม่เชื่ออยู่ดี มนุษย์เราเป็น แบบนี้กันจริงๆ ที่ว่าเป็นเพราะหลักการนั้นๆ ทฤษฎีนั้นๆ เราเลยเชื่อ ผมชักไม่แน่ใจสักเท่าไหร่ ... บ่อยครั้งที่อ่านข้อความอะไรสั้นๆ ของ คนอื่นแล้วความคิดมันแล่น มันก็ปิ๊งขึ้นมาเอง ผมตอบกระทู้ข้างบน ไม่ได้มีเจตนาไปว่าคุณ Canossa ว่าไปยุ่ง เรื่องของคนอื่น แต่เนื่องจากประเด็นของกระทู้อยู่ที่ความคิดหรือคำ ถามของกระทู้ที่คุณ Canossa อ้างอิงมา ซึ่งอ่านดูแล้วก็น่าจะพอ มองภาพออกได้ว่าเป็นคำถามแนว "เมืองไทยเป็นแดนโสเภณีจริง หรือ" ... คำตอบของคำถามประเภทนี้เราๆ ท่านๆ ก็รู้อยู่แล้วเหมือน กันว่ามันเป็นคนๆ ไป ไม่ได้เป็นโสเภณีกันทุกคน เปรียบเทียบกับกรณีญี่ปุ่น ก็เป็นคนๆ ไปอีกเหมือนกัน ... แล้วผมเองก็ ไม่ได้เห็นประโยชน์จากการมานั่งคิดว่าประเทศนี้หื่นกามกันจริงหรือ เปล่า และก็ไม่เชื่อว่าแนวความคิดนี้จะเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อการ ตัดสินใจไม่ส่งลูกหลานมาเรียนต่อที่ประเทศญี่ปุ่น พ่อแม่ผู้ปกครอง สถาบันการศึกษา หรือหน่วยงานที่ให้ทุนการศึกษาลงว่าได้พิจารณา ที่จะส่งใครสักคนมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ก็คงมีเหตุผลหลักอื่นๆ เป็นตัว ประกอบการตัดสินใจ อาทิ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความอด ทน ความขยันขันแข็งของคนญี่ปุ่น เป็นต้น และก็คงบอกลูกหลาน ของตัวเองให้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะเรื่องบ้ากาม เรื่องไปถ่ายหนังโป๊ เรื่องรสนิยมทางเพศแบบแปลกๆ ของคนญี่ปุ่นก็ คงถูกมองเป็นเรื่องรอง หรือตักเตือนให้ระวังตัว อย่าไปมั่วสุม ถ้าผมมองประเด็นนี้ ด้วยมุมนี้ และไม่อยากเสียเวลาอธิบายอะไรยาว ยืด ผมก็จะตอบแบบที่ผมตอบข้างบนนั่นแหละครับ ว่าอย่าไปสนใจ ปัญหาแบบนี้ถูกถามมาแล้วหลายครั้ง นี่ย่อมไม่ใช่ครั้งแรกที่มีใครสัก คนเปิดประเด็นคำถามแบบนี้ขึ้นมา และก็คงถูกตอบ ถูกระเบิดสมอง กันไปแล้วหลายครั้งเหมือนกัน .... คนที่มีประสบการณ์กับญี่ปุ่นหรือ แม้แต่คนที่ไม่เคยมา แต่มองโลกกว้างๆ หน่อยก็จะตอบเหมือนกันว่า ไม่เกี่ยวกับความเป็นญี่ปุ่น ประเทศนี้ไม่ได้บ้ากามกันทั้งประเทศ จริงไหมครับ ... สรุปก็คือ เป็นปัญหาหรือประเด็นที่ไม่เห็นต้องเสียเวลาไปนั่งถก นั่ง คิดอะไรด้วย เพราะเรารู้คำตอบอยู่แล้ว มีเรื่องอื่นๆ ที่น่าเก็บไปขบ คิดมากกว่ามากมาย ผมยกประเด็นว่าคนไทยชอบไปยุ่งเรื่องของชาวบ้าน น่าจะหันมาใส่ ใจกับเรื่องของตัวเองบ้าง ก็ไม่ได้บอกว่าประเทศไทยควรเลิกทำข่าว ต่างประเทศ หรือติดตามข่าวสารจากต่างประเทศ แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า บ่อยครั้งที่เรามัวแต่ไปสนใจว่าคนอื่นคิด อย่างไร คนอื่นทำอะไร คนนั้นทำแบบนั้น คนนู้นทำแบบนี้ เราเลยทำ บ้าง ... นี้เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งในการทำให้เราขาดความเป็นตัว ของตัวเอง เรียนหนังสือ ทำวิจัย ค้นคว้า ทำธุรกิจไปตามกระแสของ สิ่งรอบตัวที่เราไปรับสาร หรือความคิดมา ไม่ต้องไกลอื่น ในฐานะที่เป็นนักเรียนนักศึกษา ที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมา เรียนหนังสือต่อในประเทศญี่ปุ่น ผมพบว่า เราทำตัวเหมือนห่านใน นิทานอีสปที่ได้เคยอ่านตอนเด็กๆ ห่านตัวหนึ่งกินหญ้าอยู่ในคอกของตัวเอง มันสังเกตและเฝ้ามองทุ่ง หญ้าที่อยู่ไกลออกไป แล้วก็ให้เกิดความคิด ความเชื่อว่าหญ้าที่อยู่ใน ทุ่งไกลๆ นั้นช่างเขียวขจีดูน่ากินเสียกระไร และเกิดความเชื่อว่าหญ้า ในคอกของตัวเองช่างจืดชืด ไม่อร่อยเอาเสียเลย ไม่นานนัก มันก็หลบหนีออกมาจากคอก และดั้นด้นเดินทางไปยังทุ่ง หญ้าแสนไกลนั้น ... ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ จนกระทั่งไปถึง และเมื่อ ได้ลิ้มรสหญ้าในทุ่ง ก็ตอบตัวเองได้ว่า หญ้าก็คือหญ้า หญ้าที่บ้าน หรือในทุ่งนี้ ก็รสชาติเหมือนๆ กัน ... คงมีแต่ความเชื่อเท่านั้นที่ทำ ให้คิดว่าหญ้าแตกต่างกัน เปรียบเหมือนการมาศึกษาต่อ ... เราคิดว่าต่างชาติมีพัฒนาการด้าน การศึกษาเหนือกว่าเรา ระบบดีกว่า อาจารย์มีชื่อเสียงมากกว่า ฯลฯ เราจึงดั้นด้นกันออกมา ... จากญาติพี่น้อง จากความสะดวกสบายกัน มา มาอยู่บ้านเช่าแคบๆ ราคาเดือนละเกือบ 3 หมื่นบาท มากินอาหาร จืดๆ ที่ไม่คุ้นปาก มาอยู่กับแรงกดดันที่มากมายกว่าสังคมไทยของ เราไม่รู้กี่เท่าตัว ... ถ้ามาด้วยทุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามา ด้วยทุนรัฐบาลไทยภายใต้ภาษีอากรของราษฎรไทย ผมว่ามันก็มี เรื่องน่าคิดในประเด็นนี้ไม่น้อย ด้านองค์วิชาการ ประเทศไทยไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย อาจารย์ชาว ญี่ปุ่นที่ว่าเก่งๆ ดังๆ ณ วันนี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าเขาแตกต่างอะไรจาก อาจารย์ของผมที่เมืองไทย สิ่งที่ผมกำลังศึกษา กำลังประดิษฐ์ก็ไม่ได้ ลำบากยากเย็นอะไรนักถ้าจะทำที่เมืองไทย และนักวิชาการรุ่นพี่ๆ ที่ เมืองไทยจะร่วมมือกันคนละเล็กละน้อยสร้างกระบวนการทำงานวิจัย ที่เหมาะสมต่ออะไรๆ ที่เมืองไทย .... สิ่งต่างๆ ที่เรามาเรียนกันอยู่ใน ญี่ปุ่นนี้ ด้านอื่นผมไม่รู้ แต่ถ้าด้านเทคโนโลยี ผมว่ามีน้อยมากที่จะนำ ไปปรับใช้กับประเทศไทยได้ตรงๆ หากเรามีระบบการศึกษาของเราเองในประเทศไทย ที่จะค้นคว้า จะ ทำวิจัยกับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในเมืองไทย โดยนักเรียนปริญญาโท-เอก ที่เราสร้างกันขึ้นมาเองในเมืองไทย ... ผลงานเหล่านั้นก็จะสามารถ ถูกผลักดันให้ใช้การได้เป็นรูปธรรมในเมืองไทย ขอเพียงเราต้องหัน มาใส่ใจ และสนใจสิ่งต่างๆ ของเราเอง เพื่อพวกเรากันเอง ... สำหรับงานด้านการศึกษา ผมเชื่อมั่นว่า หากเราดำเนินกิจการด้านนี้ ไปเรื่อยๆ ตามแบบที่เราทำๆ กันมา ... อีกร้อยปีการศึกษาบ้านเราก็ไม่ มีวันพัฒนาได้เจริญเท่าต่างประเทศ ... เราเสียเวลาส่งคนหัวสมอง ดีๆ ระดับกะทิของชาติ มาทำวิจัยให้ต่างชาติมากเกินพอแล้ว ... และนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง ในอีกหลายๆ เรื่องที่ผมครุ่นคิดคำนึงอยู่ เสมอ เวลาสังเกตพฤติกรรมของคนไทย บ่อยครั้งที่ผมพยายามหา สาเหตุ หาเหตุผล ว่าทำไมประเทศที่ติดต่อกับต่างชาติมาตั้งแต่รุ่น สมัยอยุธยา (หรือสุโขทัยผมก็ไม่แน่ใจ) ส่งคนไปเรียนต่างชาติตั้งแต่ รุ่นรัชกาลที่ 5 ปีนึงๆ เป็นร้อย เป็นพันคน จึงมีพัฒนาการด้านการ ศึกษา การทำวิจัยได้ต่ำมากมายถึงเพียงนี้ ... ก็คงเป็นเพราะเรามัวแต่ไปสนใจเรื่องของชาวบ้านมากเกินไปนั่น แหละครับ ... จากคุณ : นายชนะศูนย์หนึ่ง - [ 31 ต.ค. 46 13:16:25 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อ่านความคิดเห็นสุดท้ายของ คุณนายชนะฯ แล้วรู้สึกดีจังครับ ผมก็คิดว่าการศึกษาของเราถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงไม่มีทางเจริญครับ :) จากคุณ : rt - [ 1 พ.ย. 46 01:38:14 A:158.108.2.2 X:158.108.8.60 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ้าว คุณชนะเนี้ย นักศึกษาหรอกเหรอ ผมนึกว่ามาเวิร์คช๊อปถ่ายภาพซะอีก๕๕๕๕๕๕๕๕ จากคุณ : fgallery - [ 1 พ.ย. 46 11:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 19 5555 เหมือนปรัชญาจากเรื่อง Matrix และแฮ่ะ มนุษย์สร้างระบบ ระเบียบขึ้นมาจัดระเบียบหรือจัดลำดับคุณค่าของสิ่งต่างๆๆ เอง จนสุดท้าย ระบบและระเบียบต่างๆๆก็เริ่มเข้ามอิทธิพลครอบงำตัวเองจนไม่สามารถยกเลิกหรือหลีกหนีมันได้ และสุดท้ายก็เสียหายจากสิ่งที่ตังเองทำขึ้นมาเอง จากคุณ : เดบุ (Debu Kus) - [ 1 พ.ย. 46 14:10:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมก็ชักไม่แน่ใจเหมือนกันเฮียจั๊ง จากคุณ : นายชนะศูนย์หนึ่ง - [ 1 พ.ย. 46 21:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วยคน ชอบดูข่าวต่างประเทศค่ะเพราะจะได้รู้ว่าโลกเค้าไปถึงไหนกันแล้ว จะว่าไปนะประเทศไทยก็กำลังพัฒนา หากว่าจับกระแสได้ถูกเราก็จะมีแนวทางในการเดินไปด้วย เราก็ต้องรู้เรื่องคนอื่นเค้าด้วย รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งนิ เอ..อันนี้ไม่รู้แฮะเพราะว่าเพื่อนที่เป็นต่างชาติหลายๆคนเค้ารู้แค่เรื่องในบ้านเค้าเหมือนกัน พอเราไปคุยกะเค้านี่เหมือนเราเก่งเพราะรู้ไปหมด เป็นผลพลอยได้ 555 จากความเห็นของคุณชนะย่อหน้าสุดท้ายก็รู้สึกว่าเห็นด้วยค่ะว่าทำไมมันลงเอยด้วยอีหร็อบนี้ คงเป็นเพราะว่าเราไปรู้เรื่องของเค้าแล้วก็ซับมาแบบไม่มีการกรองและปรับแต่งให้เข้ากันได้กับของของเรา มันก็เลยเหลวเป๋วอย่างที่เห็น แต่จะว่าไประบบการศึกษาของญี่ปุ่นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็มีข่าวว่าล้มเหลวเหมือนกันนี่คะ ก็คงจะรับๆมาแนวๆเดียวกะบ้านเรา อันนี้ไม่รู้ไม่แน่ใจ ไม่ขอออกความเห็นต่อ ถ้าจะวกเข้ามาเรื่องเศรษฐกิจเมืองไทยกันก็พอจะรู้ๆกันอยู่ว่าไทยเห็นชาติอื่นเค้ารุ่งมาได้ด้วยอุตสาหกรรมเราก็เอามั่ง แผนพัฒนา ศก.ก็ไปทางนั้นเลยทั้งๆที่ไม่ได้ดูว่าที่จริงแล้วบ้านเรามันเป็นแบบเกษตรกรรมนะ มันกลายเป็นการพัฒนาแบบปิรามิดคว่ำ รากฐานมันไม่แข็งแรงมันเลยล้ม มัวไปหลงทางอยู่ตั้งนาน ตอนนี้ก็ยังดีที่กลับลำกันทัน ต้องรอดูกันต่อไป จากคุณ : padme' amidala - [ 8 พ.ย. 46 17:03:46 ]