ความคิดเห็นที่ 1 เข้ามาให้กำลังใจค่ะ....คน..ไม่ว่า จะอยู่ตรงใหน แห่งใหน...ชอบดูถูก ก่อนแบบนี้ แหล่ะค่ะ.. เมื่อก่อนเคยคิดว่า ฝรั่ง นินทา ไม่เป็น.....ให้เกียติ ผู้หญิง..ไม่แคร์ เรื่องราว ในอดีต ของผู้หญิง.......ขอโทษ เถอะค่ะ......เมื่อไม่กี่วัน มานี้ เอง...เพื่อนๆๆ ของแฟน มา ทานข้าวเย็นที่บ้าน..และ ก้อ นินทา..คน นั้น คนนี้ ตลอดเวลา...และ ล่าสุด ก้อ นินทา..เพื่อนตัวเองที่มี่ภรรยา เคยทำงาน บาร์.....ไม่ดี อย่าง งั้น อย่างงี้......ก้อเท่าที่เห็น พี่เค้าออก จะเป็นคนใจดี ถึงแม้ อดีต แก จะ เคย ทำงานบาร์...ก้อไม่ใช่ คนเลว ร้าย อะไรเลย...ที่ทำงานเพราะความจนบีบบังคับ...ดีกว่าอด ตาย..หรือใคร ว่า ไม่จริง .....เฮ้อ..เบื่อ ฝรั่ง ชอบ นินทา...เบื่อ จริงๆๆ จากคุณ : HAPPY..YA - [ 7 เม.ย. 47 16:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 2 น่าเห็นใจมาก ๆ ค่ะ ถึงกับงานล่มเลย แต่ยังไงทุกสิ่งทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับตัวแฟนน้อง เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ ตอนนี้อาจจะกำลังสับสนก็ให้เวลาเค้านิดนึงก็แล้วกันนะคะ ถ้าน้องตั้งใจจะแต่งงานกับคน ๆ นี้แน่ ๆ น้องคงรู้แล้วว่าวันข้างหน้ามีอะไรรออยู่ การที่จะเอาชนะใจคนที่มีอคติกับเรานั้นต้องใช้ความอดทนมาก ๆ ค่ะ จากคุณ : Lauderdale By The Sea - [ 7 เม.ย. 47 17:28:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 สำหรับดิฉันก็เกลียดเหมือนกันค่ะ ผู้ชายที่นินทาผู้หญิง หรือใครก็ตามที่ยังไม่รู้จักเราเลย แต่มาตัดสินและสรุปเสียแล้วว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้... แต่อย่าลืมนะคะว่าคนเราย่อมมีที่มาและที่ไป เรายังรักและแคร์คนในครอบครัวของเราและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ของเรา และเค้าก็คนเหมือนกัน ไม่ว่าจะสัญชาติใหน เค้าก็ย่อมต้องเอาบุพการีมาก่อนอยู่แล้ว... ...เราเปลี่ยนตัวคุณพ่อเค้าไม่ได้ เพราะดูๆ ท่านก็คงจะแก่มากแล้ว แต่เราต้องปรับตัวและเปลี่ยนตัวเองค่ะ อย่าลืมว่าผู้ชายมีผู้หญิงอยู่สองคนในโลกที่เค้าจะเทิดทูล คนที่หนึ่งคือแม่ คนที่สองคือเมีย คุณต้องเป็นเมียที่ไม่ใช่แม่ของเค้า จากการที่คุณเขียน คุณจะเป็นคนค่อนข้างหัวแข็งนิด ๆ อันนี้ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี แต่คุณต้องการเหตุผลในการตัดสินใจหรือเห็นด้วยในอะไรบางอย่าง ถ้าสิ่งนั้นไม่มีเหตุผลคุณจะไม่เชื่อทันที ลองเอาใจเค้ามาใส่ใจเรานะคะ ลูกของเราทั้งคน เลี้ยงดูมาตั้งแต่เท้าเท่าฝาหอย เวลาเป็นฝั่งเป็นฝาเราก็ต้องมั่นใจว่าเนื้อคู่ของเขารักเค้าจริง แม้จะรักไม่มากเท่าเราแต่ก็รักได้ครึ่งเราก็ยังดี ...ถ้าคุณรักเค้า คุณก็ต้องรักหมาเค้าด้วย..แล้วถ้าเป็นพ่อแม่เค้าด้วยแล้ว คุณยิ่งต้องพิสูจน์ตัวคุณเอง แทนที่หลบหน้าไม่พูดจากับพ่อเค้าก็ยิ่งเป็นการบ่งบอกว่าคุณไม่ชอบขี้หน้าเค้า คนแก่เวลาพูดจากก็คลุมเคลือ สั่นพร่าเป็นธรรมดา เค้าไม่ใช่คนหนุ่มจะได้ดูกระฉับกระเฉง พยายามเข้าใจเค้า ซื้อของไปฝากเช่นขนมเบอเกอร์รี่ หรือผ้าใหมแบบไทย ๆ ก็ได้ แล้วก้ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ ขณะเดียวกันคุณก็พยายามหาอันนั้นอันนี้ทำ ทำงานบ้านบ้าง เช็ดล้างตรงโน้นตรงนี้บ้าง แม้จะต่อหน้าเค้าก็ตาม ลับหลังจะด่าล้างโครตยังไงก็เถอะ...ตอนนี้คุณคือแฟนจิรงใหม คุณก็ต้องแสดงบทบาทของแฟน คุณยังไม่ใช่เมีย เมื่อไหร่ก็ตามที่เค้าสวมนิ้วแต่งงาน และจดทะเบียนกับคุณนั่นคือเค้าเลือกคุณแล้วให้มาเป็นเมีย และเหนือกว่าผู้หญิงใดในอนาคต...ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับคุณเองว่าจะลดฐิทิ แล้วทำใจเย็น ๆ ที่แล้ว ๆ มาผ่านไป เริ่มใหม่วันนี้ ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทาย ทำให้เหมือนกับที่คุณทำกับคุณพ่อคุณแม่คุณเองที่บ้าน ไม่ขาดไม่เกิน รับรองค่ะไม่นานพ่อแม่ของแฟนจะรักและเอ็นดูคุณมากขึ้น จากคุณ : คุณนาย แฮร์ริงตัน - [ 7 เม.ย. 47 17:30:26 A:219.78.45.12 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่รู้จะแนะนำยังไง เพราะว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่อง เล็ก ๆ เลยนะคะ โดยเฉพาะคนที่มาตั้งแง่กับเรานั้นคือ พ่อแม่ของเขา ถ้าเป็นคนนอกจะบอกว่าไม่ต้องแคร์ แต่นี่ คนในแท้ ๆ เข้าใจความรู้สึกเจ้าของกระทู้ค่ะ ว่าคงจะเสียขวัญไม่ใช่น้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นั่นแหละค่ะ การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ และไม่ใช่อยู่กันแค่เดือน สองเืดือน แต่ต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต ตายจากกันไปข้างหนึ่ง พ่อแม่เขา หรือพ่อแม่เรา ยังไง ๆ ก็ยังเป็นพ่อแม่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่หลังคาเดียวกัน ดิฉันก็แนะนำไม่ถูกว่าคุณจะต้องทำอย่างไร ขอเป็นกำลังใจให้แก้ไขปัญหาได้เร็ววันก็แล้วกันค่ะ จากคุณ : amonwan - [ 7 เม.ย. 47 17:58:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เค้าจะคิดอย่างนี้ก้อไม่ผิดหรอกค่ะ เค้าไม่รู้จักคุณ ไม่รู้จักประเทศของคุณ อาจจะแค่ได้ยินได้ฟังแต่สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ต้องให้แฟนคุณน่ะ คุยกับพ่อแม่เค้าเกี่ยวกะคุณมากๆ ให้เค้ารุ้จักคุณมากขึ้น ก่อนที่เราจะย้ายมาที่นี่ ก้อมีโทรไปหาพ่อแม่เค้า เขียนจดหมาย ส่งการ์ด เพื่อทำความสนิทสนมก่อน ก่อนที่เราจะแต่งงาน แฟนก้อเคยพูดๆแม่เค้าน่ะไม่มีปัญหาแต่ว่าพ่อเค้าอาจรับไม่ได้เพราะเค้าค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม เราก้อเกร็งๆ ละก้อหาวิธี สนิทสนมกะเค้ามากขึ้น เราใช้วิธีแมวเป็นสื่อค่ะ เพราะพ่อเค้ารักแมวมาก แล้วแมวเค้าเล่นกะเราน่ะ ปกติมันจะหยิ่งๆ ตอนนี้ พ่อเค้าเอ็นดูเรามากกว่าลูกชายตัวเองอีกแน่ะ จากคุณ : Robotoon The Gunner - [ 7 เม.ย. 47 18:02:49 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอถามหน่อยว่า คุณได้มีโอกาสรู้จัก คุณพ่อ คุณแม่ของแฟนคุณรึยังคะ เห็นกระทู้ก่อนหน้านี้คุณถามถึงว่าถ้าขอวีซ่าท่องเที่ยวแล้วจะไปแต่งงานได้หรือไม่ บางที ผู้ใหญ่ เค้าอาจยังมีข้อคลางแคลงใจ ดิฉันเองไม่ทราบ แบ๊คกรานด์ของเรื่อง ลองให้เวลาพิสูจน์ตัวคุณดีมั้ยคะ เค้าอาจผิดตรงที่เค้าด่วนตัดสินคุณก่อนจะได้รู้จักคุณ ดิฉันเองมองอย่างคนเป็นแม่ บางทีความเป็นพ่อ แม่ก็ทำให้เกิดความเป็นห่วงลูกมากเกินไป อย่าไปมองเรื่องเป็นนิยาย ทีวีมากนะคะ ลองมองดูสถาณการ์ณ คุณและแฟนต้องช่วนกันพิสูจน์ ว่าคุณทั้งสองต้องการแต่งงานด้วยความรัก เชื่อว่าเมื่อผู้ใหญ่เห็นแล้ว เค้าต้องยอมรับการแต่งงานคะ ลูกใคร ใครก็รัก เชื่อดิฉันนะคะ จากคุณ : miss_ginger(ยิ้มแป้น) - [ 7 เม.ย. 47 18:06:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่น่ะค่ะ (โดยเฉพาะคนใน generation นี้) ซึ่งเป็นธรรมดาที่ต้องกังวลค่ะ ไม่ว่าคนไทยหรือฝรั่งหรือชาติไหนๆ ก็เป็นห่วงลูกตัวเองกันทั้งนั้น ตอนเพิ่งแต่งงานกับสามี พ่อสามีหรือสามี (จำไม่ได้แล้วว่าใคร) ก็เล่าให้ฟังว่า ตอนพ่อสามีเค้าไป business trip ที่เมืองไทยเมื่อสิบกว่าปีมาได้แล้ว ก็ไปรู้จักคนเดนิช(ที่ทำธุรกิจแบบเดียวกันกับพ่อสามี) ที่โดนผู้หญิงไทยหลอก และทำเอาจนแทบหมดตัวเลยทีเดียว และนอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องค่ะ แต่พ่อสามีก็ยังให้โอกาสเรา และให้เราพิสูจน์ตัวเอง และตัวเราเองก็พยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าเรารักลูกชายเค้าจริง หวังที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน โดยไม่มีจุดมุ่งหมายแอบแฝง จนตอนนี้ก็ทั้งพ่อแม่ และย่าของสามีก็ได้เห็น และรักและเอ็นดูเรา (จนสามีแทบจะงอนพ่อแม่เค้า) ดังนั้นในกรณีของคุณคิดว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ ให้คุณพิสูจน์ตัวเองให้ทางพ่อแม่และญาติๆ ของแฟนเห็นว่าเรารักและหวังดีกับแฟนของเรา และหวังที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเค้า และดูแลเค้าตลอดไป แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็จะดีขึ้นค่ะ ลองเปลี่ยนความไม่ชอบ(พ่อแฟน) เป็นความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองไม่ดีกว่าเหรอคะ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ประสบความสำเร็จนะคะ จากคุณ : MingDK - [ 7 เม.ย. 47 18:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ที่คุณว่ามาทั้งหมดนี่ ได้ยินจากหูเอง หรือว่าแฟนเล่าให้ฟังคะ ถ้าแฟนเล่าให้ฟัง ก็อาจเป็นไปได้ว่า แฟนคุณเริ่มโลเลกับการแต่งงานแล้วมั้งคะ เพราะถ้าเค้าจริงจังกับการแต่งงานมาก เค้าจะต้องไม่บอกรายละเอียดที่ใครต่อใครกล่าวถึงคุณในแง่ลบ ให้คุณฟังหรอกนะคะ เพราะมันจะทำให้คุณเสียใจเปล่าๆ สู้ให้ไม่รู้เรื่องเลยดีกว่า นอกเสียจากเค้าเริ่มโลเล และหาเหตุผลมาอ้างถึงการล้มเลิกงานแต่ง ลองดูเค้าให้ดี ๆ ด้วยนะคะ บางทีเค้าอาจจะมีปัญหาอะไรมากกว่านั้นก็ได้ ก่อนดิฉันแต่งก็มีปัญหากับแม่เค้าเหมือนกัน เค้าคงฟังอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเมืองไทยมาเยอะ เลยทำให้เค้ากลัวสะไภ้ไทย แต่สามีดิฉันก็อธิบายให้แม่เค้าฟัง โดยที่ไม่สนใจว่าจะเข้าใจหรือไม่ และก็แต่งกัน สุดท้ายแม่เค้าก็ต้องยอมรับโดยปริยายค่ะ ก็ในเมื่อลูกเค้ารัก และเค้ารักลูกเค้า เค้าก็ต้องรักเราด้วย เพื่อไม่ให้ลูกเค้าเสียความรู้สึกกับเค้า ที่เล่ามาก็เพื่อจะให้คุณเห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่ยอมให้ปัญหามาทำลาย ความรักที่เค้ามีต่อหญิงคนรักนะคะ และการเอาใจญาติแฟนคุณก็เป็นสิ่งดี ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ลองใส่หน้ากาก ใส่พวกเค้าดูบ้างค่ะ หน้ากากสวย ๆ นะคะ เอาแบบนางเอ๊ก นางเอกน่ะค่ะ ต่อหน้าพ่อ แม่เค้า ลับหลังก็ว่ากันไป แต่ที่สำคัญคนที่จะมัดใจพ่อ แม่เค้ากับคุณได้ดี ก็คือแฟนคุณค่ะ อยู่ที่ว่าเค้าจะฟังพ่อเค้าเฉย ๆ อย่างนั้น หรือทุบโต๊ะ อธิบายให้พ่อเค้าฟัง อย่างลูกผู้ชาย เป็นกำลังใจนะคะ จากคุณ : แม่นาง...น้ำดอกไม้ - [ 7 เม.ย. 47 19:05:03 ]

ความคิดเห็นที่ 9 มาให้กำลังใจ และเล่าเรื่องของตัวเองให้ฟังบ้างนะคะ คุณพ่อกับคุณแม่สามี เพิ่งจะมาสารภาพให้ฟังเหมือนกัน ว่า ตอนที่ สามี บอกกับท่านว่า จะแต่งงานกับ ญ ไทยคนหนึ่ง ที่เค้าเจอ หลังจากที่ทำงานที่เมืองไทย ได้ 5 เดือน ท่านบอกว่า ท่านนอนไม่หลับกันเลย เพราะ ไม่รู้ว่า เราเป็นใครมาจากไหน ทำงานอะไร เป็นคนนิสัยอย่างไร ทั้งต่างเชื้อชาติ ศาสนา แต่เนื่องจาก ท่านทราบนิสัยของลูกชายท่านดี ถึงความดื้อ ท่านก็เลย เฉยๆ ไว้ไม่ดุว่าได้แต่เก็บการคัดค้านไว้ในใจ จนเราขอลางาน แล้วบินไปเจอ คุณพ่อคุณแม่ คุณยาย สามี พอได้เจอกัน พูดคุยกัน ความรู้สึกต่อผู้หญิงไทย ตามความเชื่อเดิมของเค้าก็เปลี่ยนไปค่ะ และยอมรับในที่สุด ดิฉัน ถึงจะเป็นคนรุ่นค่อนข้างใหม่ แต่ เชื่อว่า ความนุ่มนวลอ่อนโยนตามธรรมเนียมไทย ความเคารพผู้ใหญ่ ไม่เถียงผู้ใหญ่ แบบที่เราเป็นอยู่นั้นทำให้ ผู้ใหญ่ เอ็นดูเราค่ะ จากคุณ : *พิณ* - [ 7 เม.ย. 47 19:09:20 ]

ความคิดเห็นที่ 10 จำไว้คะ หนทางที่เราจะเดินไป มันไม่ใด้โรยไปดว้ยกลีบกุหลาบอย่างที่คิด ถึงมันจะมี หนาม บ้าง หรือเศษ แก้วเศษกระจก เราก็ คอ่ยๆเขี่ยมัน แล้วก็ ตอ้งเดินไปแบบระวัง ในเมื่อ เราก็รู้แล้วว่าหนทางมัน ยากลำบาก แต่ถ้าเรามุ่งมั่น เราก็ตอ้งไปถึงที่หมายใด้ จับมือกับแฟนแล้วเดินไปพรอ้มๆกัน ที่สำคัณ ถ้าแฟนเรา เขารว่มเดินไปกับเราดว้ยเราก็ไม่ตอ้งกลัวอะไร ขออย่าไห้เขาทิ้งเราในระหว่างทางก็แล้วกัน จากคุณ : ชมพู่สีชมพู - [ 7 เม.ย. 47 20:40:28 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาเล่ามั่ง ไม่โดนพ่อแม่เค้าหรอก แต่โดนคุณยาย เค้าพูดเลยว่า หากจะแต่งงานกันแล้ว ไม่เปลี่ยนเป็นคาทอลิกนี่ You will go to hell หาว่าเราเป็นบาป นึกดูซิ ว่าจะรู้สึกไง โดนแบบจังๆๆ ไม่เกรงใจด้วย แถมถามอีกว่า DO you have an icecream in your country?? DO you have a car??? bla blaaaaaa สารพัด แต่นะ แบบที่คุณพิณบอก เรามีกริยามารยาทดี วาจาดี ของแบบนี้ ใครๆๆ ก็ชอบ ขอให้กำลังใจนะคะ ขอให้คุณกะแฟนคุณ มีความรู้สึกทีดีและมั่นคงต่อกันละกันนะคะ จากคุณ : บอสตัน - [ 7 เม.ย. 47 20:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะคะ ถ้าเป็นตัวเองก็จะบอกว่า I don't give a rat @ss (ขออภัยถ้าไม่สุภาพ) อย่าไปเอามาคิดให้รกหัวสมองเลยค่ะ ถ้าคุณกับแฟนคุณมั่นใจในกันและกัน นั่นก็น่าจะเป็นคำตอบแล้วนะคะ (เดาเอาว่าคุณทั้งสองน่าจะรู้จักกันมาพอสมควรแล้วนะคะ) อย่างกรณีตัวเองนี่ตอนนั้นพี่ชายแฟนก็ไม่เห็นด้วย พูดถึงแต่เรื่องที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับ ญ ไทย ให้แฟนฟัง ส่วนคนอื่นก็เฉย ๆ (ไม่รู้เหมือนกันว่าเห็นด้วยรึไม่เห็นด้วย) แต่ที่แฟนเล่าให้ฟังคือ เขาบอกพวกนั้นไปว่า I don't care. It's my life. It's my decision. If I am going to make a wrong decision again, so be it. At least I won't later regret for not doing this or I might keep asking myself, telling myself that I should have married her. กาลเวลาเท่านั้นแหละค่ะที่จะพิสูจน์ได้ความรักของคุณทั้งสองนี่เป็นรักแท้ยั่งยืนรึเปล่า ชีวิตนี้ก็ของคุณสองคนนะคะ ลองค่อย ๆ คิด โดยที่ไม่ต้องเอาคำพูดคนอื่นมาเป็นบ่อนทำลายความมั่นใจดูซิว่่า อนาคตของคุณทั้งสองควรจะไปทางไหนดี จากคุณ : LittleApple - [ 7 เม.ย. 47 20:58:49 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หนูไปเยี่ยมบ้านเค้ามา 2 ครั้งแล้วค่ะ ก็ไปพักบ้านพ่อแม่เค้าทุกครั้ง กับแฟนคนนี้คบกันมา 3 ปีแล้ว แต่พ่อแฟนได้ยินเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับเมืองไทยมาเยอะค่ะ หนูไม่รู้ว่าแฟนยังอยากแต่งอยู่หรือเปล่า เค้าถึงมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่แล้วเค้าก็พูดว่าขอโทษไม่น่าเล่าให้ฟังเลย แฟนเป็นคนคิดมากค่ะ โดยเฉพาะเวลามีคนพูดไม่ดีเกี่ยวกับหนู (คือเค้าเถียงจนเหนื่อย) แต่ก็มักจะเล่าให้ฟังเสมอว่าคนอื่นพูดถึงหนูว่ายังไง ทั้งดีทั้งเลวค่ะ เรื่องแต่งงาน แฟนหนูบอกว่าให้หนูรอ หนูก็จะรอค่ะ ตอนนี้เค้าหาทางให้หนูไปอยู่ที่นู้นให้ได้( เมื่อวานชวนหนูเปิดร้านอาหารไทย) หนูจะพิสูจน์ตัวเองค่ะ ว่าหนูไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อเค้าคิด จากคุณ : dj_nck - [ 7 เม.ย. 47 21:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอเม้าท์พ่อแฟนหน่อย เค้าเป็นคนที่งกในเรื่องที่ไม่น่างก เช่น เค้าซื้อไข่มา 1 แผง เค้าจะนับว่ามีกี่ฟอง ถ้าไข่หายไป เค้าจะโมโหมากกกกกก หรือ เค้าซื้อขนมมาหนึ่งซองเค้าก็วางไว้ในห้องครัว แฟนก็หยิบมากิน พอเค้าเห็ฯเค้าโมโหมาก ตะคอกใส่แฟนต่อหน้าทุกๆคน หรือ แม่แฟนทอดไส้กรอกมา 2 อัน แฟนกินไม่ได้เพราะพ่อไม่ให้กิน พ่อบอกว่ารอให้เค้ากินเสร็จแล้วค่อยกิน พอหนูเดินมา แม่ก็ถามว่าอยากกินไส้กรอกไหม พ่อเค้าตะคอกเลยค่ะ น้ำเสียงโมโหมาก หนูอึ้ง (พ่อแม่หนูไม่เป็นแบบนี้ มีอะไรก็ให้ลูกกินก่อน หนูก็งงว่าฝรั่งเค้าเป็ฯแบบนี้หรือเปล่า?) แต่เวลาไปกินร้านอาหารนะคะ พ่อแฟนบอกว่าสั่งได้ไม่อั้น อ้าว..หนูล่ะงง.. (อ้อ แม่แฟนบอกว่า my husband is not logic. ) จากคุณ : dj_nck - [ 7 เม.ย. 47 22:06:34 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พออ่านแล้วนะคะบอกได้คำเดียวค่ะว่าเห็นใจคุณเจ้าของกระทู้มาก ขอโทษนะคะถ้าพูดแรงไป แจงคิดว่าทางครอบครัวของสามีคุณใจแคบมากเลย แต่ก็ใช่อีกนั่นแหละ เราไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ คุณต้องทำใจค่ะ อดทน และเข้าใจว่าพ่อสามีเป็นคนแบบนั้นจริง ๆ กระทั่งลูกชายตัวเองยังทำขนาดนั้นเลย คุณอย่าไปมีปฏิกิริยาตอบโ้ต้นะคะ ต้องใจเย็น ๆ ค่ะ และที่สำคัญ อย่ามีอคติ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ จากคุณ : ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ (chatchanya) - [ 7 เม.ย. 47 22:52:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 มาให้กำลังใจเจ้าของทู้อีกคนค่ะ...อย่าไปสนใจฝรั่งความคิดแคบๆแบบว่าที่พ่อซะมีเลยค่ะ....เมืองไทยแต่งงาน...มันคือการรวมตัวของครอบครัวสองครอบครัว...แต่แต่งงานเมืองนอก..มันคือระหว่างคนสองคนค่ะ((นอกจากสามีอยู่บ้านเดียวกะครอบครัวเค้า...อันนี้ก็อีกกรณีนะคะ))....แต่ก็อย่าไปทำตัวก้าวร้าวนะคะ...ส่วนมากใครๆก็รักหญิงไทยเพราะกิริยางามและจิตใจดีค่ะ...... จากคุณ : maebannannie - [ 8 เม.ย. 47 00:18:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มาให้กำลังใจด้วยคนค่ะ จากคุณ : SFO-CNX - [ 8 เม.ย. 47 00:38:35 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ใจเย็นนะคะ เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ฝ่าฟันปัญหาที่เจอตอนนี้ได้เร็ววันนะคะ จากคุณ : Amiss - [ 8 เม.ย. 47 00:54:59 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่รู้ซิ แต่ถ้าเรื่องเงินเป็นสาเหตุของค.ไม่พอใจของครอบครัวเขา ว่าแก้ง่าย โดยการ ทำสัญญา(prenuptial agreement—ทู้ข้างล่างพูดถึง)ก่อนจดทะเบียนเลยว่า เราจะไม่เอาสมบัติของเขา หรือตกลงแจกแจงกันไปเลยว่า ส่วนนี้แชร์ ส่วนนี้ไม่แชร์ ส่วนไหนของเขาก็ยังเป็นส่วนของเขา ถ้าเรื่องเงินทองเป็นสาเหตุหลักของค.ขัดแย้ง ว่าการทำสัญญาลงชื่อเป็นการแสดงค.โปร่งใจอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเป็นการแสดงออกให้ทางพ่อฝ่ายชายเห็น (ในสัญญามีเงื่อนไขต่างๆได้มากมาย แล้วแต่คนทำ ไม่จำเป็นต้องเป็นขาวหรือดำ) ว่าปัญหาที่หนักคือ เงินทองไม่ใช่สาเหตุหลักที่แท้จริงอย่างเดียว แต่มีissuesอื่นๆที่ซ่อนอยู่ แล้วทับถมกันทำให้ไม่ชอบ จากคุณ : Overseas - [ 8 เม.ย. 47 02:25:22 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดิฉันก็เป็นอีกคนนึงที่แม่สามีไม่ค่อยชอบขี้หน้าตั้งแต่พบกันครั้งแรกเลยค่ะ โชคดีที่พ่อแท้ๆของสามีเสียตั้งแต่สามีอายุ19ปี(ทุกวันนี้45ปีแล้วค่ะ)แต่ก็มีพ่อเลี้ยงเป็นอดีตนักบินชาวอเมริกา(70ปี)ส่วนคุณแม่สามีก็อดีตแอร์โฮสเตส(72ปี) ก็พอจะทราบสาเหตุที่มาที่ไปอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะว่าอดีตภรรยาเก่าของสามีที่มีลูกด้วยกันก็เป็นหญิงไทยเพียงแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสด้วยกัน เห็นสามีเล่าว่าอยู่ด้วยกันแบบคู่รักไม่ถึง3เดือนฝ่ายหญิงก็บอกว่าท้อง แต่สามีก็มั่นใจว่าเป็นลูกของตัวเองและรับผิดชอบทุกอย่าง จนกระทั่งคลอดแม่สามีถึงรู้ข่าวว่าลูกชายมีหลานให้เลี้ยงซะแล้ว ก็บินมาเยี่ยมว่าที่ลูกสะใภ้ ปรากฎว่าดันพาว่าที่แม่สามีไปดูที่ทำงานเก่าและชวนเพื่อนมาฉลองต่อที่บ้านออกอาการสูบบุหรี่กินเหล้าเมาให้แกเห็น คงไม่ต้องบอกนะคะว่าอดีตภรรยาเก่าของสามีทำงานอะไร หลังจากนั้นก็ไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นค่ะ จนลูกของสามีอายุได้3ขวบฝ่ายหญิงก็ขอเลิกไปเองแบบรุนแรงมาก เพราะว่ามีการแจ้งตำรวจจับแม่สามีข้อหาขโมยว่าที่หลานของตัวเอง(ตอนนั้นยังไม่ได้จดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรม)รวมทั้งฝ่ายหญิงเรียกร้องเงินเป็นหลักล้านถ้าต้องการลูกไปเลี้ยงเอง คือต้องซื้อบ้านให้เธอ1หลังอย่างน้อย150ตรว.และต้องมีเงินเข้าบัญชีเธออย่างน้อยเดือนละ3หมื่นบาทจนกว่าลูกจะอายุ20ปี(ตอนนี้เคลียร์เรียบร้อยแล้วค่ะ)และนี่ก็คือสาเหตุที่แม่สามีไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่รู้ว่าลูกสะใภ้คนใหม่นี่ก็เป็นคนไทยอีกแล้ว(สงสัยยังไม่เข็ด) แต่ว่าทุกวันนี้ก็ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ เพราะว่าแม่สามีเขาเอาหลานไปเลี้ยงเองและเราก็มีงานทำไม่ได้สร้างภาระให้กับสามี แถมเวลาที่เราจะส่งตังค์กลับไปช่วยเหลือทางบ้านสามีก็มักจะเพิ่มให้ทีละ1-200ปอนด์ รายจ่ายภายในบ้านก็ไม่ต้องรับผิดชอบสามีจัดการเองหมด ส่วนรายได้ของเราก็เก็บไว้ช่วยเหลือคนทางบ้าน(เท่าที่จำเป็น)นอกนั้นก็จะใช้จ่ายหนักไปในทางแต่งเสริมเติมสวยของตัวเอง(ก็งานมันหนักนี่นา) คิดว่าปีหน้าถ้าปล่อยให้มีลูกก็คงจะอิ่มกับการชอปปิ้งแล้วล่ะค่ะคงจะได้เวลามีลูกเป็นของตัวเองเสียที ยังไงก็เอาใจช่วยคุณdj-nckให้ผ่านเหตุการณ์ตรงนี้ไปให้ได้ด้วยดีนะคะ ขอให้คิดซะว่ายังมีดิฉันอีกคนที่ยังเจอกับอาการเฉยชาของแม่สามีอยู่เท่าทุกวันนี้(ปีที่7แล้วค่ะที่แต่งกันมาเนี่ย) จากคุณ : ศิริรักษ์ - [ 8 เม.ย. 47 03:07:09 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้ายังยืนยันจะแต่งงานกันก็"กัดฟัน"เชิญเขามาเมืองไทย ให้เขาเห็นกับตาว่าเป็นอย่างไร พาเขาไปดูศิลปวัฒนธรรมเรา ให้เขาเห็นว่าเราไม่ได้ขี่ช้างกันทั้งเมืองและเมืองไทยไม่ได้เต็มไปด้วยผู้หญิงหากิน ชนิดเดินไปไหนก็เจอ ให้เขาเห็นสภาพพ่อแม่คุณว่าเป็นคนธรรมดาๆ มีบ้านช่องเป็นหลักเป็นฐาน พาเขาไปพบเพื่อนๆ ว่าไม่ใช่คนไม่มีการศึกษา แค่นี้ก็คงพอ คิดถึงอกเขาอกเรา พ่อแม่คุณก็อาจกังวลเหมือนกันว่าแต่งงานกับฝรั่ง ลูกจะลำบากอย่างไรก็ไม่รู้ เพราะบ้านเราก็เห็นฝรั่งกระจอกๆ เดินต๊อกๆๆๆ เต็มไปหมด ฉันท์ใดฉันท์นั้น จะเปลี่ยนความคิดคนนั้นยาก แต่อย่างน้อยคุณก็ได้พยายามแล้ว จากคุณ : 94025 - [ 8 เม.ย. 47 04:36:12 ]

ความคิดเห็นที่ 22 มาให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ค่ะ อย่างที่หลายคนว่า เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ค่ะ ดิฉันเองไม่เป็นที่ยอมรับของครอบครัวสามีตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นหน้ากัน พอย้ายมาอยู่ที่อังกฤษได้ไม่นานนักทุกคนก็เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อผู้หญิงไทยหมดเลยค่ะ ไม่ได้ทำอะไรมาก ดิฉันเพียงแต่วางตัวตามแบบอย่างไทย ๆ ที่ถูกอบรมสั่งสอนมา เอาอกเอาใจผู้ใหญ่นี่เป็นเรื่องธรรมชาติของเราอยู่แล้ว ไม่นานนักก็มัดใจเขาได้กันทั้งครอบครัว (ตอนนี้ดิฉันเป็นฝ่ายรำคาญคุณแม่สามีค่ะ แต่แกไม่รู้หรอกค่ะ) อีกทั้งยังกลายเป็นตัวเชื่อมให้ครอบครัวเขาสนิทสนมใกล้ชิดกันมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะดิฉันทำตามวัฒนธรรมไทย ๆ ของเราน่ะค่ะ เชิญญาติ ๆ มาร่วมทานอาหารบ่อย ๆ พอเขาถูกเชิญบ่อย ๆ เขาก็อาย จึงเชิญเราตอบบ้าง เชิญกันไปกันมาจนกลายเป็นการรวมตัวทั้งครอบครัวเป็นงานเลี้ยงใหญ่ค่ะ จัดกันตลอดปีไม่มีเบื่อ และรักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งขึ้น ตอนนี้ถ้าถามครอบครัวสามีว่าคิดอย่างไรกับดิฉัน พวกเขาจะรู้สึกผิดกันอย่างมาก ๆ ทุกครั้งไป ที่มาตั้งแง่รังเกียจดิฉันในทีแรกค่ะ ลองพยายามเข้าหาฝ่ายผู้ใหญ่ก่อนนะคะ ลองมองหาข้อดีของคุณพ่อว่าที่สามีดู (คงมีบ้างใช่มั้ยคะ) และพยายามเข้าใจในพฤติกรรมของท่าน ผู้ใหญ่น่าจะใจอ่อนกับลูกอ้อนของผู้น้อยบ้างอยู่หรอก (ดิฉันก็ใช้วิธีนี้กับคุณแม่สามีค่ะ บังเอิญปกติเป็นคนขี้อ้อนด้วยน่ะค่ะ) ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมก็เข้ามาถามไถ่ได้นะคะ หรืออย่างน้อยก็เข้ามาระบายได้ค่ะ (เดี๋ยวจะช่วยวาดรูปเหมือนคุณพ่อสามีมาให้แม่บ้านแถว ๆ นี้เค้าปาเป้ากันดีมั้ยคะ) จากคุณ : Pl@too - [ 8 เม.ย. 47 04:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ++อ้า ..ถึงตอนนี้แล้วชักจะโมโหคุณพ่อแฟนของคุณแล้วสิคะ..ไม่เคยพบเคยเจอคนอารัยทำไมร้ายนัก แต่เอาเถอะค่ะขอให้คุณอดทน และก็พิสูจน์ตัวเอง เพราะเค้าก็ต้องมีเหตุผลของเขาแหล่ะนะ..ที่สำคัญฝรั่งก็เหมือนคนไทยนั่นแหละค่ะ ประวัติเราเป็นอย่างไร..เคยทำงานอะไร..มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันใหม..ถ้าอะไรก็ไม่มี ไม่เคยทำอะไรเลย เค้าก็ต้องเพ่งแล้วหละ ว่างานนี้ต้องมีชาวเกาะแน่ ๆ..คุณเจ้าของกระทู้ลองซื้อไข่เป็นรถถังไปเทกราดที่หน้าบ้านคุณพ่อเค้าหน่อยสิคะ แล้วก็บอกว่า ปะป๋า..ใข่นี่ที่ไทยแลนด์เค้าเอาไปเลี้ยงจระเข้ เค้าไม่ค่อยกินกันเท่าไหร่หรอก เค้ากินแต่เนื้อหมู เนื้อสันอย่างดี แล้วก็เนื้อปลาบึก..ถ้าไม่พอจะสั่งข้ามประเทศมาให้อีก....เป็นกุรุ จะบอกให้.... ++ดิฉันรู้จักครอบครัวสามีตอนก่อนแต่งงานแค่วันเดียว ตอนแรกน้องชายสามี ดิฉันเป็นคนไปรับที่สนามบินแล้วก็พามาพักที่บ้าน ทำกับข้าวให้กิน พาออกไปเที่ยวไปว่ายน้ำ ++กับพ่อแม่สามี ดิฉันกับสามีไปรับเค้าที่สนามบิน วันแรกเพราะความที่พวกเค้าไม่ได้เจอกันมาตั้งสองปี ก็เลยจับกลุ่มคุยกัน นั่นคือพ่อแม่ ลูกชายห้าคน และนอ้งสะใภ้อีกคน (ซึ่งเป็นยายแหม่ม) ..อาจจะเป็นเพราะว่าเค้าเหนื่อยกับการเดินทางหรือดีใจที่ได้เจอลูกชายคนเกินไป เลยไม่มีใครถามคำถามอะไรดิฉัน จนดิฉันชักจะวีน ณ ตรงนั้น เพราะความที่ถูกเลี้ยงแบบตามใจ ดิฉันเลยไม่ย้อมไม่ยอม..ลุกพรุนพลันออกจากวงสนทนา เข้าห้อง กรีดร้อง กรี๊ด กรี๊ด โดยมีสามีเปิดประตูเข้ามาติด ๆ และมาปลอบใจ.."ฉันจะไม่ยอมไปกินข้าวกับครอบครัวบ้า ๆ ของคุณเด็ดขาด ฉันเกลียดนังน้องสะใภ้ฝาหรั่งของคุณ ฉันเกลียดครอบครัวฝาหรั่งบ้านนอกของคุณ กรี๊ด"""""(แบบฉบับนังร้าย) สามีอ้อนวอนค่ะ ทำยังไงก็ได้ เค้ายินดีทำขอให้ดิฉันมีความสุข คืนนั้นคุณพ่อคุณแม่สามี ท่านนั่งรอดิฉันไปดื่มด้วยที่ร๊อบบี้โรงแรมเกือบชั่วโมง แล้วท่านก็ฝากมาบอกว่า ถ้าดิฉันเหนื่อยก็จงพักผ่อนเถอะยังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกเยอะ...แต่พอวันต่อมา และถึงวันงาน ถึงได้รู้ว่าดิฉันงี่เง่า และไม่โตเลย ละอายใจมาก ท่านน่ารักมาก (ยิ่งกว่าพ่อแม่เราอีกแนะ) ท่านเอ็นดูดิฉัน สนิทสนมพูดคุยกันถูกคอมาก ๆ และหัวเราะคิกคัก..เพราะท่านไม่มีลูกสาวดิฉันเลยอ้อนเอา อ้อนเอาจนไม่รู้ท่าใหน ท่านทั้งสองตัดสินใจ ณ คืนสุดท้ายให้เงินก้อนหนึ่ง (ใหญ่) เป็นของขวัญเพื่อมาสร้างครอบครัวสำหรับดิฉันและสามี ก่อนท่านบินกลับ ดิฉันร้องไห้ที่สนามบินค่ะ..คิดถึงท่านมาก ท่านทั้งสองก็น้ำตาคลอเบ้า..ดิฉันเชื่อว่าตอนนี้ดิฉันมีแม่อยู่สองคน และพ่ออีกสองคน...และจะรักและปรนนิบัติเหมือนที่ดิฉันรักและปรนนิบัติพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองเลยแหละ........ขอให้คุณเจ้าของกระทู้จงเปลี่ยนสถานการณ์ร้ายเป็นดีได้เร็ววันเร็วคืน จากคุณ : คุณนาย แฮร์ริงตัน - [ 8 เม.ย. 47 08:50:01 A:219.76.64.1 X: ]

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าแต่งงานกันแล้ว คุณต้องไปอยู่ร่วมบ้านกับเขาหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ต้อง คุณก็ไม่ต้องสนใจมาก คนเราจะแต่งงานแล้วก็ต้องเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องงานแต่งจะล่มไม่ล่ม มันอยู่ที่คุณสองคน รักกันจริงไม่ต้องมีงานเลยก็ยังได้ ถ้าคนของคุณแน่วแน่ที่จะให้คุณมาเป็นคู่ชีวิตเสียอย่าง โดยส่วนใหญ่ฝรั่งที่บอกกับพ่อแม่ว่าจะแต่งงาน เป็นการบอกให้รับทราบ ไม่ใช่ขอนุญาตตัดสินใจ เขาถือว่าชีวิตใครชีวิตมัน นอกเสียจากชีวิตยังต้องวนเวียนทำธุรกิจร่วมกัน สืบทอดกิจการกันไป คล้ายธรรมเนียมจีน โชคดีค่ะ จากคุณ : mrs.night owl - [ 8 เม.ย. 47 09:27:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แอบมาขำคุณฟ้า และก็มาเอาใจช่วยเจ้าของกระทู้ค่ะ ตอนแรกที่ดิฉันจะแต่งงานพ่อสามีก็ไม่ยอมเหมือนกันเพราะว่าแฟนเพิ่ง 21 (เราหลอกเด็กอีกแล้ว อิอิ) และน้าของแฟนเคยแต่งงานกับคนแคนาเดียนแล้วโดนหลอกเพราะว่าผู้ชายอยากได้แต่ใบเขียวก็เลยแต่งงาน หลังจากได้ใบเขียวแล้วก็ถีบหัวส่งน้าสาวแฟน ครอบครัวของแฟนก็เลยไม่อยากให้แฟนแต่งงานกับดิฉันเพราะกลัวว่าประวัติศาตร์จะซ้ำรอย แต่แฟนก็ดึงดันจะแต่งให้ได้ ในที่สุดก็ได้แต่งกันโดยมีแต่แม่แฟนกับแฟนเท่านั้นที่มาเมืองไทย หลังจากแต่งงานกันดิฉันต้องแยกกับแฟนอยู่ 1 ปี เพราะว่าแฟนไม่สามารถพาไปอยู่ที่ญี่ปุ่นได้ (เป็นทหารและประจำการที่ญี่ปุ่น) จนในที่สุดพอแฟนได้ย้ายกลับมาที่อเมริกาดิฉันถึงได้เจอกับพ่อและแม่เลี้ยงสามี จากที่เคยคิดว่าเค้าคงไม่ต้องรับเรา ผิดคาดค่ะ พ่อกับแม่ใจดีมาก เค้าคงรักเราเพราะว่าลูกเค้ารักเราด้วยล่ะมั๊ง ตอนนี้เหรอคะ เวลาทะเลาะกันกับแฟนทีไร ดิฉันต้องโทรไปหาพ่อกับแม่เค้า หลังจากนั้นแฟนก็เตรียมหูบานได้เพราะว่าพ่อกับแม่แฟนจะโทรมาเฉ่งแฟนของดิฉันแทน อิอิ ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณสู้ต่อไปค่ะ พยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าเรารักลูกเค้าจริง แล้วก็จะสมหวังเองค่ะ ป.ล ถ้าทำถึงที่สุดแล้วพ่อเค้าไม่ยอมรับก็ช่างปะไร เราไม่ได้อยู่กับพ่อเค้าซะหน่อย จากคุณ : ออน - [ 8 เม.ย. 47 09:37:45 A:66.75.144.39 X: ]

ความคิดเห็นที่ 26 ขอยืมพื้นที่เจ้าของกระทู้นะคะ ..อ้า...เอิง เอ๊ย มาล้วงความลับคุณออน ในที่สุดก็รู้ว่าชอบหลอกเด็ก..แอ้..เด็กทุกวันนี้ชอบแก่แดดเสียด้วย ฮิ ฮิ แน่ใจนะคะว่าไม่โดนเด็กหลอก...เป็นความรักที่ต้องอดทนมาก เวลาหนึ่งปีไม่ใช่สั้น ๆ ถ้าเป็นฟ้าคงต้องนั่งเรือพาย เรือแจว เรือบานาน่าโบสไปหาฝามีแล้วหล่ะค่ะ..ห่างสามีไม่ได้นานวิญญาณชะนีเข้าสิง..แล้วจะเอาความอดทนของคุณออนมาเป็นตัวอย่างในชีวิตคู่คะ จากคุณ : คุณนาย แฮร์ริงตัน - [ 8 เม.ย. 47 10:03:46 A:219.78.44.60 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาให้กำลังใจเจ้าของกระทู้ค่ะ สู้ๆนะคะ เรื่องอย่างนี้พูดลำบากค่ะ มา เด๋วเล่าเรื่องหมูแฮมให้ฟัง ตอนแม่แฟนรู้เรื่องลูกชายเค้ากะหมูแฮม เค้าโทรหาลูกชายเลยค่ะ ตอนนั้นคุณชายเธอไปทะเลกะเพื่อนส่วนแม่แฟนอยู่บ้านน่ะค่ะ แล้วหมูแฮมส่งจดหมายไปหาเค้า แม่เค้าเลยเซ้นส์ได้ เพราะลูกชายบอกว่าจะมาเมืองไทย แล้วอยู่ดีๆก็มีผู้หญิงไทยส่งจดหมายไปหา เค้าก็บอกลูกชายเค้าว่าให้ระวังต่างๆนาๆ เพราะเพื่อนเค้าสองคนแต่งงานกับผู้หญิงไทยแล้วโดนหลอกน่ะค่ะ คนนึงถูกพรากลูก อีกคนนึงนี่หมดตัวเลย (เข้าข่ายว่า แต่งงานกับบ้านผู้หญิงน่ะค่ะ) เค้าก็กลัวว่าเราจะมาหลอกลูกชายเค้าอีก ตอนแรกที่รู้นี่อึ้งเลยค่ะ เครียดเลยแหละ เพราะรู้สึกว่าถ้า first impression ของเค้าต่อเราเป็นอย่างงี้ ไม่ดีแน่ๆ แต่พอเจอกันจริงๆ แม่เค้าก็ดีนะ ดูแลเราเหมือนลูกเลย (จริงๆดูๆไปแล้วก็เหมือนกะว่า เค้าเป็นห่วงลูกนั่นแหละค่ะ) หมูแฮมก็ทำตัวดีกับเค้า มีอะไรก็ช่วย ให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เลยค่ะ ทำดีเข้าไว้เยอะๆ ชนะใจทุกรายค่ะ จากคุณ : ...hamster... - [ 8 เม.ย. 47 11:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อยากถามคำถามเหมือนกันค่ะ ถ้าแต่งงานกันแล้วนี่ จะมีโอกาสที่คุณพ่อสามีจะเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตคู่ของคุณมากน้อยขนาดไหนค่ะ แต่เท่าที่เห็นชาวต่างชาติส่วนมาก เค้าก็จะมีชีวิตครอบครัวที่แยกออกมาเป็นเอกเทศหลังจากแต่งงานน่ะค่ะ ถ้าคุณพ่อสามีไม่เข้ามาก้าวก่ายมาก ก็ปล่อยๆแกบ้างเถอะค่ะ แกแก่แล้ว... ขอเล่าประสบการณ์บ้าง..ตอนแรกที่จะเจอกับครอบครัวของแฟนก็ประหม่ามากค่ะ กลัวไปทุกเรื่องเลย ก็มีหลายเรื่องที่เค้าพูดเกี่ยวกับเราแล้วมันไม่ใช่สิ่งดีเลย... มีเฉยๆบ้าง เพราะคิดว่ามันไม่ใช่ แต่มากๆไป ก็โกรธจนลมออกหูเลยค่ะ... เคยฝากแฟนไปบอกแม่เค้าเลยว่า ฉันไม่แคร์หรอกว่าเคาคิดยังไง.. เพราะชั้นไม่ได้อาศัยเงินทองของเค้าอยู่กิน... อะไรประมาณนั้น แต่ตอนที่อารมณ์ดีกันทั้งสองฝ่ายน่ะค่ะ อาหารและขนมส่งกันข้ามไปข้ามมาเลยค่ะ ตอนนี้ต่างคนต่างอยู่ เค้าก็มีความคิดเกี่ยวกับเราที่เปลี่ยนไป เหมือนกันค่ะ ถ้าทะเลาะกันแฟนทีไร...ไม่เค้าเรียกแฟนไปเฉ่งทุกที.... แฟนยังบอกเลยว่า ที่บ้านเค้ารักเรามากกว่ารักเค้าทุกคน....(ดีใจมากเลยน่ะ) โดยลักษณะนิสัยของคนไทยที่เข้ากับคนง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ ใจดี รักเด็ก...ฯลฯ ไม่ว่าใครถ้าไม่ตาบอดหรือสมองไม่รับรู้อะไร ก็คงอดที่จะรักคนไทยไม่ได้หรอกน่ะค่ะ.... พยายามใจเย็นๆน่ะค่ะ ถ้าที่เค้าพูดเกี่ยวกับเรา แล้วมันไม่ใช่เรื่องจริง ก็อย่าเก็บมาเป็นอารมณืค่ะ บางทีเราอาจจะต้องเล่นบทแม่พระ เพื่อที่จะชนะใจทุกคนบ้าง (แต่ไม่ใช่เสแสร้ง น่ะค่ะ)...ความรักและความจริงใจที่เรามีจะช่วยเปลี่ยนใจเค้าสักวันค่ะ... เอาใจช่วยน่ะค่ะ จากคุณ : เป้ค่ะ - [ 8 เม.ย. 47 11:47:12 A:202.80.225.69 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 Is your future husband French? Almost of them are economy (some are too much). I was looked down too cause of my husband (didn't tell the truth story). The first year of married my father-in-laws shouted to me that I used too much washing machine (I cleaned their clothes before cleaned mine and my husband's.) A few years after I have worked, he proposed me to use it anytimes when I want. It is the power of money in anywhere of this world. It is the same no exceptional. German women does too because many Thai women married with german guys I think. I couldn't find any European friends when I stayed in Indo. When I went down to the pool of service apartment (to look for some friends). All european women got up from the pool and left without saying any hello. I gave up to find a friend, I found the job instead and then the friends were coming out. It sounds so negative but it is real world. There are both sides, good and bad, negative and positive,... Finally I met one German friend after met a Korean friend. I miss my Korean friend so much. We lost the contact because of the evolution in Indo. How can I find her? จากคุณ : JJ - [ 8 เม.ย. 47 15:20:32 A:194.2.176.231 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 I had the same experience as Khun Haapy Ya. It is no exceptional in this world. Everywhere has the same (International) problem. จากคุณ : JJ - [ 8 เม.ย. 47 15:23:41 A:194.2.176.231 X: ]

ความคิดเห็นที่ 31 เห็นด้วย กับคุณโอเวอร์ซีส์ เรื่องทำพรีนัป ลองให้แฟนคุยกับคุณพ่อเขาดู ถ้าเขาห่วงแค่สมบัติ ก็ควรหมดปัญหานะคะ ถ้ายังไม่ยอม ก็แสดงว่า เป็นอคติส่วนตัว แก้ไม่ได้ (ถ้าเราทำให้เขาเปลี่ยนความคิดได้ในภายหลัง ก็ดีไป) แต่การแต่งงานไม่ควรจะล่มเพราะความเห็นของพ่อของแฟนคนเดียว ถ้ารักกันจริง มันเป็นเรื่องของคุณ กับ แฟนของคุณมากกว่า แต่ง หรือ ไม่แต่งแน่ ตกลงกันให้ดีค่ะ จากคุณ : *ProuD* - [ 8 เม.ย. 47 16:01:04 ]

ความคิดเห็นที่ 32 JJ.....Right, I just came across your story which is useful. I have got the story like you about the best friends. I have got a good friend from Germany and another one is from Korea. What is very sad that I have lost contact with my Korean friend cause I have moved a lot and changed my e-mail address as well. Having lost a good friend indeliberately is like having lost a good memory. จากคุณ : คุณนาย แฮร์ริงตัน - [ 8 เม.ย. 47 16:14:50 A:219.78.193.230 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 หากเขารักเราจริง อุปสรรคแค่นี้เขาต้องฝ่าฟันไปได้ค่ะ เพราะคนที่รู้จักคุณดีที่สุดคือ แฟนคุณ ส่วนเรื่องพ่อแม่นั้นก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะประเทศเรามีภาพที่ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่เกี่ยวกับผู้หญิงไทยที่แต่งงานกับฝรั่ง ในอดีตนะคะ คิดว่ายุคนี้คงจะมีน้อยลง เพราะเท่าที่รู้มา หญิงไทยในปัจจุบันที่มีสามีเป็นฝรั่งนั้น ต่างก็มีการศึกษา มีหน้าที่การงานที่ดีในเมืองไทย ก่อนที่จะตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่ที่เมืองนอก เราก็ต้องช่วยกันลบล้างภาพเก่า ๆ ซึ่งมันก็ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากนักหรอกค่ะ ก็ขอให้เรื่องผ่านไปได้ด้วยดีนะคะ จากคุณ : ผ่านมา - [ 8 เม.ย. 47 18:25:45 A:81.53.181.179 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่ให้กำลังใจหนูค่ะ ซึ้งๆมากๆ ก็อยากที่บอกแหละค่ะว่า หนูจะทนและจะรอ จะพิสูจน์ตนเอง อ้อมีเรื่องมาระบายอีกเรื่องนึงค่ะ ตอนที่หนูไปเยียมบ้านเค้า แล้วทั้งบ้านไปล่าสัตว์กัน ด้วยความที่ไม่เคยล่าสัตว์มาก่อน และฟังดูน่าตื่นเต้น จึงตกลงจะไปด้วย คือจะไปเป็นคนล่อสัตว์ออกมา พ่อแฟนก็ตกใจแล้วบอกว่าอย่างเธอน่ะ ไปช่วยแม่เตรียมกับข้าวดีกว่า หนูก็ยืนยันค่ะจะไปล่าด้วย พอถึงวันนั้นก็สนุกเต็มที่ค่ะ แต่ไปร่วนเฉพาะช่วงเช้า ช่วงบ่ายหนูไปช่วยแม่เตรียมอาหารให้ทุกคน พอตกเย็นมีงานเลี้ยงนักล่าสัตว์และทุกคนที่เข้าร่วม หนูก็เห็นเค้ารวบเงินกันใส่ในหมวก หนูก็ไม่รู้ว่าทำไม จนแฟนมาถามว่าได้เงินหรือยัง หนูงงเงินอะไร ไม่ได้อะไรทั้งนั้น จนกลับมาถึงบ้านค่ะ แฟนก็ถามอีกที หนูถามว่ามันคือเงินอะไร แฟนอธิบายนักล่าสัตว์เค้าจะรวมเงินกัน เพื่อจ่ายให้คนที่ไปล่อสัตว์ แล้วทุกคนก็ได้ ยกเว้นหนู หนูก็ไม่ติดใจอะไร เพราะคิดว่าเค้าไม่ให้ เนื่องจากหนูไปช่วยแม่เตรียมอาหารตอนบ่าย หนูนึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนอีกคนนึงเค้าทำเหมือนหนูเปี้ยบ ออกป่าครึ่งเช้า ครึ่งบ่ายมาเตรียมอาหาร หนูถามแฟนว่า เค้าได้เงินไหม แฟนบอกว่าได้ ตอนนั้นหนูโมโหมากค่ะ ทำไมทำเหมือนกันแล้วหนูถึงไม่ได้ หนูร้องไห้(ไม่ได้ร้องเพราะไม่ได้เงินนะ แต่ น้อยใจพ่อเค้ามากๆ พ่อเค้าเป็นหัวหน้า เป็นคนแบ่งเงินค่ะ) หนูบอกแฟนทั้งน้ำตาว่า "พ่อคุณเห็นชั้นเป็นตัวอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ ทำไมเค้าไม่สนใจชั้น ทำไมค้าไม่แฟร์ ชั้นไม่ชอบพ่อคุณ" แฟนก็สงสารค่ะ แล้วก็พูดว่า "เค้าก็เคยทำกับผมเหมือนที่เค้าทำกับคุณนั่นแหละ" หนูยิ่งร้องไห้เข้าไปใหญ่ ตกลงเราสองคนเป็นแกะดำใช่ไหมค่ะ? เรื่องมันผ่านไปแล้วตอนนี้เฉยๆแล้วค่ะ ยังไงก็ขอบคุณแม่บ้านทุกท่านนะคะ หนูจะจำคำสอน และปอลบใจเหล่านี้ไว้ค่ะ เป็นประโยชน์มากๆ ตอนนี้หนูรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ใช่เป็นคนเดียวที่เคยโดนแบบนี้ พี่ๆผ่านมันไปได้ หนูก็ต้องทำได้ สัญญาค่ะ จากคุณ : dj_nck - [ 8 เม.ย. 47 19:39:08 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ตอนแรกนึกว่า พ่อแฟนใจร้ายขนาดให้เราไปล่อสัตว์แล้วล่าหนูแทน (แบบแกล้งยิ่งผิดน่ะ จินตนาการโหดไปหน่อยนะ โทษที พี่มันพวกฟุ้งซ่าน) จากคุณ : *ProuD* - [ 8 เม.ย. 47 23:54:27 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่องเงินเป็นสาเหตุไม่พอใจของครอบครัวเขา ?? As you said " อุตส่าห์ผ่าฟันอุปสรรคเรื่องสินสอดมาได้ " I dont really get it why สินสอด is a big deal?? If so your Bf's parents may think of you that way, Its right?..resonable... If you dont want them misundersatnd about you.. You may have to make it clear why you wanna marry him.. And actually your Bf is supposed to be the one making the situation better... But seems he didnt help you much... If I have Bf whose parents don't agree to get together with me, and also look down on me or my family..I won't get that guy ..Coz i think I'm not that bad..They don't have right to do that to me.. Be yourself, keep trying if you really wanna marry him in any reasons...but be awared of the future...you gotta see those people for whole life... Sorry for my english .... Good luck to what you 've choosed... จากคุณ : Best wish - [ 9 เม.ย. 47 04:59:30 A:134.83.1.225 X: ]

ความคิดเห็นที่ 37 I agree with Khun "..Best wish.." , I never have experience about this but i think this problme about money ? and sorry too if it not .. But i really like about Khun "..Best wish say =) Good Luck To U ..Khun dj_nck =) And Happy Thai New year Kha จากคุณ : xjo (iad234) - [ 9 เม.ย. 47 10:20:02 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สำหรับตัวหนู ไม่อยากได้เงินเค้าหรอกค่ะ แฟนไม่รวย ขอบอกว่าไม่รวยเลย ทำงานทั้งเดืนได้เงินเดือนไม่ถึง1000 ยูโรด้วยซ้ำ มีแต่รายจ่าย มีแต่คนบอกว่าหนูโง่ แต่ไม่สนค่ะ เพราะหนูรัก ตอนนี้แฟนบอกว่าจะลาออกแล้วหางานใหม่ เอาที่มันมีรายได้มากกว่า พอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ นี่อาจเป็นอีกสาเหตุนึงที่พ่อเค้าไม่อยากให้แต่ง เหตุผลที่หนูอยากแต่งเพราะหนูอยากอยู่กะเค้า ไม่อยากแยกกันอยู่แบบนี้ มันทรมานค่ะ ส่วนเรื่องเงินสินสอด เป็นเรื่องที่แม่หนูขอ หนูก็อธิบายให้ท่านเข้าใจ แต่ท่านก็บอกว่ามันเป็นประเพณีของเรา พ่อแฟนเค้าคงกลัวเรื่องนี้ด้วยค่ะ ทุกคนในครอบครัวเค้าอึ้งเรื่องสินสอด แม้จะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยดี (สินสอดยังไม่ได้ให้นะคะ ตกลงกันเฉยๆ) แต่สุดท้ายก็จบแบบไม่ได้แต่ง หนูกะแฟนคบกันมา 3 ปี ถึงจะไม่นาน แต่ตลอดเวลาที่คบกันเค้ารักและซื่อสัตย์ เค้าไม่ได้ทิ้งหนูเพราะระยะทางเป็นเหตุ ไม่ได้มีคนใหม่เพราะอยู่ไกลกัน หนูนับถือเค้าค่ะ (นับถือตัวเองด้วย) หนูถึงอยากใช้ชีวิตอยู่กะเค้าชั่วชีวิต จากคุณ : dj_nck - [ 9 เม.ย. 47 12:41:55 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ผ่านมาอ่าน ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ ขอบอกว่า เรื่องสินสอดเนี่ยฝาหรั่งบางคน ไม่เข้าใจเลยธรรมเนียมและประเพณีของไทยค่ะ เขาคิดว่าฝ่ายเราจะขายลูกประมาณนี้ เฮ้อ... จากคุณ : bs (blabla) - [ 10 เม.ย. 47 00:28:22 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อย่าท้อ คุณเจ้าของกะทู้ ระยะทางพิสูตรม้า กาลเวลาพิสูตรคน ใช้เวลาหนอ่ยคะ ขอไห้อดทนไห้มากๆคะ ตามคุณแอนมาติดๆคะ จากคุณ : ชมพู่สีชมพู - [ 10 เม.ย. 47 01:21:51 ]

ความคิดเห็นที่ 41 สงสัยจะเขียนคำว่า พิสูตร ผิด ไครรู้ชว่ยแก้ไห้หนอ่ยคะ จากคุณ : ชมพู่สีชมพู - [ 10 เม.ย. 47 01:24:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ถึงคุณอดทนไว้นะ ลงทุนขอบัตรผ่านเลยเพื่อกระทู้หนู ขอบคุณมากๆค่ะ หนูรู้สึกว่าที่พี่เจอมาแย่กว่าหนูอีก (ขออนุญาตเรียกว่าพี่เพราะคุณอดทนทำงานแล้ว ต้องแก่กว่าหนูแน่ๆ) พี่โดนทุกคนในบ้าน แต่หนูโดนแค่พ่อแฟนค่ะ ที่เหลือเค้าชอบเราหมด(อันนี้แฟนบอกมา และสังเกตดูเองจากพฤติกรรม) เวลาพ่อแฟนโมโห หนูก็เฉยๆค่ะ ไม่ได้โต้ตอบอะไร แต่มันไปลงที่แม่กะแฟนค่ะ เค้าคงไม่อยากให้หนูกะลูกชายเค้าแต่งงานกัน เพียงแต่ไม่กล้าพูด เลยดึงเพื่อนมาพูด แล้วพ่อก็เชื่อทุกอย่างที่เพื่อนพูดค่ะ แถมเพื่อนคนนั้นยังมาชวนแฟนไปกินข้าวอีกเพื่อที่จะพูดเรื่องนี้อีกรอบ เพรารอบแรกแฟนไม่ฟัง แต่แฟนก็โทรไปบอกว่าไม่ไป แต่เก็พูดผ่านทางโทรศัพท์ค่ะว่า " ลองดูสิ ให้เวลาเธอสัก 6 เดือน แล้วคุณก็จะรู้ว่าเธอรักคุณจิงหรือเปล่า" รอมา 3 ปีแล้วยังรอได้ กะอีกแค่ 6เดือนทำไมกะรอไม่ได้ แต่ตอนที่แฟนเล่า หนูโมโหผู้ชายคนนั้น พูกยังกะหนูรู้จักงั้นแหละ หนูเลยลงที่แฟนค่ะ หนูบอกว่าขนาดยังไม่ได้แต่งยังเชื่อคนอื่นขนาดนี้ แล้วถ้าเกิดแต่งกัน ไอ้คนนี้มันมาพูดให้เลิกก็เลิกเหรอ แฟนหนูดันโมโหอีกค่ะ "คุณคิดจะแฟนคุณแบบนี้เหรอ" แล้วเค้าก็ไม่คุยกะหนูอีก จนหนูเช็คเมล์ เค้าส่งเมล์มาบอกว่า อย่าตำหนิเรื่องนี้สิ ผมพยายามทำทุกอย่างให้เราแต่งงานกันได้ ผมแต่พูดให้คุณฟังว่าเค้าพูดยังไง มันไม่ได้หมายความว่า ผมเชื่อเค้านี่ ตกลงหนูผิดใช่ไหมค่ะนี่ อ้อ ถึงพี่ๆแม่บ้านทุกคน สวัสดีปีใหม่ค่า หนูอยู่เมืองไทย (เชียงใหม่) เล่นน้ำเผื่อนะคะ จากคุณ : dj_nck - [ 10 เม.ย. 47 11:39:26 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อ่านบางคห.เหมือนในนิยายเลยนะคะ แต่เป็นชีวิตจริง ก็น่าเห็นใจสำหรับหลาย ๆ ท่านที่ต้องเจอกับสภาวะแบบนี้ ตอนแรกคิดว่าจะมีแบบนี้เฉพาะที่เมืองไทย ที่ไหนได้เมืองนอกเมืองนาก็เป็นไปด้วยแฮะ คุณ dj ก็บอกให้แฟนไปอยู่เมืองไทยซิคะ จะได้ไม่ต้องเจออีตาพ่อตาใจร้าย อิอิ สู้ต่อไปนะคะ จากคุณ : เอ๋ฝรั่งเศสค่ะ - [ 12 เม.ย. 47 21:36:07 A:203.151.206.82 X:81.48.136.152 ]