ความคิดเห็นที่ 1 ปัจจัยที่ทำให้ได้ทุนมีอะไรบ้าง??? ถ้าอยากสมัครทุน ก็ควรจะลองพิจารณาดูว่าการที่คนคนนึงจะได้รับพิจารณาให้ทุนเป็นเพราะว่าเขามีปัจจัยอะไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้เตรียมตัว และเติมเติมข้อบกพร่องของเรา สำหรับการสมัครทุนต่างๆ ได้ถูกทาง เท่าที่เราเห็น นักเรียนทุนมักจะมีคุณสมบัติต่อไปนี้ 1) ประวัติการเรียนดี เกรดสวย –- เป็นปัจจัยแรกที่กรรมการพิจารณาทุนจะดู เพราะคนที่ได้เกรดดีๆ ก็มักจะเป็นคนที่ตั้งใจเรียน มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองดีในระดับหนึ่ง ซึ่งกรรมการพิจารณาทุนมักจะเห็นว่าเกรดสวยๆ ก็เป็นแนวโน้มที่ดีว่าเมื่อได้รับทุนแล้ว ก็น่าจะตั้งใจเรียนจนสำเร็จการศึกษา ถ้าเราได้เกรดปริญญาตรีประมาณ 3.00 ขึ้นไป ก็มีสิทธิสมัครได้หลายทุน และควรหาจุดดีด้านอื่นๆ ของเรามาเสริม เพราะคนที่สมัครทุนคนอื่นๆ ที่ได้เกรดสูงๆ ก็คงมีอยู่ไม่น้อย 2) ประวัติการทำงานดี มีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้อง -– ข้อนี้ค่อนข้างจะสำคัญมากสำหรับการสมัครทุนของต่างประเทศ ซึ่งมักจะอยากให้ทุนกับคนที่มีประสบการณ์การทำงานมาพอสมควร เพราะการเรียนทฤษฎีในระดับปริญญาโทจะเป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นหากคนที่เรียนเคยมีประสบการณ์ทำงานในสาขานั้นๆ มาบ้าง 3) คะแนนภาษาอังกฤษ และคะแนนสอบอื่นๆ ดี –- เช่น ได้คะแนน IELTS สูงๆ ได้คะแนน GRE หรือ GMAT เยอะๆ (แต่ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยในอังกฤษจะไม่ได้บังคับให้ส่งคะแนน GRE และ GMAT ยกเว้นในบางสาขาวิชา เช่น MBA) 4) เขียนใบสมัครทุนได้ชัดเจน และเขียนเรียงความสมัครทุนได้ดี ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองได้ครบถ้วนและถูกใจกรรมการ -– ข้อนี้สำคัญไม่แพ้ข้ออื่นๆ เพราะว่ากรรมการที่พิจารณาทุนจะรู้จักผู้สมัครจากการอ่านใบสมัครทุน ฉะนั้นถ้าเราเขียนอธิบายเกี่ยวกับตัวเองได้ชัดเจนดี ก็เท่ากับว่าเราเปิดโอกาสให้กรรมการได้รู้จักเรามากขึ้น ถ้ากรรมการอ่านแล้วสนใจใบสมัครทุนของเรา ก็จะหยิบใบสมัครของเราขึ้นมาพิจารณาเพื่อเรียกสัมภาษณ์ต่อไป 5) ตอบคำถามในการสัมภาษณ์ได้ดี มีบุคลิกดี รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า – มีหลายคนที่มีทั้ง 4 ข้อแรกครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่าง แต่พอต้องสอบสัมภาษณ์ทุนทีไร ก็ไม่เคยได้ทุนสักที เพราะตอบคำถามได้ไม่ถูกใจกรรมการ หรือมีบุคลิกบางอย่างที่ไม่เหมาะสมกับทุนนั้นๆ เช่น บางคนสมัครทุนที่จะต้องกลับไปทำงานใช้ทุนเป็นข้าราชการ แต่บุคลิกดูเป็นคนใจร้อนวู่วาม โมโหง่าย เวลากรรมการสร้างความกดดันเพื่อทดสอบความมั่นคงทางอารมณ์ก็เผลอโมโหกรรมการจนออกนอกหน้าทุกที ทำให้กรรมการเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะทำงานเป็นข้าราชการ เป็นต้น คุณสมบัติข้อ 1) ถึง 3) เป็นสิ่งที่ช่วยเสริมกันได้ หากอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ดี ก็อาจจะใช้คุณสมบัติข้ออื่นมาช่วยได้บ้างในระดับหนึ่ง เช่น ถ้าได้เกรดไม่ถึงขั้นดีมาก ก็อาจจะทำงานดีๆ สอบให้ได้คะแนนภาษาอังกฤษดีๆ หรือถ้าไม่มีประสบการณ์การทำงาน แต่ได้เกรดสูง และมีผลคะแนนภาษาอังกฤษอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ก็อาจจะช่วยทดแทนกันได้บ้าง จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 06:20:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การเตรียมตัวเพื่อสมัครทุน พอรู้แล้วว่าคนที่ได้รับทุนมักจะมีลักษณะยังไง ตอนนี้เราก็สามารถเตรียมตัวเพื่อให้เรามีคุณสมบัติต่างๆ ครบถ้วน และเป็นอีกคนนึงที่สอบได้ทุนเหมือนกัน หากเราต้องการสมัครทุนจากต่างประเทศซึ่งมักจะพิจารณาคุณสมบัติด้านต่างๆ ทั้งด้านการเรียนและประสบการณ์การทำงาน การเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยเราได้มาก ห้องรวมไกลบ้านและ around UK มีคนอ่านกระทู้ตั้งแต่น้องๆ ระดับมัธยม ไปจนถึงพี่ๆ ปริญญาเอก และคนทำงาน เพราะฉะนั้นเรื่องการเตรียมตัวสมัครทุนก็จะเขียนให้แนวทางสำหรับผู้อ่านระดับต่างๆ ดังนี้นะคะ สำหรับน้องๆ ที่ยังเรียนอยู่ในระดับปริญญาตรี 1) เริ่มคิดวางแผนเรื่องการเรียนปริญญาโท เลือกเรียนวิชาเลือกเกี่ยวกับสาขาที่เราอยากเรียนต่อให้เยอะๆ และพยายามทำเกรดให้ดีๆ เพื่อให้ประวัติการเรียนของเราดูโดดเด่นและเหมาะสมที่จะได้รับทุน -- การเตรียมตัวเพื่อสมัครทุนจะให้ผลดีที่สุดหากเริ่มคิดวางแผนตั้งแต่ยังเรียนปริญญาตรี เริ่มแรกให้คิดไว้ว่าเราอยากเรียนต่อในสาขาอะไร พอเลือกวิชาเอกหรือเลือกภาควิชาแล้ว เรียนวิชาไหนทำให้รู้สึกสนุกและรู้สึกน่าสนใจที่สุด หรือบางทีเราอาจจะพบว่ามีสาขาอื่นๆ ที่เราไม่ได้เรียนในระดับปริญญาตรี แต่สนใจอยากรู้เพิ่มเติมก็ได้ เวลาเลือกวิชาเลือกนอกสาขา หรือวิชาเลือกเสรี (บางมหาวิทยาลัยเรียกว่า วิชาศึกษาทั่วไป) ก็ให้เลือกวิชาที่เราสนใจ อาจจะเป็นวิชานอกคณะก็ได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเราเองได้รู้จักวิชานั้นๆ มากขึ้น เช่น ถ้าเรียนป.ตรีสาขาวิศวะ แต่สนใจด้านการบริหารธุรกิจ หรือการตลาด ก็ไปเลือกลงเรียนวิชาการบริหารธุรกิจ หรือหลักการตลาดเบื้องต้นของคณะบัญชีได้ การได้เรียนวิชาอื่นๆ ไว้บ้าง จะเป็นผลดีเวลาเราสมัครทุนระดับปริญญาโท (โดยเฉพาะในกรณีที่เราอยากเรียนปริญญาโทสาขาที่ไม่เหมือนกับตอนเรียนปริญญาตรี) เพราะเราจะได้เขียนในเรียงความสมัครทุนได้ว่า เรามีพื้นความรู้ด้านนี้มาบ้าง เพราะเคยไปลงเรียนวิชานั้นวิชานี้เอาไว้ และยังแสดงให้เห็นด้วยว่าเราเป็นคนที่รู้จักวางแผนเพื่ออนาคต ทำอะไรอย่างมีหลักการ การเรียนวิชาอื่นๆ นอกสาขายังเป็นผลดีกับการสมัครงานด้วย เพราะปีนึงก็คงมีคนจบสาขาเดียวกับเรามากมาย ถ้าเรารู้อะไรกว้างและลึกกว่าคนอื่น ก็มีโอกาสที่จะได้ทำงานดีๆ ในองค์กรดีๆ มากขึ้นด้วย 2) เริ่มสร้างประสบการณ์การทำงานให้กับตัวเราเองตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรี และพยายามพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเราด้วยการทำกิจกรรมเยอะๆ -- นอกจากวิชาเรียนแล้ว เราก็ควรจะหาโอกาสไปฝึกงานหรือทำงานพิเศษ เข้าค่ายอาสาพัฒนา ทำกิจกรรมนอกหลักสูตรกับเพื่อนๆ บ้าง เพื่อหาประสบการณ์ และจะได้เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นๆ ได้ดียิ่งขึ้น ถ้าได้เป็นหัวหน้ากิจกรรมบ้างก็จะยิ่งดี จะเรียนรู้ที่จะทำงานและคิดอย่างเป็นระบบ ประสบการณ์เหล่านี้นอกจากจะเป็นสิ่งที่นำมาเขียนในเรียงความสมัครทุนได้แล้ว ก็ยังช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของเราด้วย ซึ่งจะมีประโยชน์มากเวลาเราทำงานหลังจากเรียนจบ คนที่เพิ่งจบใหม่ๆ แต่สามารถเขียนประสบการณ์การทำงานและกิจกรรมลงใน CV ย่อมได้เปรียบกว่าคนที่เพิ่งจบเหมือนกันแต่มีเพียงประวัติการศึกษาใน CV เพราะตอนที่เรียนไม่เคยทำงานทำกิจกรรมอะไรเลย อีกอย่างหนึ่ง เวลาสอบสัมภาษณ์ทุน คนที่เคยทำกิจกรรม เคยทำงานพบปะผู้คนมามากๆ ก็จะดูมีความมั่นใจกว่าคนที่เรียนอย่างเดียว ทำให้ดูแล้วมีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นผู้นำ พูดจาได้ฉะฉานไม่เคอะเขิน และประสบการณ์ที่จะนำมาเขียนใน CV สำหรับสมัครทุน ก็จะทำให้ประวัติของเราดูน่าสนใจยิ่งขึ้นด้วย สำหรับเพื่อนๆ ที่เรียนจบแล้วและกำลังมองหาทุนอยู่ ถึงจะเรียนจบมาแล้ว เราก็ยังสามารถสร้างเสริมประสบการณ์เพื่อเตรียมตัวสมัครทุนได้อยู่ เช่น 1) ถ้าเป็นไปได้ ควรจะเลือกทำงานกับองค์กรดีๆ หรือบริษัทที่ใหญ่และมีชื่อเสียงพอสมควร เพราะการได้ทำงานกับหน่วยงานดีๆ นอกจากจะเป็นการกลั่นกรองมาชั้นนึงว่าเรามีคุณสมบัติดีพอ จึงสามารถผ่านการคัดเลือกเข้าไปทำงานที่นั่นได้แล้ว ก็ยังทำให้เราได้เห็นตัวอย่างระบบการจัดการที่ดี มีระเบียบแบบแผน เพราะองค์กรใหญ่ๆ มักจะมีการวางแผนงานต่างๆ ที่ดีพอสมควร ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยเปิดมุมมองเรื่องการทำงานของเราให้กว้างขึ้น และที่สำคัญก็คือจะดีสำหรับการเขียนประวัติของเราเองในใบสมัครทุนและสำหรับการเปลี่ยนงานในอนาคต จริงๆ แล้วการทำงานในบริษัทใหญ่และบริษัทเล็กก็มีจุดดีและจุดด้อยต่างกันไป ถ้าทำงานบริษัทเล็กๆ พนักงานคนหนึ่งอาจจะต้องทำหน้าที่หลายอย่าง ทำให้ได้เรียนรู้งานกว้างกว่าคนที่ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ และบางทีก็อาจจะได้ชื่อตำแหน่งที่ดูดี เช่น ตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย แต่คนที่ทำงานในบริษัทใหญ่ก็จะได้เห็นระบบการจัดการที่ซับซ้อนกว่า มีโอกาสได้พบเจอคนจากองค์กรใหญ่ๆ องค์กรอื่นมากกว่า แม้ว่าตำแหน่งอาจจะดูเล็กกว่า ตามความเห็นของเรา ถ้าอยากได้ CV สวยๆ และอยากให้กรรมการสัมภาษณ์ทุนสนใจซักถามประวัติการทำงานของเรา แนะนำให้ทำงานในองค์กรใหญ่ๆ ที่เป็นที่รู้จักน่าจะดีกว่า 2) ควรจะหาโอกาสไปอบรมความรู้ในด้านต่างๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะความรู้เกี่ยวกับสาขาที่เราต้องการสมัครทุน เวลาไปอบรมอะไรมา ก็ควรจะจดหรือเก็บเอกสารต่างๆ เอาไว้ เวลาเขียนเรียงความและ CV เพื่อสมัครทุนจะได้เอามาพลิกๆ ดู แล้วก็เขียนเรียบเรียงเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่งของเราเกี่ยวกับสาขาที่เราต้องการสมัครทุนได้ 3) เวลาทำงาน ให้พยายามหาโอกาสที่จะได้เป็นผู้นำ หรือทำสิ่งที่เป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อจะได้หาประสบการณ์ และเรียนรู้ที่จะริเริ่มทำสิ่งต่างๆ อย่างเป็นระบบด้วยตัวของเราเอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของเราให้ดียิ่งขึ้น แล้วก็ยังใช้เขียนในเรียงความสมัครทุนได้ด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าพอมีอะไรก็จะต้องไปแก่งแย่งเป็นหัวหน้างานกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น เพียงแต่ถ้ามีโอกาสที่จะได้ทำ ก็อยากให้ลองทำดู 4) ให้พยายามสังเกตงานของฝ่ายอื่นๆ ว่าเขาทำงานยังไง แล้วพยายามเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของงานที่เราทำเข้ากับงานของฝ่ายอื่นๆ ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นภาพรวมของระบบงานในบริษัทหรือในที่ทำงาน มองเห็นข้อดีและข้อบกพร่อง ลองคิดว่าถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการหรือเป็นหัวหน้าของหน่วยงาน จะปรับปรุงระบบงานนั้นได้อย่างไร และเราควรจะทำยังไงเพื่อปรับปรุงให้งานในส่วนที่เราทำอยู่เป็นไปได้ดียิ่งขึ้น และให้พยายามสังเกตเหตุการณ์รอบตัว ติดตามข่าวสารต่างๆ และลองคิดวิเคราะห์เหตุการณ์บ้านเมือง และฝึกจนเป็นนิสัย การมองให้กว้าง และคิดให้เป็น เป็นคุณสมบัติสำคัญที่จะช่วยให้เราได้พัฒนาลักษณะความเป็นผู้นำ รู้จักแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ดี คิดเป็น วิเคราะห์เป็น แล้วเวลาสอบสัมภาษณ์ทุน คำพูดและความคิดต่างๆ ของเราก็จะทำให้กรรมการพิจารณาทุนมองเห็นได้เองว่าเราก็เป็นอีกคนนึงที่ควรจะได้รับทุน 5) ควรจะสมัครทุนเมื่อเราพร้อม โดยเฉพาะถ้าเป็นทุน Chevening มักจะไม่ได้ดูที่เกรดเพียงอย่างเดียว แต่ดูที่ประสบการณ์การทำงานด้วย ถ้าเราเพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ถึงจะได้เกรดสูงมากๆ แต่ถ้าไปสมัครทุน ก็คงมีโอกาสได้ทุนน้อยกว่าคนที่เกรดดีด้วย แล้วก็มีประสบการณ์การทำงานดีๆ ด้วย 6) ถ้ากำลังเรียนปริญญาโทหรือจบปริญญาโทในเมืองไทยมาใบนึงแล้ว เวลาสมัครทุนไม่ควรสมัครสาขาซ้ำกับที่เคยเรียนปริญญาโทมาแล้ว เพราะจะทำให้โอกาสที่จะได้ทุนมีน้อยลง จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 06:23:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มีทุนอะไรบ้างที่เราสมัครได้??? เท่าที่เราทราบ แหล่งทุนสำหรับการเรียนที่อังกฤษก็มีอยู่ไม่น้อย เช่น ทุนรัฐบาลไทย (ทุนก.พ.) ทางก.พ. เปิดรับสมัครทุนระดับปริญญาสำหรับบุคคลทั่วไปเป็นประจำทุกปี ถ้าได้รับทุน ก็มีข้อผูกพันที่จะต้องกลับไปทำงานรับราชการเพื่อใช้ทุนเป็นเวลา 2 เท่าของระยะเวลาที่มาเรียนในต่างประเทศ เช่น เรียนปริญญาโทที่อังกฤษ ใช้เวลา 1 ปี ก็กลับไปใช้ทุนเป็นเวลา 2 ปี อ่านรายละเอียดการสมัครทุนได้จากเว็บไซต์ของก.พ. http://www.ocsc.go.th/ เราอยากอธิบายเรื่องระบบการขอทุนของหน่วยงานราชการสักนิดนึง เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้เข้าใจเรื่องการใช้ทุนมากขึ้น ก่อนที่ก.พ.จะประกาศรับสมัครทุนในแต่ละปี ก็จะต้องมีการแจ้งถามไปทางกระทรวงต่างๆ ก่อนว่าต้องการกำลังคนเพิ่มอีกเป็นจำนวนเท่าไร และต้องการคนที่มีความรู้ในด้านไหน สำเร็จการศึกษาจากประเทศอะไร ส่วนมากหน่วยงานต่างๆ จะทำงานเฉพาะด้านกันอยู่แล้ว ก็จะทราบว่ามหาวิทยาลัยในประเทศไหนที่เปิดสอนและมีชื่อเสียงในสาขานั้นๆ จากนั้นก.พ.ก็จะเปิดสอบทุนตามจำนวนและสาขาที่กระทรวงต่างๆ ต้องการ ฉะนั้นเวลาอ่านประกาศเรื่องทุน ถ้าอ่านรายละเอียดของแต่ละทุนก็จะเห็นคำว่า “ทุนตามความต้องการของ...(กระทรวง/ทบวง/กรม)... ไปศึกษาที่ประเทศ...” แสดงว่าถ้าได้รับทุนนั้นๆ เราก็จะต้องไปศึกษาที่ประเทศดังกล่าว และกลับไปทำงานที่หน่วยงานที่ขอทุนนั้นๆ เช่น ถ้าเราสมัครทุนตามความต้องการของสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก็จะต้องกลับไปใช้ทุนที่สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น ถ้าสนใจจะสมัครทุน ก.พ. อยากให้ลองถามตัวเองเป็นอันดับแรกว่า “อยากเป็นข้าราชการหรือเปล่า???” ถ้าอยากเป็น ก็วางแผนสมัครทุนได้เลย แต่ถ้าไม่อยากเป็นข้าราชการ และคิดว่าพอได้ทุนและใช้ทุนเสร็จก็จะลาออกไปทำงานเอกชน ก็ควรจะสมัครทุนอื่นๆ แทน เพราะทุนก.พ. เป็นทุนที่รัฐบาลจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้นักเรียนไทยได้มีโอกาสมาศึกษาเพิ่มเติมในต่างประเทศ และกลับไปทำงานเป็นข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถ เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป จุดคุ้มทุนของการส่งคนมาเรียน ไม่ได้อยู่ที่การที่นักเรียนทุนกลับไปใช้ทุนเป็นเวลา 2 ปี แต่อยู่ที่การที่นักเรียนทุนคนนั้นทำงานราชการต่อไปจนสามารถไต่เต้าขึ้นมาทำงานในระดับที่สูงขึ้น และใช้มุมมองและประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนในต่างประเทศมาปรับใช้กับการทำงาน มองเห็นข้อดีข้อเสียของระบบที่มีอยู่ในเมืองไทย และปรับปรุงให้ระบบนั้นดีและเหมาะสมกับเมืองไทย (กระทู้นี้เขียนขึ้นสำหรับคนที่กำลังมองหาทุน ถ้าใครที่ได้รับทุนแล้วและกำลังทำงานอยู่ และไม่เห็นด้วยกับที่เราเขียน ก็มาแบ่งปันประสบการณ์กันได้ค่ะ เพียงแต่อย่าลืมว่ากระทู้นี้ไม่ใช่กระทู้เถียงเรื่องทุนก.พ. หรือเรื่องระบบงานราชการ และแต่ละคนก็มีเหตุผลความจำเป็นต่างๆ กันไป เราเชื่อว่าถ้านักเรียนทุนมีปัจจัยทุกอย่างพร้อม ไม่เดือดร้อนเรื่องการเงินหรืออึดอัดใจกับปัญหาของระบบราชการ ทุกคนก็พร้อมที่จะทำงานรับใช้ประเทศชาติกันทั้งนั้น) และถ้าสมัครใจจะทำงานราชการและสมัครทุนก.พ. ก็ต้องเข้าใจความจริงข้อหนึ่งว่า ระบบราชการไทยเป็นระบบที่มีมานานแล้ว และกฎระเบียบต่างๆ หลายอย่างก็ถูกกำหนดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนๆ กฎบางอย่างไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนมาเป็นเวลานานหลายสิบปี ทำให้ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน บางทีคนที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ เข้าไปทำงานก็อาจจะรู้สึกว่าระบบระเบียบต่างๆ ทำให้เราทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเลย เวลาไปทำงานใช้ทุน ก็เป็นไปได้ที่เราอาจจะเจอปัญหาต่างๆ และจริงๆ แล้วทางรัฐบาลก็ได้พยายามที่จะปฏิรูประบบราชการกันอยู่ เพียงแต่ปัญหาทุกอย่างก็ไม่ได้แก้ไขได้ภายในวันสองวัน ปัญหาในระบบราชการไทยต้องใช้เวลาและใช้ความพยายามในการแก้ไข คนที่กลับไปทำงานใช้ทุนและเริ่มทำงานเป็นข้าราชการซี 4 หรือซี 5 ก็มักจะมีอำนาจหน้าที่จำกัด ทำอะไรไม่ได้มาก แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะทำอะไรดีๆ ไม่ได้เลย การที่เราเป็น “น้องใหม่” ของระบบราชการจะทำให้เรามองเห็นปัญหาได้มากกว่าคนที่ทำงานราชการมานานแล้วและเกิดความเคยชินกับระบบ ถ้าเรายังคงรักษาความตั้งใจที่จะทำสิ่งดีๆ และทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด เห็นข้อบกพร่องอะไรในระบบก็พยายามแก้ไข อันไหนแก้ไขเองไม่ได้ก็ปรึกษาหัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชา และไม่ท้อใจหนีไปจากระบบเสียก่อน เราก็จะสามารถทำสิ่งดีๆ เพื่อประเทศชาติและประชาชนได้แน่ๆ ไม่มากก็น้อย ข้าราชการก็เหมือนชิ้นส่วนต่างๆ ของรถยนต์ซึ่งก็เปรียบเหมือนประเทศของเรา ถ้าชิ้นส่วนต่างๆ พร้อมใจกันทำหน้าที่ของตัวเอง รถยนต์ก็จะเดินหน้าต่อไปได้และทำความเร็ววิ่งแซงรถยนต์คันอื่นๆ ไปได้ในที่สุด แล้วเราจะสมัครทุนแบบไหนได้บ้าง ??? ทุนประเภทที่นักเรียนส่วนใหญ่สมัครได้ก็คือ 1) ทุนก.พ. ดูรายละเอียดทุนได้ที่เว็บไซต์ http://203.170.253.2/Educations/backup/source/ds_ocsc.html • ทุนระดับปริญญาสำหรับบุคคลทั่วไป – มักจะเปิดรับสมัครช่วงปลายๆ ปี • ทุนระดับปริญญาสำหรับผู้ที่กำลังศึกษาต่อในต่างประเทศ หรือได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ – มักจะเปิดรับสมัครในช่วงเกือบๆ กลางปี 2) ทุนจากกระทรวงการต่างประเทศ (ทุนก.ต.) ดูรายละเอียดทุนได้ที่เว็บไซต์ http://203.170.253.2/Educations/backup/source/ds_foreign.html มักจะเปิดรับสมัครช่วงปลายๆ ปี พร้อมกับทุนระดับปริญญาสำหรับบุคคลทั่วไป 3) ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์ ดูรายละเอียดทุนได้ที่เว็บไซต์  http://203.170.253.2/Educations/backup/source/ds_foreign.html   มักจะเปิดรับสมัครช่วงปลายๆ ปี พร้อมกับทุนระดับปริญญาสำหรับบุคคลทั่วไป ผู้ที่ได้ผลการเรียนตั้งแต่  2.75 ขึ้นไปมีสิทธิสมัครทุนนี้ คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครสอบทุนตามความต้องการของส่วนราชการ                                 ( 1) ผู้มีสิทธิสมัครสอบต้องมีคุณสมบัติดังนี้ - เป็นผู้มีคุณสมบัตรตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 และเป็นผู้มีคุณสมบัติเฉพาะตามที่กำหนดไว้ในแต่ละหน่วยแนบท้ายประกาศ - ทุนระดับปริญญาโท หรือปริญญาโท-เอก เป็นผู้ได้รับปริญญาตรีหรือประกาศนียบัตรเทียบเท่าปริญญาตรี และมีผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรการศึกษาไม่ต่ำกว่า 2.75หรือ 3.00 แล้วแต่กรณี ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละหน่วยแนบท้ายประกาศ (ในระบบการวัดผลที่คิดคะแนนให้ A=4, B=3, C=2, D=1, E หรือ F=0) (2) กรณีผู้สมัครสอบที่มีผลการเรียนเฉลี่ยตลอดหลักสูตรการศึกษาไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามข้อ 3.1.2 หรือข้อ 3.1.3 จะต้องมีหนังสือรับรองผลการเรียนจากสถานศึกษามาแสดงว่าเป็นผู้มีผลการเรียนเทียบเท่ากับผลการเรียนที่กำหนดไว้ในแต่ละหน่วยแนบท้ายประกาศนี้ หากผู้ใดไม่มีหนังสือรับรองผลการเรียนมาแสดง จะถือว่าไม่มีสิทธิในการสมัครสอบครั้งนี้ ( 3) สำหรับทุนที่ให้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ผู้สมัครจะต้องเป็นผู้ซึ่งไม่เคยได้รับปริญญาโท หรือเทียบเท่าปริญญาโทในสาขา หรือวิชาเอก หรือเน้นทางเดียวกับทุนที่จะไปศึกษา (4) กรณีผู้สมัครสอบเป็นผู้รับทุนรัฐบาลซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ ไม่มีสิทธิสมัครสอบในครั้งนี้ หรือผู้สมัครสอบที่เคยได้รับทุนรัฐบาลไปศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศมาแล้ว จะต้องเป็นผู้ซึ่งหมดภาระผูกพันในการปฏิบัติราชการชดใช้ทุนตามสัญญาที่ได้ทำไว้กับ ก.พ. หรือส่วนราชการแล้ว สำหรับผู้สมัครสอบที่ได้รับทุนอื่นๆเพื่อศึกษาวิชา ณ ต่างประเทศ หรือในประเทศและยังมีข้อผูกพันในการปฏิบัติราชการชดใช้ทุนให้แสดง หนังสือ อนุญาตให้สมัครสอบ และยินยอมให้โอนไปปฏิบัติงานในหน่วยงานที่ได้รับทุนจากหัวหน้าส่วนราชการเจ้าสังกัด หรือหัวหน้าหน่วยงานเจ้า ของทุน หากมิได้แสดงหนังสือดังกล่าว ก.พ. จะพิจารณาไม่ให้มีสิทธิสมัครสอบ หรือเพิกถอนการให้ทุน (5) ผู้สมัครสอบที่เป็นข้าราชการซึ่งมีข้อผูกพันในกรณีอื่นๆ กับส่วนราชการในการปฏิบัติราชการชดใช้นั้น จะต้องแสดงหนังสืออนุญาตให้สมัครสอบ   และยินยอมให้โอนไปปฏิบัติงานในหน่วยงานที่ได้รับทุนจากหัวหน้าส่วนราชการเจ้าสังกัด หากมิได้แสดงหนังสือดังกล่าว ก.พ. จะพิจารณาไม่ให้มีสิทธิสมัครสอบ หรือเพิกถอนการให้ทุน (ที่มา: สารสนเทคทุนรัฐบาลไทย จากเว็บไซต์ก.พ. http://203.170.253.2/Educations/backup/source/ds_ocsc.html) ขั้นตอนการในการสมัครทุน ขออธิบายแบบย่อๆ ละกันนะคะ รายละเอียดอ่านได้จากเว็บของก.พ. อยู่แล้ว • คอยติดตามข่าวเรื่องการรับสมัครทุนเว็บของก.พ. http://www.ocsc.go.th/ • ดาวน์โหลดใบสมัครทุนและนำไปยื่นด้วยตัวเองที่สำนักงานก.พ. หรือจะส่งไปรษณีย์ไปก็ได้ • สอบภาษาอังกฤษตามที่ก.พ.กำหนด ถ้าเป็นแต่ก่อนรู้สึกว่าจะยื่นผลคะแนนภาษาอังกฤษได้เลย แต่ตอนนี้ได้ข่าวว่าทุกคนต้องสอบข้อสอบเดียวกันหมด แล้วข้อสอบก็ค่อนข้างยากด้วย • หากคะแนนภาษาอังกฤษของเราผ่านเกณฑ์และได้คะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของคนที่สอบทุนเดียวกัน ก็จะได้เรียกไปสอบสัมภาษณ์ต่อไป และหากมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อสำนักงานก.พ. ได้ที่ ศูนย์สรรหาและเลือกสรร สำนักงาน ก.พ. จังหวัดนนทบุรี โทร. 547-1329, 547-1330, 547-1345 แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 47 20:59:09 จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 06:42:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ทุน British Chevening คือทุนรัฐบาลอังกฤษสำหรับนักเรียนต่างชาติที่สนับสนุนโดยกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ (Foreign and Commonwealth Office) และเป็นทุนเต็มจำนวน (full scholarship) เราเอารายละเอียดมาให้ดูจากเว็บของ British Council ซึ่งเป็นหน่วยงานที่จัดสอบทุนนี้ค่ะ ดาวน์โหลดใบสมัครได้จากเว็บนี้เช่นกัน http://www.britishcouncil.or.th/th/education/edu-chv-programme.htm * * * * * ทุนการศึกษา British Chevening Scholarships เป็นทุนการศึกษาที่โดดเด่นมากที่สุดของรัฐบาลอังกฤษ มุ่งเน้นการผลิตผู้นำในอนาคต บุคคลผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูง นักคิด และผู้มีวิจารณญาณในการตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง โปรแกรมนี้ก่อตั้งขึ้นโดย กระทรวงต่างประเทศของอังกฤษ (FCO) และอยู่ภายใต้ความดูแลของ บริติช เคานซิล สนับสนุนนักเรียนต่างชาติปีละกว่า 2300 คนทั่วโลก ไปศึกษาต่อในประเทศอังกฤษ วัตถุประสงค์หลักของทุนการศึกษา British Chevening Scholarship ในประเทศไทยคือให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และโอกาสแก่ที่ผู้ที่ต้องการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ในประเทศอังกฤษ เพื่อที่จะได้นำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษา ในประเทศอังกฤษ กลับมาใช้ในการพัฒนาประเทศไทย ต่อไปในอนาคต ทุนการศึกษา British Chevening Scholarships เปิดเป็นจำนวนมากเพื่อให้นักเรียนไปศึกษาในประเทศอังกฤษได้นานถึง 12 เดือน ซึ่ง ปกติจะเปิดการศึกษาในเดือนกันยายนของทุกปี ทุนนี้จะครอบคลุมค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ค่าเล่าเรียน ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษ ทุน British Chevening Scholarships นี้เปิดสำหรับหลักสูตรประกาศนียบัตร 1 ปี หรือทุนระดับปริญญาโทในสาขาต่าง ๆ ดังนี้ • Law and Legal Reform • Human Rights • Environmental Studies • Economics • Diplomacy/International Relations • Health Management • Engineering • Public Administration • Finance/Accounting/Actuarial Sciences • International Trade & Market Access • Business Administration • Telecommunication • Information Technology • Media Studies ทุนการศึกษาร่วม นอกเหนือจากทุนการศึกษาที่มอบโดยกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ยังมีทุนอีกจำนวนหนึ่งซึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศได้รับความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศอังกฤษดังนี้ Northumbria University, Kingston University , University of Leeds (ปริญญาโทในสาขาวิชา Development Studies, European Studies, International Studies, International Political Economy และ Politics of International Resources and Development), Buckingham University, University of Newcastle Upon Tyne (ปริญญาโทในสาขาวิชา International Trade Law, International Financial Analysis และ International Political Economy) และ The Cambridge/Thai Foundation นอกจากนี้ยังมีทุนการศึกษาที่ให้ร่วมกันของบริษัทต่าง ๆ คือ Swire (Environment) , Prudential TS Life (Accountancy) , NTL , Cable & Wireless (Telecommunications) และ HSBC จำนวนทุนการศึกษา มีทุนการศึกษาประมาณปีละ 25 ทุนสำหรับกลุ่มคนทำงานที่เป็นเป้าหมาย จำนวนเงินที่ให้ ทุนการศึกษา British Chevening Scholarships จะให้ค่าเล่าเรียน (สูงสุดคือ12,000ปอนด์) ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการพำนักอยู่ในประเทศอังกฤษซึ่งปกติคือ 12 เดือน และค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ หลักสูตรและระยะเวลาการให้ทุน ทุนการศึกษา British Chevening Scholarships เป็นทุนเพื่อศึกษาระดับปริญญาโท เช่น MA , MSc , MBA , Mphil และ LLM ใช้เวลา 12 เดือน สาขาวิชา ผู้สมัครสามารถสมัครเรียนในสาขาวิชาใดก็ได้ แต่สาขาวิชาดังกล่าวต้องมีระยะเวลาในการศึกษาภายใน 12 เดือน เท่านั้น สถาบันการศึกษา ใบสมัครทุน British Chevening Scholarships จะให้โอกาสผู้สมัครได้ระบุชื่อมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาที่ต้องการ พร้อมทั้งวิชาที่ต้องการจะศึกษา ในประเทศอังกฤษมีสถาบันการศึกษาชั้นเยี่ยมกระจายอยู่ทั่วไป บริติช เคานซิล มีข้อมูลเหล่านี้ไว้บริการให้ผู้สมัครสามารถตัดสินใจเลือกได้ตรงตามความต้องการ หรือ อาจจะศึกษารายละเอียดของวิชาเพิ่มเติม บริติช เคานซิล จัดการบรรยายพิเศษทุกๆวันเสาร์เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุนการศึกษา Chevening คุณสมบัติผู้สมัคร • มีสัญชาติไทยที่มีผลการเรียน ปริญญาตรีดีเด่น • ผู้สมัครต้องได้รับปริญญาตรีในสาขา ที่เกี่ยวข้องและได้ GPA ไม่ต่ำกว่า 3.0 • มีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อย 2 ปี • พูดและเขียนภาษาอังกฤษได้ดี (คะแนน IELTS ไม่ต่ำกว่า 6.5 หรือเทียบเท่า หรือ 7.0 ขึ้นไปสำหรับการเรียนบางสาขาวิชา) ใบสมัคร ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ หรือขอรับด้วยตนเองที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ที่สถานทูตอังกฤษ (1013 ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ 10330) หรือที่ บริติช เคานซิล สาขาสยามสแควร์ ทั้งด้วยตนเองหรือขอให้ส่งให้ทางไปรษณีย์ โดยแนบซองจดหมายถึงตนเอง ติดแสตมป์และระบุว่า "Application for Chevening Scholarship" ไว้ด้วย และส่งคืนใบสมัครที่กรอกเสร็จเรียบร้อยแล้วที่ บริติช เคานซิล 254 จุฬาลงกรณ์ซอย 64 สยามสแควร์ ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330 เอกสารที่ต้องเตรียม การสมัครจะต้องแนบเอกสารดังต่อไปนี้ (1) ใบสมัครพร้อมรูปถ่ายปัจจุบันขนาดพาสปอร์ต 1 ใบ ไม่สวมหมวก และถ่ายบนพื้นหลังสีขาว (2) สำเนาของวุฒิบัตร และ เอกสารแสดงการจบการศึกษา หรือ transcript (เป็นภาษาอังกฤษ และมีคำรับรองของสถานศึกษากำกับ) (3) ประวัติย่อแสดงประสบการณ์ของผู้สมัคร (4) จดหมายรับรอง 2 ฉบับ (5) สำเนาผลการสอบ IELTS (ผลคะแนน 6.5 ขึ้นไป) (6) เอกสารเพิ่มเติม เช่น จดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ หรือประกาศนียบัตรอื่น ๆ จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 06:48:13 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ทุนของ Shell Centenary Scholarship Fund เป็นทุนที่ Royal Dutch/Shell Group of Companies จัดขึ้นเพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับนักเรียนต่างชาติที่ต้องการไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ เป็นทุนเต็มจำนวนอีกทุนหนึ่งที่นักเรียนไทยมีสิทธิสมัครได้ รายละเอียดทุนเอามาจากเว็บของ British Council เช่นกัน โดยเราได้แก้ไขเพิ่มเติมข้อความบางส่วนให้ตรงกับข้อมูลปัจจุบันมากขึ้นอีกนิดหน่อย http://www.britishcouncil.or.th/th/education/edu-chv-othrprgm.htm * * * * * Shell Centenary Scholarship Fund ร่วมกับ University of Cambridge University of Edinburgh University of Oxford University of Durham Imperial College London และ University College London มอบทุน Shell Centenary Scholarships เป็นระยะเวลา 1 ปีสำหรับหลักสูตรปริญญาโท-เอกในปีการศึกษาเดือนตุลาคม สาขาวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประยุกต์ (Applied Sciences and Technology) ด้าน วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Sciences), บริหารธุรกิจ (Business Management), กฎหมาย (Law), เศรษฐศาสตร์ (Economics) คุณสมบัติผู้สมัคร (1) อายุไม่เกิน 35 ปี (2) ถือสัญชาติและพำนักอยู่ในประเทศ นอกกลุ่มองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development-OECD) (3) จบหรือกำลังจะจบปริญญาเกียรตินิยมอันดับ 1 จากมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร หรือเทียบเท่า (4) สามารถใช้ภาษาอังกฤษคล่องทั้งพูดและเขียน (ได้คะแนน IELTS 7.5 ขึ้นไป) (5) ไม่เคยหรือกำลังทำงานอยู่ในเครือบริษัท Royal Dutch หรือ Shell Group รายละเอียดทุน ทุนการศึกษาทุกทุนจะครอบคลุมค่าลงทะเบียน ค่าที่พัก ค่ากินอยู่ และค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับเฉพาะผู้ได้รับทุนเท่านั้น ขั้นตอนการสมัคร (1) ติดต่อขอข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรปริญญาโท-เอกที่เปิดสอนได้จากมหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการทั้ง 7 แห่ง (2) ติดต่อขอรับใบสมัครเรียนและใบสมัครทุนได้จากมหาวิทยาลัยที่สนใจ (3) กรอกใบสมัครในแบบฟอร์มของมหาวิทยาลัย เพื่อลงทะเบียนในหลักสูตรที่เปิดสอน ทั้งนี้ วันปิดรับสมัครของแต่ละแห่งจะไม่ตรงกัน มหาวิทยาลัยที่หมดเขตรับสมัครเร็วที่สุดคือ University of Cambridge ซึ่งปิดรับสมัครในเดือนกันยายน 1 ปีก่อนเปิดภาคเรียน (4) ส่งใบสมัครทุน Shell Centenary Scholarship ที่กรอกเรียบร้อยแล้วไปยังมหาวิทยาลัยที่ต้องการลงทะเบียนเรียน จะส่งไปพร้อมใบสมัครเรียนหรือส่งตามไปภายหลังก็ได้ วันปิดรับสมัคร วันปิดรับสมัครทุนคือ วันที่ 1 มีนาคมของปีที่สมัครเรียน การพิจารณาให้ทุนจะพิจารณาเฉพาะผู้สมัครที่ไดัรับการตอบรับอย่างไม่มีเงื่อนไขจากทางมหาวิทยาลัยแล้วเท่านั้น มหาวิทยาลัยที่ร่วมโครงการ (1) Cambridge CCT/COT, PO Box 252, Cambridge CB2 1TZ, UK แฟกซ์: +44 1223 313138 (2) Durham International Office, Old Shire Hall, Durham DH1 3HP, UK แฟกซ์: +44 191 3747216 (3) Edinburgh Postgraduate Office, Old College, South Bridge, Edinburgh EH8 9YL, UK แฟกซ์: +44 131 6508009 (4) Imperial College International Office, Imperial College, London SW7 2AZ,UK แฟกซ์: +44 207 5948002 (5) Oxford International Office, Wellington Square, Oxford OX1 2 JD, UK แฟกซ์: +44 1865 2700077 (6) University College London International Office, Gower Street, London WC1E 8BT, UK แฟกซ์: +44 207 3807380 และมีอีกมหาวิทยาลัยหนึ่งที่เป็นมหาวิทยาลัยน้องใหม่สำหรับโครงการทุนของ Shell Centenary Scholarship Fund ในเว็บของ British Council ยังไม่มีรายละเอียด เราเลยเพิ่มเติมให้เอง ก็คือ (7) University of Leeds ติดต่อขอใบสมัครได้จาก Scholarships Office The University of Leeds Leeds LS2 9JT E-mail: scholarships@leeds.ac.uk Fax: +44 (0)113 3433774 Scholarships Website: http://www.leeds.ac.uk/students/schol.htm รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคอร์สที่สามารถสมัครทุนได้ ดูได้จากเว็บของ Shell Centenary Scholarship Fund http://www.shellscholar.org/splash/frames.html เอกสารที่ต้องเตรียม • ใบสมัครทุน มีคำถามให้เขียนตอบเป็น essay สั้นๆ • Transcript • ผลคะแนนภาษาอังกฤษ ควรจะยื่นคะแนน IELTS เพราะที่อังกฤษจะให้น้ำหนักกับคะแนน IELTS มากกว่าคะแนน TOEFL • จดหมายแนะนำจากอาจารย์ 2 ฉบับ จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 06:57:01 ]

ความคิดเห็นที่ 6 This is very useful. Thank you kah จากคุณ : Khanhoon - [ 17 เม.ย. 47 07:27:05 A:194.81.215.16 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทุนของมหาวิทยาลัยในอังกฤษ เป็นทุนที่มหาวิทยาลัยจัดตั้งขึ้นสำหรับนักเรียนต่างชาติ มี 2 แบบคือ 1) ทุนเต็มจำนวน เช่น ทุนของ Cambridge-Thai Foundation ดูรายละเอียดได้จาก http://www.admin.cam.ac.uk/univ/gsprospectus/funding/overseas/thailand.html 2) ทุนลดค่าเล่าเรียนสำหรับนักเรียนต่างชาติ มหาวิทยาลัยหลายแห่งมีทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติด้วย ถ้าได้ทุนเหล่านี้มักจะได้ลดค่าเล่าเรียนไปประมาณ 2,000-3,000 ปอนด์ และไม่สามารถขอทุนเป็นตัวเงินได้ หลายมหาวิทยาลัยมีทุนสำหรับนักเรียนไทยโดยเฉพาะ เช่น • University of Sheffield มีทุนให้ปีละ 2 ทุน ทุนละ 3,000 ปอนด์ http://www.shef.ac.uk/international/scholpg.htm • University of Birmingham มีทุนให้ปีละ 1 ทุน ทุนละ 3,000 ปอนด์ http://www.international.bham.ac.uk/scholarship-thailand.htm • University of Warwick มีทุนให้ปีละ 5 ทุน ทุนละ 3,000 ปอนด์ http://www.warwick.ac.uk/CGI/services/international/main/southeastasia/thailand (ข้อมูลจากเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยทั้งสามแห่ง ณ วันที่ 17 เมษายน 2547) นอกจากนี้ยังมีทุนอื่นๆ สำหรับนักเรียนต่างชาติที่นักเรียนไทยมีสิทธิสมัครได้ และมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็มีทุนลดค่าเล่าเรียนให้กับนักเรียนต่างชาติอยู่แล้ว เวลาส่งใบสมัครทุนประเภทนี้ไป ทางมหาวิทยาลัยจะพิจารณาใบสมัครของนักเรียนจากชาติต่างๆ รวมกัน ทำให้โอกาสที่จะได้ทุนมีน้อยกว่าทุนสำหรับนักเรียนไทยโดยเฉพาะ แต่ถ้าประวัติของเราดีและน่าสนใจ ก็มีสิทธิได้ทุนเช่นกันค่ะ ตัวอย่างมหาวิทยาลัยที่มีทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติก็อย่างเช่น • University of Leeds มีทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติ 12 ทุน ทุนละ 3,000 ปอนด์ http://www.leeds.ac.uk/rds/schol/booklet.pdf • University of York มีทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติหลายทุน (ไม่ได้ระบุจำนวน) http://www.york.ac.uk/admin/gso/gsp/finance/other.htm#osschols ดูรายชื่อมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่มีทุนสำหรับนักเรียนต่างชาติได้จากเว็บของ British Council http://www.britishcouncil.or.th/th/education/edukscholar.htm เอกสารที่ต้องเตรียม • ใบสมัครทุน • Statement of purpose เท่าที่เราเคยสมัครทุนของมหาวิทยาลัย พบว่าส่วนใหญ่จะให้กรอกใบสมัครทุนซึ่งเป็นแบบฟอร์มสั้นๆ ประมาณสองหน้า บางมหาวิทยาลัยก็ให้เขียนจำนวนเงินที่เราเตรียมไว้สำหรับมาเรียนต่อที่อังกฤษ โดยให้กรอกรายละเอียดว่าได้เงินมาจากไหนบ้าง (เช่น จะใช้เงินจากพ่อแม่กี่ปอนด์ ใช้เงินที่สะสมเองกี่ปอนด์ เป็นต้น) แล้วก็ให้เขียนว่าเราต้องการเงินทุนอีกเท่าไหร่จึงจะเพียงพอสำหรับการเรียนจนจบคอร์ส เวลากรอกแบบฟอร์มก็ควรจะเขียนว่าเรายังขาดเงินเป็นจำนวนใกล้เคียงกับที่ทางมหาวิทยาลัยให้ทุน เช่น ถ้ารู้ว่าทุนลดค่าเล่าเรียนได้ 3,000 ปอนด์ ก็เขียนว่ากรอกไปว่าเรายังขาดเงินที่ 3,000 ปอนด์ นอกจากนี้ก็จะต้องเขียนเรียงความตอบคำถามว่าทำไมมหาวิทยาลัยจึงควรจะให้ทุนเรา ซึ่งก็มีวิธีการเขียนคล้ายๆ กับ statement of purpose เพียงแต่คราวนี้เราต้องสู้กับนักเรียนชาติอื่นๆ ด้วย ก็ต้องเขียนเน้นคุณสมบัติที่เรามีอยู่ ให้ประวัติเราดูน่าสนใจและโดดเด่นขึ้นมา ตอนสมัครมหาวิทยาลัย การสมัครทุนของมหาวิทยาลัยมักจะไม่ต้องส่งหลักฐานอื่นๆ เช่น transcript ผลคะแนนภาษาอังกฤษ จดหมายจากอาจารย์ เพราะทางมหาวิทยาลัยมีเอกสารเหล่านี้ที่เราส่งไปตอนสมัครมหาวิทยาลัยแล้ว ส่วนใหญ่ทุนประเภทนี้มักจะไม่ต้องสอบสัมภาษณ์ แต่พิจารณาจากผลการเรียนระดับปริญญาตรีและเอกสารต่างๆ ที่เราส่งไปที่มหาวิทยาลัย หลังจากที่กรรมการพิจารณาทุนประชุมกัน และตัดสินผลการให้ทุนเรียบร้อยแล้ว หากเราได้ทุน มหาวิทยาลัยมักจะส่งอีเมล์มาแสดงความยินดี และบอกว่าจะส่งจดหมายอย่างเป็นทางการมาอีกที ในจดหมายดังกล่าวมักจะมีแบบฟอร์มให้เรากรอกยืนยันว่ายินดีที่จะรับทุนนั้นๆ หากเราต้องการรับทุนนั้น ก็ต้องรีบกรอกแบบฟอร์มส่งกลับไปที่มหาวิทยาลัยค่ะ จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 07:36:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เทคนิคการเขียน statement of purpose เพื่อสมัครทุนจากต่างประเทศ (สำหรับทุนในข้อ 2-4) statement of purpose สำหรับการสมัครทุนเป็นเรียงความที่เขียนขึ้นเพื่ออธิบายว่าทำไมเราจึงต้องการเรียนสาขาวิชาที่สมัครทุน และอธิบายว่าเพราะเหตุใดเราจึงควรจะได้ทุนนั้น 1) ก่อนที่จะเริ่มลงมือเขียน ให้พยายามคิดก่อนว่าเราต้องการจะเขียนอะไรบ้าง ลองคิดดูว่าเรามีคุณสมบัติอะไรที่ควรจะทำให้เราได้ทุน เราอยากไปเรียนสาขาวิชาอะไร เมื่อเรียนแล้วจะเอาความรู้ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง 2) พอได้แนวคิดคร่าวๆ เกี่ยวกับสิ่งที่จะเขียนแล้ว คราวนี้ก็เริ่มลงเขียน outline ของเรียงความได้ กรรมการพิจารณาทุนอ่านชอบเรียงความที่เขียนเรียบเรียงอย่างมีระบบ มีโครงสร้างหลักๆ ครบถ้วน ซึ่งได้แก่ • Introduction เกริ่นนำว่าเราจะเขียนอะไรต่อไปในเรียงความฉบับนั้นๆ • body ให้เหตุผลว่าทำไมเราจึงควรจะได้ทุนนั้น เรามีประสบการณ์อะไรที่เกี่ยวกับสาขาที่จะไปเรียน ถ้าเล่าประวัติและเหตุการณ์ต่างๆ ควรจะเรียงลำดับเวลาก่อน-หลัง อย่าเขียนช่วงเวลาสับไปสับมา เพราะอ่านแล้วอาจจะงง ทำให้กรรมการติดตามเนื้อความหรือสิ่งที่เราต้องการสื่อได้ยากขึ้น • conclusion สรุปเนื้อความของเรียงความ เวลาเขียน outline ตอนแรกสุดอาจจะเขียนแค่ keyword คือคำสำคัญๆ ที่ทำให้เราเขียนอธิบายได้ต่อ หรือเขียนเป็นประโยคสั้นๆ พอร่าง outline ได้ครบองค์ประกอบ 3 ส่วนข้างต้นแล้ว ที่ต้องเขียน outline ก่อนก็เพื่อให้เรามองเห็นโครงสร้างของเรียงความที่จะเขียน และได้เรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน พอเขียนไป เราก็จะเริ่มมองเห็นว่าควรจะเพิ่มเติมจุดไหนบ้าง และจุดไหนไม่จำเป็นต้องเขียนก็ตัดทิ้งได้ คนที่ไม่เขียน outline แต่ลงมือเขียนเรียงความไปเลยทีละส่วนๆ มักจะได้เรียงความที่เขียนวกไปวนมา อ่านเข้าใจยากกว่าเรียงความที่เรียบเรียงความคิดมาอย่างดีโดยร่าง outline มาก่อน 3) เขียนทุกประโยคให้ได้ใจความชัดเจน ให้ทุกประโยคต่อเนื่องเป็นเหตุเป็นผลสนับสนุนซึ่งกันและกัน และให้แต่ละย่อหน้ามีความเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายของย่อหน้าหนึ่งๆ ควรจะเชื่อมโยงกับประโยคแรกของย่อหน้าถัดไป จะทำให้เรียงความน่าอ่านยิ่งขึ้น 4) เวลาเขียนเรียงความ ให้พยายามคิดว่าถ้าเราได้ทุน จะสามารถทำอะไรให้กับสังคมและประเทศชาติได้ยังไงบ้าง แล้วก็เขียนอธิบายสิ่งที่เราคิดลงไปในเรียงความ ซึ่งหลักการนี้สามารถนำไปใช้กับการเขียนประเภทอื่นๆ ได้ด้วย เช่น การเขียนจดหมายธุรกิจ เพราะตามหลักจิตวิทยาแล้ว สิ่งแรกที่คนอ่านสนใจก็คือ เขาจะได้อะไรจากคนเขียนบ้าง ไม่ใช่ว่าคนเขียนจะได้อะไรจากคนอ่าน (แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น คนอ่านอาจจะไม่เสียเวลาหยิบเรียงความหรือจดหมายนั้นมาอ่านก็ได้) 5) อย่าเขียนเหตุผลในการสมัครทุนว่าเป็นเพราะเราต้องการช่วยพ่อแม่ประหยัดตังค์ หรือเขียนว่าที่บ้านไม่มีเงินส่งเรียน ถึงแม้ว่าเหตุผลว่าอยากช่วยพ่อแม่ประหยัดจะฟังดูดีเป็นลูกกตัญญูในสายตาคนไทย แต่อย่าลืมว่ากรรมการพิจารณาทุนมีหน้าที่ต้องหาคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะให้ทุน ก็คือคนที่มีความพร้อมมากที่สุดสำหรับการเรียนในต่างประเทศ เมื่อส่งมาเรียนแล้วสามารถจะเรียนจนสำเร็จจบการศึกษาได้ ไม่เลิกเรียนไปกลางคัน ซึ่งอาจจะได้แก่คนที่มีผลการเรียนดี มีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่จะไปเรียน และดูวี่แววแล้วอนาคตน่าจะไปได้ไกล เพราะจะดีกับชื่อเสียงของหน่วยงานที่ให้ทุนเองด้วย ถ้าให้ทุนแล้วนักเรียนเป็นคนเด่นคนดังในอนาคต 6) ควรจะเขียนเรียงความด้วยความมั่นใจในตัวเอง ให้คิดว่าเราก็เก่งไม่แพ้ใครเหมือนกัน คนที่เขียนอย่างมั่นใจ กับคนที่เขียนแบบกลัวๆ กล้าๆ จะเขียนเรียงความออกมาไม่เหมือนกัน พยายามมองหาข้อดีของตัวเอง และคิดว่าความรู้และประสบการณ์ที่เรามีอยู่จะเป็นประโยชน์กับการไปเรียนต่อยังไงบ้าง 7) พอเขียนเรียงความเสร็จแล้ว ให้ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วัน แล้วกลับมาอ่านเรียงความทั้งหมดใหม่อีกหลายๆ รอบ ตรวจแก้คำที่สะกดผิด หรือเขียนไม่ถูกไวยากรณ์ ถ้าให้คนอื่นช่วยอ่านและวิจารณ์ด้วยก็จะยิ่งดี ที่แนะนำว่าให้พักเรียงความไว้ก่อน ไม่ให้ตรวจแก้ตอนที่เขียนเสร็จใหม่ๆ ก็เพราะเวลาเราเขียนอะไรเสร็จใหม่ๆ เราจะยังจำลำดับความคิดของสิ่งที่เขียนได้อยู่ พอนั่งอ่านก็จะไม่ค่อยเห็นข้อผิดพลาดในเรียงความ เขียนเองก็ย่อมจะเข้าใจเองอยู่แล้ว แต่ถ้าทิ้งระยะไว้สักนิดนึง แล้วค่อยมาอ่านใหม่ เราจะอ่านในฐานะ "คนอ่าน" จริงๆ และเห็นข้อบกพร่องต่างๆ ได้มากขึ้น ก่อนจะส่งเรียงความไปพร้อมกับใบสมัคร ก็ต้องอ่านทวนอีกสักรอบให้แน่ใจว่าไม่มีข้อบกพร่องด้านภาษาจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องตัวสะกด เพราะเรียงความที่เขียนตัวสะกดผิดๆ ถูกๆ พออ่านแล้วย่อมไม่น่าประทับใจเท่าเรียงความที่ตรวจแก้ภาษามาแล้วเป็นอย่างดี จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 07:48:37 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เทคนิคการสอบสัมภาษณ์เพื่อรับทุน 1) การเตรียมตัวก่อนวันสัมภาษณ์ • เตรียมหาความรู้เกี่ยวกับสาขาที่จะไปเรียน เพราะกรรมการอาจจะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เราสมัครไปเรียน อาจจะถามว่าเราวางแผนไว้ว่าจะทำวิทยานิพนธ์เรื่องอะไร และมีความคิดเห็นยังไงกับเหตุการณ์สำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสาขานั้นๆ • เตรียมหาข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานที่จะให้ทุนไว้บ้าง อย่างน้อยต้องรู้ว่าหน่วยงานนั้นชื่ออะไร ทำหน้าที่อะไร มีจุดประสงค์ในการให้ทุนอย่างไร กรรมการอาจจะไม่ได้ถาม แต่เขาถามขึ้นมาแล้วเราตอบได้ดี ก็จะเรียกคะแนนได้มาก • เตรียมหาความรู้รอบตัว อ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าวโทรทัศน์ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง เผื่อว่ากรรมการถาม เราจะได้ตอบและวิเคราะห์ได้ดี ซึ่งจะเรียกคะแนนได้อีกไม่น้อย กรรมการส่วนใหญ่จะชอบถามเรื่องข่าวเหตุการณ์บ้านเมือง เพราะจะได้ทดสอบว่าคนที่มาสอบสัมภาษณ์กระตือรือร้นที่จะหาความรู้รอบตัวมากเพียงใด และจะได้ดูว่าคนคนนั้นมีความรู้แต่ในตำราหรือไม่ • เตรียมใจ และคิดไว้ว่าการสอบสัมภาษณ์ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่เป็นการ “ดูตัว” ว่าเราเหมาะสมที่จะไปเรียนสาขานั้นๆ มีความพร้อมในด้านวิชาการและด้านภาษาอังกฤษมากน้อยแค่ไหน และสมควรได้รับทุนหรือไม่ ให้คิดว่าเราก็ผ่านมาจนถึงรอบสัมภาษณ์แล้ว เราก็เป็นคนที่มีความสามารถมากคนหนึ่งและมีโอกาสที่จะได้รับทุนเหมือนกัน สร้างความมั่นใจให้ตัวเอง อย่าคิดว่าถ้าไม่ได้รับทุนนี้ เราคงไม่มีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศแล้ว เพราะถ้าคิดแบบนั้นจะทำให้เราเครียดมาก และอาจจะทำให้ตอบคำถามได้ไม่ดีเท่าที่ควร 2) การปฏิบัติตัวในวันสัมภาษณ์ • การแต่งตัว ให้เน้นความเรียบแต่ดูดี สะอาดสะอ้าน -- ผู้ชาย ควรจะใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนๆ ผูกเนคไท กางเกงสแล็คที่สุภาพเรียบร้อย หวีผมเผ้าให้ดูดี ถ้าสัมภาษณ์ทุน Shell ควรจะใส่สูทสีเข้มๆ ไปด้วยเพื่อให้ดูเรียบร้อยเป็นพิเศษเหมาะกับสถานที่ -- ผู้หญิง ควรจะใส่เสื้อเชิ้ตสีอ่อนๆ กระโปรงสีเข้มๆ หรือใส่ชุดทำงานที่เป็นสูทก็จะดูเรียบร้อยดี ใส่รองเท้าคัทชูให้ดูรัดกุม และอาจจะแต่งหน้าอ่อนๆ สีออกโทนธรรมชาติ เพื่อให้ดูเป็นทางการหน่อย ส่วนพวกอายแชโดว์สีฟ้าสีเขียว ลิปกลอสสีชมพูหวานๆ ทาแล้วปากมันๆ เยิ้มๆ แบบที่สาวๆ ชอบใช้กันให้เก็บใส่ลิ้นชักไว้ก่อน • ไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลาอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง เพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่ ลดความตื่นเต้นประหม่าของตัวเราเอง และจะได้มีเวลาสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองว่าหน้าตายู่ยี่เหมือนเพิ่งตื่นนอนมาหรือเปล่า ถ้าไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ช้า ต้องรีบวิ่งไปห้องสัมภาษณ์ เดินเข้าห้องสัมภาษณ์ก้าวแรกก็ยังไม่ทันหายเหนื่อยหอบ ก็อาจจะทำให้ยิ่งตื่นเต้นและเครียดมากยิ่งขึ้นได้ • เมื่อเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ ให้ทำใจให้สบาย ตอบคำถามทุกคำถามด้วยความมั่นใจ และเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเรื่องไหนที่เราไม่รู้จริงๆ ก็อย่าอายที่จะตอบว่าไม่รู้ เพราะอย่างน้อยก็ดีว่าเดาส่งแล้วตอบไปมั่วๆ ถ้าตอบผิด คะแนนสัมภาษณ์ก็จะน้อยลง อย่าพยายามตอบคำถามเพื่อเอาใจกรรมการ แต่ควรจะตอบแบบที่เป็นตัวเรา (โดยเฉพาะเวลาสอบสัมภาษณ์ทุน Chevening หรือทุน Shell) เพราะกรรมการมักจะชอบคนที่มีความมั่นใจ มีความคิดริเริ่มความคิด เป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่แข็งกร้าวหรือก้าวร้าว กรรมการไม่ได้อยากได้นักเรียนทุนที่เป็นตำราเดินได้ รู้แต่เรื่องในตำรา แต่อยากได้คนที่มีความคิด รู้จักวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ได้ดี ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่มีความเป็นผู้นำที่จะสามารถเอาความรู้จากการเรียนในต่างประเทศมาใช้ประโยชน์และสร้างสรรค์สังคมได้ต่อไปในอนาคต 3) การสัมภาษณ์ทุนก.พ. จุดมุ่งหมายของกรรมการพิจารณาทุนก็คือ สรรหาคนที่เหมาะสมที่จะทำงานราชการ ซึ่งต้องอาศัยความอดทน และรู้จักแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ ได้ดี ฉะนั้นเวลาสัมภาษณ์ก็มักจะพยายามทดสอบว่าคนที่เข้ารับการสัมภาษณ์มีความอดทน รู้จักควบคุมอารมณ์ได้เหมาะสมมากน้อยเพียงไร ทีแรกเราเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมกรรมการต้องพยายามสร้างสถานการณ์กดดันในห้องสัมภาษณ์ด้วย แต่พอได้มาสัมผัสระบบราชการจริงๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าการทำงานราชการบางทีก็ต้องเจอความกดดันและต้องใจเย็นอดทนกับสถานการณ์ต่างๆ พอสมควร และคนที่จะมาเรียนที่ต่างประเทศก็ควรจะมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่ได้เจอ รู้ว่าเวลาไหนควรทำอย่างไร ในห้องสัมภาษณ์จึงมักจะมีกรรมการอย่างน้อยหนึ่งคนคอยพูดกวนโมโห หรือขัดคอ เพื่อดูว่าเรามีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรบ้าง กรรมการอีกคนอาจจะเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในสาขาที่เราจะไปเรียน แล้วก็คอยถามเพื่อดูว่าเรามีพื้นความรู้มามากน้อยเพียงไร ส่วนกรรมการอีกคนอาจจะเป็นคนจากหน่วยงานที่เราจะต้องกลับไปใช้ทุน มาดูตัวว่าเรามีบุคลิกท่าทางเป็นอย่างไร มีความรู้มากน้อยแค่ไหน น่าจะทำงานในตำแหน่งนั้นๆ ได้หรือไม่ และอาจจะมีกรรมการอีกคนมาจากมหาวิทยาลัยและทำงานสอนด้านภาษาอังกฤษโดยตรง คอยดูว่าภาษาอังกฤษของเราดีใช้ได้พอที่จะเรียนได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า แต่ส่วนมากก็จะไม่ได้ถามเป็นภาษาอังกฤษตลอด อาจจะถามเป็นภาษาไทยบ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง สลับกันไป การตอบคำถามก็ใช้หลักเดียวกันกับที่อธิบายมาข้างต้น การเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์ทุนก.พ. อีกข้อหนึ่งก็คือ ควรจะดูว่าทุนที่เราจะไปสัมภาษณ์เป็นทุนตามความต้องการของหน่วยงานไหน แล้วก็หาข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงานนั้นๆ ไปบ้าง ดูว่าเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่อะไร แล้วถ้าเราได้เรียนสาขานั้นๆ น่าจะได้กลับไปทำงานในตำแหน่งอะไร ลักษณะงานทำนองไหน เพราะจะมีคนจากหน่วยงานที่ขอทุนมาสัมภาษณ์เราด้วยอย่างที่อธิบายในย่อหน้าที่แล้ว (ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหารของหน่วยงานนั้นๆ หรือตัวแทนของผู้บริหาร) ฉะนั้นคนจากหน่วยงานที่ขอทุนก็จะมีภาพไว้ในใจอยู่แล้วว่าต้องการคนมาทำงานลักษณะไหน ถ้าความสนใจของหน่วยงานกับความสนใจของเรา (ก็คือสิ่งที่กรรมการจะถามในห้องสัมภาษณ์) ค่อนข้างตรงกัน เช่น อยากทำงานด้านไหน เมื่อไปเรียนแล้วอยากทำวิจัยเกี่ยวกับอะไร โอกาสที่ได้คะแนนสัมภาษณ์ดีๆ ก็น่าจะมีมากขึ้น และความเหมาะสมกับตำแหน่งก็จะเป็นสิ่งสำคัญที่ตัดสินว่าเราควรจะได้ทุนหรือไม่ได้ทุนนั้น จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 07:53:25 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เรื่องเกี่ยวกับทุนที่เราอยากจะเขียนก็มีเท่านี้ สรุปหลักสั้นๆ ก็คือ • การสมัครทุนจะต้อง “รู้เขา-รู้เรา” คือ 1) รู้จักตัวเราเองว่ามีจุดดีจุดด้อยยังไงบ้าง เพื่อจะได้เติมเต็มจุดบกพร่องของเรา และเปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสได้ และ 2) รู้เรื่องทุนที่เราจะสมัครเป็นอย่างดี รู้ว่าทุนนั้นต้องการคนที่มีคุณสมบัติอย่างไร ใครเป็นคนให้ทุนและมีจุดประสงค์อย่างไร ความรู้เรื่องทุนจะทำให้เราเขียนใบสมัครและเรียงความได้ตรงประเด็นและถูกทิศทาง เวลาสอบสัมภาษณ์ก็มีโอกาสทำคะแนนให้ดีได้มากขึ้น • การสมัครทุนเป็นเรื่องที่เตรียมตัวกันได้ ถ้าใครเตรียมตัวมาดี เช่น ทำเกรดให้ดีๆ มาตั้งแต่ตอนเรียนปริญญาตรี หรือพยายามหาโอกาสทำงานกับองค์กรดีๆ ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะได้ทุนมากขึ้น เพราะคุณสมบัติหลายอย่างเป็นสิ่งที่สร้างเสริมกันได้ ถ้าเพื่อนๆ คนไหนมีประสบการณ์เรื่องการสมัครทุน และอยากแบ่งปันประสบการณ์ให้รุ่นน้องๆ ที่กำลังจะสมัครทุนได้อ่านเป็นแนวทาง ก็เขียนได้เลยนะคะ เพราะเพื่อนๆ อาจจะมองเห็นมุมอื่นๆ ที่เรามองไม่เห็น ถ้าเอามารวมกันก็จะได้ภาพรวมเรื่องการสมัครทุนอย่างสมบูรณ์และเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังจะสมัครทุนต่อไป ขอให้ทุกคนที่กำลังจะสมัครทุนโชคดีและได้รับทุนมาเรียนต่อจนเรียนสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ค่ะ ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องทุนการศึกษา http://topicstock.pantip.com/topic_stock/klaibann/H2365911/H2365911.html (มีรายละเอียดทุนสำหรับการไปเรียนที่ประเทศอื่นๆ ด้วย) จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 07:56:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เขียนกระทู้ยาวๆ กระทู้นี้จบแล้วคงขอพักยกนานๆ หน่อย ไว้ว่างๆ ค่อยมาบรรยายใหม่ ช่วงนี้งานยุ่ง อิอิ จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 08:04:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามาตบมือให้คนแรก แปะๆๆๆๆ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Bubblemaker - [ 17 เม.ย. 47 11:19:59 ]

ความคิดเห็นที่ 13 หมดแล้วเหรอ? เมื่อกี้จะแว่บเข้ามาเติม แต่ไม่กล้าขัด อิอิ ขอบคุณแทนน้อง ๆ คนอื่นด้วยค้าบบ จากคุณ : zephyros - [ 17 เม.ย. 47 13:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 14 จะรีบไปไหน คุณ Aoyama.....ไปด้วยคนสิคะ พักบ้างก็ดีนะคะ เห็นแล้วเหนื่อยแทนค่ะ มาตบมือให้อีกครั้งค่ะ จากคุณ : น้องนาง ณ บ้านนา - [ 17 เม.ย. 47 18:35:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณ Bubblemaker อาตี๋ zephyros และ คุณน้องนาง ณ บ้านนา ขอบคุณค่ะ ^-^ ไม่ได้จะไปไหนหรอกค่ะ ยังอยู่แถวๆ นี้ แต่เขียนกระทู้ยาวๆ มาหลายกระทู้ ใช้กำลังภายในเยอะ ลมปราณเริ่มแตกซ่าน เลยว่าจะไปพักดื่มน้ำดื่มท่าสักหน่อย จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 21:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 16 จริงๆ แล้วที่คิดจะเขียนกระทู้ชุดนี้ก็เพราะว่าตั้งแต่เราไปตอบกระทู้ http://topicstock.pantip.com/topic_stock/klaibann/H2365911/H2365911.html เมื่อเดือนกรกฎา ปีที่แล้ว ก็เลยมีเพื่อนๆ พันธ์ทิพย์คลิกอมยิ้มแล้วเมล์มาถามเรื่องการสมัครทุนกันเยอะ ตอนนี้นับเมล์ใน inbox ได้ 101 ฉบับ (หลังจากผ่านมา 9 เดือน) พอมีเมล์มา เราก็นั่งตอบให้ทีละคน เพราะแต่ละคนก็มี background ไม่เหมือนกัน คำแนะนำที่เขียนไปในเมล์ก็แนะนำตามที่เห็นว่าเหมาะกับกรณีของแต่ละคน และเราก็ตั้งใจตอบเมล์ทุกฉบับ เพราะรู้ว่าเพื่อนๆ คงต้องการคำแนะนำจริงๆ ก็เลยเมล์มาถาม บางคนก็น่ารักดี บางทีคุยทางเมล์จนเป็นเพื่อนกันไปเลยก็มี ตอนนี้ก็มีอยู่หลายคน ส่วนหลายๆ คน พอส่งเมล์มาถามแล้วเราตอบเมล์ไป เค้าก็เงียบหายไม่ได้ตอบกลับมา เราเลยไม่รู้ว่าเค้าได้เมล์เราหรือเปล่า เราอาจจะตอบไม่ถูกใจ หรือเค้าอาจจะเห็นว่าไม่ได้รู้จักกันเลยไม่จำเป็นต้องเขียนเมล์มาขอบคุณ (ขอตัดพ้อต่อว่าเล็กน้อย อิอิ) ตอบไปตอบมา เราเลยคิดว่าน่าจะรวบรวมสิ่งที่เราตอบมาเขียนเป็นกระทู้ไปเลย เพื่อนๆ คนอื่นจะได้อ่านด้วย และคนที่มีประสบการณ์คนอื่นจะได้มาให้ความเห็นเพิ่มเติมได้ นี่ล่ะค่ะ ที่มาของกระทู้ชุดนี้ ^-^ ป.ล. ตอนนี้เราลบอีเมล์ออกจากอมยิ้มชั่วคราว เพราะงานเยอะ เลยตอบเมล์ทีละคนไม่ไหว ถ้าใครมีอะไรจะถามก็ถามในกระทู้ได้เลยค่ะ ไว้เคลียร์งานเสร็จแล้วจะแปะอีเมล์ในอมยิ้มอีกรอบ จากคุณ : Aoyama - [ 17 เม.ย. 47 21:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอถามเพิ่มหน่อยค่ะพอดีจบคณะสังคมสงเคราะห์มา GPA 3 ขึ้นค่ะ ทำงานเป็นเลขามา 4 ปี ถ้าจะขอสมัครทุน Chevening ไปเรียนทางด้าน Int. business หรือ Int. Management จะได้มั้ยค่ะเพราะเห็นตามคุณสมบัติบอกว่าจบปริญญาตรีสาขาที่เกี่ยวข้อง ไม่ทราบว่าเค้าจะรับพิจารณาหรือเปล่าค่ะ จากคุณ : Bam - [ 18 เม.ย. 47 02:54:30 A:203.209.122.196 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 อ่านแล้วได้รายละเอียดเยอะมาก ๆ ค่ะ มีประโยชน์มาก ๆ แนะนำดีจังเลย จากคุณ : HoneyPuii - [ 18 เม.ย. 47 06:29:32 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ลองครับ ลอง.. จะได้หรือจะพลาด อย่างน้อยก็ได้ลอง ไม่เหมือนถ้าไม่ลองเลยแต่แรก.. นั่นคือปิดโอกาสสำเร็จตัวเองตั้งแต่ต้น :) จากคุณ : zephyros - [ 18 เม.ย. 47 11:15:32 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณ Bam -- เราคิดว่าถึงจะไม่ได้จบมาด้านการจัดการโดยตรง แต่ก็น่าจะสมัครทุน Chevening สาขาที่บอกได้ หากมีประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องนะคะ เวลาเขียน SOP ก็น่าจะเน้นว่างานเลขาที่ได้ทำมา เป็นงานที่ทำให้ได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลไกของการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ แล้วก็น่าจะอธิบายสิ่งที่ได้เรียนรู้และลักษณะงานส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดการมาเยอะๆ หน่อย เช่น ลักษณะของงานทำให้ได้ติดต่อกับฝ่ายต่างๆ ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบัญชี ฝ่ายบุคคล ฯลฯ และติดต่อกับหน่วยงานเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น บริษัทลูกค้าจากต่างประเทศ ฝ่ายการพาณิชย์ ของสถานทูตต่างๆ ในประเทศไทย เป็นต้น ทำให้มองเห็นภาพรวมขององค์กรธุรกิจและภาพรวมของการค้าระหว่างประเทศ และยังเป็นโอกาสที่ทำให้เราได้ติดต่อพบปะกับลูกค้าคนสำคัญจากบริษัทใหญ่ๆ จากประเทศทั่วโลก มีโอกาสได้เข้าร่วมประชุมสำคัญๆ พร้อมกับเจ้านาย ทำให้ได้เห็นลักษณะงานบริหารระดับสูง เป็นต้น (อันนี้เราพยายามยกตัวอย่างให้เห็นภาพเฉยๆ นะคะ อยากให้เห็นว่า SOP เป็นโอกาสที่เราจะได้นำเสนอภาพของตัวเราเอง) เพราะกรรมการบางคนอาจจะเห็นว่างานเลขาเป็นเพียงงานประสานงาน ก็ต้องชี้ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วงานที่ทำเกี่ยวข้องกับสาขาที่ต้องการสมัครเรียนยังไงบ้าง ขอให้โชคดีในการสมัครทุนนะคะ คุณ HoneyPuii -- ขอบคุณที่ตามมาอ่านนะคะ ^-^ จากคุณ : Aoyama - [ 18 เม.ย. 47 11:25:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อุ๊ย zephyros โพสต์เวลาใกล้ๆ กันเลยนา จากคุณ : Aoyama - [ 18 เม.ย. 47 11:27:10 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อยากขอทุนไปเรียน โท เล่นๆอีกใบจัง จากคุณ : Raspberry Donut - [ 19 เม.ย. 47 09:01:15 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาเขียนเล่าประสบการณ์การขอทุน ORS (Overseas Research Students Award) ซึ่งเป็นทุนสำหรับการศึกษาหลักสูตรที่เป็นการวิจัยซึ่งส่วนมากจะเป็นปริญญาโท-เอก หรือที่เรียกว่า MPhil/PhD ทุนนี้จัดสรรโดย Universities UK เป็นหน่วยงานกลางที่จัดตั้งโดยรวมทุกมหาวิทยาลัยในอังกฤษให้กับทุกมหาวิทยาลัย โดยจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายส่วนต่างของค่าเทอมของนักเรียน 'home' และ 'overseas' เป็นเวลานาน 3 ปี ตลอดหลักสูตร คือทำให้เราจ่ายค่าเทอมเท่ากับนักเรียน home ซึ่งประมาณ 2000-3000 ปอนด์ต่อปี ในบางกรณีมหาวิทยาลัยก็ให้ทุนประกอบด้วยจ่ายค่าเทอม home ให้ด้วยและอาจจะจ่ายเงินเดือนให้ด้วย (จะคล้ายๆ กับทุนที่นักเรียน home ได้จาก research councils ต่างๆ เช่น Medical Research Council (MRC),  Biotechnology & Biological Sciences Research Council (BBSRC) เป็นต้น พวก council studentships เหล่านี้จะมีข้อจำกัดให้ทุนเฉพาะ UK/European students เท่านั้น) ทุน ORS จะมีประมาณ 800-900 ทุนต่อปี ไม่จำกัดเชื้อชาติ (ตามสถิติ นักเรียนไทยรับทุนนี้ประมาณ 10 ทุนต่อปีรวมจากมหาวิทยาลัยทั้งหมดในอังกฤษ)   แต่ละมหาวิทยาลัยจะได้จัดสรรทุนไม่เท่ากัน ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยขนาดเล็กมักจะได้จำนวนทุนน้อยกว่า แต่อัตราการแข่งขันก็อาจจะต่ำกว่ามหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ เกณฑ์ในการให้ทุนนั้นดูเพียงความสามารถในการเรียนเท่านั้น ไม่สนใจฐานะการเงินใดๆ ทั้งสิ้น <เทคนิคในการสมัครทุน ORS> 1. ประวัติการเรียน - ควรจะได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือสองเป็นอย่างน้อย หรือไม่งั้นควรจะนำเสนอผลงานอื่นๆ ที่ประกอบ เช่น งาน presentation, รางวัลต่างๆ, บทความตีพิมพ์ เป็นต้น 2. หนังสือรับรอง - ผู้ที่เขียนหนังสือนี้จะมี 2 คน หนึ่งคนเป็นอาจารย์จากเมืองไทย (อย่างน้อยน่าจะเป็นหัวหน้าภาควิชาที่เรียนจบมา) และอาจารย์ที่อังกฤษ (ถ้าอาจารย์ที่ปรึกษาสนับสนุนแล้ว ควรให้คณบดีคณะเป็นผู้ออกหนังสือให้ โดยอาจารย์ที่ปรึกษาอาจเป็นผู้ร่างให้) โดยเฉพาะหนังสือรับรองจากอาจารย์ที่อังกฤษจะสำคัญมากๆ ใจความที่ต้องระบุในหนังสือรับรองคือ - ความสามารถในการเรียนของเราในอดีต - ทักษะและความพร้อมรวมทั้งแนวโน้มในการทำวิจัยให้สำเร็จ - ในกรณีหนังสือรับรองจากอาจารย์เมืองไทย ควรร่วมปรึกษากับอาจารย์ที่อังกฤษร่วมกันร่างขึ้น เพราะจะได้สื่อสารได้ตรงตามที่คณะกรรมการทุนคาดหวัง - ภาษาที่ใช้ในหนังสือรับรอง ต้องเขียนให้ชัดเจนแสดงให้เห็นว่าเรามีคุณสมบัติ "ดีเลิศ" ที่สมควรได้รับทุน ไม่ใช่แค่ "ดี" หรือ "เหมาะสม" เท่านั้น เป็นวัฒนธรรมของตะวันตกที่เราต้องนำเสนอตัวเองให้ดีเพราะทุนนี้ไม่มีการสัมภาษณ์ 3. ใบสมัคร - จะมีข้อมูล 2 ส่วน คือ ประวัติส่วนตัว (ซึ่งเราจะกรอกเอง) และโครงการวิจัย (ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาจะกรอกให้เรา) เขียนให้กระชับ ระวังเรื่องจำนวนคำที่เขากำหนดไว้ 4. เวลาสมัคร - ทุนนี้ไม่สามารถยื่นสมัครได้ด้วยตนเอง ต้องให้ทางคณะเป็นผู้ยื่นผ่านบัณฑิตวิทยาลัยของมหาลัยไปยังคณะกรรมการทุนอีกที ทุนนี้จะมีขั้นตอนการพิจารณาดังนี้  (อาจแตกต่างไปบ้างในส่วนของ 4.1 แต่ 4.2 และ 4.3 จะเหมือนกัน) 4.1 การคัดเลือกในภาควิชา/คณะ - ในแต่ละปีจะมีผู้สมัครทุน ORS หลายคน ในแต่ละภาควิชาหรือคณะจะเลือกเสนอรายชื่อผู้สมัครทุนเพียง 1-2 คน โดยจะกำหนดลำดับความเหมาะสมของผู้สมัครไว้ให้บัณฑิตวิทยาลัยได้ทราบด้วย ขั้นตอนนี้สำคัญ เพราะว่าเราต้องแสดงความสามารถให้อาจารย์ที่ปรึกษาสนับสนุนให้เราเป็นอันดับต้นๆ ในคณะ ปกติคณะจะบอกเราว่าจะส่งใบสมัครของเราไปต่อที่บัณฑิตวิทยาลัยหรือไม่ แต่จะไม่บอกลำดับที่เราได้ ในขั้นนี้ควรคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาให้สนับสนุนการสมัครทุนประกอบด้วย จะทำให้เราได้ทุนครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เหลือที่ ORS ไม่ได้จ่ายให้ 4.2 ระดับบัณฑิตวิทยาลัย - เมื่อเราผ่านขั้นตอนของคณะแล้ว บัณฑิตวิทยาลัยจะรวบรวมผู้สมัครที่ได้รับการเสนอชื่อจากแต่ละคณะมารวมกัน เช่นที่มหาวิทยาลัยได้ใบสมัครทั้งหมดมา 80-100 ใบตามจำนวนภาควิชา/คณะที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัย และคัดเลือกอีกขั้นตอน นำมาจัดลำดับอีกครั้ง แล้วจะส่งไปโดยดูจากโควต้าที่เคยได้รับ เช่น ปีที่แล้วได้มา 12 ทุน ปีนี้ก็อาจจะส่งไปประมาณ 12 + 4 คน เป็นต้น เขาจะไม่ส่งทุกคนที่สมัคร เพราะทางมหาวิทยาลัยเองก็ต้องรักษาเปอร์เซ็นต์ของใบสมัครที่ประสบความสำเร็จได้รับทุนให้อยู่ในระดับสูง เพราะจะมีการตีพิมพ์เป็นรายงานไว้ด้วย ถือเป็นการบอกถึงคุณภาพของมหาวิทยาลัยในทางอ้อม เขาจึงต้องส่งเฉพาะใบสมัครที่คาดว่าน่าจะได้รับทุน 4.3 ระดับคณะกรรมการทุน ORS - ใบสมัครจากบัณฑิตวิทยาลัยของทุกมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษจะส่งมาที่คณะกรรมการทุน ORS ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของแต่ละปี และประกาศผลภายในเมษายนถึงกรกฎาคมของแต่ละปี ก่อนที่จะเปิดเรียนในเดือนตุลาคม อัตราการได้รับทุนตามสถิติของมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่ก็คือ ส่งไปทั้งหมด 16 ทุนได้มา 12 ทุน ก็ประมาณ 75% ครับ มหาวิทยาลัยบางแห่งอาจรับประกันให้ทุนนักเรียนทุกคนที่ผ่านขั้นตอน 4.2 โดยนักเรียนที่พลาดทุน ORS ก็จะได้ทุนเทียบเท่ากันจากมหาวิทยาลัยแทน ดังนั้นเวลาที่เหมาะสมในการปรึกษากับอาจารย์เรื่องทุน ORS คือตอนที่เราสมัครเข้าเรียน ซึ่งปกติจะเป็นเวลา 1 ปีก่อนเข้าเรียนอย่างน้อย เช่น ถ้าจะเข้าเรียนตุลาคม 2005 ก็ควรจะกรอกใบสมัครประมาณตุลาคม 2004 (รวมทั้งจัดหาเอกสารประกอบ เช่น ใบรายงานผลการเรียน หนังสือรับรอง เป็นต้น) นั่นคือเริ่มปรึกษาเรื่องการสมัครทุน ORS กับอาจารย์ที่ปรึกษาตั้งแต่ กลางปี 2004 น่าจะดีที่สุด เป็นต้น ก็จะได้ผลประกาศทุนเมษายน 2005 ก็จะพร้อมเข้าเรียนในตุลาคม 2005 พอดีครับ 5. ทุนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นนักเรียนที่จะเข้าเรียนปริญญาเอกเท่านั้น นักเรียนปริญญาเอกที่กำลังเรียนชั้นปีหนึ่งก่อนจะขึ้นปีสองก็สามารถสมัครทุนนี้ได้เหมือนกัน โดยจริงๆ แล้วภาษีจะดีกว่า เพราะอาจารย์ที่ปรึกษาจะรู้จักกับเราเป็นอย่างดีแล้ว โอกาสที่จะผ่านขั้นตอน 4.1 จึงง่ายขึ้น (กรณีของผมเองก็เป็นเหมือนกัน คือ ได้ทุนตอนอยู่ปี 2 ครับ) ดังนั้นคุณจึงอาจมาเรียนด้วยเงินทุนตัวเองในปีแรกก่อนและสมัครทุนในปีที่สองได้ รายละเอียดดูได้เพิ่มเติมจาก http://www.universitiesuk.ac.uk/ors/ORSscheme.asp แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 47 06:55:48 แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 47 06:51:58 จากคุณ : nhum_nop - [ 21 เม.ย. 47 06:43:37 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คิดว่ากระทู้ต่อไปน่าจะเป็นเรื่อง ^*^*^ กระทู้แบ่งปันประสบการณ์ ตอนที่ 4 -@-@-@- การทำงานนอกเวลาเรียนในอังกฤษ เพื่อหารายได้เสริมระหว่างเรียน^*^*^ จากคุณ : nhum_nop - [ 21 เม.ย. 47 07:02:00 ]

ความคิดเห็นที่ 25 สงสัยอาเจ๊ขอคนอื่นเขียนแน่ ๆ เลย ถ้าตอนที่สี่เป็นเรื่องนี้เนี่ย :p หรือหา guest มาเขียนเรื่อง ทำ e-commerce ในอังกฤษ ทำอย่างไรดี? ดีมะ :p จากคุณ : zephyros - [ 21 เม.ย. 47 13:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 แต่เจ๊น่าจะเขียนว่า.. อยู่อังกฤษ เที่ยวยังไงให้ทั่ว มากกว่า? มะ?? คิกคิก จากคุณ : ช่วยเดาต่อ (zephyros) - [ 21 เม.ย. 47 13:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ฮิฮิ เดากันใหญ่ คุณ nhum_nop ขอบคุณมากที่เข้ามาอ่านและแบ่งปันประสบการณ์นะคะ มีประโยชน์มากค่ะ เพราะหลายๆ คนก็กำลังหาทุนทำวิจัยต่อป.เอกกันอยู่ อ่านแล้วคงได้ไอเดียเพิ่มเติมว่าจะเริ่มต้นยังไงดี เราอ่านแล้วยังอยากลองสมัครดูบ้างเลย แต่ตอนที่ 4 ถ้าเป็นเรื่องทำงานในอังกฤษ สงสัยเราต้องหานักเขียนรับเชิญ มาเขียนแทนอย่างที่น้อง zephyros บอกค่ะ เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยทำงานเลย เวลาเก็บตังค์ไปเที่ยวเมืองอื่นก็ใช้วิธีเก็บเงินค่าขนมสะสมไปเรื่อยๆ อาตี๋ zephyros เอ๊ย เรื่องเที่ยวทั่วอังกฤษเนี่ยว่าจะเชิญอาตี๋มาเขียนแทน คิกๆ ส่วน e-commerce สงสัยว่าเจ้าตัวเค้าจะไม่ยอมมาเขียนลงพันธ์ทิพย์ (แอบแซว :P) เขียนไป 3 ตอนชักเมื่อย ขอพักให้หายเมื่อยมือก่อน ถ้ามีใครอยากเขียนเรื่องอะไรต่อก็เขียนได้เลยนะคะ เพราะเรามาอยู่อังกฤษก็ทำอยู่ไม่กี่อย่าง เรียนหนังสือ เที่ยวทั่วอังกฤษ กับทำอาหารเมนูใหม่ๆ แก้เซ็ง แล้วส่งไปอวดแม่ว่าเดี๋ยวนี้ทำกับข้าวเป็นแล้ว :D จากคุณ : Aoyama - [ 21 เม.ย. 47 22:10:25 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ้อ เรื่องที่เราไม่ค่อยรู้ก็คือเรื่องการขอวีซ่า กับเรื่องทำงานเนี่ยล่ะค่ะ เรามาเรียนด้วยทุนของที่อังกฤษเอง ก็เลยขอวีซ่าได้ง่าย เพราะสถานทูตมีรายชื่อนักเรียนอยู่แล้ว ใครเมล์มาถามสองเรื่องนี้ทีไรก็แบ๊ะๆๆๆ ไม่รู้จะตอบยังไงทุกที มีหลายคนสงสัยว่าเราเอาข้อมูลจากที่ไหนมาเขียน ไปค้นมาจากที่ไหน จริงๆ แล้วเราก็ไม่เคยสอบสัมภาษณ์ทุนก.พ. โดยตรง ตอนเรียนจบใหม่ๆ เคยไปสอบสัมภาษณ์ทุนกระทรวงต่างประเทศ (ทุนก.ต.) ซึ่งสอบพร้อมๆ กับทุนก.พ. แล้วก็มีขั้นตอนวิธีการสอบเหมือนกันแทบทุกประการ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้ทุนนั้น เพราะเพื่อนที่จบรัฐศาสตร์การทูตมาโดยตรงได้ไปแทน เลยทำงานอยู่สองปี แล้วก็สอบทุนของที่อังกฤษ สมัครสอบทีละหลายทุน โชคดีที่ได้พร้อมๆ กันหลายทุน แต่เลือกไว้แค่ทุนเดียว แล้วพอดีทุนก.พ.แบบที่มีมหาลัยตอบรับก็เรียกไปสอบสัมภาษณ์ แต่สละสิทธิ์ไม่ได้ไปสอบ เพราะตอนนั้นได้ทุนอื่นเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็บินมาเรียนที่ลอนดอน สรุปว่าเขียนกระทู้จากประสบการณ์ที่เคยไปสอบๆ มาค่ะ   แก้ไขเมื่อ 22 เม.ย. 47 03:25:41 จากคุณ : Aoyama - [ 21 เม.ย. 47 23:09:19 ]