ความคิดเห็นที่ 1
การตัดสินใจเลือกสาขาที่จะเรียนต่อ
อยากแนะนำว่าหลังจากเรียนจบแล้วน่าจะลองทำงานดูก่อนสักประมาณ 1-2 ปี จะได้รู้ว่าตัวเราเองชอบและสนใจด้านไหน เพราะบางทีตอนที่เรียนปริญญาตรี เราอาจจะคิดไว้บ้างว่าอยากเรียนต่อปริญญาโทด้านไหน แต่พอไปทำงานจริงๆ แล้วอาจจะพบว่าเราไม่ได้ชอบงานลักษณะนั้นก็ได้ ไหนๆ จะมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ ต้องใช้เงินและเวลามากพอสมควร ก็น่าจะเลือกเรียนสิ่งที่เราชอบและเอาความรู้ไปใช้ในการทำงานได้จริงๆ
ที่จริงแล้วสาขาวิชาที่เอาความรู้ไปใช้ได้ในการทำงานได้โดยตรงอาจจะมีอยู่ไม่มาก แต่การเรียนทฤษฎีก็อาจจะให้แนวทาง ให้เรานำไปคิดต่อยอด เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานต่อไป
การเลือกมหาวิทยาลัยและคอร์สที่จะเรียนต่อ
1. เมื่อทราบแล้วว่าเราอยากไปเรียนสาขาอะไร ก็ต้องคิดต่อไปว่ามีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่มีชื่อเสียงในสาขาที่เราอยากไปเรียน
ถ้าไม่ทราบว่ามหาวิทยาลัยไหนดีบ้าง ก็ลองหา ranking จัดอันดับมหาวิทยาลัยในสาขานั้นมาดู ก็จะได้แนวคิดคร่าวๆ ว่ามหาวิทยาลัยไหนดีบ้าง (แต่ranking ก็ไม่ได้เชื่อถือได้เสมอไป ส่วนมากจะจัดอันดับโดยสื่อมวลชน และอันดับต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่อย่างน้อยทำให้เราทราบรายชื่อมหาวิทยาลัยที่น่าสนใจในสาขานั้นๆ ค่ะ)
ranking ของมหาวิทยาลัยในอังกฤษ - top 100 universities http://www.timesonline.co.uk/section/0,,716,00.html - แยกสาขาวิชา (ดูที่ตาราง ถ้าจะไปเรียน taught course เช่น MA, MSc, etc.ให้ดู Teaching Quality Assessment (TQA) ถ้าเรียน MPhil หรือ PhD ให้ดู RAE) http://www.timesonline.co.uk/section/0,,6734,00.html - Research Assessment Exercise (RAE) (สำหรับ MPhil และ PhD) http://www.hero.ac.uk/rae/rae_dynamic.cfm?myURL=http://195.194.167.103/Results/byuoa.asp - คำแนะนำเกี่ยวกับการเรียนในประเทศอังกฤษ http://www.britishcouncil.or.th/th/index.asp
ที่เว็บ ranking มักจะมี link ไปที่เว็บของมหาวิทยาลัยด้วย แต่ถ้าไม่มี link ก็ลองหาโดยใช้ Google ได้ค่ะ
2. พอได้รายชื่อมหาวิทยาลัยแล้วก็เข้าไปดูเว็บของมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เราสนใจ ดูรายละเอียดสาขาวิชาที่เราอยากเรียนว่าวิชาต่างๆ น่าสนใจหรือเปล่า ส่วนมาก core courses ของแต่ละมหาวิทยาลัยจะไม่ต่างกันมาก ส่วน optional courses ของแต่ละมหาวิทยาลัยอาจจะเน้นเรื่องต่างๆ ไม่เหมือนกัน ควรจะดูว่ามหาวิทยาลัยไหนมีวิชาที่เราอยากเรียน หรือเรียนวิชาไหนแล้วน่าจะมีประโยชน์กับการทำงานในอนาคต
ช่วงประมาณเดือนมกราหรือมิถุนา ทาง British Council จะจัดงานนิทรรศการศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ ก็ลองไปเดินดูว่ามีมหาวิทยาลัยไหนน่าสนใจบ้าง ที่งานจะมีฝรั่งที่เป็นตัวแทนจากมหาวิทยาลัย ตัวแทนจาก agency ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ในเมืองไทย และมีล่ามคนไทยคอยช่วยแปลให้ ลองไปคุยกับตัวแทนจากมหาวิทยาลัยดูก็ได้ แต่ส่วนมากตัวแทนฯ จะมาจากฝ่าย International Office และอาจจะตอบเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับสาขาวิชาที่เราต้องการสมัครไม่ได้มากนัก ตัวแทนฯ มักจะให้เราส่งเมล์ไปคุยกับภาควิชาที่เราต้องการสมัคร แต่ก็มีบางมหาวิทยาลัยที่ส่งอาจารย์มาเป็นตัวแทนฯ เท่าที่เราจำได้ก็คือ U of Leeds มีอาจารย์ที่สอนวิชาการเมืองไทย รู้สึกว่าจะพูดภาษาไทยได้ด้วย ตอนที่เรายังเป็นนิสิต เคยทำงานล่ามที่งานศึกษาต่อของ British Council ก็เลยพอจะคุ้นเคยกับงานศึกษาต่ออยู่บ้าง แต่หลายมหาวิทยาลัยที่ดังมากๆ ก็ไม่ได้ส่งตัวแทนไปร่วมงานศึกษาต่อ
เวลาไปงานศึกษาต่อแบบนี้ มหาวิทยาลัยที่เป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยมากหน่อย ก็จะมีคนเข้าคิวไปถามรายละเอียดและขอใบสมัครกันเยอะ เวลาเดินเข้าไปถามรายละเอียด ตัวแทนฯ มักจะถามเราก่อนเลยว่า ตอนปริญญาตรีได้เกรดเท่าไหร่ และจะถามต่อว่า เรียนที่มหาวิทยาลัยอะไรมา บางคนได้เกรดไม่ถึง 3.00 ตัวแทนฯ ก็มักจะบอกว่า คงยากนะ อาจจะสมัครไม่ได้ แต่ฟังแบบนี้แล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะไม่มีใครบอกได้ว่ามหาวิทยาลัยจะรับหรือไม่รับเรา จนกว่าเราจะได้ส่งใบสมัครไปให้มหาวิทยาลัยพิจารณาค่ะ บางทีเกรดเราอาจจะไม่ได้สูงมาก แต่พอพิจารณาหลายๆ ปัจจัย เช่น คะแนนภาษาอังกฤษ statement of purpose ประสบการณ์การทำงาน มหาวิทยาลัยก็อาจจะรับเราก็ได้ ฉะนั้นถ้าอยากเข้ามหาวิทยาลัยไหน ก็ลองสมัครดูก่อน ถ้าไม่สมัครเลย ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้นะคะ
การติดต่อมหาวิทยาลัย
มี 2 วิธี คือ
1. การติดต่อมหาวิทยาลัยโดยตรง 2. การติดต่อผ่าน agency - มักจะไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะ agency จะได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากมหาวิทยาลัยหากเราได้เข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยนั้นๆ อยู่แล้ว โดยทาง agency จะช่วยดำเนินการขั้นตอนทุกอย่างให้ นับตั้งแต่การให้คำปรึกษาเรื่องการเขียนใบสมัคร การส่งใบสมัคร และผลการตอบรับจากมหาวิทยาลัย กรณีที่มหาวิทยาลัยตอบรับ agency ก็จะช่วยให้คำแนะนำเรื่องการสมัครหอมหาวิทยาลัย การซื้อตั๋วเครื่องบินด้วย ถ้าเราไม่ทราบขั้นตอนการสมัครมหาวิทยาลัย และต้องการคำแนะนำต่างๆ สมัครผ่าน agency ก็คงช่วยได้มาก
แต่ตามความเห็นของเราเอง เราคิดว่าติดต่อมหาวิทยาลัยเองโดยไม่ต้องผ่าน agency ก็น่าจะดี เพราะเราจะได้ตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยด้วยตัวเราเอง โดยพิจารณาจากข้อมูลเรื่องการเรียนการสอนเป็นหลัก ถ้าติดต่อผ่าน agency เค้ามักจะเชียร์ให้สมัครมหาวิทยาลัยที่เค้าเป็นตัวแทนอยู่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นในสาขาวิชาที่เราอยากเรียนก็ได้ อีกอย่างนึง ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในการเรียนของแต่ละมหาวิทยาลัยที่อังกฤษจะไม่ต่างกันมาก (ยกเว้นบางมหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยในลอนดอน ซึ่งค่าเรียนและค่ากินอยู่จะแพงกว่าเมืองอื่นๆ) เพราะฉะนั้นก็น่าจะเลือกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในสาขาที่เราจะเรียน จะได้มีอาจารย์เก่งๆ มีหนังสือและแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ซึ่งน่าจะทำให้เราได้รับความรู้คุ้มค่ากับการมาเรียนต่อต่างประเทศค่ะ
จากคุณ :
Aoyama
- [
วันเถลิงศก (15) 01:08:02
]
|
|
|